Friday, 26 April 2024
Columnist

“ประเทศไทย” ถือว่าเป็นประเทศในใจของชาวต่างชาติหลาย ๆ คนที่อยากย้ายมาอาศัยอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต นอกจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แล้ว สภาพภูมิอากาศก็ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่หลาย ๆ คนชื่นชอบมากที่สุด

ตอนนี้เชื่อแน่ว่าหลาย ๆ ท่าน คงได้ยินข่าวดังตามสื่อช่องทางต่าง ๆ ที่กำลังเป็นกระแสฮิต นอกจากข่าวการติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในแต่ละวันแล้ว นั่นก็คือข่าวการตั้งกลุ่มชักชวนกันย้ายตัวเองไปอาศัยอยู่ในประเทศอื่น ๆ  ซึ่งคิดว่าก็คงเป็นเรื่องที่น่าจะมีการพูดถึงไปอีกซักระยะหนึ่งในสภาวะปัจจุบันที่โควิด-19 กำลังระบาดในประเทศไทยขณะนี้ 

สำหรับในวันนี้ผู้เขียนจะไม่ก้าวล่วง หรือพูดถึงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว แต่จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะข้อดีสำหรับที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบันกับภูมิอากาศที่เหมาะสมในการตั้งรกรากที่อยู่อาศัย ในรูปแบบเชิงภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์กันครับ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าถ้าให้ประชากรทั่วโลก โหวตเลือกว่าอยากไปอยู่ประเทศไหนกันมากที่สุดในบั้นปลายของชีวิต ผู้เขียนเชื่อแน่ว่าประเทศไทยต้องติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน 

ในการเป็นประเทศปลายทางที่มีผู้คนอยากมาอยู่อาศัย จะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศเราในสถานการณ์ปกติ หรือแม้แต่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปที่มักจะมาแต่งงานกับภรรยาชาวไทย เพื่อให้ได้อยู่อาศัยในประเทศไทยในช่วงบั้นปลายของชีวิต โดยเฉพาะแถวภาคอีสานที่มีเป็นจำนวนมาก จนบางหมู่บ้านถูกขนานนามว่า เป็นหมู่บ้านเขยฝรั่งเลยทีเดียว 

สำหรับที่ตั้งของประเทศไทยนั้น ตั้งอยู่อยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ กับ 20 องศา 27 ลิปดาเหนือ และระหว่างลองจิจูดหรือที่ 97 องศา 22 ลิปดาตะวันออก กับ 105 องศา 37 ลิปดาตะวันออก เมื่อดูลักษณะภูมิประเทศแล้ว ด้านทิศตะวันออกจะมีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา ทิศตะวันตกติดกับประเทศพม่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศลาว และทิศเหนือติดกับประเทศลาวและประเทศพม่า ส่วนทิศใต้จะติดประเทศมาเลเซีย และถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรขนาบด้านข้างซ้ายและขวา นอกจากนั้นเมื่อดูที่ตั้งของประเทศไทย แล้วด้านตะวันออกถัดไปจากประเทศเพื่อนบ้านก็จะเป็นมหาสมุทรที่เรียกว่าทะเลจีนใต้ ส่วนทิศใต้ก็จะถูกล้อมรอบด้วยทะเลอ่าวไทยในด้านตะวันออก และทะเลอันดามันในด้านตะวันตก ส่วนทิศเหนือเมื่อไล่ขึ้นไปข้างบนต่อจากประเทศลาว เวียดนาม ก็จะเป็นประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จากลักษณะพิกัดที่ตั้งของประเทศไทยดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยมีภูมิประเทศที่ประกอบไปด้วยทั้งภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบต่ำ แม่น้ำ ตลอดทั้งมหาสมุทร ซึ่งส่งผลให้มีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เรียกว่าอยู่ในประเทศเดียวมีครบทุกอย่างไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยทีเดียว “นี้คือข้อดีข้อแรกของประเทศไทยครับ”

ทีนี้เราลองมาดูลักษณะภูมิอากาศของประเทศไทยกันบ้างครับ จากพิกัดที่ตั้งของประเทศไทยที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ประเทศไทยมีฤดูกาล 3 ฤดู คือ ฤดูฝนในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดเอาความชื้นและฝนเข้ามา ฤดูหนาวในช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดเอาความหนาวเย็นลงมา และฤดูร้อนในช่วงประมาณ เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ โดยในช่วงนี้อาจมีลมพัดเข้ามาหลายทิศทาง ทำให้อากาศมีความแปรปรวน ส่งผลให้บางครั้งฤดูกาลในประเทศไทยอาจไม่แน่นนอน โดยอาจมีฝนตกในช่วงฤดูร้อน หรืออากาศหนาวในช่วงเดือนมีนาคมก็เป็นไปได้ 

ทีนี้จะมาพูดถึงลักษณะของการเกิดฤดูกาลในประเทศไทยกันบ้างนะครับ ทั้งนี้โดยทั่วไปประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่าใกล้กับเส้นศูนย์สูตร และถูกขนาบด้วยมหาสมุทร ทำให้เราถูกเรียกว่าเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น คือประเทศที่มีความร้อนสูงเนื่องจากการทำมุมองศากับดวงอาทิตย์ของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ เราอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า ในขณะเดียวกันประเทศเราก็มีความชื้นเนื่องจากไอน้ำที่ถูกพัดพามาจากมหาสมุทรที่ขนาบข้างอยู่นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นแล้วในสภาวะกาลปกติแล้วประเทศไทยจึงมีความร้อนค่อนข้างจะสูง โดยช่วงที่ร้อนจะกินเวลาค่อนข้างจะยาว คือช่วงฤดูร้อนเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม และเลยไปถึงช่วงหน้าฝนด้วยคือประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างหน้าร้อนก็ไม่ใช่ว่าประเทศไทยจะร้อนตลอดเวลา เพราะในระหว่างร้อน ๆ ก็จะมีลมหนาวที่พัดมาจากประเทศจีนแผ่ลงมาเป็นระยะ ๆ เสมอ พอมาเจอกับลักษณะอากาศร้อนชื้นทำให้มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อการปลูกพืชของเกษตรกรในหน้าแล้ง 

โดยทั่วไปแล้วการเกิดพายุฤดูร้อนจะเกิดช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งก็เป็นช่วงหน้าแล้งพอดี ส่งผลให้ประเทศไทยเราสามารถปลูกพืชในหน้าแล้งที่ไม่ต้องการน้ำมากได้ ได้แก่ อ้อย มันสำประหลัง ซึ่งนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ “เห็นไหมละครับข้อดีอีกข้อของประเทศไทย ในขณะที่เป็นฤดูแล้งก็ยังมีฝนตกลงมาให้พอปลูกพืชได้” 

มาดูกันต่อนะครับ พอในช่วงฤดูฝนหรือที่เราเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าฤดูมรสุม ประเทศไทยก็จะมีฝนตกชุก และเมื่อเกิดพายุในหน้ามรสุม ซึ่งจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงสูง และกินพื้นที่เป็นระยะกว้าง โดยทั่วไปพายุที่พบส่วนใหญ่จะก่อตัวในมหาสมุทรแถวทะเลจีนใต้ ลักษณะทั่วไปของพายุนั้นเพื่ออยู่ในมหาสมุทรจะมีความรุนแรงหรือความเร็วลมสูง แต่เมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งความรุนแรงของพายุก็จะลดลง จากพิกัดที่อยู่ของประเทศไทย เมื่อพายุเคลื่อนเข้าหาฝั่ง ก่อนที่พายุจะเคลื่อนมาถึงประเทศไทย ก็จะผ่านประเทศเพื่อนบ้านเราก่อน คือเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งจะเป็นประเทศที่เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านที่รับอิทธิพลของพายุก่อนที่จะมาถึงไทย ส่งผลให้พายุมีความเร็วลมลดลงเมื่อมาถึงไทย ทำให้ผลกระทบที่เกิดจากพายุของประเทศไทยมีน้อย เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ยกเว้นมีบางปีที่พายุก่อตัวแล้วเคลื่อนที่ลงใต้ไปยังอ่าวไทย และเคลื่อนที่ผ่านภาคใต้ของประเทศไทย ก็จะมีผลกระทบกับประเทศไทยสูง เนื่องจากไม่มีประเทศเพื่อนบ้านคอยรับลมพายุ แต่จะมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ผ่านมาด้านบนของประเทศไทย 

“เห็นไหมละครับข้อดีของประเทศไทยอีกข้อ เหมือนเรามีเมืองหน้าด่านที่คอยรับศึกจากพายุแทนเรา พอข้าศึกเคลื่อนที่มาถึงประเทศไทยเราก็อ่อนล้าหมดแรงลดความรุนแรงลง เหลือแค่การพาเอาฝนมาตกในประเทศไทยเท่านั้น” 


เขียนโดย : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้การรักษาโรคภัยไข้เจ็บถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทำให้มนุษย์สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว แต่การรักษาในอดีตก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้เหมือนกันอย่างการรักษาแบบ “โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)”

การระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านในเมืองของเราเวลานี้ การรักษาโดยกระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียงและทันต่อเหตุการณ์แล้ว การรักษาด้วยกระบวนการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ด้วยวิธีการรักษาแบบผสมผสาน (Complementary Medicine) จึงเป็นทางเลือกอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และควรที่จะนำมาใช้ในการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจำแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม

การแพทย์ทางเลือกที่นำไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Complementary Medicine” ส่วนการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Alternative Medicine” โดย ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำกับดูแลการแพทย์ทางเลือก ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในชื่อว่า สำนักงานการแพทย์ทางเลือก (Office of Alternative Medicine : OAM) และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผมผสานและการแพทย์ทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine : NCCAM) 

ก่อนที่จะได้รับชื่อปัจจุบันคือ ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ (The National Center for Complementary and Integrative Health : NCCIH) เป็นหนึ่งใน 27 ศูนย์และสถาบันที่ประกอบเป็น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health : NIH) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้จำแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 

Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมือมาช่วยในการบำบัดรักษาและหัตถการต่าง ๆ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese  Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวชของอินเดีย เป็นต้น

Mind-Body Interventions คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง เป็นต้น

Biologically Based Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน Chelation Therapy Ozone Therapy หรือแม้กระทั่งอาหารสุขภาพ เป็นต้น โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดอยู่ในอยู่ในกลุ่มนี้

Manipulative and Body-Based Methods คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก Osteopathy Chiropractic เป็นต้น

Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาที่ใช้พลังงานในการบำบัดรักษาที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ในการบำบัดรักษา เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น

ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือก ต้องคำนึงถึงหลัก 4 ประการ คือ

ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยดูจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานเพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า จะส่งผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงใด อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือวิธีการนั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น

การมีประสิทธิผล (Efficacy) เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น

ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้น ๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยอาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ละคน เป็นต้น

โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2339 โดย Christian Friedrich Samuel Hahnemann แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเชื่อว่าสารที่ทำให้เกิดอาการของโรคในคนที่มีสุขภาพดีสามารถรักษาอาการคล้ายคลึงกันในคนป่วย ความเชื่อพื้นฐานตามหลักการนี้เรียกว่า similia similibus curentur หรือ "เหมือนการรักษาเหมือน" (like cures like) หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการรักษาแบบ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยในคนที่มีสุขภาพดี สามารถรักษาด้วยการใช้เชื้อของโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้ในขนาดที่เล็กมาก สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย การเตรียม Homeopathic เรียกว่าการเยียวยา และทำโดยการเจือจาง Homeopathic ในกระบวนการนี้ สารที่เลือกจะถูกเจือจางซ้ำ ๆ จนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะแยกไม่ออกจากตัวเจือจางทางเคมี มักไม่มีแม้แต่โมเลกุลเดียวของสารดั้งเดิมที่สามารถคาดหวังให้คงอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ระหว่าง Homeopaths การเจือจางแต่ละครั้งอาจกระทบและ/หรือเขย่าผลิตภัณฑ์ โดยอ้างว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเจือจางจำสารเดิมได้หลังจากกำจัด 

ทฤษฏีนี้กล่าวว่า การเตรียมการดังกล่าวเมื่อรับประทานเข้าไปสามารถรักษาหรือรักษาโรคได้ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ : หลักการโฮมีโอพาธีย์ในการผลิตยาปกติสำหรับบำบัด รักษาผู้ที่ได้รับความเจ็บป่วยในอาการเดียวกัน โดยใช้สารที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนหนึ่งส่วนมาเจือจางกับน้ำหรือแอลกอฮอล์อีก 9 หรือ 99 ส่วน พร้อมทั้งเขย่าขึ้นลงในแนวตั้ง 10 หรือ 100 ครั้งตามสัดส่วนที่เจือจางซึ่งเรียก ขนาดความแรง เป็น 1D หรือ 1C จากนั้นนำสาร 1D หรือ 1C มาเจือจางต่ออีก 1:10 หรือ 1:100 พร้อมเขย่าเช่นเดิม 10 หรือ 100 ครั้ง จะเรียก ขนาดความแรง 2D หรือ 2C ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความแรงในการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้นตามความแรงที่เพิ่มขึ้น อันที่จริง ยาเหล่านี้จำนวนมากไม่มีโมเลกุลของสารดั้งเดิมเหลืออยู่อีกต่อไป ยาโฮมีโอพาธีย์มีอยู่ในหลายรูปแบบลักษณะ เช่น ของเหลว ครีม เจล และยาเม็ด โดยระหว่างการรักษา แพทย์ Homeopathic (Homeopaths)จะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของคนไข้ เพื่อจะกำหนดวิธีการรักษาที่ตรงกับอาการของคนไข้มากที่สุด จากนั้นจะมีการปรับแต่งกระบวนการรักษาสำหรับคนไข้ตามแต่อาการเฉพาะราย

อาร์นิกา (ARNICA) เป็นสมุนไพร ดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ตัวอย่างเช่น หอมแดงทำให้ดวงตามีน้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางชีวจิต การรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยตัวยาจากไม้เลื้อยพิษ สารหนูสีขาว ผึ้งทั้งตัวบด และสมุนไพรที่เรียกว่า อาร์นิกา (ARNICA) เป็นดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เป็นที่นิยมสำหรับบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากรอยฟกช้ำหรืออักเสบ นอกจากนั้นยังมีคนไข้สมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) และช่วยลดอาการบวมอีกด้วย

การรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) สามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงโรคเรื้อรังบางอย่าง 
>> โรคภูมิแพ้
>> ไมเกรน
>> อาการซึมเศร้า
>> โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
>> ข้ออักเสบรูมาตอยด์
>> อาการลำไส้แปรปรวน
>> กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับปัญหาเล็กน้อย เช่น รอยฟกช้ำ รอยถลอก ปวดฟัน ปวดหัว คลื่นไส้ ไอ และหวัด

ร้านขายยาสไตล์ละตินอเมริกันคาริเบียน (การแพทย์สเปนและโปรตุเกสแบบดั้งเดิม) ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนร้านขายยาที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ปรากฏ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ยามีผลต่อการรักษา

การทำงาน ? การวิจัยมีความหลากหลาย การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) มีประโยชน์ด้วยการรักษาที่การรักษาแบบอื่นไม่ทำกัน นักวิจารณ์กล่าวถึงประโยชน์ของยาหลอก นั่นคือเวลาที่อาการดีขึ้นเพราะคนไข้เชื่อว่าการรักษานั้นได้ผล ไม่ใช่เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งนี้สามารถกระตุ้นสมองให้ปล่อยสารเคมีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่น ๆ ได้ชั่วครู่ แต่ทฤษฎีบางอย่างที่โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) นำมาใช้อ้างอิงนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการของเคมีและฟิสิกส์ โดยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (ยาหลอก) ไม่ควรมีผลกับร่างกาย

ความเสี่ยงคืออะไร ? สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S Food & Drug Administration (FDA) ได้กำกับดูแลการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) แต่จะไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ส่วนใหญ่รับยาและดื่มน้ำน้อยจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่มีข้อยกเว้น กรณียาที่อาจมีสารออกฤทธิ์จำนวนมาก เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ กรณีตัวอย่าง : ในปี พ.ศ. 2559 FDA ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดและเจลสำหรับการรักษาตามกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารกและเด็ก หากคนไข้กำลังพิจารณาที่จะลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกเหล่านี้  ต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ปลอดภัยและจะไม่มีผลต่อยาอื่น ๆ ที่คนไข้กำลังใช้อยู่

จากการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือกในบ้านเราพบว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก และให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จำนวน 25 ศาสตร์ ดังนี้ 

1.) สมุนไพร 2.) การนวด 3.) สมาธิ/โยคะ 4.) การนวดศีรษะ 5.) การรำมวยจีน/ไทเก็ก 6.) พลังรังสีธรรม 7.) สมาธิหมุน 8.) ชีวจิต 9.) พลังจักรวาล/โยเร 10.) การฝังเข็ม 11.) การฟังดนตรี 12.) การสวดมนต์/ภาวนา 13.) อบสมุนไพร 14.) การใช้เครื่องหอม/ยาดม 15.) การใช้วิตามิน/เกลือแร่/อาหารปลอดสารพิษ 16.) ดื่มน้ำผัก/ผลไม้ 17.) การสวนล้างพิษ 18.) การดูหมอ/รดนำมนต์ 19.) ศิลปะบำบัด 20.) การผ่อนคลายแบบ Biofeedback 21.) การใช้คาถา/เวทมนต์ 22.) การเพ่งโดยการใช้แสง สี เสียง 23.) การเข้าทรงนั่งทางใน 24.) การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟ้า 25.) การใช้วิชาธรรมจักร 

นอกจากนี้ยังมีการนำศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น มีการนำเอาการแพทย์ทางเลือกทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบำบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมกันในการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นต้น

ภาพรวมจากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า การแพทย์ทางเลือกในบ้านเรามีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทำการศึกษาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จำเป็นต้องเร่งให้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรต่าง ๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว สมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์ทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ด้วย ซึ่งต่อทำคู่ขนานกันไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีการตามกระบวนการแพทย์ทางเลือกจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดในอันที่จะพัฒนาต่อยอดการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อแนวทางการรักษาด้วยศาสตร์ของการแพทย์ทางเลือกต่อไป


เขียนโดย : ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

“อิสตันบูล (Istanbul)” เป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเปี่ยมไปด้วยความขลัง เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว ยังเป็นเมืองที่ตั้งตรงรอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป

ทั้งที่ยังไม่เคยได้ไปเยือนซานฟรานซิสโก แต่ความคิดแว้บแรกเมื่อไปถึงอิสตันบูล ผมรู้สึกว่าคล้ายเมืองริมทะเลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียนี้มาก อาจจะเพราะเคยดูหนังที่มีฉากเมืองซานฟรานซึ่งมีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน เช่นเป็นเมืองใหญ่ติดทะเล บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ถนนหนทางคดเคี้ยวและบางช่วงชัน มองเห็นวิวทะเลได้แต่ไกลจากหลายมุม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม อิสตันบูลก็คืออิสตันบูล (และซานฟรานซิสโก ก็คือซานฟรานซิสโก) ยังคงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดมากขึ้น

คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอิสตันบูลคือเมืองหลวงของตุรกี ที่จริงอังการาซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศต่างหากคือศูนย์กลางการเมืองการปกครองของประเทศนี้ แต่ด้วย “ความขลัง” กว่า ในแง่ที่มีประชากรหนาแน่นกว่าสิบห้าล้านคน นับว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ ณ รอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป โดยมีช่องแคบบอสพอรัสกั้นไว้ ทำให้วัฒนธรรมและศาสนาของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก คลุกเคล้ากันผ่านช่วงเวลายาวนาน ถ้าสาวประวัติเมืองย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่สมัยสองพันกว่าปีก่อนในยุคที่เรียกว่าไบแซนไทน์ อิสตันบูลในยุคนั้นมีชื่อว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดินี้ยืนยงคงกระพันนับพันปีและถือว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่พวกออตโตมันซึ่งเป็นมุสลิม และอิทธิพลอิสลามก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อนำภาพในอดีตมาปะติดปะต่อเข้ากับสภาพเมืองในปัจจุบันก็พบว่าประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับเมืองนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับภูมิทัศน์สวยงาม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ผสมผสานหลายยุคสมัย ยิ่งทำให้ใครก็ตามที่ได้มาเยือนอิสตันบูลตกหลุมรักเมืองนี้อย่างง่ายดายยามแรกพบเลยทีเดียว

อิสตันบูลเป็นเมืองทันสมัย สามารถเดินทางสัญจรภายในเขตต่าง ๆ โดยเลือกใช้ขนส่งมวลชนหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก รถราง รถบัส ซึ่งเมื่อซื้อบัตรโดยสารใบเดียวก็สามารถใช้ได้กับทุกระบบขนส่ง หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากกว่าก็ใช้บริการแท็กซี่กับ Grab แต่วิธีดีที่สุดที่จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของสิ่งละอันพันละน้อย ก็คือการเดินนั่นเอง ยิ่งใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปจะรื่นรมย์เดินชมเมืองมาก จะทอดน่องไปตามตรอกซอยน้อยใหญ่ เดินเล่นบนบาทวิถีริมทะเล เดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยชายนักหย่อนเบ็ดตกปลา หรือเบียดแทรกตัวเองท่ามกลางฝูงคนในย่านช้อปปิ้งล้วนให้ความเพลิดเพลินทั้งนั้น บรรดาแลนด์มาร์กและสถานที่น่าสนใจกระจายตัวในระยะเดินถึง ถ่ายรูปวิวสลับกับการสังเกตการใช้ชีวิตตามปกติของชาวเมือง หรือนั่งพักแล้วสังเกตอากัปกิริยาผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งหลายก็เพลินดี

ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักไม่พลาดการไปชมงานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นอลังการงานสร้างสองแห่งซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่าสุลต่านอาห์เม็ด ได้แก่สุเหร่าสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย แม้ศาสนสถานทั้งสองจะสร้างในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีทางศาสนาที่แตกต่างกัน แต่มองผิวเผินแต่ไกลกลับให้ความรู้สึกเหมือนอาคารฝาแฝดเพราะมีรูปทรงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน

แต่ละช่วงของวันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างกันด้วย ช่วงกลางวันที่แดดจัดจ้าจะเห็นน้ำทะเลใสสีฟ้า ฝูงนกนางนวลโฉบเฉี่ยวร่าเริง แมวจรทั้งหลายต่างย่องขึ้นไปบนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็แอบอยู่ตามมุมถนน ส่วนบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำนั้นโรแมนติกกว่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครที่เดินทางคนเดียวจะเกิดอาการเหงาจับใจเวลามองพระอาทิตย์ตกทะเลแต่อย่างใด เพราะแสงเงาบนท้องฟ้าสลับสีตระการตา คล้ายกำลังนั่งมองศิลปินผู้มีฝีมือล้ำเลิศละเลงสีเหลืองแดงชมพูม่วงส้มลงบนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่มหาศาล ก็ทำให้หัวใจคับพองและ “อิ่ม” ได้เช่นกัน

ของคาวที่หาทานง่าย มีอยู่แทบทุกมุมเมืองคือเคบับ หิวเมื่อไหร่ก็แวะซื้อแล้วเดินทานไปด้วย เมนูปลาใกล้สะพานกาลาตาก็เด็ดไม่แพ้กัน หรือถ้าต้องการทานอาหารตุรกีที่มีความหลากหลายกว่าก็สามารถเลือกนั่งในร้านอาหารชนิดกินกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ได้ ของหวานขึ้นชื่อเห็นจะเป็นไอศกรีมตุรกี จุดเด่นนอกจากจะเป็นความเหนียวหนึบแล้ว พ่อค้าไอศกรีมยังใช้มุกหลอกลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว ๆ และเด็ก ๆ (มุกเก่าแต่ใช้ได้ตลอด) 

ในขณะที่ของหวานอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือบักลาวา หาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด เปรียบเทียบแล้วน่าจะคล้ายกับใครมาเที่ยวเชียงใหม่ก็มักจะหาซื้อขนมกะละแมไปฝากเพื่อนฝูงญาติมิตรนั่นเอง ในส่วนของเครื่องดื่มยอดนิยมนั้นหนีไม่พ้นชาตุรกีซึ่งเสิร์ฟกันในแก้วทรงคอดตรงกลาง และกาแฟซึ่งต้มในภาชนะโลหะมีด้ามจับที่เรียกว่าอีบริก เสิร์ฟในถ้วยเซรามิกเล็ก เวลาจะจิบชาหรือกาแฟก็มักเติมน้ำตาลลงไปด้วยสักช้อนชาเพื่อตัดความขม และแม้จะเป็นประเทศมุสลิม แต่ก็มีความเป็นเสรีนิยมค่อนข้างสูง ดังนั้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลายอย่างเหล้าเบียร์หรือไวน์ก็ยังสามารถหาจิบได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

ที่พักหาไม่ยากและมีทุกระดับตั้งแต่ดาวเดียวถึงทะลุห้าดาว ในสมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟู นักเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทุนต่ำแบกเป้ มักพกโลนลี่แพลเน็ต เสมือนคัมภีร์นำทาง เพราะมีข้อมูลที่จำเป็นแทบทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวแทบทั้งหมดหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ที่พักก็จองผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะพักที่ไหนจะกินอะไรก็ดูรีวิวเอา ร้านไหนสถานที่อะไรคนนิยมมาก ๆ ก็ต้องไปเช็คอินเมื่อไปถึง นักท่องเที่ยววัยรุ่นขาโจ๋ผู้นิยมสังสรรค์ปาร์ตี้จนดึกดื่น มักเลือกพักโฮสเทลในย่านทักซิม ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงสมัยใหม่และผับบาร์อึกทึก มีถนนคนเดินเหมาะสำหรับคนเสพติดการช้อปปิ้งเป็นที่สุด ในขณะที่ย่านสุลต่านอาห์เม็ดนั้นเหมาะสำหรับคนชอบความสงบ พวกผู้ใหญ่ คนสูงวัย นักเดินทางผู้รักความสันโดษ หรือคู่รักฮันนีมูนน่าจะชอบย่านเมืองเก่านี้มากกว่า 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเพียง “น้ำจิ้มชิมลาง” เท่านั้น เพราะยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นฉันใด อยากรู้ว่าอิสตันบูลมีเสน่ห์มากแค่ไหนก็ต้องมาให้เห็นด้วยตัวเองนะครับ 


เขียนโดย : คุณสว่าง ทองดี จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ชอบปั่นจักรยานท่องโลกและหลงไหลกาแฟ

การตั้งคำถาม กระตุ้นให้พวกเขามีโอกาสแสดงความเป็นตัวตน มอบพื้นที่แห่งความสบายใจและรู้สึกปลอดภัยในการแสดงออก เพื่อให้พวกเขาได้ค้นพบคุณค่าในตัวเอง และค้นหาทางออกด้วยตัวของเขาเอง

การตั้งคำถามที่ทรงพลัง (Powerful Questioning) คือ การตั้งคําถามที่ช่วยให้คู่สนทนาสามารถจัดการความคิดยุ่งเหยิงของตนเองให้เป็นระบบระเบียบ และเมื่อความคิดความรู้สึกถูกจัดเรียงใหม่แล้ว เขาจะมีความพร้อมในการตั้งเป้าหมาย ประเมินสถานการณ์ มองหาทางเลือกต่างๆ และตัดสินใจเลือกวิธีการเดินหน้าต่อได้ชัดเจน 

การตั้งคำถามที่ทรงพลัง เป็นทักษะสำคัญที่ใช้ในการโค้ชเพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านการทำโครงการ/กิจการเพื่อสังคม แต่ยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หรือใช้สื่อสารกับผู้ที่กำลังสับสน ให้ได้ค้นพบคำตอบและแนวทางต่อด้วยตนเอง

1. คำถามกระตุ้นวิสัยทัศน์และเป้าหมาย 

วัยรุ่นค่อนข้างสับสนในตัวเอง เพราะมีข้อมูลรอบด้าน เพื่อช่วยให้วัยรุ่นได้เข้าใจตัวเอง มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น จะได้มองเห็นภาพอนาคต จะได้มีความชัดเจนในตัวเอง ด้วยการตั้งคำถามกระตุ้นให้พวกเขาได้รู้จักข้อดีข้อเสีย โอกาสและอุปสรรคของตัวเอง จะได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตที่แคบลง  เช่น

 “วันนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดี” 
“คิดว่าทักษะอะไรสำคัญบ้าง”
“สุดท้ายต้องการเห็นอะไร หลังจากที่จบการคุยกัน”
“จากจุดนี้ต้องการไปให้ถึงจุดไหน”
“คิดว่านิสัยส่วนไหนของเราที่อาจเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในเป้าหมายนะ”
“คิดว่านิสัยส่วนไหนที่เป็นจุดแข็งของเรานะ”

2. คำถามชวนตระหนักถึงความจริงที่เกิดขึ้น

ในเวลาที่ข้อมูลเยอะ เกิดความสับสนในชีวิต มักทำให้คนรุ่นใหม่เกิดความลังเลสงสัย เกิดจินตนาการและการคาดการณ์ต่างๆ นานา เพื่อช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงความจริงที่อยู่ตรงหน้า ช่วยตรวจสอบมุมมองของข้อมูลให้รอบด้านมากขึ้น “ข้อมูลที่พบ มีที่มาจากแหล่งใด” (ช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล) ด้วยการตั้งคำถามให้พวกเขาตระหนักและยืนอยู่บนพื้นฐานตามความจริง พร้อมช่วยประเมินสถานการณ์เบื้องต้น เช่น

“มีใครหรือหน่วยงานใดบ้างที่ทำงานในประเด็นนี้อยู่บ้างนะ”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดผลลัพธ์หรือผลกระทบกับคุณอย่างไรบ้าง”
“คิดว่ามีส่วนไหนบ้างที่ไม่จำเป็นในเบื้องต้น”
“ที่ผ่านมามีตรงจุดไหนบ้างที่เราพลาดไปไม่ได้ทำ”

3. คำถามชวนค้นหาทางเลือก

เมื่อช่วยให้วัยรุ่นมีจุดตั้งต้นอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงแล้ว ขั้นต่อไปคือการชวนคิดถึงโอกาสและทางเลือกต่างๆ โดยกลับไปเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น

– ถามเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และเปิดพื้นที่ให้เขาได้ทดลองคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เช่น 

“คิดว่ามีไอเดียหรือทางเลือกใดบ้าง ที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบัน”
“เราจะพัฒนาสิ่งที่เรามีได้อย่างไรนะ”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้เลวร้ายที่สุดคือเรื่องใด”
“หากมีคนที่อยู่ในสถานการณ์เหมือนเราตอนนี้ คุณจะแนะนำเขาว่าอย่างไร”
 “คุณจะมีแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับแต่ละทางเลือกอย่างไรบ้าง”

ขั้นตอนนี้จะเป็นตัวสรุปการพูดคุย โดยเราอาจช่วยให้วัยรุ่นทบทวนสิ่งที่คุยกัน ตั้งแต่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ความเป็นจริงที่ผ่านมา และทางเลือกต่างๆ เพื่อให้คิดวิเคราะห์ และตัดสินใจเลือกว่าจะเลือกทางใดดี ซึ่งเราอาจเพิ่มคำถามเพื่อย้ำบทสรุปให้เห็นแผนที่ชัดเจนขึ้น เช่น “คิดว่าจะพร้อมลงมือทำตามไอเดียที่เลือกเมื่อไรดี” หรือ “สรุปว่าเราจะทำอะไรกันต่อบ้าง” เป็นต้น
 
4. ทำความเข้าใจก่อนค่อยถามต่อ 

ระหว่างการพูดคุย หากพบว่ามีข้อมูลบางอย่างที่ไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกับวัยรุ่นหรือไม่ อย่างไร ให้จัดการเคลียร์ความเข้าใจนั้นให้กระจ่างก่อน เช่น ศัพท์เฉพาะ ให้อธิบายให้เข้าใจ หรือ เรื่องนามธรรมให้เปรียบเทียบเปรียบเปรยให้เห็นได้ชัดๆ ด้วยการพูดว่า

 “ตรงนี้นิดหนึ่งนะ…ที่คุณพูดว่า….(ทวบทวนสิ่งที่เราได้ยิน)”
“ที่คุณพูดว่า……(บอกสิ่งที่เราเข้าใจ)…ว่าใช่หรือไม่”
“นิดหนึ่ง….(บอกสิ่งที่เราเข้าใจ)….ไม่ทราบว่าเข้าใจตรงกันไหมคะ”

ซึ่งหากผลออกมาว่าเราเข้าใจไม่ตรงกับเป้าหมายของวัยรุ่น ขอแนะนำให้จดบันทึกไว้ว่า ประเด็นหลักที่วัยรุ่นต้องการสื่อสารแต่แรกคือเรื่องใด และขณะนี้เราต้องหยุดพักซักครู่เพื่อทำความเข้าใจเรื่องใดก่อน เพื่อป้องกันการคุยหลุดประเด็น

เคล็ดลับอยู่ตรงที่ การตั้งคำถามกระตุ้นให้พวกเขาได้มีโอกาสแสดงความเป็นตัวตน มอบพื้นที่แห่งความสบายใจและรู้สึกปลอดภัยในการแสดงออก เพื่อให้พวกเขาได้ค้นพบคุณค่าในตัวเอง และค้นหาทางออกด้วยตัวของเขาเอง เราแค่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้เขาเข้าถึงความจริงในตัวเองให้ได้ 

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิง
https://www.schoolofchangemakers.com/knowledge/11291/
https://www.hcdcoaching.com/17020389/ทักษะการถาม-questioning-skill

หัวใจของการทำพิธีกรสัมภาษณ์ คือการฟังคู่สนทนาอย่างตั้งใจ การตั้งประเด็น เป็นที่มาของการตั้งคำถามในการสัมภาษณ์แต่ละครั้ง เมื่อตั้งประเด็นที่ใช่ การตั้งคำถามที่ใช่ก็จะตามมา และนำไปสู่คำตอบที่ใช่เช่นเดียวกัน

“การตั้งคำถามที่ดี จะนำไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง” คำสอนสำหรับพิธีกรสัมภาษณ์จากรุ่นพี่สู่พิธีกรรุ่นน้องเสมอๆ และทุกครั้งที่ผู้เขียนได้รับการถ่ายทอดคำสอนนี้ก็มักจะมีคำถามตามมาเสมอว่า แล้วคำถามที่ดี คำถามที่ถูก คือแบบไหนกันหรือ ? 

คำถามที่ทำให้ผู้ตอบรู้สึกดี ?
คำถามที่ใคร่รู้สงสัย ? 
คำถามที่ทำให้ผู้ฟังได้ประโยชน์ ? 
หรือคำถามแบบไหนกัน 

แต่ทุกครั้งที่ถามและตอบ แล้วทำให้ทั้งผู้ถามและผู้ตอบรู้สึกดีในบทสนทนา อย่างน้อยที่สุดก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อย่างไรก็ตามหัวใจของการทำพิธีกรสัมภาษณ์ ไม่ใช่การพูด แต่คือการฟังคู่สนทนา ฟังอย่างตั้งใจ ฟังให้ได้ยินว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร แล้วเราก็จะได้ประเด็นที่จะสามารถต่อยอดได้ 

เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะการฟังจากการคุย ไม่เหมือนการฟังเพื่อจดเลคเชอร์ การควบคุมบรรยากาศ การแสดงท่าที การมีส่วนร่วมระหว่างกัน จะทำให้การพูดคุยนั้นสนุกและน่าสนใจ แต่หากพิธีกรสติไม่อยู่กับการฟังแต่ดันเพลินไปกับการพูดคุย ก็จะทำให้หลุดประเด็นในการสัมภาษณ์เช่นเดียวกัน 

การเป็นพิธีกรสัมภาษณ์จึงต้องมีการฝึกฝน ฝึกให้มาก ตั้งคำถามให้เยอะ แล้วจะตั้งคำถามจากพื้นฐานของอะไร ?

ก็ประเด็นยังไงหล่ะ ?  การตั้งประเด็น จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามในการสัมภาษณ์แต่ละครั้ง การตั้งประเด็นจึงมีความสำคัญมาก ว่าวันนี้อยากคุยในประเด็นไหน ประเด็นนั้นมีความน่าสนใจไหม ประเด็นนั้นให้อะไรแก่ผู้รับ ซึ่งนี่ต่างหากคือที่มาของการตั้งคำถาม เมื่อตั้งประเด็นที่โดน ที่ใช่ การตั้งคำถามที่ใช่ ก็จะตามมา และนำไปสู่คำตอบที่ใช่เช่นเดียวกัน 

แล้วจะฝึกการตั้งประเด็นที่คมมากพอได้อย่างไร ? เมื่อผู้ตั้งประเด็นมีข้อมูลพื้นฐานที่มากและรอบด้านมากพอที่จะทำให้เห็นว่าประเด็นไหนมีความน่าสนใจที่จะนำเสนอให้กับผู้รับสารนั้น 

สำหรับผู้เขียนซึ่งเป็นพิธีกรสัมภาษณ์ และต้องตั้งประเด็นสัมภาษณ์เองนั้น ก็ต้องบอกตามตรงว่ายังไม่เก่งนัก และต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ความท้าทายคือ เราต้องทำสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอและมากขึ้นทุกวัน ไม่หยุดพัฒนา แล้ววันหนึ่งคำถามของเราจะนำไปสู่คำตอบที่ใช่ได้แน่นอน 


เขียนโดย: ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Program Director THE STUDY TIMES 

ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นราว 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช ด้วยความสวยงาม ความลี้ลับ และ ตำนานที่นำมากล่าวขานกัน ผ่านภาพยนตร์ หนังสือต่าง ๆ ทำให้ผู้คนสนใจและใคร่รู้เกี่ยวกับความลับของแดนอียิปต์แห่งนี้

บทความนี้ พาไปย้อนประวัติศาสตร์ของแดนพีระมิด ในประเทศอียิปต์กันเล็กน้อย โดยผมอยากมาเล่าเรื่องราวของฟาโรห์ที่เชื่อว่าหลายท่านคงพอผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเรื่องของ ‘ฟาโรห์’ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ และความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่อีกมากครับ 

ฟาโรห์ (Pharaoh) เป็นชื่อตำแหน่งพระมหากษัตริย์อียิปต์โบราณของทุกราชวงศ์ มีรากศัพท์จากคำว่า ‘pr-aa’ แปลว่า ‘บ้านหลังใหญ่’ อันเป็นคำอุปมาหมายถึง ‘ปราสาทพระราชมนเทียร อียิปต์โบราณ’ หรือ ‘ไอยคุปต์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ โดยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์

อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นราว 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมต่อเนื่องเรื่อยหลายพันปี 

ประวัติของอียิปต์โบราณที่เป็นช่วงที่โลกรู้จักกันอย่างมาก เป็นช่วงที่ ‘ราชอาณาจักร’ มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์แบบมากมายไปตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งถึงราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘ราชอาณาจักรกลาง’ ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการพัฒนามากมาย และก็ค่อย ๆ ลดลง อันเป็นเวลาเดียวกันที่ชาวอียิปต์พ่ายในการทำสงครามกับชนชาติอื่น เช่น อัสซีเรีย และเปอร์เซีย จนกระทั่งเมื่อ 332 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็ถึงกาลสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสามารถยึดครองอียิปต์ และจัดให้อียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิมาซิโดเนีย

Maat เป็นทั้งเทพธิดาและตัวตนของความจริงและความยุติธรรม โดยขนนกกระจอกเทศของ Maat แสดงถึงความจริง

นอกจากนี้ ในสังคมอียิปต์โบราณ ‘ศาสนา’ เป็นศูนย์กลางของชีวิตประจำวัน โดยบทบาทหนึ่งของฟาโรห์ คือ การทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเทพเจ้าและผู้คน ดังนั้นฟาโรห์ จึงเป็นตัวแทนของเทพเจ้าในบทบาทที่เป็นทั้งผู้ปกครองและผู้นำทางศาสนา รวมถึงเป็นเจ้าของดินแดนทั้งหมดในอียิปต์ สามารถออกกฎหมายเก็บภาษี และปกป้องอียิปต์จากผู้รุกรานในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนในทางศาสนาแล้วฟาโรห์ทรงเป็นผู้นำในพิธีกรรมทางศาสนา และทรงเลือกสถานที่ตั้งของวัด มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษา Maat หรือ Maʽat (ระเบียบจักรวาลแห่งความสมดุลและความยุติธรรม) และรวมไปถึงการเข้าสู่สงครามเมื่อจำเป็น เพื่อปกป้องประเทศ หรือโจมตีผู้อื่นเมื่อเชื่อว่า สิ่งนี้จะมีส่วนช่วย Maat เช่น เพื่อการเพิ่มพูนทรัพยากร

ก่อนการรวมกันของอียิปต์ตอนบนและตอนล่าง Deshret หรือ "มงกุฎสีแดง" เป็นตัวแทนของอาณาจักรอียิปต์ตอนล่าง ในขณะที่ Hedjet ซึ่งเป็น "มงกุฎสีขาว" ถูกสวมใส่โดยกษัตริย์ของอาณาจักรแห่งอียิปต์ตอนบน หลังจากการรวมอาณาจักรทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นการรวมกันของมงกุฎทั้งสีแดงและสีขาวกลายเป็นมงกุฎของกษัตริย์อย่างเป็นทางการ เมื่อมีการเริ่มใช้ผ้าโพกศีรษะในช่วงระหว่างราชวงศ์ต่าง ๆ บางครั้งมีการพรรณนาถึงการสวมใส่เครื่องประดับศีรษะหรือมงกุฎเหล่านี้ด้วย

มัมมี่โบราณจากราชวงศ์ที่ 18 (1550 ถึง 1292 B.C.) เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีจำนวนมากในสุสานที่อยู่ในเมืองลักซอร์ อียิปต์

แน่นอนว่าหากพูดถึงอียิปต์ อีกเรื่องที่ต้องพูดถึง คือ มัมมี่ (Mummy) หรือ ศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ ที่มีการพันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพ ด้วยเชื่อว่า สักวันวิญญาณของผู้ตายจะกลับคืนร่างของตนเอง 

ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า ‘มัมมี่’ มาจากคำว่า ‘มัมมียะ’ (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย หมายถึง ร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ ชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณสุสาน เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา 

อียิปต์โบราณนั้นมีความเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตาย การที่วิญญาณหวนกลับคืนร่าง ด้วยเชื่อว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการรักษาสภาพของร่างเดิมเอาไว้ โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาขี้ผึ้งหรือบีทูมิน (ยางสีดำสูตรเฉพาะในการทำมัมมี่) ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา

ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน

สำหรับ ‘ฟาโรห์’ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ‘ฟาโรห์ตุตันคาเมน’ (Tutankhamen) ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์หนึ่งในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ มีพระชนม์อยู่ในราว 1341–1323 ปีก่อนคริสตกาล และเสวยราชย์ราวเก้าปีในช่วง 1332–1323 ปีก่อนคริสตกาลตามลำดับเวลามาตรฐาน อยู่ในช่วงที่ประวัติศาสตร์อียิปต์เรียกว่า ‘ราชอาณาจักรใหม่’ (New Kingdom) หรือ ‘จักรวรรดิใหม่’ (New Empire) นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ผลการตรวจสอบทางพันธุกรรมได้ยืนยันว่า ‘ฟาโรห์แอเคอนาเทิน’ (Akhenaten) มีความสัมพันธ์กับพี่สาวหรือน้องสาวของตน คือ ศพที่ตั้งชื่อว่า The Younger Lady จนมีโอรสด้วยกัน คือ ฟาโรห์ตุตันคาเมน 

ใน ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงกลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนทั่วโลก ทั้งทำให้สาธารณชนสนใจอียิปต์ และหน้ากากพระศพก็ได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์โบราณมาจนทุกวันนี้ ส่วนข้าวของเครื่องใช้จากสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ยังได้ถูกนำไปจัดแสดงทั่วโลก 

นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงการตายของบุคคลหลายคน นับแต่ค้นพบพระศพของพระองค์เป็นต้นมาว่าเกี่ยวข้องกับคำสาปฟาโรห์ ที่มีความเชื่อว่า สุสานฟาโรห์มีเวทมนตร์ที่ทรงพลังในตัวเอง และเชื่อว่ากษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์แล้วจะมีวิญญาณที่ทรงพลัง โดยการฝังพระศพในหมู่บรรพบุรุษ อาจจะช่วยให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรลุชีวิตหลังความตายได้ 

ถึงกระนั้น ก็ดูเหมือนว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมน จะทรงต้องการถูกฝังไว้ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามทั้งในหุบเขาหลักหรือในทุ่งนอกหุบเขาตะวันตกที่ซึ่งเสด็จปู่ของพระองค์ ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ทรงถูกฝังอยู่ แต่ไม่ว่าพระองค์จะทรงตั้งใจอะไรก็ตาม ก็เป็นที่ทราบกันว่า พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่คับแคบ ซึ่งลึกลงไปในพื้นของหุบเขาหลัก

ฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamen)

8 เรื่องที่เรา (อาจ) ไม่รู้เกี่ยวกับฟาโรห์ตุตันคาเมน

1.) พระนามเดิมไม่ใช่ ตุตันคาเมน แต่เป็น ตุตันคาเตน ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า ‘ภาพที่มีชีวิตของเอเทน’ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า พระบิดาและพระมารดาของฟาโรห์ตุตันคาเมนบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า ‘เอเทน’ หลังจากนั้นไม่กี่ปีในบัลลังก์ ฟาโรห์ตุตันคาเมน กษัตริย์หนุ่มก็ทรงเปลี่ยนศาสนาละทิ้งเอเทน และทรงเริ่มบูชาเทพเจ้าอามุน [ซึ่งเป็นที่เคารพในฐานะราชาแห่งเทพเจ้า] สิ่งนี้ทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระนามเป็น ตุตันคาเมน ซึ่งแปลว่า “รูปชีวิตของอามุน”

2.) สุสานหลวงของฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นสุสานหลวงมีขนาดเล็กที่สุดในหุบเขากษัตริย์ ฟาโรห์พระองค์แรกสร้างปิรามิดที่อลังการจนสามารถมองเห็นกลางทะเลทรายทางตอนเหนือของอียิปต์ อย่างไรก็ตามเมื่อถึงยุคอาณาจักรใหม่ (1550-1069 ปีก่อนคริสตกาล) ความนิยมเช่นนี้สิ้นสุดลง และกษัตริย์ส่วนใหญ่ทรงถูกฝังอยู่อย่างเป็นความลับในสุสานที่สร้างด้วยด้วยหินตัดเป็นก้อน ซึ่งมีการขุดอุโมงค์เข้าไปในหุบเขากษัตริย์ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ที่เมืองธีบส์ทางตอนใต้ (อันเป็นเมืองลักซอร์ในปัจจุบัน) สุสานเหล่านี้มีประตูที่ไม่สะดุดตา แต่ภายในทั้งกว้างขวางและได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี อาจเป็นไปได้ว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์เสียชีวิตตั้งแต่ยังวัยเยาว์เกินไปที่จะทำตามแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้สำเร็จ หลุมฝังพระศพของพระองค์ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นพระองค์เขาจึงต้องทรงถูกฝังไว้ในสุสานที่ไม่ใช่ของราชวงศ์แทน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากกษัตริย์พระองค์อื่นทรงสามารถสร้างสุสานที่เหมาะสมได้ในเวลาเพียงสองหรือสามปี และดูเหมือนว่า ฟาโรห์เอย์ (Ay) รัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดบัลลังก์ในฐานะผู้อาวุโสทรงได้ใช้เวลาเพียงสี่ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ฟาโรห์เอย์เองก็ทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามในหุบเขาตะวันตกใกล้กับหลุมฝังพระศพของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 หลุมฝังพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนที่มีขนาดเล็กอย่างไม่เชื่อ นำไปสู่สมมติฐานที่ว่าอาจมีบางส่วนของสุสานที่ยังไม่ถูกค้นพบ ปัจจุบันนักไอยคุปต์วิทยากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ที่อาจจะมีห้องลับซ่อนอยู่หลังกำแพงฉาบปูนของห้องฝังพระศพของพระองค์

3.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุฝังในโลงศพใช้แล้ว มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรจุอยู่ในโลงศพทองคำสามใบซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเหมือนตุ๊กตารัสเซีย ในระหว่างพิธีพระศพจะมีการวางโลงศพไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า น่าเสียดายที่โลงศพด้านนอกมีขนาดใหญ่เกินไปเล็กน้อย และส่วนนิ้วเท้าของโลงโผล่พ้นขอบโลงศพทำให้ไม่สามารถปิดฝาได้ ช่างไม้จึงถูกเรียกมาอย่างรวดเร็ว และส่วนนิ้วเท้าของโลงศพถูกตัดออกไป กระทั่งกว่า 3,000 ปีต่อมา Howard Carter จึงพบเศษชิ้นส่วนของโลงตกอยู่ที่บริเวณฐานโลงศพ

4.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงโปรดการล่านกกระจอกเทศ มีการค้นพบพัดขนนกกระจอกเทศของฟาโรห์ตุตันคาเมนอยู่ในห้องฝังพระศพใกล้ๆ กับพระศพของฟาโรห์ เดิมพัดประกอบด้วยด้ามจับสีทองยาวที่มี 'ที่จับรูปฝ่ามือ' ทรงครึ่งวงกลมรองรับขนนกสีน้ำตาลและสีขาวสลับกัน 42 อัน ขนเหล่านี้ร่วงโรยไปนานแล้ว แต่เรื่องราวของพวกมันถูกเก็บรักษาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบนด้ามจับของพัด สิ่งนี้บอกว่า ขนมาจากนกกระจอกเทศที่ฟาโรห์ทรงล่าเองในระหว่างการล่าสัตว์ในทะเลทรายทางตะวันออกของเฮลิโอโปลิส (ใกล้กับไคโรในปัจจุบัน) ฉากนูนบนที่จับรูปฝ่ามือแสดงให้เห็นใบหน้าของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงออกเดินทางบนราชรถเทียมม้าเพื่อล่านกกระจอกเทศ และในทางกลับกันฟาโรห์เสด็จนิวัติอย่างมีชัยพร้อมกับเหยื่อของพระองค์

5.) อวัยวะส่วนหัวใจของฟาโรห์ตุตันคาเมนขาดหายไป ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าสามารถมีชีวิตได้อีกครั้งหลังความตาย แต่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพเหมือนจริง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาพัฒนาศาสตร์แห่งการทำมัมมี่ขึ้น โดยพื้นฐานแล้วการทำมัมมี่เกี่ยวข้องกับการผึ่งศพให้แห้งในเกลือเนตรอนจากนั้นพันด้วยผ้าพันแผลหลาย ๆ ชั้นเพื่อรักษารูปร่างให้เหมือนจริง อวัยวะภายในร่างกายถูกนำออกเมื่อเริ่มกระบวนการทำมัมมี่ และเก็บรักษาแยกกัน สมองซึ่งเป็นส่วนที่ไม่รู้จักในเวลานั้นว่าทำหน้าที่อะไรถูกทิ้งไป หัวใจในยุคนั้นถูกมองว่า เป็นอวัยวะแห่งการให้เหตุผลแทนที่จะเป็นสมอง ด้วยเหตุนี้หัวใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงถูกเก็บไว้ หรือถ้าเอาออกโดยไม่ได้ตั้งใจก็จะเย็บกลับทันที แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมก็ตาม มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนไม่มีหัวใจ เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะ ความประมาทของผู้ทำมัมมี่ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์จากพระราชวัง เมื่อพระศพของพระองค์มาถึงห้องปฏิบัติการในการทำมัมมี่หัวใจของพระองค์อาจจะเน่าสลายจนเกินกว่าจะรักษาไว้ได้

6.) สมบัติชิ้นที่ทรงโปรดของฟาโรห์ตุตันคาเมนคือ กริชเหล็ก Howard Carter ค้นพบกริชสองเล่มที่ห่ออย่างระมัดระวังในผ้าพันแผลมัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน กริชเล่มหนึ่งมีใบมีดสีทอง ส่วนอีกเล่มมีใบมีดที่ทำจากเหล็ก กริชแต่ละเล่มมีปลอกทอง กริชเหล็กทั้งสองมีค่ามากเพราะในช่วงชีวิตของฟาโรห์ตุตันคาเมน (ครองราชย์ตั้งแต่ 1336-1327 ปีก่อนคริสตกาล) เหล็กหรือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ตามที่ทราบกันดีว่าเป็นโลหะหายากและมีค่า ตามชื่อของมันคือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ของอียิปต์นั้นได้มาจากอุกกาบาตเกือบทั้งหมด

7.) เสียงแตรของพระองค์สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมมากกว่า 150 ล้านคน สมบัติจากหลุมพระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนมี เครื่องดนตรีชิ้นเล็ก ๆ ได้แก่ แคลปเปอร์ (Clappers) งาช้าง 1 คู่ ซิสตร้า (Sistra) 2 ตัว (เครื่องเขย่าแล้วเกิดเสียง) และทรัมเป็ตอีก 2 อัน อันหนึ่งทำจากเงินพร้อมปากเป่าสีทอง และอีกอันหนึ่งทำด้วยทองสัมฤทธิ์หุ้มด้วยทองคำบางส่วน และดูเหมือนว่า ดนตรีจะไม่ได้อยู่ในลำดับความสำคัญของชีวิตหลังความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมนมากนัก ในความเป็นจริงแตรของพระองค์ควรได้รับการจัดประเภทให้เป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารจะเหมาะกว่า วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2482 แตรทั้งสองได้ถูกเล่นในรายการวิทยุถ่ายทอดสดของ BBC จากพิพิธภัณฑ์ไคโร ซึ่งมีผู้ฟังประมาณ 150 ล้านคน Bandsman James Tappern ใช้กระบอกเป่าแบบปัจจุบันที่ทันสมัย ซึ่งทำให้กับทรัมเป็ตตัวสีเงินเสียงหาย ในปี พ.ศ. 2484 มีการเล่นทรัมเป็ตสำริดอีกครั้ง และคราวนี้ไม่มีกระบอกเป่าแบบปัจจุบัน ที่ทันสมัยแล้ว บางตำนานใน “คำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน” อ้างว่า ทรัมเป็ตมีพลังอำนาจในการทำให้เกิดสงคราม การออกอากาศในปี พ.ศ. 2482 จึงทำให้อังกฤษต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง

8.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุในโลงศพที่แพงที่สุดในโลก สองในสามโลงศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทำด้วยไม้ปิดด้วยแผ่นทอง แต่เป็นที่ประหลาดใจอย่างยิ่งของ Howard Carter ซึ่งพบว่า โลงศพด้านในสุดทำจากแผ่นทองหนา ๆ โลงศพนี้มีความยาว 1.88 เมตร และหนัก 110.4 กิโลกรัม ราคาในวันนี้จะมากกว่า 1 ล้านปอนด์ 

มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณเดินผ่านกลางกรุงไคโร

ปรากฎการณ์มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณที่เดินผ่านกลางกรุงไคโรนั้น ทางฟาโรห์ทั้งแปดและราชินีทั้งสี่จะถูกเชิญขึ้นยานพาหนะที่สั่งทำพิเศษ ซึ่งติดตั้งด้วยโช้คอัพพิเศษ โดยมีชาวอียิปต์ร่วมเป็นสักขีพยานในขบวนแห่ของผู้ปกครองอันเก่าแก่ผ่านกรุงไคโรนครหลวงของอียิปต์ 

มัมมี่ 22 ตัว เป็นของฟาโรห์ 18 พระองค์และราชินี 4 พระองค์ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ถูกเคลื่อนย้ายจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ไปยังสถานที่ตั้งแสดงแห่งใหม่ที่อยู่ห่างออกไปราว 5 กม. (สามไมล์) ด้วยการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสมกับเป็นราชวงศ์ และสถานะที่เป็นสมบัติของชาติ ซึ่งมัมมี่ทั้งหมดจะถูกย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งอารยธรรมอียิปต์ของชาติที่ใหม่ ด้วยขบวนพาเหรดทองคำของฟาโรห์ และมัมมี่แต่ละตัวจะถูกเชิญขึ้นรถที่ได้รับการตกแต่งซึ่งติดตั้งโช้คอัพพิเศษ รวมถึงรถศึกที่ลากด้วยม้าจำลอง 

แต่เดิมบรรดามัมมี่จะถูกตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์อียิปต์อันเป็นสัญลักษณ์ และมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมมากมายในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลอียิปต์หวังว่า พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ (Royal Hall of Mummies) ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศ โดยห้องโถงได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับภาพจำลองเสมือนจริงของหุบเขากษัตริย์ในเมืองลักซอร์ และพิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian แห่งใหม่ โดยเป็นที่เก็บของสะสมของฟาโรห์ตุตันคาเมนที่มีชื่อเสียง เปิดให้บริการใกล้ๆ กับมหาปิรามิดแห่งกิซ่า จนกระทั่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอียิปต์ได้รับความเสียหายจากความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

'คำสาปของฟาโรห์' (Pharaoh's curse) เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว

คำสาปของฟาโรห์

แม้ว่า ขบวนพาเหรดของฟาโรห์ผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณผ่านกลางกรุงไคโร จะถูกมองว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสนุกสนาน แต่มัมมี่ของอียิปต์มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางและลางสังหรณ์ในอดีต ในห้วงเวลานั้นอียิปต์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติหลาย ๆ อย่าง เช่น อุบัติเหตุรถไฟชนกันมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนในเมือง Sohag อียิปต์ตอนบน ขณะที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 คนเมื่ออาคารในกรุงไคโรถล่มลงมา จากนั้นเมื่อมีการเตรียมการเพื่อขนย้ายมัมมี่อย่างเต็มที่ คลองสุเอซก็ถูกเรือบรรทุกสินค้า MS Ever Given เกยฝั่งขวางกั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ 

จริยธรรมในการแสดงมัมมี่ของอียิปต์โบราณ จึงกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยนักวิชาการมุสลิมหลายคนเชื่อว่า คนตายควรได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและด้วยความเคารพ และไม่จัดแสดงเป็นสิ่งสนใจ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2523 อดีตประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต ได้สั่งปิดห้องมัมมี่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ โดยอ้างว่าห้องนี้ทำให้ผู้ตายเสื่อมเสีย เขาต้องการให้มัมมี่ถูกฝังใหม่แทน แม้ว่าจะไม่สมปรารถนาก็ตาม

ทุกวันนี้จำนวนประเทศที่ผ่านกฎหมายให้ อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายนั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะทางรัฐของประเทศที่เห็นชอบมองว่า การตรวจตราธุรกิจที่ดำเนินอย่างเปิดเผย ย่อมง่ายกว่าธุรกิจหลบซ่อน

ช่วงนี้กระแสความสนใจในการหาช่องทางด้านอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในต่างแดน มีความแพร่หลายอย่างมาก ในเพจเฟซบุ๊ก ‘โยกย้าย มาโยกย้ายส่ายสะโพก’ เป็นเพจหนึ่งที่ได้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ ขึ้นมานับร้อยอาชีพ เพื่อสนองต่อผู้ที่อพยพย้ายถิ่นฐานได้สำเร็จแล้วนั้น 

แน่นอนว่าในสาระสำคัญของอาชีพที่เชื่อหลายคนคงคุ้นเคยกันดี ก็จะมีตั้งแต่ พยาบาล, โปรแกรมเมอร์, แอร์โฮสเตส, หมอนวด, ครู, งานครัว, งานบนเรือสำราญ ฯลฯ 

แต่ที่น่าสนใจ คือ มีกลุ่มอาชีพที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึงปรากฎขึ้นมาจากข้อมูลในเพจดังกล่าวให้สืบค้นต่อ!! ซึ่งมีอะไรบ้าง เด่วจะไล่กันแบบจากเบาไปหาหนัก 

อาชีพที่ว่าได้แก่...
1.) นักสปารองเท้าและกระเป๋า
2.) คนทำความสะอาดสุสาน 
และ ๆ ๆ
3.) อาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมาย 
เกิดแรงสะดุด จนนิ้วไม่กล้าคลิกข้ามอาชีพ ‘โสเภณี’ เพราะมันเตะลูกกะตายิ่งนัก!!

และก็เชื่ออย่างแรงว่าผู้คนที่เข้าไปแวะเวียนในเพจดังกล่าว ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะมีการโพสต์สอบถามเกี่ยวกับอาชีพโสเภณีมากมาย มีผู้กด Like กว่า 3 หมื่น และมีการคอมเมนต์ สอบถาม และพูดคุยกันกว่า 5 พันคอมเมนต์ในช่วงเวลาเพียง 2 วัน 

ที่น่าสนใจมากๆ คือ มีข้อมูลยืนยันจากผู้ใช้กฎหมายในประเทศนั้นๆ หรือจากผู้ที่อยู่อาศัยในประเทศนั้นเป็นเวลานาน มาแถลงไขจนใครที่เข้าไปอ่าน สามารถเข้าใจลักษณะการค้ากามารมณ์แบบครบถ้วน ตั้งแต่ขั้นตอนการขอใบประกอบอาชีพโสเภณีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อได้ใบอนุญาตแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ 

ณ ที่นี้ ขอยกตัวอย่างหนึ่งจากโสเภณีต่างชาติที่เข้าไปทำงานกันเล็กน้อย ซึ่งตัวอย่างนี้มาจากสิงคโปร์ โดยเผยว่าถ้าจะทำงานที่นั่นต้อง…

- มีการเซ็นสัญญาการทำงาน ระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี
- ระหว่างนั้นห้ามแต่งงานกับคนสิงคโปร์
- หลังหมดสัญญาแล้วจะไม่สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้อีก
- สัญญาจะระบุเวลาการทำงาน มีทั้งเริ่มแต่เช้า 10.00 น. หรือ เที่ยง หรือบ่าย หรือเย็น
- วันหยุดคือวันที่มีประจำเดือน โดยจะได้หยุด 3 วัน
- สถานที่ทำงานนั้นเรียกว่า ‘บ้าน’
- โสเภณีประจำบ้าน จะออกจากบ้านได้หลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น และต้องแจ้งเวลากลับบ้านให้ชัดเจน
- ต้องตรวจสุขภาพตามกำหนด
- ค่าอาหารต้องออกเอง/บางบ้านอุปกรณ์ทำงานก็ต้องออกเอง
- ค่าแรงในการทำงาน อยู่ที่ 20-25 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 580 บาท) ต่องานไม่เกิน 30 นาที
- ไม่เน้นคุณภาพการให้บริการ เมื่อหมดเวลาแล้วพร้อมรับแขกต่อไป

โอ้โห!! ฟังละอึ้ง

นอกจากสิงคโปร์แล้ว ยังมีผู้ให้ข้อมูลการประกอบอาชีพโสเภณีในเยอรมนี ซึ่งเป็นอีกพิกัดมีชื่อเรื่องธุรกิจกามารมณ์ที่ถูกกฎหมายมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในช่วงท้ายของทศวรรษ 60s นั้น มาจนถึงปัจจุบัน เยอรมนีมีซ่องขนาดใหญ่ลือเลื่องรู้กันดีทั่วโลก 

โดยมีคนไทยที่ทำอาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมายในเยอรมนีได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ตัวเธอเรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโท จากเมืองไทย และตั้งใจจะมาเรียนปริญญาเอกในยุโรป แต่ชีวิตผิดแผน กลายมาเป็นโสเภณีอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาต ได้รับการดูแลจากรัฐ เช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ อย่างช่วงโควิด-19 ก็ได้รับเงินช่วยเหลือเกือบ 1 ล้านบาท 

ยิ่งไปกว่านั้นรายได้จากการประกอบอาชีพของเธอ สามารถส่งเสียครอบครัวในเมืองไทยได้อย่างสบาย เวลาติดต่อราชการไม่เจอสายตาเหยียด หรือกริยาดูถูก 

พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกคัน (คันไม้คันมืออยากค้นหาข้อมูลนะ) จนไปไล่ดูว่า...ทุกวันนี้จำนวนประเทศที่ผ่านกฎหมายให้ อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายนั้นมีมากน้อยแค่ไหน

ปรากฎว่ามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะทางรัฐของประเทศที่เห็นชอบมองว่า การตรวจตราธุรกิจที่ดำเนินอย่างเปิดเผย ย่อมง่ายกว่าธุรกิจหลบซ่อน ในบางประเทศเห็นว่า การค้าประเวณีอย่างถูกต้องช่วยลดอาชญากรรมทางเพศ และลดความรุนแรงในครอบครัว หรือด้วยหลักการอื่น ๆ

เอาเป็นว่ามาลองไล่เรียง เป็นความรู้กัน!! ว่า ‘อาชีพโสเภณี’ ในโลกกว้างนี้ มีมิติเช่นไรกันบ้าง?

สำหรับประเทศในยุโรป ที่อาชีพโสเภณีที่ได้รับการจดทะเบียน เป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมายและมีการตรวจตราอย่างเป็นระบบ ได้แก่ เยอรมนี, สวิสเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, กรีซ, ตุรกี, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็กฯ, เนเธอร์แลนด์, ฮังการี, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกส และ ลัตเวีย

ส่วนในแถบสแกนดิเนเวียและใกล้เคียง ได้แก่ ฟินแลนด์, เอสโตเนีย, สโลเวเนีย, โปแลนด์ และยังมีประเทศอื่น ๆ ที่อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการตรวจตราควบคุม 

ข้ามมาฟากแถบทวีปอเมริกา ในอาร์เจนตินา อาชีพโสเภณี ก็เป็นอาชีพถูกกฎหมาย แต่ไม่อนุญาตให้หาประโยชน์จากโสเภณี จึงไม่อนุญาตให้มีพ่อเล้า แม่เล้า และห้ามค้าประเวณีในเขต 500 เมตรที่มีโรงเรียนตั้งอยู่ 

ในออสเตรีย อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแต่มีการตรวจตราดูแลอย่างรัดกุม 3 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับชุมชน

โสเภณีในบังคลาเทศ ค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย แต่สังคมยังตราหน้าว่าเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ ทำให้โสเภณีถูกมองว่าเป็นอาชญากร

ในประเทศโบลิเวีย ผู้ที่อายุเกิน 18 ปี สามารถค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงสามารถพบเห็นผู้ยึดอาชีพโสเภณีได้ทั่วไป แต่ไม่มีกฎหมายที่จะให้ความคุ้มครองหรือดูแล ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งทั้งด้านสุขภาพ และความปลอดภัยต่อชีวิตของโสเภณี ทั้งกามโรคต่าง ๆ และการค้ามนุษย์ การบังคับให้ผู้อายุต่ำกว่าเกณฑ์ร่วมเพศกับลูกค้า

สาธารณรัฐโดมินิกัน ให้อาชีพโสเภณีเป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมาย และได้ทำให้โดมิกันเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของการท่องเที่ยวเพื่อเซ็กซ์

ส่วนในเอกวาดอร์ นอกจากอาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังไม่ห้ามการหาประโยชน์จากโสเภณี เช่น การตั้งช่อง หรือสถานที่ให้บริการทางเพศ หรือการเป็นพ่อเล้า หรือแม่เล้า หรือนายหน้า แถมเอกวาดอร์ ยังดึงดูดโสเภณีจากโคลอมเบีย ให้มาหากินในเอกวาดอร์ เพราะค่าตอบแทนเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างจากเงินเปโซของโคลอมเบียที่ไม่เสถียร ซึ่งมีการสำรวจคร่าว ๆ ในเอกวาดอร์พบว่า มีโสเภณีจำนวนไม่น้อยกว่า 35,000 คนกันเลยทีเดียว

ในเอลซัลวาดอร์ กฎหมายระดับชาติ ไม่มีบทลงโทษผู้ค้าประเวณี แต่กฎหมายในระดับเทศบาลสามารถเอาผิดในคดีค้าประเวณีได้ ดังนั้นกลุ่มลูกค้า จึงได้พัฒนาเขตเฉพาะขึ้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อโสเภณีและการดำเนินกิจกรรมค้าประเวณี 

เอธิโอเปีย อนุญาตให้ผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี ประกอบอาชีพโสเภณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงพบเห็นโสเภณีได้ทั่วไป แต่กฎหมายยังจำกัดการหาผลประโยชน์จากโสเภณี และอาชีพแมงดาให้เป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่

การค้าประเวณีและการซื้อขายเซ็กซ์ในฟินแลนด์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากผู้ซื้อได้ตกลงซื้อบริการทางเพศ จากผู้ขายที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ ผู้ซื้อจะมีความผิดโดยบทลงโทษนั้น มีทั้งโทษปรับและจำ

การค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายสำหรับผู้มีอายุเกิน 18 ปี ในอิสราเอล แต่มีบทลงโทษจำคุก 3 ปี ต่อผู้ซื้อเซ็กซ์จากผู้เยาว์ และอาชีพ ‘แมงดา’ จะถูกจำคุก 5 ปี 

ส่วนในญี่ปุ่น กฎหมายระบุว่า การซื้อขายเซ็กซ์นั้นผิดกฎหมาย โดยมีการระบุนิยามความหมายเพิ่มเติมความผิดภายใต้คำว่า ‘กิจกรรมทางเพศ’ ไว้ ซึ่งหมายถึงว่าการร่วมเพศกับอวัยวะเพศหญิงเท่านั้นที่ผิด ฉะนั้นกิจกรรมทางเพศ ที่ไม่ได้กระทำต่ออวัยวะเพศหญิง จึงถือว่าไม่ผิดกฎหมาย (อ่า)

ในมอลตา ประเทศเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน การประกอบอาชีพโสเภณีด้วยความสมัครใจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่การกระทำใด ที่เป็นการล่อหลอก หว่านล้อม หรือบังคับ ให้ผู้อื่นประกอบอาชีพโสเภณีนั้นผิดกฎหมาย และการหาประโยชน์จากโสเภณีมีบทลงโทษ

เม็กซิโก ประกอบด้วยรัฐ 32 รัฐ และมีกฎหมายกลางที่ใช้กับทุกรัฐ ระบุกว่า ห้ามจัดตั้งซ่อง แหล่งค้าประเวณี หรือเป็นพ่อเล้า แม่เล้า ผู้ประกอบอาชีพโสเภณี ต้องจดทะเบียนและพกบัตรตรวจโรคติดตัวไว้ตลอดเวลา การซื้อขายเซ็กซ์ไม่ผิดกฎหมาย แต่อนุญาตให้แต่ละท้องถิ่น ออกกฎหมายบังคับใช้เพิ่มเติมได้ ดังนั้นกฎหมายว่าด้วยโสเภณีและการค้าประเวณีของเม็กซิโก จึงไม่มีลักษณะปูพรมผืนเดียวทั้งประเทศ มีความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคและเมือง

กฎหมายว่าด้วยการค้าประเวณีของนอร์เวย์ มีความแตกต่างและน่าสนใจ คือ กฎหมายอนุญาตให้คนสัญชาตินอร์เวย์ขายบริการทางเพศได้ แต่ห้ามไม่ให้ผู้มีสัญชาตินอร์เวย์ หรือผู้ที่พำนักในนอร์เวย์ ซื้อบริการทางเพศ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ การซื้อบริการทางเพศมีโทษทั้งปรับ และจำคุกนาน 1 ปี ในสวีเดนก็ไม่ต่างกันคือ ชาวสวีเดนสามารถค้าประเวณีได้ แต่ห้ามเป็นผู้ซื้อ

ในเซเนกัล เกณฑ์อายุที่จะยึดอาชีพโสเภณีได้คือ 21 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุในการประกอบอาชีพที่สูงกว่าประเทศอื่น และมีการตรวจตราอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการตรวจโรคและการไม่ถูกหลอกลวง หรือตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มค้าประเวณี หรือพ่อเล้า แม่เล้า

ส่วนในสิงคโปร์นั้น แม้อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่มีกฎหมายผูกพันมากมาย เช่น ห้ามหาลูกค้าในสถานที่สาธารณะ ห้ามหาประโยชน์จากโสเภณี ห้ามเป็นเจ้าของซ่อง ห้ามโฆษณาหรือประกาศขายเซ็กซ์ รวมทั้งทางอินเตอร์เน็ต 

จะเห็นได้ว่า ในประเทศที่อนุญาตให้อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมาย มักจะเน้นว่า ห้ามหาผลประโยชน์จากโสเภณี 

แต่ในความเป็นจริง ก็เชื่อว่าการหากินบนหลังโสเภณีนั้นมีอยู่ จึงต้องมีกฎหมายคุ้มครอง ‘ในทางปฎิบัติ’ เพราะอาชีพนี้ มันยากมากที่จะปลอดจาก แมงดา พ่อเล่า หรือแม่เล้า  

อย่างไรก็ตาม โสเภณี ก็เป็นอาชีพอย่างอิสระอย่างหนึ่ง และก็ควรจะได้รับสิทธิในการคุ้มครองที่ดี การปฏิบัติตน การให้เกียรติจากสังคม เพื่อไม่ให้โสเภณีเหล่านั้น หลุดเข้าไปสู่วัฏจักรอันเลวร้าย วนเวียนสู่วงจรของอาชญากรรมจัดตั้ง

ที่นำมาเล่านี้ เป็นประสบการณ์ของอาชีพหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เป็นการส่อแววอนาจารหรือสนับสนุนใด ๆ เพียงแต่เป็นการตีแผ่เรื่องจริง ที่ได้แรงหนุนจากบรรดาคอมเมนต์ ‘เพจโยกย้ายฯ’ ก็มีคอนเทนต์มากมายทั้งชุดคำพูดสนุกสนาน ขบขัน หรือข้อมูลความรู้ทั่วไปแบบเล่าสู่กันฟัง 

แต่อย่างไรเสีย บทสรุปของอาชีพนี้ ที่ทิศทางคำถามได้ในแนวเดียวกัน คือ “ทำไมถึงอยากเป็นโสเภณี?” 

คำตอบแบบชัด ๆ อาจระบุไม่ได้ แต่หากให้คลี่คลายอย่างผิวเผินและไม่เป็นทางการนั้น มีความจริงเพียงแค่หนึ่งเดียว...

“เพราะค่าตอบแทนคุ้มค่าแรงไง”

“แค่นั้นจริงๆ”


เขียนโดย: แพท แสงธรรม นักวิชาการอิสระ ด้าน Communication facilitator และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ระยะเวลามากกว่า 23 ปี
 

ใครที่ชอบการออกกำลังกายที่ใช้แรงกำลังช่วงขามาก ๆ อาจจะต้องพึงระวังถึงการบาดเจ็บของ “เอ็นหัวเข่า” เพราะการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกเช่นการกระโดดหรือการวิ่ง หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้ให้สำคัญตรงบริเวณหัวเข่าอาจทำให้เกิด “เอ็นหัวเข่าอักเสบ” ขึ้นได้

คนที่มีปัญหาน้ำหนักเกินส่วนใหญ่​มักเผชิญกับปัญหา​การเจ็บเข่าแบบเป็น ๆ​ หาย ๆ​ ยิ่งพยายามออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก​กลับยิ่งทำให้เจ็บเข่ามากยิ่งขึ้น​ เป็นปัญหา​วนไปวนมา​ไม่จบสิ้น​ จนมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า​ เอ๊ะ! หรือฉันกำลังเป็นโรค ​"เข่าเสื่อม" ??

การมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน​เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ​ ของโรคข้อเข่าเสื่อม​ แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น​ โรคที่เกี่ยวกับหัวเข่ายอดฮิตที่พบได้มากในกลุ่มวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน​ คือ​ "เอ็นหัวเข่าอักเสบ"

“เอ็นหัวเข่าอักเสบ”​ มักเกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย​ โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก เช่น การกระโดด และ การวิ่ง แม้แต่การออกกำลังกายที่มีการขยับ​ไปมาของข้อเข่ามาก ๆ​ เช่น การปั่นจักรยาน​ ก็ยังพบอาการเอ็นหัวเข่าอักเสบได้​เช่น​กัน นอกจากนี้อุบัติเหตุพลัดตก หกล้ม หรือเดินขาพลิกผิดจังหวะต่าง ๆ ก็นำมาซึ่งปัญหาเอ็นหัวเข่าอักเสบได้

เอ็นกล้ามเนื้อหัวเข่า (tendon) ที่มักเกิดการอักเสบ ได้แก่ ส่วนปลายของกล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings: Biceps femoris, Semimembranosus, Semitendinosus)​ ส่วนปลายของกล้ามเนื้อนี้จะไปเกาะกับส่วนหนึ่งของกระดูกบริเวณหัวเข่า (tibia & fibula) ​จึงเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย​ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อเข่าที่มากเกินไป​หรือมีแรงกระแทกซ้ำ ๆ​ การบาดเจ็บของเอ็นหัวเข่านี้จึงมักเกิดขึ้นแบบ​ค่อยเป็นค่อยไปสะสมจนมีการปวดเรื้อรัง

เอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) มีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อและกระดูก ช่วยในการออกแรง​เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของข้อเข่า

นอกจากนี้หากมีแรงกระแทกมาก ๆ ร่วมกับการบิดหมุนของข้อเข่า เช่น อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา ​อาจจะทำให้เอ็นกระดูก (Ligament) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างกระดูกหัวเข่าแต่ละชิ้น ได้รับ​บาดเจ็บ​ ซึ่งการบาดเจ็บลักษณะนี้มักเกิดขึ้นแบบฉับพลัน​ทันที​

เอ็นกระดูก (Ligament) เป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างกระดูกแต่ละชิ้น มีความแข็งแรงมาก มีหน้าที่เพิ่มความมั่นคงและแข็งแรงของข้อเข่า

อาการของเอ็นเข่าอักเสบ
>> เจ็บด้านหน้าหรือด้านหลังเข่าบริเวณข้อพับ บางคนเจ็บเข่าด้านในหรือด้านนอก ขณะยืน เดิน ขึ้น ลงบันไดหรือพื้นลาดชัน บางคนเจ็บมากตอนเริ่มต้นเหยียดขาลุกขึ้นยืน
>> อาการอักเสบ บางครั้งอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือมีอาการแดงที่บริเวณที่ปวดร่วมด้วย
>> มีอาการบวมของถุงน้ำรอบ ๆ ข้อเข่าร่วมด้วยได้ในบางกรณี
>> อาการเอ็นอักเสบส่วนใหญ่มักดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน ด้วยการพักและดูแลรักษาตนเอง แต่หากพบว่ายังคงมีอาการรุนแรงต่อเนื่อง กระทบต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันเป็นเวลานานกว่านั้น อาจมีภาวะเอ็นกล้ามเนื้อฉีกขาด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา
>> หากมีการบาดเจ็บที่เอ็นกระดูกหรือเอ็นกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ​ เรื้อรัง​โดยไม่ได้รับการรักษา​ที่ถูกต้อง​ อาจนำไปสู่ปัญหาข้อเข่า​เสื่อมได้เร็วขึ้น

การรักษาเส้นเอ็นเข่าอักเสบ
>> หยุดพักกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวข้อเข่าจนกว่าอาการอักเสบจะดีขึ้น
>> ประคบด้วยความเย็นนาน 20 นาทีเพื่อช่วยลดปวดและลดอักเสบ
>> การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีบำบัดรักษาโดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดและการออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเอ็นข้อเข่าที่อักเสบ รวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ รวมทั้งการตรวจประเมิน​การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ​ เช่น​ การทรงตัวของขา เป็นต้น
>> เมื่ออาการปวดและบวมลดลงแล้ว สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติและหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักในช่วงแรก

ท่ากายบริหารที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพก ​และเอ็นรอบหัวเข่า​จะช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บของ​เอ็นรอบหัวเข่าได้ ดังนี้

1.) Squat ยืนกางขา​กว้างเท่าระดับไหล่ หลังตรง​ เกร็งหน้าท้องเล็กน้อย งอเข่า​พร้อมแอ่นก้นไปทางด้านหลัง​ ระวังอย่าให้ระดับหัวเข่าเลยปลายเท้า​ แล้วยืดตัวขึ้นตามเดิม ทำ​วันละประมาณ​ 10-15​ ครั้ง​ วันละ​ 3​ รอบ​

2.)​ Lunge ยืนตรง​ ก้าวขาไปด้านหน้า​ 1​ ก้าว ย่อเข่าทั้ง​ 2​ ข้าง​ เป็นมุมฉาก ทรงตัวให้น้ำหนักอยู่ตรงกลาง แล้วยืดตัวขึ้นตามเดิม​ ทำสลับขาทั้ง​ 2​ ข้าง ทำข้างละประมาณ​ 10-15​ ครั้งต่อรอบ​ วันละ​ 3​ รอบ

3.)​ Clam shell นอนตะแคง​ สวมยางยืดแบบวงไว้ระหว่างหัวเข่าทั้ง​ 2​ ข้าง ออกแรงกางหัวเข่า​แบบเปิดสะโพกออกสู้กับแรงตึงของยางยืด จากนั้นผ่อนแรงกลับสู่ท่าปกติ ทำสลับขาทั้ง​ 2​ ข้าง ทำข้างละประมาณ​ 10-15​ ครั้งต่อรอบ​ วันละ​ 3​ รอบ

นอกจากนี้การฝึกฝนความคล่องแคล่ว​และการทรงตัวก็จะมีส่วนช่วยให้เอ็นหัวเข่ามีความแข็งแรงและบาดเจ็บได้ยากขึ้น​เช่น​กัน​ แต่การฝึกดังกล่าวควรทำเมื่อไม่มีอาการบาดเจ็บแล้วเท่านั้น​ เช่น​ การเดินสไลด์ไปทางด้านข้าง​ การวิ่งเหยาะ ๆ​ ไปด้านหน้าและหลัง​ การยืนทรงตัวด้วยขาข้างเดียว​ เป็นต้น

.

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


เอกสารอ้างอิง
https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/quadriceps-tendon-tear/
http://physio4richmond.co.uk/news/hamstring-tendinopathy-in-runners/
https://www.physio-pedia.com/File:Quadriceps_muscle.jpg
https://www.impactphysicaltherapy.com/4-tips-to-prevent-an-anterior-cruciate-ligament-acl-injury/
https://cbphysicaltherapy.com/how-to-perform-a-perfect-squat/
https://www.123rf.com/photo_124593050_woman-making-lunges-doing-sport-exercises-in-gym-leg-workout-muscle-building-healthy-and-active-life.html?vti=o1wiboi1ylu3gw7v4z-1-1
https://www.fitwirr.com/exercise/mini-band-clamshell-exercise/

ในปัจจุบันที่โลกมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ส่วนประกอบสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดัน ชิ้นส่วนต่าง ๆ ต้องมีการค้นพบและวิจัยอย่างมาก อย่าง “สินแร่โลหะ (Rare Earth)” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีต่าง ๆ ประเทศไทยยังเป็นประเทศสำคัญในการผลิตอีกด้วย

การผลิตสินแร่โลหะหายากเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 240,000 เมตริกตัน (MT) ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 220,000 MT ในปี ค.ศ. 2019 และ 190,000 MT ในปี ค.ศ. 2018

องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบัน “สินแร่โลหะหายาก” จึงกลายเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กันทางเศรษฐกิจ ในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ “สินแร่โลหะหายาก” (Rare Earth) ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่ เส้นใยแก้วนำแสง และแม่เหล็ก ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนอยู่อย่างมากมายในระดับเปลือกของโลก แต่ด้วยคุณสมบัติทางธรณีเคมี ทำให้สินแร่โลหะหายากนั้นอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และไม่เข้มข้นพอที่จะสกัดออกมาได้ในราคาถูก

กระบวนการที่สกัดสินแร่โลหะหายากออกจากหินนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะธาตุต่าง ๆ ในก้อนหินนั้นมีประจุไฟฟ้าเดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งในการสกัดและทำบริสุทธิ์สินแร่โลหะหายากนั้น ต้องใช้ขั้นตอนต่าง ๆ หลายพันขั้นตอน ในตารางธาตุของวิชาเคมีจะเห็นชื่อของสินแร่โลหะหายากปรากฏในอนุกรมแลนทาไนด์ (Lanthanide Series) จำนวน 15 ธาตุ ได้แก่ 
แลนทานัม (Lanthanhanum) 
ซีเรียม (Cerium) 
พราซีโอดิเมียม (Praseodymium) 
นีโอไดเมียม (Neodymium) 
โปรเมเธียม (Promethium) 
ซามาเรียม (Samarium) 
ยูโรเปียม (Europium) 
กาโดลิเนียม (Gadolinium) 
เทอร์เบียม (Terbium) 
ดิสโพรเซียม (Dysprosium) 
โฮลเมียม (Holmium) 
เออร์เบียม (Erbium) 
ธูเลียม (Thulium) 
อิทเทอร์เบียม (Ytterbium) 
ลูเทเทียม (Lutetium) 

และยังมีอีก 2 ธาตุ คือ สแกนเดียม (Scandium) และอิทเทรียม (Yttrium) ซึ่งไม่ได้อยู่ในอนุกรมนี้ แต่จัดเป็นสินแร่โลหะหายากเช่นกัน เพราะมักพบในองค์ประกอบแร่เดียวกับที่พบในธาตุแลนทาไนด์ และแสดงคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน

สินแร่โลหะหายากนั้นเป็นโลหะจึงมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง เช่น ทนความร้อนสูงจัดได้เยี่ยม มีคุณสมบัติแม่เหล็กแรงสูง นำไฟฟ้าได้ดี และเป็นมันเงา ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นธาตุหลักที่ใช้ผลิตสารประกอบเพื่อผลิตวัสดุในชีวิตประจำวัน เช่น หลอดแอลอีดี (LED) เส้นใยแก้วนำแสง หลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวเร่งปฏิกิริยา สารประกอบเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ

สำหรับสินแร่โลหะหายากที่ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำ ได้แก่ แลนทานัม ซีเรียม นีโอดีเมียม ซามาเรียม ยูโรเปียม เทอร์เบียม และดิสโพรเซียม และความต้องการสินแร่โลหะหายากนี้ก็เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้อุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาสินแร่โลหะหายาก โดยข้อมูลจากอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกลนานาชาติ เผยว่า เมื่อปี ค.ศ. 1998 มีการใช้โทรศัพท์มือถือที่ต้องอาศัยแบตเตอรีที่ใช้สินแร่โลหะหายากเพียง 5.3% ของจำนวนประชากรทั้งโลก แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2017 ปริมาณโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็น 103.4% ด้วยประชากรส่วนหนึ่งมีโทรศัพท์มากกว่าคนละ 1 เครื่อง

จากการประเมินของ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (United States Geological Survey) ในปี ค.ศ. 2018 ทั่วโลกมีสินแร่โลหะหายากประมาณ 120 ล้านตัน ในจำนวนนั้นเป็นของจีน 44 ล้านตัน บราซิล 22 ล้านตัน และรัสเซีย 18 ล้านตัน

การผลิตแร่หายากยังต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในปริมาณมหาศาล และการเร่งขุดแร่หายาก เพื่อตอบสนองความต้องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้น ยังส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงมลพิษทางน้ำด้วย
ความต้องการโลหะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญมากขึ้นทั่วโลก สินแร่โลหะหายากอย่างนีโอไดเมียม (อยู่ในประเภทมีโครงสร้างสารประกอบเป็นธาตุที่หายาก เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า แร่แลนทาไนด์ ซึ่งแร่โลหะชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทาน และมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กชนิดถาวรในตัวเอง เมื่อนำมาผ่านกระบวนการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรงให้กลายเป็นแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียมขนาดต่าง ๆ สามารถนำไปใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องยนต์กลไก สำหรับอุตสาหกรรม หรืองานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และพราซีโอไดเมียม ซึ่งมีความสำคัญในการใช้งานพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมไฮเทค อยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยม

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังทำให้ความสนใจในแร่หายาก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตวัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลก ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศต่าง ๆ จึงมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแร่หายาก

ด้วยเหตุนี้ จึงควรทราบตัวเลขการผลิตสินแร่โลหะหายากสิบประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากที่สุดในปี 2020 ตามข้อมูลล่าสุดจาก US Geological Survey

1.) ประเทศจีน กำลังการผลิตจากเหมือง : 140,000 ตัน ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการผลิตสินแร่โลหะหายาก ดังที่กล่าวไว้ ประเทศจีนได้ครอบครองการผลิตแร่หายากเป็นเวลาหลายปี ในปี 2020 ผลผลิตในประเทศ 140,000 ตันเพิ่มขึ้นจาก 132,000 ตันในปีที่แล้ว

จีนเป็นประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยผลิตได้มากกว่า 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลก และสหรัฐฯ ก็นำเข้าสินแร่โลหะหายากจากจีนมากถึง 80% ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศก็ผลิตสินแร่โลหะหายากได้ จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1990 ที่จีนเริ่มพัฒนาการผลิตสินแร่โลหะหายากอย่างจริงจัง ทำให้หลายประเทศไม่สามารถผลิตได้ถูกกว่าจนต้องล้มเลิกกิจการไป

ผู้ผลิตจีนต้องปฏิบัติตามระบบโควตาสำหรับการผลิตแร่หายาก โควตาครึ่งปีสำหรับการขุดแร่หายากในปี ค.ศ. 2021 ตั้งไว้ที่ 84,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.2% จากปีก่อนหน้า) ในขณะที่โควตาสำหรับการถลุงแร่และการแยกส่วนอยู่ที่ 81,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า) ที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำเข้าแร่หายากอันดับต้น ๆ ของโลกในปี ค.ศ. 2018

ระบบโควตาเป็นการตอบสนองต่อปัญหาอันยาวนานของจีนเกี่ยวกับการขุดแร่หายากที่ผิดกฎหมาย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อทำความสะอาด รวมถึงการปิดเหมืองสินแร่โลหะหายากที่ผิดกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และการจำกัดการผลิตและการส่งออกแร่หายาก

รอยเตอร์ระบุว่า จีนเป็นผู้นำโลกในการส่งออกสินแร่โลหะหายาก ส่วนหนึ่งมาจากการกล้าเผชิญความเสี่ยงด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีผลพลอยได้เป็นขยะพิษ และกากแร่ก็ยังปล่อยรังสีที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้บางประเทศยุติการขุดสินแร่โลหะหายากของประเทศออกมา โดยปัจจุบัน มีบริษัทของรัฐ 6 รายรับผิดชอบอุตสาหกรรมสินแร่โลหะหายากของจีน ในทางทฤษฎีจึงทำให้จีนสามารถจัดการกับการผลิตได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสกัดแร่หายากอย่างผิดกฎหมายยังคงเป็นเรื่องท้าทาย และรัฐบาลจีนยังคงดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อควบคุมกิจกรรมนี้

2.) สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตจากเหมือง : 38,000 ตัน สหรัฐอเมริกาผลิตแร่หายาก 38,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 28,000 ตันในปี ค.ศ. 2019

แหล่งแร่หายากในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากเหมือง Mountain Pass ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งกลับไปสู่การผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี ค.ศ. 2018 หลังจากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาในไตรมาสที่ 4 ปี ค.ศ. 2015 Molycorp ดำเนินการก่อนที่มันจะล้มละลาย และถูกซื้อโดย Oaktree Capital Management และปัจจุบันกลายเป็น Neo Performance Materials 

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าวัสดุโลหะหายากรายใหญ่ โดยมีความต้องการสารประกอบและโลหะมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งลดลงจาก 160 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2019 สหรัฐฯ ได้จำแนกสินแร่หายากให้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อันเนื่องจากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

3.) เมียนมาร์ (พม่า) กำลังการผลิตจากเหมือง : 30,000 ตัน เมียนมาร์ขุดแร่หายากได้ 30,000 ตันในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 22,000 ตันในปีที่แล้ว 

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งแร่โลหะหายาก และโครงการขุดแร่ของประเทศ แต่เมียนมาร์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยในปี ค.ศ. 2020 เมียนมาร์ได้จัดหาวัตถุดิบสำหรับโลหะหายากขนาดกลางถึงหนัก 50 เปอร์เซ็นต์ของจีน การทำรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์ในปี ค.ศ. 2021 ทำให้เกิดความกังวลว่าการนำเข้าแร่หายากเหล่านั้นอาจถูกตัดออก แต่ ณ ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 ยังไม่มีปรากฏการหยุดชะงักทางการค้าของสินแร่หายากในเมียนมาร์แต่อย่างใด

4.) ออสเตรเลีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 17,000 ตัน การผลิตแร่หายากในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตลดลงเหลือ 17,000 MT จาก 20,000 MT ในปี ค.ศ. 2019

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และพร้อมที่จะเพิ่มผลผลิต Lynas ซึ่งมีฐานอยู่ในออสเตรเลีย (ASX:LYC,OTC Pink:LYSCF) ดำเนินการเหมือง Mount Weld และโรงงานผลิตความเข้มข้นในประเทศ และเพิ่งประกาศแผนการที่จะเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์นีโอไดเมียม-แพรซีโอไดเมียมเป็น 10,500 ตันต่อปีภายในปี ค.ศ. 2025

Northern Minerals (ASX:NTU) เปิดเหมืองแร่โลหะหายากหนักแห่งแรกของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2018 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เทอร์เบียมและดิสโพรเซียม ซึ่งใช้ในเทคโนโลยีเช่น แม่เหล็กถาวร

5.) มาดากัสการ์ กำลังการผลิตจากเหมือง : 8,000 ตัน มาดากัสการ์บันทึกการสกัดแร่หายาก 8,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นสองเท่าของปีก่อน มีโครงการโลหะหายากแทนทาลัสซึ่งมีออกไซด์ของโลหะหายาก 562,000 ตัน

6.) อินเดีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 3,000 ตัน ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 2014 Indian Rare Earths และ Toyota Tsusho Exploration ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตแร่หายากผ่านการขุดในทะเลลึก

แม้จะมีข้อตกลงนี้ แต่อุตสาหกรรมการผลิตแร่หายากของอินเดียยังต่ำกว่าศักยภาพมาก ประเทศถือครองแร่ทรายชายหาดเกือบร้อยละ 35 ของโลก ซึ่งเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญ แต่การผลิตในปี ค.ศ. 2020 ในอินเดียมีเพียง 3,000 ตัน เพิ่มขึ้นเพียง 100 ตันจากปี ค.ศ. 2019

7.) รัสเซีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,700 ตัน รัสเซียผลิตแร่หายาก 2,700 ตันในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อสองปีก่อน รัฐบาลของประเทศถูกกล่าวหาว่า "ไม่พอใจ" กับการจัดหาแร่หายาก มีรายงานว่ารัสเซียกำลังลดภาษีการขุดและเสนอสินเชื่อลดราคาให้กับนักลงทุนในโครงการ 11 โครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากทั่วโลกของประเทศจากปัจจุบัน 1.3% เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2030

8.) ประเทศไทย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,000 ตัน การผลิตแร่หายากของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 1,900 ตันในปี ค.ศ. 2019 และ 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2018 ปัจจุบันยังไม่ทราบปริมาณสำรองแร่หายากของประเทศ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นผู้ผลิตสินแร่โลหะหายาก 10 อันดับแรกนอกประเทศจีน

9.) เวียดนาม กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน การผลิตแร่หายากของเวียดนามลดลงจาก 1,300 ตันในปี ค.ศ.2019 เป็น 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตสำหรับปีนั้นเทียบเท่ากับการผลิตแร่หายากในบราซิล ซึ่งหมายความว่าทั้งสองจริง ๆ แล้วทั้งสองอยู่ในอันดับที่เก้า

มีรายงานว่าประเทศดังกล่าว เป็นแหล่งสะสมแร่หายากหลายแห่งที่มีปริมาณมากแถบบริเวณชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกับจีน และตามแนวชายฝั่งตะวันออก เวียดนามสนใจที่จะเสริมสร้างกำลังการผลิตในพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงแผงโซลาร์เซลล์ และได้รับการกล่าวขานว่ากำลังมองหาการผลิตแร่หายากมากขึ้นสำหรับห่วงโซ่อุปาทานของตนด้วยเหตุผลดังกล่าว

10.) บราซิล กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2012 มีการค้นพบแหล่งแร่หายากมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในบราซิล จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า ยังไม่มีการทำเหมืองดังกล่าว แม้ว่าในปี ค.ศ. 2020 ปริมาณแร่หายากที่ขุดได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจาก 710 MT ในปี ค.ศ. 2019 เป็น 1,000 MT ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งมีปริมาณการผลิตเท่ากับเวียดนาม

สำหรับประเทศไทยของเรานั้นในอดีต “แร่ดีบุก” เป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับภูเก็ตมาตลอด แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มต่ำลง การค้าดีบุกจึงซบเซา พร้อม ๆ กับปริมาณ “ดีบุก” ที่มีการขุดพบมีปริมาณลดลง ระหว่างที่อุตสาหกรรมการผลิตและการค้าดีบุกชะลอตัว ก่อนหน้านั้นชาวภูเก็ต ได้รับรู้และพบว่า 'ขี้ตะกรันดีบุก' หรือ 'สะแหลกดีบุก' เป็นแร่ที่สามารถขายได้ในราคาดี เพราะมีแร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ ซึ่งเป็นแร่ยุทธปัจจัยใช้สำหรับทำยานอวกาศ หรือหัวจรวดนำวิถี ตลอดจนขีปนาวุธต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เสียดสีของอากาศได้สูงมาก แร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ มีราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท และเมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัดต่อจนได้ “แร่แทนทาลัม” จะมีราคาสูงกว่าแร่แทนทาไลต์หรือขี้ตะกรันดีบุกประมาณ 40-50 เท่า 

เมื่อชาวบ้านทราบว่า “ขี้ตะกรัน” เป็นของมีราคาจึงแตกตื่น ส่งผลให้บรรดานายทุนต่าง ๆ ยื่นประมูลต่อทางการ โดยขอขุดถนนเก่า ๆ ทุกสายในตัวเมืองภูเก็ต โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อขุดเสร็จแล้วจะสร้างถนนใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่ปลูกสร้างอยู่บนเตาถลุงที่มีขี้ตะกรันฝังอยู่มาก ๆ ก็จะถูกรื้อหรือทุบพื้นทิ้งเพื่อขุดเอาขี้ตะกรันดังกล่าวขึ้นมา ในขณะนั้นคนภูเก็ตสามารถทำรายได้จากการขุดขาย “ขี้ตะกรันดีบุก” หรือรับจ้างขุด สูงถึงวันละ 180 บาท (ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในขณะนั้นอยู่ที่วันละห้าสิบกว่าบาท)

ผลจากการตื่นตัวใน “แร่แทนทาลัม” ส่งผลให้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง “โรงงานถลุงแทนทาลัม” ขึ้น โดยในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2522 บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทฯ โดยมีโครงการก่อสร้างโรงงานที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้รับใบอนุญาตให้สร้างโรงงานในปี พ.ศ. 2526 จนก่อสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2529 แต่โรงงานไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะประสบปัญหาการคัดค้านจากหลายภาคส่วนทั้งในระดับจังหวัดและประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวภูเก็ตได้รับข้อมูลจากฝ่ายคัดค้านการเปิดโรงงานว่า โรงงานแทนทาลัมจะก่อให้เกิดมลพิษต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต จนนำมาสู่ความขัดแย้งแผ่ขยายตัว 

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.อุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้เดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นตามความต้องการของตัวแทนกลุ่มคัดค้าน โดยนัดหมายที่ศาลาประชาคม แต่เมื่อไปถึงผู้ชุมนุมกลับแสดงทีท่าต่อต้านรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและคณะด้วยความรุนแรง โดยผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคนพยายามเข้าประชิดและขว้างปาและทุบรถ แม้ว่านายจิรายุ ได้ชี้แจงให้ผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลฯ กำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา และจะให้คำตอบแก่ชาวภูเก็ตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ตามที่ผู้ชุมนุมกำหนด และระหว่างนี้ได้ให้โรงงานยุติการดำเนินการชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผล

การประท้วงได้รุนแรงขึ้น และมีการเผาโรงงานแทนทาลัมและโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลินซึ่งเป็นที่พักของนายจิรายุและคณะ จนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดภูเก็ต และมีการประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ กว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ปกติต้องใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ และประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 การจลาจลครั้งนั้น ได้สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท และสุดท้าย บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด มีมติให้ย้ายโรงงานแทนทาลัมจากภูเก็ตไปตั้งที่อื่น เหตุการณ์จลาจลกรณี “แร่แทนทาลัม” สินแร่โลหะหายาก เมื่อ 35 ปีก่อน จึงเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสินแร่โลหะหายากที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา 


เขียนโดย: ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

ทฤษฎี 21 วัน กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ว่ากันว่า ถ้าเราทำสิ่งไหนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน สิ่งนั้นจะติดเป็นนิสัย เกิดเป็นความเคยชิน แล้วสามารถนำมาปรับใช้กับเรื่องของความรักได้อย่างไร?!

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินเรื่องของทฤษฎี 21 วัน มาบ้างแล้ว มันคือทฤษฎีอะไร? มาจากไหน? แล้วเกี่ยวข้องกับความรักได้อย่างไร ทำแล้วจะได้ผลจริงไหม วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับทฤษฎีนี้กันค่ะ

“ลองทักคนที่ชอบไปต่อเนื่อง 21 วัน แล้ววันที่ 22 ให้เราลองเงียบหายไป ถ้าเขาชอบเรา เขาจะทักกลับมาเอง!” 


 
หลายคนคงต้องเคยได้ยินประโยคนี้ หรือไม่แน่อาจจะเคยลงมือทำกันไปบ้างแล้ว ที่มาของเรื่องนี้นั้นมาจาก ทฤษฎี 21 วัน ซึ่งเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญที่ Dr.Maxwell Maltz นายแพทย์ชื่อดังชาวสหรัฐฯ เขียนไว้ในหนังสือ Psycho-Cybernetics คือ การกระทำจะตกผลึกกลายเป็นนิสัย โดยการกระทำต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน บนพื้นฐานความเชื่อว่าเป็นไปได้ และมีสติในการลงมือทำ

ว่ากันว่า ถ้าเราทำสิ่งไหนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน สิ่งนั้นจะติดเป็นนิสัย เกิดเป็นความเคยชิน ช่วงแรกอาจจะต้องฝืนตัวเองกันสักหน่อย แต่เมื่อกระทำต่อเนื่องครบ 21 วัน วันที่ 22 เป็นต้นไป เราจะสามารถทำได้เองโดยที่ไม่ต้องฝืน 

ทฤษฎีนี้ไม่เฉพาะเจาะจงแค่เรื่องของความรักเท่านั้น เพราะสามารถนำมาปรับใช้กับทุกเรื่องในชีวิตของเราได้ การพยายามสร้างนิสัยบางอย่าง การปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับเวลานอน การออกกำลังกาย นิสัยรักการอ่าน การออมเงิน การจดบันทึกประจำวัน เช่น เราอาจจะตั้งเป้าออกกำลังกายทุกวัน วันละ 30 นาที หลังจากพยายามทำต่อเนื่องจนครบ 21 วันแล้ว อาจจะเกิดความเคยชิน ลุกขึ้นมาออกกำลังกายโดยที่ไม่ต้องฝืนตัวเอง หรือเขียนไดอารี่ต่อเนื่องทุกวันก่อนนอน จนติดเป็นนิสัย ต้องเขียนทุกๆ คืน


 
ส่วนการนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องของความรัก ว่ากันว่า ให้เราลองเป็นฝ่ายทักคนที่แอบชอบไปทุกวันอย่างต่อเนื่อง 21 วัน กระทั่งวันที่ 22 ให้หยุด ลองเงียบหายไป ถ้าเขาชอบเราเขาจะทักกลับมา จริงๆ แล้วอาจเป็นเรื่องของความต่อเนื่อง สร้างความมีตัวตนของเรา ให้เขาหรือเธอเกิดความเคยชิน ติดนิสัยในการคุยกับเรา 

แต่คิดอีกมุมนึง ถ้าเขาชอบเราจริง ไม่ต้องรอถึง 21 วัน ก็ทักมาหาแล้ว ของแบบนี้มันขึ้นอยู่ที่ความรู้สึกด้วยน้า ที่สำคัญช่วงระยะเวลา 21 วันอาจไม่สามารถฟันธงได้ขนาดนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือ เป็นตัวของตัวเอง พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ แบบที่ไม่ฝืนตัวเอง


 
แต่เดี๋ยวก่อน!! ความเป็นจริงแล้วนั้น Maltz ไม่เคยบอกว่าระยะเวลา 21 วัน เพียงพอที่จะเปลี่ยนนิสัยหรือการรับรู้ได้ทุกอย่าง เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตเท่านั้น ยังไม่ได้ทำการศึกษาอย่างจริงจัง แต่ความเชื่อนี้ดันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสิ่งนี้อาจขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละบุคคล  ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำอะไรให้ติดเป็นนิสัยได้ภายใน 21 วัน

สำหรับใครที่อยากลองสร้างนิสัยบางอย่าง หรือกำลังมองหาวิธีสานสัมพันธ์กับคนที่แอบชอบ วิธีนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ ไม่ได้เสียหายอะไร ใครเคยทำแล้วได้ผลเป็นยังไงลองมาแบ่งปันกันได้นะคะ

เขียนโดย: เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง:

https://shortrecap.co/thinking/ทฤษฎี21วัน/
https://twentyonetoys.com/blogs/teaching-21st-century-skills/21-days-to-form-habits
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top