Tuesday, 16 April 2024
Columnist

Hiking บนสันเขาสวิส เต็มอิ่มไปกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สวยสะกดและน่าประทับใจ เส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่า “ควรมาสักครั้งในชีวิต”

ถ้าพูดถึงการพักผ่อนหย่อนใจหรือใช้เวลาว่างของคนสวิสแล้ว จะต้องมี Hikking หรือ Trekking การเดินท่องเที่ยวตามเทือกเขาลำเนาไพรรวมอยู่ด้วยแน่ ๆ และสวิสก็ขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่แล้ว ทำให้การเดินป่าเดินเขาไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่าเส้นทาง Hiking จะใช้เวลา 2-8 ชั่วโมงในการเดินทางไปและกลับ โดยมีปลายทางสิ้นสุดคือกลับมาที่จุดเริ่มต้น การเดินอาจจะเดินไปและกลับบนเส้นทางเดิม หรือเดินเป็นวงรอบกลับมาที่จุดเดิม หรือบางเส้นทาง Hiking อาจจะมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดเป็นคนละที่ แต่เส้นทาง Hiking มีการจัดตามระดับความฟิตของแต่ละคนอีกด้วย

มาดูระดับความฟิต และป้ายบอกเส้นทางแบบคร่าว ๆ กัน 

1. T1 Hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีเหลือง
2. T2 Mountain hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีขาวแดงขาว
3. T3 Challenging mountain hiking สีขาวแดงขาวเหมือน T2 
4. T4 Alpine hiking จะเป็นสีขาวฟ้าขาว 
5. T5 Challenging Alpine hiking สีขาวฟ้าขาวเหมือน T4
6. T6 Difficult Alpine hiking ส่วนใหญ่ไม่มีป้ายบอกเป็นกิจลักษณะ
7. Winter hiking ป้ายจะเป็นสีชมพู

เอาหล่ะ !! มาถึงเส้นทางที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ดีกว่า วี่เลือกเป็นเส้นทางสันเขาระดับ T3 เหมือนว่าจะง่าย ๆ แต่ทางขึ้น ๆ ลง ๆ เอาเรื่องเพราะเป็นการข้ามจากอีกเขามาอีกเขา แต่รับรองว่าทำให้หัวใจเต้นรัว ๆ ได้เลยทีเดียว 

ส่วนใหญ่เวลาวี่มาที่นี่จะขับรถมาที่ Schwyz (ชวีส)-Schlatti (ชรัตตี้) เป็นรัฐตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว จากตรงนี้เราจะเจอกับ Funicular Railway ทางรถรางที่มีเส้นทางที่ชันที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากใช้เวลาในการวางแผนและก่อสร้างจนแล้วเสร็จใช้เวลาประมาณ 14 ปี ก็ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อ 15 ธันวาคม 2017 แทนที่เก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1933 วิ่งที่ความสูง 744 เมตรจากระดับน้ำทะเลระหว่างเมือง Schywz Schlatti ไปยังหมู่บ้านในหุบเขา Stoos โดยมีความลาดเอียง 110% เลยทีเดียว และสามารถจุคนได้ถึงครั้งละ 136 คน โดยทำลายสถิติโลกก่อนหน้านี้ ที่เคยเป็นของเป็นของ Gelmerbahn (เกลเมอร์บาน) ที่เมือง Bern ของสวิส โดยมีความชันอยู่ที่ 106% ส่วนอันดับที่สามอยู่ที่อังกฤษใน East Hill Cliff Railway โดยมีความชันอยู่ที่ 78%

ส่วนใหญ่การมาที่หมู่บ้าน Stoos ก็มักจะมีจุดหมายปลายทางที่ Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) ยอดเขาที่อยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ถึง 10 ทะเลสาบด้วยกัน (ถ้าอากาศดีฟ้าเปิดนะ) เช่น Vierwaldstättersee (เฟียร์วัลชแต๊ตเตอร์เซ), Zugersee (ซูเกอร์เซ), Ägerisee (แอเกอร์รี่เซ) และอื่น ๆ แถมยังมีร้านอาหารที่นั่งได้ทั้งด้านในและด้านนอกสำหรับดื่มกาแฟชิล ๆ ยามมีแดด 

อ้อ !! แล้วมีชาวบ้านแถวนี้เอาชีสภูเขามาขายด้วย จะแอบบอกว่าอร่อยมาก ๆ โดยจากหมู่บ้าน Stoos เราจะต้องนั่ง chairlift (กระเช้าห้อยขา 6 ที่นั่ง)  ขึ้นไปสู่ยอดเขาอีกสองต่อถึงจะไปถึงยอดเขา Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) แต่วี่ไม่ได้ไปแบบนั้นหลังจากนั่ง funicular railway มาที่หมู่บ้าน Stoos แล้ววี่เดินไปขึ้น Chairlift เพื่อขึ้นไปที่ยอดเขา Klingenstock (คลิ้งเง่นชต๊อก) เพื่อเดินข้ามเขาไปที่ Fronalpstock นั่นแหล่ะ 

การเดินบนสันเขาจาก Klingenstock ไป Fronalpstock ระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร และจะมีการไต่ระดับความสูงประมาณ 402 เมตร เส้นทางค่อนข้างเล็ก บางช่วงบางตอนที่เป็นทางอันตรายก็มีราวให้เกาะเดินด้วย คนสวิสจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่วี่ใช้เวลารวมพักกินข้าวและหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ รวมแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ 

วิวบนสันเขานี้สามารถใช้คำว่า ‘Breathtaking’ ได้จริง ๆ สวยสะกดและน่าประทับใจที่สุด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่าควรมาสักครั้งในชีวิต ส่วนตัววี่เองนั้นมาทุกปีเพื่อ Hiking เป็น The must คือเป็นทริปบังคับของตัวเอง เพราะรักบรรยากาศและวิวที่นี่มาก ตอนที่พาแม่มา แม่บอกว่าที่นี่สวยกว่า Jungfrau Joch (ยุงเฟรายอค) อีกนะ (แต่นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น) อยากรู้ว่าจริงไหมก็แนะนำให้มาลองด้วยตัวเองสักครั้งเถอะ

ส่วนราคาค่าขึ้นก็ไม่แพงเลยจริง ๆ ราคาอยู่ที่ 46 สวิสฟรังค์ หรือประมาณ 1,600 บาทไทย ถ้ามีบัตรครึ่งราคา ก็อยู่ที่ 36 ฟรังค์ หรือประมาณ 1,200 บาทเท่านั้น ถ้าเทียบกับวิวและบรรยากาศต้องบอกว่าเกินคุ้มจริง ๆ และเป็นการขึ้น funicular railway หนึ่งต่อบวก chairlift อีกสองต่อ คือคุ้มสุด ๆ 

และแนะนำว่าถ้าจะขึ้นไปเดินบนสันเขาเส้นทาง Klingenstock-Fronalpstock ควรจะใส่รองเท้าสำหรับ Hiking และเตรียมน้ำดื่มสำหรับระหว่างทาง เสื้อกันลม และเสื้อกันหนาวให้พร้อมเพราะอยู่ที่ความสูงถึง 1920 เมตรจากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว อากาศอาจบาง ๆ นิดหน่อย ถ้าไปวันที่อากาศดี ฟ้าเปิดจะมองเห็นความสวยงามไปได้ไกลสุดลูกตาเลยทีเดียว 

บางครั้งการพาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติมันเยียวยาชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวายได้ดีเหลือเกิน นี่แหล่ะธรรมชาติบำบัด เวลาเราออกเดินทางและเมื่อตอนเย็นที่เรากลับบ้านหัวเราอาจจะยุ่ง ๆ รองเท้าเราอาจจะเลอะเทอะ แต่แบตเตอรี่หัวใจของเรามันจะเต็มเปี่ยมเลยนะ ลองดูสิ


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

สถานที่ ๆ ขึ้นชื่อทั้งในเรื่องของความสวยงามของทิวทัศน์และรวมสัตว์แปลก ๆ ที่หาชมได้ยากไว้ที่นี้ สัมผัสบรรยากาศที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อนได้ที่ หมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos)

กาลาปากอสเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวที่ต้องจ่ายแพงกว่าปกติ ค่าที่ขึ้นชื่อระดับโลกเรื่องสัตว์แปลก ๆ รวมถึงความงดงามมหัศจรรย์ของภูมิทัศน์ ผนวกเข้ากับเรื่องราวของ ชาลส์ ดาร์วิน ผู้เคยร่วมโดยสารเรือหลวงอังกฤษเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เขาได้ผ่านไปเยือนหมู่เกาะแห่งแปซิฟิกซึ่งห่างจากฝั่งราวพันกิโลเมตรเหล่านี้ แล้วเขียนหนังสือท้าทายความเชื่อของคริสตศาสนจักรว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ นี่ยิ่งกระพือความอยากของใครต่อใครให้ไปเยือนกาลาปากอส

คนมีเงินเป็นถุงเป็นถังคงไม่กระไร แต่สำหรับผมผู้ซึ่งเป็นนักเดินทางทุนต่ำจำเป็นต้องคิดแล้วคิดอีกหลายตลบกว่าจะตัดสินใจจัดทริปนี้ให้กับตัวเอง เริ่มตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน ซึ่งคนต่างชาติต้องจ่ายแพงกว่าคนเอกวาดอร์ราวสองเท่า ไหนจะค่าเข้าเขตพิเศษ ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ ค่าที่พักอาหารและจิปาถะต่าง ๆ ระหว่างที่อยู่บนเกาะ รวม ๆ แล้วเพียงสิบวันผมต้องควักเงินจ่ายไปเท่ากับค่าใช้จ่ายในการเดินทางปกติสองเดือน ถือว่าโหดมาก

ผมตั้งต้นที่เมืองวายากิล ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศเอกวาดอร์ (หรือจะขึ้นเครื่องที่สนามบินเมืองหลวงกีโตก็ได้เช่นกัน) เครื่องบินเทคออฟจากรันเวย์ ใช้เวลาราวชั่วโมงก็ลดระดับความสูงลงเพื่อจะร่อนลงรันเวย์ของสนามบินเซย์มอร์บนเกาะบัลตราอันเป็นหน้าด่านแรก น้ำทะเลสีครามน้ำเงินปรากฎขึ้น เห็นผืนแผ่นดินสีน้ำตาลเห็นจากมุมสูงก็รู้ทันทีว่านั่นต้องเป็นหมู่เกาะกาลาปากอสแน่นอน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ออกอาการตื่นเต้นกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเครื่องจอดสนิทแล้วผู้คนก็ออกมาสู่อาคารผู้โดยสาร เดินตาม ๆ กันไป เจ้าหน้าที่ประทับตราการเข้าสู่เกาะลงในพาสปอร์ตเสร็จก็ไปขึ้นรถบัสซึ่งอยู่ด้านนอกอาคาร นักท่องเที่ยวบางส่วนที่มากับทัวร์ก็มีไกด์คอยอำนวยความสะดวกให้ ส่วนคนที่มาเองก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเพื่อจะไปยังเกาะซานตาครูซ รถบัสพามาถึงท่าเรือ เกาะบัลตราและซานตาครูซอยู่ใกล้กันมาก นั่งเรือเล็กไม่ถึงห้านาทีก็ข้ามมาอีกฝั่งแล้ว จากนั้นก็ต้องนั่งรถบัสอีกหนึ่งต่อเพื่อไปยังปวยร์โตอโยราอันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะ 

เนื่องจากผมไม่ได้จองที่พักล่วงหน้า จึงต้องใช้เวลาเดินหาเกสต์เฮาส์ที่ราคาไม่โหดเกินไปนัก เสียเวลาราวสองชั่วโมงก็ได้ห้องเดี่ยวในราคา 15 เหรียญต่อวัน (ประเทศเอกวาดอร์ใช้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ) อาจจะถูกสุดในเมืองแล้ว ภารกิจต่อไปคือการหาร้านเช่าจักรยาน เมืองนี้เล็กเท่าปาย เดินเที่ยวก็ได้ แต่จะสะดวกกว่าหากอยากออกนอกเมืองไปยังจุดท่องเที่ยวอื่น ๆ เสร็จจากการเช่าจักรยานก็มาจัดการเรื่องปากท้องบ้าง ร้านอาหารทั้งหลายเน้นขายนักท่องเที่ยว ซึ่งราคาแพงกว่า วิธีลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็คือการจับจ่ายในร้านชำหรือซูเปอร์มาร์เก็ตหรือกินอาหารที่ตลาดสดแทน

ตัวเมืองปวยร์โตอโยราไม่ได้ต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ในแง่ที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ และอะไรต่อมิอะไรพรักพร้อมรองรับคนจับจ่ายซื้อหาในสิ่งที่ตนต้องการ แต่สิ่งที่แตกต่าง ก็คือสัตว์เชื่อง ๆ ทั้งหลายที่ไม่ค่อยกลัวมนุษย์ บริเวณตลาดปลามีแมวน้ำกระดึ๊บตามแม่ค้าต้อย ๆ ชายชาวประมงต่างทำการแล่ปลาบนเรือเล็กก็มีนกพิลิแกนมะรุมมะตุ้มอ้าปากกว้างคอยรับเศษอาหาร นกหน้าตาประหลาดก็บินเล่นแถวนั้น ตามโขดหินมีปูแดงขี้ตกใจมากมาย นกฟินช์ตัวเล็กเท่านกกระจอกก็เชื่องมากพอที่จะเข้าไปใกล้เพื่อทักทายและถ่ายรูปพวกเขา ในวันแดดดีเจ้าอิกัวน่าทะเลทั้งหลายต่างพากันขึ้นมาผึ่งแดด พวกมันชื่นชอบการดำน้ำและเป็นนักดำน้ำที่เก่งกาจ เมื่อขึ้นฝั่งมาอาบแดดก็พ่นน้ำออกทางจมูก หน้าตาพวกมันคล้ายกับก๊อตซิลล่ามาก พื้นที่บนหาดเล็กใกล้ท่าเรืออีกแห่งก็มีสิงโตทะเลพากันนอนขี้เกียจขึ้นอืดอย่างไม่แคร์สายตานักท่องเที่ยว เข้าใกล้มากอาจจะโดนขู่บ้าง แต่พวกมันก็ไม่น่าเข้าใกล้เท่าไหร่เพราะกลิ่นตัวแรงมาก เวลาบ่ายแก่ เด็ก ๆ ชาวเกาะพากันปั่นจักรยานมาท่าน้ำเพื่อกระโดดน้ำเล่น

ในระยะเดินทอดน่องสามารถไปเที่ยวสถานีวิจัยดาร์วิน เป็นสถานที่เรียนรู้ระบบนิเวศกาลาปากอส รวมถึงการพยายามสอดแทรกจิตสำนึกด้านการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันทรงคุณค่าทว่าเปราะบางเหล่านี้ เมื่อเข้าไปในศูนย์ จะมีฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ นักท่องเที่ยวเดินเป็นวงกลม นับว่าเป็นห้องเรียนที่ดีเยี่ยมทั้งสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ด้วย นอกจากสิ่งที่จัดแสดงแล้ว ทางศูนย์ยังทำงานวิจัยหลายอย่างด้วย เช่นการขยายพันธุ์เต่าบกยักษ์ เป็นต้น

อีกด้านของปวยร์โตอโยรามีหาดตอร์ตูกาทรายขาวน้ำใส เหมาะสำหรับเดินเล่น อาบแดด ว่ายน้ำ และพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนอิกัวน่าทะเลจะมีปริมาณมากกว่านักท่องเที่ยวเสียอีก นกบู๊บบี้ตีนฟ้าน่าจะเป็นอีกไฮไลต์ พวกมันก็เชื่องมากเช่นกัน ท้ายหาดมีเวิ้งอ่าว นักท่องเที่ยวบางส่วนเช่าคายักพายเล่นกัน บ้างหลบใต้ต้นไม้นอนอ่านหนังสือ คนที่มากันเป็นครอบครัวก็จัดปิกนิคกัน สังเกตว่าไม่มีขยะเกลื่อน น่าจะเพราะทุกคนรู้ว่าจะต้องช่วยกันอนุรักษ์เพื่อให้ความงดงามคงอยู่นานเท่านาน

ยังมีอีกหาดทรายงามซึ่งอยู่ห่างจากย่านชุมชนค่อนข้างมาก คือการ์ราปาเตโร นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้วิธีเช่าแท็กซี่ให้ไปส่ง แต่ผมปั่นจักรยานไป ระหว่างทางผ่านบ้านเรือนเรือกสวน กาลาปากอสมีประชากรอยู่ราวสามหมื่นคน ประกอบอาชีพเกษตรและด้านการท่องเที่ยว เมื่อปั่นผ่านหมู่บ้านเบยาวิสตา รู้ว่ามีถ้ำลาวาจึงแวะชมเสียหน่อย ผมไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา จึงไปแค่ให้ได้เห็นและเป็นประสบการณ์เท่านั้น ออกจากถ้ำก็ปั่นต่อไปจนถึงหาดการ์ราปาเตโร ซึ่งพบว่าสงบเงียบมาก ทางเดินลงสู่หาดสร้างไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวออกนอกเส้นทาง ลมพักโบกโกรกเย็นเกือบหนาวในวันที่เมฆห่มคลุมท้องฟ้า บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้ชวนให้ลงไปแหวกว่ายเล่นน้ำ แต่เหมาะสำหรับเดินทอดน่องเล่นตามชายหาด โดยมีเจ้านกนางนวลโฉบดิ่งลงสู่ทะเลเพื่อจับปลาเป็นอาหาร เป็นภาพเพลินตาเพลินใจดี ความพิเศษของหาดโดดเดี่ยวแห่งนี้ คือสามารถพักแรมได้ โดยจะต้องนำเต็นท์มากางนอนได้ในจุดที่บริการไว้ให้ เสียดายที่ผมไม่ได้นำเต็นท์มาด้วย เพราะก่อนมาที่นี่หาข้อมูลเรื่องแคมป์ปิ้งจากอินเตอร์เน็ตไม่ได้เลย

ไฮไลท์ตื่นตาตื่นใจอีกแห่งบนเกาะซานตาครูซคือศูนย์อนุรักษ์เต่าบกยักษ์เอลชาโต นี่ก็ต้องอาศัยแรงขาในการปั่นจักรยานไป เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองร่วมสิบกิโลเมตร ดีที่การจราจรบนเกาะไม่คับคั่ง จึงปั่นช้า ๆ อย่างเพลิดเพลินทั้งไปและกลับ นักท่องเที่ยวต้องเปลี่ยนใส่รองเท้าบู๊ตเมื่อจะเข้าไปในศูนย์ และต้องเว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปใกล้เต่ายักษ์ทั้งหลายมากจนเกินไป จากข้อมูลบอกว่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนยังมีประชากรเต่าบกยักษ์นับแสน ปัจจุบันลดจำนวนลงไปมาก สาเหตุหนึ่งคือฝีมือการล่าของมนุษย์นั่นเอง 


เขียนโดย : คุณสว่าง ทองดี จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ชอบปั่นจักรยานท่องโลกและหลงไหลกาแฟ

“น้ำมะพร้าว” เป็นสิ่งมีประโยชน์อย่างมากที่ได้จากธรรมชาติ นอกจากจะทำให้สดชื่นแล้ว พวกสารอาหารและแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำมะพร้าวนั้นถือว่าเป็นประโยชน์ที่ร่างกายมนุษย์ควรได้รับ

สวัสดีครับ วันนี้พบกันเป็นครั้งแรก สำหรับการเขียนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ใกล้ตัว ท่ามกลางกระแสของข่าวสาร และเรื่องราวต่าง ๆ ที่วิทยาศาสตร์จะเข้ามามีบทบาทในการไขข้อปัญหา หรือตอบคำถามเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เราพบเจอได้ ซึ่งผู้เขียนก็จะพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวเหล่านี้เรื่อย ๆ ครับ

ในตอนนี้เราเริ่มจะคุ้นเคยและเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ (New normal) กับโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 หลังจากที่เราอยู่กับมันมาปีกว่า และคาดว่าอีกไม่เกิน 2 - 3 เดือนข้างหน้า คนไทยคงได้ฉีดวัคซีนกันอย่างถ้วนหน้าครับ

ในเดือนแห่งความรัก “กุมภาพันธ์” มีกระแสข่าวหนึ่งที่ร้อนแรงขึ้นมา กลายเป็นกระแสท่ามกลางความเครียดเนื่องจากการใช้ชีวิตในยุควิถีใหม่ นั่นก็คือกระแสการดื่มน้ำมะพร้าวทำให้มีความต้องการทางเพศสูงหรือฟิตมาก

ทั้งนี้มีที่มาที่ไปจากการที่คุณป้าท่านหนึ่ง ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเพื่อขอเลิกกับคุณลุง ซึ่งเป็นสามีวัย 64 ปี เนื่องจากทนไม่ไหว เพราะคุณลุงขอมีอะไรด้วยบ่อย หรือว่าดุมาก (ดุเป็นภาษาฮิตในโซเชียลมีเดียที่แสดงว่ามีความคึกคะนองต่อเพศตรงข้าม) ถึงวันละ 3 – 4 รอบ จนคุณป้าทนไม่ไหวต้องมาแจ้งความขอเลิก โดยมีสาเหตุมาจากการที่คุณลุงดื่มน้ำมะพร้าวบ่อยทำให้มีความต้องการสูง

จากกรณีข่าวดังกล่าวนับว่าเป็นข่าวที่ติดกระแสในโซเชียลมีเดีย อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำมะพร้าว หรือแม้กระทั่งผลของมะพร้าวที่ขายในตลาด ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว ซี่งถ้ามองในแง่ของกระแสการทำการตลาดของน้ำมะพร้าวนี้ นับว่าคุณลุงมาช่วยในการทำการตลาดให้กับน้ำมะพร้าวให้มีความคึกคักขึ้นมาทันทีทันใด ท่ามกลางกระแสความเครียดของคนไทยในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ทีนี้เรามาดูตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ กันบ้างครับว่า น้ำมะพร้าวเมื่อดื่มแล้วทำให้คึก หรือมีความฟิตปั๋งตามที่คุณลุงเข้าใจจริงหรือเปล่า?

มะพร้าวเป็นพืชตระกูลปาล์ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cocos nucifera L. สามารถปลูกได้ในทุกภาคของไทย แต่ส่วนใหญ่จะปลูกมากแถวภาคใต้ คนไทยรู้จักน้ำมะพร้าวดี โดยเฉพาะการใช้น้ำมะพร้าวในการล้างหน้าคนตายก่อนที่จะมีพิธีการฌาปนกิจ ทั้งนี้เนื่องจากเชื่อกันว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ มีความสะอาด เพราะอยู่บนต้นที่สูง และมีกะลาในการห่อหุ้มและกักเก็บน้ำ เมื่อนำมาล้างหน้าให้กับผู้ตายจะเป็นการชำระสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวผู้ตาย

นอกจากนั้นน้ำมะพร้าวยังเป็นเครื่องดื่มที่เราคุ้นเคยกันดี เมื่อดื่มแล้วจะทำให้มีความสดชื่น โดยส่วนประกอบของน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรา มากมาย เช่น เหล็ก โพแทสเซี่ยม แคลเซี่ยม แมงกานีส ฟอสฟอรัส โซเดี่ยม เป็นต้น

จากองค์ประกอบของแร่ธาตุเหล่านี้ ทำให้น้ำมะพร้าวเปรียบเสมือนกับเครื่องดื่มเกลือแร่ชนิดหนึ่ง เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้เรารู้สึกมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่านั่นเอง

ในทางการแพทย์ยังพบว่าน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีในเพศหญิงสูง เมื่อดื่มเป็นประจำจะทำให้ผิวพรรณมีความเปล่งปลังสวยงาม

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ได้ระบุถึงข้อดีของน้ำมะพร้าว คือ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และยังช่วยชะลอการเกิดอัลไซเมอร์ในวัยชราได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานวิจัยชิ้นไหนที่บอกได้ว่าการดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ดีขึ้น ตามที่คุณลุงเข้าใจ ถึงกระนั้นผู้เขียนก็สันนิษฐานว่า จากคุณสมบัติของน้ำมะพร้าวที่มีส่วนประกอบตามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องดื่มชูกำลังชนิดหนึ่ง

เมื่อคุณลุงดื่มบ่อย ๆ จึงอาจส่งผลให้มีความฟิตปั๋ง ทำให้มีความต้องการ ‘ดุ’ ตามไปด้วยนั่นเองครับ


ผู้เขียน : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

ในยุคที่สมาร์ทโฟนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ทำให้ส่งผลเสียรวมไปถึงอวัยวะร่างกาย “นิ้ว” ก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเล่นสมาร์ทโฟน ศิลปะจึงเป็นศาสตร์ที่เข้ามาช่วยในการรักษาอาการแก้ปวดนิ้วได้

มือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายและใช้ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น จากการเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานการล้างหน้า การแปรงฟัน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำเป็นประจำทุกวัน เป็นต้น ทุกคนใช้มือเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงการประกอบอาชีพ ดังนั้นมือจึงควรได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เมื่อมือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือการใช้งาน อาจส่งผลให้มือชาหรืออ่อนแรง เช่น อาการชาจากการกดทับของเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ส่งผลให้ความสามารถในการใช้งานของมือลดลง เช่น การหยิบจับสิ่งของ การฝึกทักษะของมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูให้มือกลับมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีเช่นเดิม

กิจกรรมฝึกทักษะมือ
โดยปกติแล้วนักกิจกรรมบำบัดมีบทบาทในการตรวจประเมิน ส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟูความสามารถมือ เมื่อพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมือ เช่น ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อติด มีปัญหาการใช้งานของมือหรือการหยิบจับวัตถุ นักกิจกรรมบำบัดใช้กิจกรรมที่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาเป็นสื่อในการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับปัญหา โดยเริ่มปรับกิจกรรมจากง่ายไปยาก เพื่อพัฒนาความสามารถอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังนี้

1.) การบริหารมือและนิ้วมือ
กำมือ-แบมือ-กางนิ้วมือ-หุบนิ้วมือ-นิ้วตูมเข้าหากัน-พับนิ้วมือ-จีบนิ้วมือ

2.) การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกำลังมือและนิ้วมือ
ออกแรงบีบวัตถุต่าง ๆ เช่น ลูกบอล ดินน้ำมัน แป้งโดว์ ตัวหนีบผ้า

3.) การฝึกหยิบจับวัตถุรูปแบบต่างๆ จากวัตถุขนาดใหญ่ไปจนถึงวัตถุขนาดเล็ก

นอกจากนี้สามารถผสมผสานกิจกรรมต่างๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬา การทำอาหาร มาร่วมในการฝึกทักษะมือ โดยใช้อุปกรณ์ที่หาได้ง่าย ทั้งนี้ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นการกระตุ้นให้รู้สึกอยากทำกิจกรรมมากขึ้น 

ศิลปะบำบัดกับการบริหารมือ

1.) กิจกรรมปั้นดินน้ำมัน หรือแป้งโดว์

เริ่มจากออกแรงนวดดินน้ำมันเพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อมือ

ใช้นิ้วมือกดดินน้ำมันให้แบน

ใช้ปลายนิ้วบีบดินน้ำมันให้แบน

ปั้นดินน้ำมันเป็นรูปร่างหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

2.) กิจกรรมตัวหนีบผ้า

จับตัวหนีบผ้าด้วยปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้

ฝึกจับตัวหนีบผ้าด้วยปลายนิ้วโป้งและด้านข้างของนิ้วชี้

หนีบตัวหนีบผ้าเป็นรูปร่างหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

3.) กิจกรรมตัวปั๊ม

เลือกตัวปั๊มที่ชอบและออกแรงกดตัวปั๊มลงบนแป้นหมึก

ออกแรงกดตัวปั๊มลงบนกระดาษ
ปั๊มเป็นรูปภาพหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

4.) กิจกรรมเสียบหมุดให้เป็นรูปภาพ

ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งหยิบหมุด

อาจใช้นิ้วกลางและนิ้วโป้งหรือนิ้วอื่น ๆ หยิบหมุด

เสียบหมุดเป็นรูปภาพหรือรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ

5.) กิจกรรมระบายสี

เลือกรูปภาพและสีที่ชอบ ระบายสีให้สวยงามตามต้องการ 

.

เขียนโดย : กบ.นิรมล ประทุมรัตน์
นักกิจกรรมบำบัด ฝ่ายเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด โรงพยาบาลธนบุรี


ข้อมูลอ้างอิง 
นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ วัฒนา. (2531). ปัญหาของมือที่พบบ่อย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/998/Hand-Exercises

หลาย ๆ คนอาจจะต้องประสบกับการทำงานที่บ้าน หรือ work from home แล้วอาจจะไม่ได้ยืดเส้น ยืดสาย ควรระวังให้ดี ไม่เช่นนั้นโรคออฟฟิศซินโดรมจะถามหา โยคะถือว่าเป็นการออกกำลังกายง่าย ๆ ช่วยผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้อย่างดี

ในยุคที่มีการแข่งขันสูง การใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ การทำงานด้วยความเครียด และการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆทำให้ทุกคนใช้เวลาในแต่ละวันอย่างน้อย 8 - 9 ชั่วโมงในการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ แทปเลต ประกอบกับท่านั่งที่ไม่เหมาะสม จึงเกิดการใช้งานกล้ามเนื้อแบบผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียความยืดหยุ่น ร่วมกับการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเป็นเวลานาน ส่งผลไปยังข้อต่อและกระดูกต่าง ๆ บางคนอาจมีอาการชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจากการปวดบริเวณกล้ามเนื้อคอลุกลามไปยังกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ โดยการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นจากการทำงานเรียกว่า “โรคออฟฟิศซินโดรม”

ข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรม

พักยืดเส้นยืดสาย หรือลุกขึ้นจากเก้าอี้และเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมง เปลี่ยนจากการจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วมองไปยังพื้นที่สีเขียวหรือต้นไม้

ปรับสภาพโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์, คีย์บอร์ดและการวางเม้าส์อยู่ในองศาการใช้งานที่ถูกต้องตามสรีระ

ปรับความสูงของเก้าอี้พนักพิง มีการเสริมหมอนหนุนหลังเพื่อให้นั่งสบายขึ้นและเลือกใช้เก้าอี้ที่มีที่วางแขน

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ไม่นั่งหลังค่อม ไม่ห่อไหล่

ท่าโยคะอย่างง่ายป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

ท่าแรก

: นอนคว่ำ วางแขนห่างกันเท่าความกว้างของหัวไหล่ ใช้มือดันตัวขึ้น

: เหยียดข้อศอก ยกศีรษะ ไหล่ หน้าอก เอว ให้สูงขึ้นเงยหน้าไปด้านหลัง

: สะโพกด้านหน้า ต้นขา และเท้า วางราบกับพื้น

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณหลังและหน้าท้องเล็กน้อย หายใจเข้าออกปกติ ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สอง

: นอนหงาย ยกขาขึ้น2ข้าง (ถ้าตึงมากให้ยกทีละข้าง)

: พยายามใช้มือแตะปลายเท้า ถ้าไม่ถึงให้ใช้ผ้าขนหนูคล้องปลายเท้า

: ออกแรงดึงขายกสูงขึ้นมาทางศีรษะโดยให้เข่าเหยียดตรงตลอด

: สะโพกลอยพ้นพื้นเล็กน้อย คอและไหล่วางบนพื้นด้วยความผ่อนคลาย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อขาโดยเฉพาะด้านหลังของเข่า ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สาม

: นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะเล็กน้อย เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กางศอกออก กดลงเบาๆ

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอและบ่าด้านตรงข้าม ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน

ท่าที่สี่ : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะลงกดคางชิดอก เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กดศอกเอียงด้านหน้า

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณคอสะบักขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที แล้วตั้งศีรษะตรง ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน นั่งทับมือซ้าย แล้วก้มเอียงศีรษะทางขวา มือขวาออกแรงกดเบาๆ

ท่าที่ห้า : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง พาดแขนซ้ายมาด้านหน้าอก

: นำศอกขวากดศอกซ้าย เข้าหาไหล่ขวา หันหน้าไปทางด้านซ้าย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขนด้านหลังและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน แขนขวาพาดด้านหน้า ศอกซ้ายกดหาไหล่ซ้าย หันหน้าไปทางขวา

ท่าที่หก : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง ประสานมือทั้ง 2 ข้างด้านหลัง บีบมือเข้าหากันให้แน่น

: ยืดอก ยืดหลังขึ้น บีบสะบักเข้าหากัน ดันแขนออกไปไกลลำตัวให้มากที่สุด

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขน หน้าอกและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่เจ็ด : นั่งหลังตรง เหยียดขาซ้ายไปด้านหน้า ขาขวาข้ามวางข้างเข่าซ้ายด้านนอก

: ศอกซ้ายออกแรงดันเข่าขวาไปทางซ้าย บิดตัวไปทางขวาให้มากที่สุด

: มือขวาวางด้านหลัง หันหน้ามองข้ามไหล่ขวาไปด้านหลัง

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณสะโพกและลำตัวด้านข้างขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน เหยียดขาขวา งอเข่าซ้าย ศอกขวาออกแรงดัน บิดตัวไปทางซ้าย

ท่าที่แปด : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง จากนั้นเหยียดขาขวาออกไปด้านข้างให้ตั้งฉากมากที่สุด

: มือขวาจับเข่าซ้าย บิดตัวไปทางซ้าย ยกมือซ้ายขึ้นแนบหู เอื้อมหลังศีรษะไปจับปลายเท้าขวา

: ถ้าตึงขาหรือลำตัวมาก จับไม่ถึง ให้ใช้ผ้าคล้องปลายเท้าขวาช่วยได้

: ท่านี้จะรู้สึกตึงลำตัวและต้นแขนซ้าย ต้นขาหลังและน่องขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน งอเข่าขวา เหยียดขาซ้าย มือซ้ายจับเข่าขวา มือขวาจับปลายเท้าซ้าย


เขียนโดย : กภ. วิชญดา มาเสถียร
นักกายภาพบำบัด ปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต กายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง เจ้าของเวิร์กคลินิกกายภาพบำบัด

ทำไมลูกวัยรุ่นไม่ชอบคุยกับพ่อแม่? พบ 5 สาเหตุหลักที่วัยรุ่นไม่ยอมปรึกษาพูดคุยกับพ่อแม่ พร้อมวิธีปรับตัว เมื่อลูกไม่คุยด้วย

ในช่วงลูกเข้าสู่วัยรุ่น ช่วงอายุประมาณ 15-17 ปี ลูกจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรวดเร็ว จนพ่อแม่ปรับตัวตามลูกไม่ทัน บางครั้งทำให้รู้สึกว่า ลูกไม่ยอมปรึกษา และไม่ค่อยเปิดใจรับฟังพ่อแม่เหมือนเมื่อก่อน ยิ่งพ่อแม่พยายามเข้าหาลูกก็ดูเหมือนลูกพยายามตีตัวออกห่าง หนักเข้าก็ไม่คุยด้วย เล่นเอาพ่อแม่หนักใจไปตามๆ กัน เกิดอะไรขึ้นกับลูก ทั้งหมดนี้เกิดจากสาเหตุใด และพ่อแม่ต้องปรับตัวอย่างไร เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรรู้

พบ 5 สาเหตุหลักที่วัยรุ่นไม่ยอมปรึกษาพูดคุยกับพ่อแม่

1. วัยรุ่นมีความมั่นใจ กล้าลองผิดลองถูก และเชื่อมั่นว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้โดยไม่ต้องปรึกษาใคร เขาต้องการให้พ่อแม่ไว้ใจเขา

2. วัยรุ่นไม่ชอบที่ถูกพ่อแม่บ่นด่าและวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่เขาคิด พูด ทำ ตามประสาวัยรุ่น บางครั้งพ่อแม่พูดไม่ให้กำลังใจ จ้องจับผิด ถูกตำหนิรุนแรง ยังแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจในตัวเขา บางครั้งออกคำสั่งห้าม หรือไม่ก็ตัดสินใจแทนเขาอีก …วัยรุ่นไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เอามากๆ

3. วัยรุ่นคิดว่าพ่อแม่ไม่พร้อมและไม่มีความถนัดมากพอ อาจเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น เคยตั้งใจมาปรึกษาพ่อแม่ แต่เจอจังหวะที่พ่อแม่กำลังยุ่ง เหนื่อย เครียด ไม่พร้อมฟัง เลยสักแต่ฟัง แต่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่เขาพูด บางครั้งอาจบอกลูกว่า เอาไว้ก่อน ตอนนี้พ่อกับแม่ไม่มีเวลา

4. วัยรุ่นอาจเล่าเรื่องไม่เก่ง เข้าใจในแบบฉบับของตัวเอง ยังถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่าที่ควร พอพ่อแม่ถามคืนมา แล้วตอบไม่เคลียร์ประเด็น พอถูกถามจี้ๆ บางครั้งอาจถูกพ่อแม่ดุ เลยทำให้รู้สึกอึดอัด และรู้สึกไม่ชอบที่ตัวเองดูกลายเป็นคนโง่ 

5. วัยรุ่นกลัวความผิด ถ้าเขาทำความผิด เช่น แอบขับรถมอเตอร์ไซค์ล้ม ทั้งๆ ที่เคยรับปากกับพ่อแม่ไว้ว่าจะไม่ขับ ประกอบกับพ่อแม่เป็นคนดุ เป็นคนน่ากลัว ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าพูด อาจนำไปสู่การพูดโกหก และปกปิดความผิดได้

พ่อแม่ควรปรับตัวอย่างไร?

1. รับฟังอย่างลึกซึ้ง วางมือจากธุระ ตั้งใจฟัง และให้เวลากับเขา

2. ลดการตำหนิ ดุบ่นด่า จ้องจับผิด คำพูดดูถูกความคิดของเขา ควรรักษาศักดิ์ศรีให้เขาด้วย เรื่องนี้สำคัญมาก

3. ชื่นชมลูกทุกเรื่อง แม้นเป็นเรื่องที่เขาคิดได้ยังดีไม่พอ ให้ชื่นชมในมุมที่ชื่นชมได้ เช่นชื่นชมในความกล้าคิดกล้าแสดงออกของเขา และชื่นชมทุกครั้งเมื่อเขาคิดและแก้ปัญหาได้ดี

4. พ่อแม่ต้องตั้งสติให้ดี ในตอนที่ลูกเจอปัญหาหนัก เพราะลูกต้องการความปลอดภัย และความมั่นคง พ่อแม่ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก 

5. พ่อแม่ต้องเป็นนักสร้างบรรยากาศที่ดีในการสนทนา ช่วงแรกของการพูดคุยพ่อแม่ต้องพูดในเรื่องที่ลูกอยากฟังก่อน เสมือนหนึ่งว่าเรายืนอยู่ในมุมเดียวกับเขา เพื่อให้ลูกเปิดใจเข้ามารับฟังด้วยความเต็มใจ

การสื่อสารในครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนในครอบครัวเป็นหลัก เป้าหมายของการสื่อสารในครอบครัว ควรเป็นไปเพื่อให้เกิดความรักและความอบอุ่นในครอบครัว ทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดี (Relationship) และ ความเข้าอกเข้าใจกัน (Empathy) 

เขียนโดย: อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิง: https://th.theasianparent.com/gloves-for-newborns

นอกจากฟ้าทะลายโจรที่นับได้ว่าเป็นสมุนไพรไทยที่จะมาเป็นยาในการรักษาโควิด-19 แล้ว สมุนไพรไทยที่กำลังเป็นพูดถึงอย่างมากในการรักษาอาการโควิด-19 นั้นก็คือ “กระชาย”

ผ่านไปแล้วหลายวันครับ ในการใช้มาตรการสูงสุดของรัฐบาลโดยการล็อกดาวน์ ในจังหวัดที่มีสีแดงเข้มหลายจังหวัด และมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด โดยมีแนวโน้มที่จะขยายมาตรการที่เข้มข้นนี้ออกไป ทั้งระยะเวลาและพื้นที่ในการบังคับใช้ อีกด้วย อย่างไรก็ตามผลจากการใช้มาตรการแบบเข้มข้นของรัฐบาลในรอบนี้ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเห็นทางสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย เนื่องจากจำนวนยอดผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นว่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนยอดปัจจุบันมาแตะที่หลักสองหมื่นกว่าแล้ว 

ท่ามกลางกระแสของการแพร่ระบาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง และความกลัวในเรื่องยารักษาหลักคือ “ฟาวิพิราเวียร์” ที่ไม่เพียงพอ ก็ได้มีการผุดทางออกในเรื่องของการใช้สมุนไพรไทย ในการรักษาและยับยั้งการแพร่ไปสู่อวัยวะที่สำคัญ โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่ชื่อ “ฟ้าทะลายโจร” ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เริ่มมีการศึกษาในระดับการใช้งานในคน และมีการยอมรับแล้วว่า สามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว โดยการออกฤทธิ์คล้ายกับยาฟาวิพิราเวียร์ เลยทีเดียว 

นอกจากฟ้าทะลายโจรแล้ว ก็มีสมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งที่ได้มีการศึกษาสำหรับใช้ในการรักษาโควิด-19 และผลการศึกษามีแนวโน้มที่ดีด้วยในการออกฤทธิ์ ยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกาย นั่นก็คือพืชสมุนไทยที่คนไทยคุ้นเคยกันดีที่ชื่อว่า “กระชาย” 

สำหรับวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกระชายกันครับ “กระชาย” มีชื่อสามัญว่า Fingerroot หรือ Chainese ginger หรือ Chainese Key หรือ Galingale มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia rotunda (L.) Mansf อยู่ในวงศ์ขิง เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ที่เรียกว่า เหง้า รากของกระชายจะสะสมอาหารจนพองเป็นก้าน เรียกว่า แง่ง กระชายมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อเรียกกันว่า ขิงจีน เราจะรู้จักกระชายกันดีในเรื่องของนำมาทำเป็นส่วนประกอบสำหรับทำอาหาร โดยเมื่อนำเหง้าหรือแง่งในปริมาณ 100 กรัม ของกระชายมาวิเคราะห์ พบว่ามีสารอาหารที่สำคัญได้แก่ คาร์โบไฮเดรต 17.8 กรัม เส้นใยอาหาร 2.0 กรัม น้ำตาล 1.7 กรัม โปรตีน 1.8 กรัม โพแทสเซียม 415 มิลลิกรัม โซเดียม 13 มิลลิกรัม ไขมันอิ่มตัว 0.2 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัว 0.2 กรัม วิตามีนบี 6 8% วิตามีนซี 8% แคลเซียม 2% เหล็ก 3% แมกนีเซียม 11% กระชายที่ใช้ประโยชน์กันแพร่หลาย มี 3 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ กระชายแดง และกระชายเหลือง หรือกระชายขาว 

สำหรับสรรพคุณของกระชายนั้น สามารถแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล แก้อาการวิงเวียนหัว แน่นหน้าอก ได้ และกระชายดำก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยเพิ่มสมรรถนะทางเพศได้อีกด้วย สำหรับกระชายที่มีการศึกษาว่ามีฤทธิ์ที่สามารถยับยั้งการกระจายตัวของไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว คือ กระชายขาว โดยจากผลการวิจัยร่วมกันของคณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และและศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) พบว่า มีสารสำคัญ 2 ชนิด ที่พบในสารสกัดกระชายขาว ซึ่งสามารถช่วยในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย คือ พิโนสโตรบิน (Pinostrobin) และ แพน​ดูราทิน เอ (Panduratin A) 

โดยมีกลไกลทำงาน คือเมื่อร่างกายได้รับสารสกัดที่สำคัญของกระชายนี้ในปริมาณที่เหมาะสม สารดังกล่าวจะไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโควิด-19 และทำให้ไวรัสสลายไปในที่สุด โดยพบว่าสามารถลดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 100% เลยทีเดียว โดยผลจากการทดลองในการยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่าสามารถลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อ จาก 100% ไปถึง 0% ได้ และ เมื่อวิเคราะห์ลักษณะการยับยั้งในการผลิตตัวไวรัสออกจากเซลล์ พบว่า สารสกัดจากกระชายขาวสามารถยับยั้งได้ถึง 100% นั่นก็คือเซลล์นั้นไม่สามารถที่จะผลิตตัวไวรัสตัวใหม่ออกมาจากตัวเซลล์ได้เลย  

ทั้งนี้ในกรณีการศึกษาวิจัยในกรณีดังกล่าวนั้น เป็นการศึกษาในระยะเริ่มต้น หรือระดับห้องปฏิบัติการ คือศึกษาในหลอดทดลอง และเริ่มนำมาใช้ในสัตว์ทดลองคือหนูเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มมีการศึกษาโดยทดลองใช้กับมนุษย์จริง และคงมีการศึกษาใช้กับมนุษย์ในระยะต่อไป ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของฟ้าทะลายโจร ที่เริ่มมีการทดลองใช้กับคนมาระยะหนึ่งแล้ว และได้ผลพบว่าสามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อ เข้าสู่ร่างกายแล้วได้จริง 

แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนมองว่าเนื่องจาก กระชายเป็นทั้งพืชที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร และยังเป็นสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ถ้าเรามีไว้ติดบ้านนอกจากมีสรรพคุณสำหรับรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปากเป็นแผล หรือเพิ่มสมรรถนะทางเพศ ตามความเชื่อแล้ว ก็ยังอาจเป็นทางออกอีกทางออกหนึ่งหนึ่งที่ สามารถยับยั้งการแพร่ของไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายเรา ในยุคของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไรก็ได้ครับ 


เขียนโดย: ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้สามารถแยกความรักได้เป็น 7 รูปแบบ

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่าแท้จริงแล้วความรักในชีวิตคนเรามีกี่รูปแบบ สามารถอธิบาย แบ่งแยกได้จากอะไร ผู้เขียนมีโอกาสได้ศึกษาและอ่านบทความที่น่าสนใจ อธิบายถึงนิยามความรัก 7 รูปแบบตามหลักจิตวิทยา 

หากถามว่า รักคืออะไร? แน่นอนว่านักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์พยายามตอบคำถามนี้มาเป็นเวลาหลายปี ในช่วงปี 1986 โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ หรือที่ตั้งชื่อว่า ‘สามเหลี่ยมความรัก’ (triangular theory of love) ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้เอง สเติร์นเบิร์ก ได้แยกความรักออกเป็น 7 รูปแบบ คือ

1. ความหลงใหล 

ช่วงนี้นั้นเป็นช่วงที่ผู้คนแทบไม่รู้จักกัน แต่รู้สึกถึงแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ในความสัมพันธ์นี้คนสองคนมักไม่มีความคิดที่ว่าทั้งคู่มีอะไรเหมือนหรือต่างกัน แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน

2. ความชอบ

ในความสัมพันธ์นี้ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ความรักประเภทนี้ ผู้คนมักจะอยู่ด้วยกันเพราะมีความสนใจร่วมกัน มีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและความรู้สึกเข้าใจกัน นักจิตวิทยาเชื่อว่าความใกล้ชิดที่ปราศจากความหลงใหลและการผูกมัดจะส่งผลให้เกิดมิตรภาพมากกว่าความรักที่เต็มเปี่ยม

3. รักที่ว่างเปล่า

ความรักประเภทนี้มีเพียงการผูกมัด โดยปราศจากความใกล้ชิดและความหลงใหล บางครั้งความสัมพันธ์ประเภทนี้จะเกิดขึ้นหลังจากความรักที่ยิ่งใหญ่และเร่าร้อน หรือที่เรียกว่า ‘จุดอิ่มตัว’ คนที่พบกับความรักที่ว่างเปล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือเพิ่มความหลงใหลให้กับความรู้สึกของพวกเขา

4. รักสายฟ้าแลบ

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยการผูกมัดและความหลงใหล เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคู่รักหลาย ๆ คู่ นี่คือความรักที่เกิดขึ้นเมื่อคน 2 คนดึงดูดซึ่งกันและกันจริง ๆ และพร้อมที่จะทำตามประเพณีบางอย่าง เช่น การแต่งงาน การแลกเปลี่ยนคำปฏิญาณ และการแบ่งปันหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมที่แท้จริง

5. ความรักโรแมนติก

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยความหลงใหลและความใกล้ชิด คู่รักรูปแบบนี้ดึงดูดซึ่งกันและกัน และรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ข้าง ๆ กัน แต่พวกเขายังไม่พร้อมที่จะให้คำมั่นสัญญาที่จริงจัง ความสัมพันธ์ประเภทนี้มักจะไปไม่ถึงระดับของการอยู่ร่วมกันหรือการแต่งงาน

6. ความรักแบบมิตรภาพ

ความรักแบบเพื่อนประกอบด้วยการผูกมัดและความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ดังกล่าวแน่นแฟ้นกว่ามิตรภาพทั่วไปมากและมีความผูกพันที่แท้จริง เป็นข้อตกลงที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ เพราะความรักประเภทนี้ขาดความหลงใหล นักจิตวิทยากล่าวว่าความสัมพันธ์แบบคู่หูสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากรู้จักหรือแต่งงานกันมานานหลายปี

7. ความรักที่สมบูรณ์

ความรักนี้มีองค์ประกอบครบทั้ง 3 คือ ความหลงใหล ความใกล้ชิด และการผูกมัด ในความเป็นจริงแทบจะไม่เห็นความสัมพันธ์ประเภทนี้ แต่ถ้าผู้คนสามารถสร้างความสัมพันธ์นี้ได้ แสดงว่าพวกเขารักกันอย่างแท้จริง คู่รักเหล่านี้มักจะมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยกันและมีความสุขกับชีวิตแต่งงาน

บางครั้งการจัดประเภทความรัก อาจจะช่วยให้คุณมองรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ออกออก และเรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับมัน แล้วคุณผู้อ่านเคยพบเจอกับความรักรูปแบบไหนกันมาบ้าง หรือมุ่งหวังให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคู่เป็นไปในรูปแบบใด ลองมาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนพบเจอความรักที่พอดีกับตัวเองค่ะ

เขียนโดย: เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง: https://brightside.me/inspiration-relationships/psychologists-defined-7-types-of-love-and-only-few-people-experience-the-last-one-603360/

“โรคไมเกรน” ถือว่าเป็นโรคที่คนไทยหลาย ๆ คนเป็น เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดในสมองมีการหดตัว ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียว ต้องทานยาสำหรับโรคนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้หลาย ๆ คนก็สามารถเป็นโรคไมเกรนเทียมได้อีกด้วย !

'โรคไมเกรน' หรือ การปวดหัวข้างเดียว เกิดจากความผิดปกติในการหดตัวของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง มักเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ แต่อาจมีตัวกระตุ้น เช่น แสง สี เสียง กลิ่น อากาศร้อน หรือการมีประจำเดือน มักมีอาการปวดหัวข้างเดียว หรือปวดสลับข้างกัน หากเป็นมากจะเห็นแสงจ้าหรือแสงระยิบระยับร่วมด้วย ซึ่งการปวดหัวไมเกรนมักดีขึ้นได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ (ยาพาราเซตามอลไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น)

อย่างไรก็ตามหากรับประทานยารักษาไมเกรนแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเกิดจาก 'ไมเกรนเทียม' แฝงอยู่ก็เป็นได้ !! 

ไมเกรนเทียมไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง แต่เกิดจากการเกร็งตัว หรือหดสั้นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า และฐานกะโหลกศีรษะ โดยกลุ่มกล้ามเนื้อที่มักก่อให้เกิดการปวดคล้ายไมเกรนพบได้หลายมัด เช่น Suboccipital, Upper trapezius, Semispinalis capitis, Splenius capitis, Sternocleidomastoid Muscle ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หลักในการพยุงกะโหลกศีรษะ การหันหน้า และการก้มเงยคอ 
เนื่องจากกล้ามเนื้อเหล่านี้มีจุดเกาะอยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนคอและฐานกะโหลก

เมื่อเกร็งคอและบ่าเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการปวดสะสมขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงอาจแยกไม่ออกว่าอาการปวดหัวข้างเดียวเกิดขึ้นเกิดจากไมเกรนเทียมหรือไม่

ทั้งนี้ ไมเกรนเทียมสามารถพบได้บ่อยไม่ต่างจากไมเกรนแท้!! แต่สามารถสังเกตได้!! 

วิธีสังเกตอาการของไมเกรนเทียม สังเกตได้จากเมื่อเกิดการปวดหัวข้างเดียว ขณะที่มีการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ รวมถึงการทรงท่าที่ผิดปกติ เช่น ไหล่ห่อ คอยื่น เป็นต้น 

นอกจากนี้ไมเกรนเทียมยังสามารถพบจุดกดเจ็บ (Trigger Point) หรือกล้ามเนื้อที่เกร็งค้างบริเวณคอ บ่า และใต้ฐานกะโหลก ซึ่งเมื่อทำการกด นวด หรือยืดกล้ามเนื้อมัดดังกล่าว อาจมีการปวดร้าวไปยังบริเวณต่าง ๆ 

ส่วนวิธีป้องกันไมเกรนเทียมที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องนั่งนาน ๆ เนื่องจากกล้ามเนื้อมีการเกร็งและนำไปสู่การบาดเจ็บได้ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้... 

>> หากต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานควรจัดระดับหน้าจอ เก้าอี้ และคีย์บอร์ดให้เหมาะสม ควรเป็นเก้าอี้ที่มีที่รองแขน เพื่อให้ไม่ต้องออกแรงยกไหล่ขึ้นตลอดเวลา ปรับระดับหน้าจอ และความสูงของเก้าอี้ 

>> ใส่แว่นสายตาและจัดแสงสว่างให้เหมาะสมกับการทำงานประเภทต่าง ๆ เพราะการต้องเพ่งมองมาก ๆ ทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า และฐานกะโหลกเกร็งตัวมากขึ้น

>> เปลี่ยนอิริยาบททุกชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย หรือดื่มน้ำ 1-2 แก้วทุกชั่วโมงทำให้ต้องเปลี่ยนอิริยาบทและเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ระหว่างวันควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่อย่างสม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้... 

ยืดกล้ามเนื้อบ่า 

เริ่มจากนำแขนข้างที่จะยืดไปไว้ด้านหลัง แล้วใช้มืออีกข้างจับไว้ โดยเอียงศีรษะไปด้านตรงข้าม ช้า ๆ เอียงจนรู้สึกตึงบ่าด้านขวา หรือให้หูซ้ายเข้าใกล้บ่าซ้ายมากที่สุด หากยังไม่รู้สึกตึงให้หมุนหน้าไปทางซ้ายหรือขวาเล็กน้อย ยืดค้าง 5-10 วินาที รอบละ 10-15 ครั้ง

บริหารกล้ามเนื้อฐานกะโหลก

ทำท่าเก็บคาง หรือพยายามเอาคางชิดอกโดยไม่ก้มคอ ห้ามกลั้นหายใจขณะทำ เกร็งค้างเบา ๆ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง

บริหารกล้ามเนื้อต้นคอ

...นอนคว่ำ ให้ช่วงอกยื่นออกจากเตียงเล็กน้อย

เก็บคาง ไม่เงยหน้า แต่ให้ออกแรงยกช่วงศีรษะขึ้นมาตรงๆ เกร็งกล้ามเนื้อด้านหลังคอค้างไว้ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการปวดหัวข้างเดียวหรือไมเกรนและรับการรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น เพราะอาจพบไมเกรนเทียมร่วมด้วยนั้น

เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจประเมินและรักษาไมเกรนเทียม โดยการรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดี เช่น การประคบร้อนหรือเย็นตามระยะของอาการ การกดจุดหรือยืดกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหา การใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการออกกำลังกายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดและการปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน จะช่วยลดปัญหาไมเกรนเทียมได้เป็นอย่างดี

.

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


ข้อมูลอ้างอิง
http://www.kulpphysicaltherapy.com/headache.html
https://kokyun.wordpress.com/2011/10/10/the-correct-sitting-posture-in-front-of-a-computer/
https://www.thonburihospital.com/Migraine.html
https://i.pinimg.com/originals/b0/80/90/b080902f6d514f13cd01408a57ff36dc.jpg
https://www.rehabmypatient.com/neck/splenius-cervicis
https://salusmt.com/saturday-stretch-the-suboccipital-group/

เมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้น ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดียิ่งขึ้นแต่เรื่องง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป ”อุบัติเหตุจากการหกล้ม” ซึ่งนอกจากจะเกิดอาการบาดเจ็บแล้วอาจส่งผลถึงระบบภายใน ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

ผู้สูงอายุหมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 10 ล้านคน ซึ่งนับเป็นร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด จึงถือว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) และคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged society) ดังเช่น ประเทศญี่ปุ่น, อิตาลี, เยอรมันและสวีเดน

ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ, ความแข็งแรงเริ่มถดถอย, การทรงตัวแย่ลง จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การล้มเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระดูกหักในผู้สูงอายุ และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องย้ายจากบ้านไปอยู่สถานพักฟื้น รวมถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ในผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการล้มมากถึงร้อยละ 28-35 และผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการล้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 32-42 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุมีอัตราการเสียชีวิตจากการล้มสูงเป็นอันดับ 2 รองจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกด้วย

ทำไมผู้สูงอายุถึงล้ม

1.) มีปัญหาเรื่องการทรงตัว
2.) มีความบกพร่องทางการมองเห็น
3.) มีปัญหากระดูกสันหลังหรือหลังค่อม ทำให้ไม่สามารถยืดลำตัวตรง
4.) เป็นโรคความดันโลหิตหรือกินยาบางชนิดที่ส่งผลต่อความดันโลหิต
5.) กล้ามเนื้อขาและสะโพกไม่แข็งแรง

วิธีป้องกันและแก้ไขเบื้องต้น

1.) พบผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและแก้ไขปัญหาการทรงตัวที่เกิดจากทางกระดูกหูชั้นใน 
2.) แก้ไขปัญหาสายตา เช่น การตัดแว่นสายตาให้เหมาะสม
3.) เปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ไม่นั่งหลังค่อมเป็นระยะเวลานาน
4.) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคความดันโลหิต
5.) ออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาและสะโพก โดยใช้เก้าอี้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย ดังนี้

ท่าที่ 1

เขย่งเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

กระดกเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

ท่าที่ 2     

ย่ำเท้า ซ้าย-ขวา สลับกัน

ยกขาขึ้น ค้าง 10 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง)

ท่าที่ 3

แกว่งขาไปด้านหน้า ค้างไว้ 10 วินาที แล้วแกว่งไปด้านหลัง ค้างไว้ 10 วินาที ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

ท่าที่ 4 กางขาออกด้านข้าง ซ้าย-ขวาสลับกัน

กางขา ค้างไว้ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง

ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

การออกกำลังกายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและสะโพก เมื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีส่วนช่วยฝึกการทรงตัวและป้องกันการล้มในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ลูกหลานต้องให้ความรัก ความห่วงใย ดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจให้ท่านมีชีวิตอยู่กับเราไปอีกนาน

.

เขียนโดย:  กภ. วิชญดา มาเสถียร
นักกายภาพบำบัด ปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต กายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล 


ข้อมูลอ้างอิง 
12 Best Elderly Balance Exercises For Seniors to Help Prevent Falls – ELDERGYM®
หกล้มในผู้สูงอายุ อันตรายกว่าวัยอื่นหลายเท่าตัว ปัญหาที่ต้องระวัง • RAMA Channel (mahidol.ac.th)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top