Sunday, 18 May 2025
China

คนจีนแห่ซื้อ ผงาดสินค้าขายดี งานโชว์นานาชาติ CIIE ที่เซี่ยงไฮ้

(11 พ.ย.67) ทุเรียนสดรสชาติหวานละมุนกองพะเนินถูกส่งตรงจากไทยสู่งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) ครั้งที่ 7 ในมหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน โดยกลิ่นและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ได้ดึงดูดผู้บริโภคและผู้ค้าเข้าเยี่ยมชมบูธผลไม้กันอย่างคึกคัก

ไทยนั้นเป็นประเทศแรกที่ได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนตรงสู่จีนภายใต้ความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศ ทำให้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนเป็นอันดับหนึ่ง และปีนี้ 'ราชาแห่งผลไม้' เป็นดาวเด่นของงานมหกรรมฯ อีกครั้งด้วยสารพัดผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ทุเรียนสดจนถึงของหวานหลายเมนู

เฝิงจี้เฉิงจากบริษัทค้าขายทุเรียนสดแห่งหนึ่งเผยว่าทุเรียนที่จัดแสดงมาจากฐานการผลิตหลักในไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งมาจากไทย พร้อมเสริมว่าบริษัทเพิ่มความร่วมมือกับหุ้นส่วนในไทย เพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดทุเรียนในจีน ซึ่งเติบโตที่อัตราร้อยละ 20-30 ในปัจจุบัน

ด้านเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์ทุเรียนสดหลายสายพันธุ์ภายใต้แบรนด์ซีพี เฟรช ซีเล็คชัน (CPFresh Selection) ทั้งหมอนทอง หนามดำ แมวภูเขา ชะนี ก้านยาว และพวงมณี เพื่อผู้บริโภคชาวจีนได้มีตัวเลือกหลากหลาย ท่ามกลางโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน

เฉาจงหย่ง ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ทุเรียนของบริษัทค้าขายผลไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 เผยว่างานนี้ช่วยให้บริษัทได้เจรจาหารือกับบรรดาหุ้นส่วนจากไทยและประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดความร่วมมือตามมาและการพัฒนาบริษัทอย่างต่อเนื่อง

บริษัทของเฉาได้ร่วมมือกับบริษัท ไทย มงกุฎ กรุ๊ป จำกัด ในจังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานแปรรูปทุเรียนขนาดใหญ่ที่สุด นำสู่การจ้างงานและพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีการจ้างงานคนท้องถิ่นมากกว่า 200 คน ส่งออกทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ ราว 5,000 ตู้คอนเทนเนอร์ และจ่ายภาษีกว่า 40 ล้านบาท ในปี 2023

อนึ่ง แม้งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 5-10 พ.ย. ได้ปิดฉากลงแล้ว แต่กลิ่นทุเรียนไทยยังคงหอมฟุ้งดึงดูดใจผู้บริโภค และความร่วมมือทางการค้าระหว่างสองประเทศยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างสวยงาม

จีนเกินดุลการค้า 170 ประเทศ!! มูลค่าพุ่ง 7.85 แสนล้านดอลล์ จ่อแตะ 1 ล้านล้านสิ้นปีนี้ จับตาทรัมป์ตอบโต้แน่

(11 พ.ย.67) บลูมเบิร์กรายงานว่าดุลการค้าของจีนกำลังจะทำลายสถิติใหม่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักมากขึ้น โดยความไม่สมดุลทางการค้านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับโดนัลด์ ทรัมป์  

รายงานระบุว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 จีนมียอดเกินดุลการค้ากว่า 785,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26.9 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้บลูมเบิร์กคาดการณ์ว่าจีนอาจเกินดุลแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34.32 ล้านล้านบาท) หากแนวโน้มยังคงเติบโตไปจนถึงสิ้นปีนี้

แบรด เซ็ตเซอร์ นักวิชาการอาวุโสจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ความเห็นว่า แม้ว่าราคาสินค้าส่งออกของจีนจะลดลง แต่ปริมาณการส่งออกกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จีนจึงสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการส่งออกอย่างแข็งแกร่ง

ภาวะเกินดุลการค้าของจีนที่เพิ่มขึ้นนี้ก่อให้เกิดแรงกดดันจากนานาประเทศ เช่น สหรัฐภายใต้รัฐบาลทรัมป์ที่อาจขึ้นกำแพงภาษีเพื่อลดการนำเข้าสินค้าจากจีน นอกจากนี้ หลายประเทศทั้งในอเมริกาใต้และยุโรปยังเริ่มกำหนดภาษีสินค้าจีน เช่น เหล็กและรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แล้วเช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติต่างถอนการลงทุนจากจีนตามข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนลดลงต่อเนื่องในช่วง 9 เดือนแรกของปี และหากยังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็จะนับเป็นปีแรกที่เงินทุนไหลออกมากกว่าทุกปีนับตั้งแต่มีการบันทึกในปี 1990

รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะให้การสนับสนุนเพิ่มเติมแก่บริษัทต่าง ๆ โดยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน คณะมนตรีรัฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศแผนสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน รวมถึงการส่งเสริมการค้า

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา บริษัทจีนได้เพิ่มศักยภาพในการส่งออก แม้ภายในประเทศเศรษฐกิจจะชะลอตัว และมีการใช้สินค้าภายในประเทศทดแทนการนำเข้ามากขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้อุปสงค์ต่อการนำเข้าลดลง

ดุลการค้าในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาถือเป็นการเกินดุลมากเป็นอันดับสาม โดยดุลการค้าสูงสุดเคยเกิดขึ้นในปี 2015 และเมื่อคำนวณในสกุลเงินหยวน จีนมีดุลการค้าเกินดุลที่ 5.2% ของ GDP ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้

ตั้งแต่ต้นปี 2024 จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.4% จากปีก่อนหน้า เกินดุลกับสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 9.6% และเกินดุลกับชาติอาเซียนเพิ่มขึ้นเกือบ 36% 

ปัจจุบัน จีนเกินดุลการค้ากับประเทศเกือบ 170 ประเทศ ซึ่งสูงสุดตั้งแต่ปี 2021 และแนวโน้มยังคงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สงครามสกุลเงินอาจปะทุขึ้นได้ ธนาคารกลางอินเดียเผยว่าจะพร้อมอ่อนค่าเงินรูปีหากจีนเลือกตอบโต้สหรัฐด้วยการปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลง

หากเงินหยวนอ่อนลงต่อไปจะทำให้สินค้าส่งออกของจีนมีราคาถูกลง ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างจีนกับอินเดียอาจเกินดุลเพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยปีนี้จีนเกินดุลการค้ากับอินเดียกว่า 85,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.92 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว

จีนปล่อยจรวด 'ลี่เจี้ยน-1 วาย5' ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรในครั้งเดียว

(12 พ.ย.67) จีนปล่อยจรวดขนส่งเชิงพาณิชย์ลี่เจี้ยน-1 วาย5 (Lijian-1 Y5) ตอน 12.03 น. ของวันจันทร์ (11 พ.ย.) ตามเวลาปักกิ่ง จากเขตนำร่องนวัตกรรมการบินและอวกาศเชิงพาณิชย์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน พร้อมส่งดาวเทียม 15 ดวง อาทิ ดาวเทียมจากตระกูลจี๋หลิน-1 เกาเฟิน (Jilin-1 Gaofen) ตระกูลอวิ๋นเหยา-1 (Yunyao-1) และตระกูลซีกวง-1 (Xiguang-1) รวมทั้งดาวเทียมสำรวจระยะไกลสำหรับโอมาน ขึ้นสู่วงโคจรที่กำหนดไว้

ซีเอเอส สเปซ (CAS Space) บริษัทการบินอวกาศเชิงพาณิชย์ที่จัดตั้งโดยสถาบันเครื่องกล สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ได้พัฒนาจรวดขนส่งลี่เจี้ยน-1 โดยจรวดรุ่นนี้ขึ้นบินเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2022 และปัจจุบันปล่อยดาวเทียมรวม 57 ดวงในภารกิจการบิน 5 ครั้ง

จรวดลี่เจี้ยน-1 มีความยาว 30 เมตร มีน้ำหนักตอนออกตัว 135 ตัน และมีแรงขับขณะออกตัว 200 ตัน สามารถขนส่งอุปกรณ์บรรทุก (payload) หนัก 1.5 ตันไปยังวงโคจรสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ระยะทาง 500 กิโลเมตร หรือขนส่งอุปกรณ์บรรทุก 2 ตันสู่วงโคจรต่ำของโลกได้

จรวดขนส่งลี่เจี้ยน-1 วาย5 ใช้เพย์โหลด แฟริง (payload fairing) หรือฝาครอบส่วนปลายแหลมด้านหน้าจรวดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.35 เมตร เพื่อใช้เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับรองรับดาวเทียม อีกทั้งสามารถปรับการกำหนดค่าเพย์โหลด แฟริงได้ตามความจุอุปกรณ์บรรทุก และข้อกำหนดด้านพื้นที่ของดาวเทียมในภารกิจในอนาคต

จีนออกกฎเด็กเล็กเลิกสอบเข้าเรียน ลดภาระทางวิชาการ มีผล 1 มิ.ย. ปีหน้า

(12 พ.ย.67) กระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้เด็กก่อนวัยเรียน (preschool-aged) ที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นอนุบาลทำการสอบหรือการทดสอบก่อนเข้าเรียนไม่ว่าในรูปแบบใด

ระหว่างการแถลงข่าวประเด็นกฎหมายการศึกษาก่อนวัยเรียน ซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติจีนได้รับรองร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ (8 พ.ย.) ที่ผ่านมา จางเหวินปิน เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงฯ กล่าวว่าโรงเรียนอนุบาลของรัฐควรรับเด็กที่มีความพิการเข้าเรียนด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรงเรียนอนุบาลได้ ท่ามกลางความพยายามปกป้องสิทธิในการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น

กฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 2025 กำหนดให้การศึกษาก่อนวัยเรียนเป็นบริการการดูแลและการศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลและสถาบันอื่นๆ จัดให้สำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปก่อนเข้าเรียนในชั้นประถม อีกทั้งระบุว่าการศึกษาก่อนวัยเรียนถือเป็นส่วนสำคัญของระบบการเรียนระดับชาติและสวัสดิการสังคม 

จีนพัฒนาการศึกษาก่อนวัยเรียนอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีเด็กเล็กเกือบ 40.93 ล้านคนเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลทั่วประเทศเมื่อปี 2023 ครองสัดส่วนร้อยละ 91.1 ของเด็กเล็กก่อนวัยเรียนทั้งหมด

ทั้งนี้ การยกเลิกการสอบและการทดสอบก่อนเข้าเรียน ยังถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการลดภาระทางวิชาการให้กับเด็กและนักเรียนชาวจีน โดยจีนได้ออกเอกสารสนับสนุนนโยบาย 'ลดสองเท่า' (double reduction) ซึ่งมุ่งลดการบ้านและชั่วโมงเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนที่มากเกินไปของนักเรียนระดับประถมและมัธยมต้นเมื่อปี 2021

วัยรุ่นจีนนับหมื่น ปั่นจักรยานข้ามเมือง ชิมเสี่ยวหลงเปาเจ้าดังยามราตรี

(12 พ.ย.67) กลายเป็นไวรัลฮิตในจีนหลังจากที่มีการแชร์เรื่องราวว่า มีนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งได้ปั่นจักรยานเป็นระยะทาง 48 กิโลเมตร จากเมืองเจิ้งโจวไปเมืองไคเฟิง เพื่อลิ้มรสร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าดัง จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียจีน 

ส่งผลให้นักปั่นชาวจีนจำนวนมากรวมตัวกันเมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน ทำให้เกิดการจราจรในเมืองไคเฟิงติดขัดเป็นอย่างมาก เพื่อไปชิมเกี๊ยวซุปร้านดัง จนทำให้ถนนหนาแน่นไปด้วยจักรยาน และบริษัทร้านเช่าจักรยานบางแห่งต้องปิดให้บริการชั่วคราวเพราะขาดแคลนจักรยาน

การปั่นจักรยานกลางคืนนี้ยังสะท้อนถึงเทรนด์การท่องเที่ยวแบบประหยัดที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจีน โดยสื่อของรัฐยกย่องกิจกรรมนี้ว่าเป็นการแสดงออกถึง 'ความกระตือรือร้นของคนรุ่นใหม่' และยังมองว่าเป็นโอกาสในการโปรโมทการท่องเที่ยว โดยในวันที่จัดกิจกรรมดังกล่าวทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พยาบาลมาคอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง

'เยอรมนี' ชาติยอดนิยมในยุโรป นักศึกษา 'อินเดีย-จีน' แห่ไปเรียนมากสุด

(13 พ.ย. 67) เยอรมนีพบจำนวนนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยในภาคการศึกษาฤดูหนาวปี 2023-2024 มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 380,000 คนลงทะเบียนเรียน เพิ่มขึ้น 3% จากปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ DAAD (German Academic Exchange Service) นักศึกษาต่างชาติเหล่านี้คิดเป็นเกือบ 13% ของนักศึกษาทั้งหมดในเยอรมนี

นักเรียนจากอินเดียมีจำนวนมากที่สุด โดยมีนักเรียนลงทะเบียนประมาณ 49,000 คน รองลงมาคือจีน (38,700 คน) ตุรกี (18,100 คน) ออสเตรีย (15,400 คน) และอิหร่าน (15,200 คน) ขณะที่ซีเรีย ซึ่งเคยอยู่ในห้าอันดับแรก ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 13,400 คนหล่นอยู่ในอันดับที่หก

นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่อยู่ในรัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย (78,500 คน) รองลงมาคือบาวาเรีย (61,400 คน) และเบอร์ลิน (40,800 คน)

ศาสตราจารย์ Monika Jungbauer-Gans ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ศูนย์วิจัยอุดมศึกษาและการศึกษาวิทยาศาสตร์เยอรมัน กล่าวว่า จำนวนผู้ลงทะเบียนนักศึกษาต่างชาติในเยอรมนีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 15 ปี นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความน่าดึงดูดของมหาวิทยาลัยในเยอรมนี โดยเฉพาะหลักสูตรปริญญาโทที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ “เพื่อเพิ่มจำนวนการลงทะเบียน เราจำเป็นต้องยกระดับการสนับสนุนนักศึกษาในทุกระดับการศึกษา” เธอกล่าวในแถลงการณ์ของ DAAD

ปัจจุบัน หลักสูตรวิชาการในเยอรมนีราว 10% ใช้การสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับหลักสูตรภาษาอังกฤษที่เพิ่มขึ้นจนเกิดข้อจำกัดในบางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ ตามรายงานของ The PIE News

การสำรวจจาก Study in Germany เว็บไซต์การศึกษาต่อเยอรมนี ระบุเหตุผลสำคัญสามประการที่ดึงดูดนักเรียนต่างชาติ ได้แก่ 1.การเรียนฟรี มหาวิทยาลัยของรัฐในเยอรมนีไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียน โดยนักศึกษาชำระเพียงค่าธรรมเนียมการบริหารปีละประมาณ 150-250 ยูโร (160-268 ดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรกว่า 500 หลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเยอรมนี 49 แห่งติดอันดับโลกโดย Times Higher Education

2.ค่าครองชีพต่ำ นักศึกษาต่างชาติใช้ชีวิตด้วยงบประมาณเฉลี่ย 930 ยูโร (1,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกามาก 3.โอกาสทำงานหลังเรียนจบ นักศึกษาสามารถอยู่ในเยอรมนีได้นานถึง 18 เดือนเพื่อหางาน โดยผลสำรวจยังชี้ว่านักศึกษาต่างชาติ 70% ต้องการทำงานในเยอรมนีหลังเรียนจบ

Kai Sicks เลขาธิการ DAAD กล่าวถึงความสำคัญของการสนับสนุนหลักสูตรภาษาอังกฤษพร้อมกับการส่งเสริมการเรียนภาษาเยอรมันเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ “นักเรียนต่างชาติที่ประสบความสำเร็จในเยอรมนีมักจะเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและมหาวิทยาลัยได้ดี” เขากล่าวกับ The PIE

นอกจากนี้ เยอรมนี เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะถึง 7 ล้านคนภายในปี 2035 เนื่องจากประชากรสูงวัย DAAD ได้เรียกร้องให้รัฐบาล มหาวิทยาลัย และธุรกิจต่างๆ เพิ่มอัตราการคงอยู่ของบัณฑิตต่างชาติ โดยตั้งเป้ารักษาบัณฑิตไว้ประมาณ 50,000 คนต่อปีภายในปี 2030

ในปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Steffen Kaupp รองผู้อำนวยการสถาบันเกอเธ่ ฮานอย เปิดเผยว่า จำนวนนักศึกษาชาวเวียดนามในเยอรมนีเพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากช่วงก่อนโควิด-19 โดยส่วนใหญ่สนใจการฝึกอาชีวศึกษาในสาขาการพยาบาลและการบริการ

เครื่องดื่มแบรนด์ไทย ตีตลาดจีน ปีเดียวขยายแล้ว 160 สาขา

(14 พ.ย. 67) “โกโก้ร้านไอต้น” (Da HuZi Bing KeKe) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดจีนเมื่อปี 2023 และเพียงหนึ่งปีให้หลัง แบรนด์ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นจีน

ความสำเร็จของแบรนด์ส่วนหนึ่งมาจากเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของโลโก้ ซึ่งเป็นภาพ "นักเรียน" ที่มีลักษณะเหมือนเจ้าของแบรนด์ คุณต้น-ประชานารถ โพธิสาราช เมนูของร้านมุ่งเน้นที่โกโก้เป็นหลัก โดยใช้วัตถุดิบประมาณ 50% จากประเทศไทย ลูกค้าสามารถเลือกระดับความเข้มข้นได้ 4 ระดับ ได้แก่ "ละอ่อน" "เข้ม" "โคตรเข้ม" และ "โคตรหวาน" ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 18-22 หยวน (87-106 บาท) 

อีกจุดขายสำคัญของ “โกโก้ร้านไอต้น” คือการปรับเปลี่ยนภาพหนวดและการแต่งกายของตัวการ์ตูนบนแก้วตามเมนูและระดับความเข้มข้น เช่น หากสั่งโกโก้รสมินต์ หนวดจะเป็นสีเขียว หรือหากเป็นเมนูพิเศษช่วงคริสต์มาส ตัวการ์ตูนจะแต่งเป็นซานตาคลอส กลยุทธ์การตลาดสร้างสรรค์นี้ช่วยดึงดูดกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบถ่ายภาพและแชร์ลงโซเชียลมีเดียอย่าง Little Red Book

กลยุทธ์การขยายสาขาของโกโก้ร้านไอต้นในจีนเน้นการลงทุนน้อย และเลือกขยายตามศูนย์การค้า โดยเปิดสาขาแรกในสิบสองปันนาเมื่อเดือนเมษายน 2023 ซึ่งต่างจากไทยที่เน้นสตรีทฟู้ด ปัจจุบัน ร้านได้ขยายสาขาไปแล้วกว่า 160 แห่งในหลายมณฑล เช่น ยูนนาน เหอเป่ย กว่างซี กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้ และอื่น ๆ 

นอกจากโลโก้และการตลาดที่โดดเด่น การเข้าถึงลูกค้าด้วยการสร้างอารมณ์ขันยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของแบรนด์ การปรับภาพลักษณ์โลโก้ให้เข้ากับรสชาติและบรรยากาศเทศกาลสร้างความสนุกสนานและเข้าถึงง่าย ซึ่งเข้ากับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความผ่อนคลายในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ การใช้ต้นทุนการลงทุนที่ต่ำช่วยให้แฟรนไชส์ขยายสาขาได้รวดเร็ว ตอบโจทย์ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

ตลาดเครื่องดื่มชงในจีนยังมีแนวโน้มเติบโตสูง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 421,300 ล้านหยวนในปี 2022 เป็น 1.18 ล้านหยวนในปี 2028 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 18.7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มโดยรวม ปัจจุบันการบริหารและขยายสาขาของโกโก้ร้านไอต้นในจีนดำเนินการโดยบริษัทจีน 100% โดยใช้วัตถุดิบจากไทยราว 50%

จากการเติบโตของโกโก้ร้านไอต้นในจีน กลยุทธ์การตลาดที่สร้างสรรค์ การจัดการต้นทุน และการเลือกทำเลที่ตั้งอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้แบรนด์สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง

ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน

แดนมังกรต้อนรับนศ.ต่างชาติแล้ว 195 ประเทศ เร่งขยายหลักสูตรรองรับ ดึงนร.อเมริกัน 50,000 คน

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67)  เฉินต้าลี่ เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการของจีน เปิดเผยว่า การศึกษาของจีนได้รับความสนใจจากนักเรียนนักศึกษาต่างชาติในระดับที่สูงขึ้น

เฉินระบุว่า จีนได้ลงนามข้อตกลงรับรองปริญญาบัตรและประกาศนียบัตรร่วมกับ 60 ประเทศและภูมิภาค และขณะนี้มีนักเรียนนักศึกษาจากกว่า 195 ประเทศและภูมิภาคเดินทางมาศึกษาต่อในจีน

จีนยังได้จัดตั้งหลู่ปาน เวิร์กชอป (Luban Workshop) มากกว่า 30 แห่งในเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เพื่อจัดฝึกอบรมวิชาชีพให้กับประชาชนกว่า 31,000 คน

ในส่วนของแผนการทางการศึกษา เฉินกล่าวว่า จีนกำลังดำเนินโครงการเชิญชวนวัยรุ่นชาวอเมริกัน 50,000 คน เดินทางมาจีนในช่วงเวลา 5 ปี ภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้

นอกจากนี้ จีนยังมีแผนที่จะรับนักเรียนนักศึกษาชาวฝรั่งเศสมากกว่า 10,000 คน ภายในระยะเวลา 3 ปี และเพิ่มจำนวนการแลกเปลี่ยนเยาวชนจากยุโรปไปยังจีนเป็นเท่าตัว

หมีขาวโชว์เจ็ทขับไล่ล่องหน งาน China Airshow เซ็นสัญญาขายต่างชาติรายแรก แต่ไม่เผยผู้ซื้อ

เว็บไซต์โกลบอลไทมส์ ของจีนรายงานว่า ที่งานมหกรรมการบินและอากาศยานนานาชาติจีน (China Airshow) ที่เมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง มีการเปิดเผยว่า รัสเซียได้ลงนามสัญญาจัดหาเครื่องบินรบเจเนอเรชั่นที่ 5 รุ่น Su-57 ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ stealth รุ่นที่ 5 ของโลก ให้กับคู่สัญญารายหนึ่งที่เป็นต่างชาติ แต่ไม่ได้มีการระบุรายละเอียดว่าใครเป็นผู้ซื้อเครื่องบินรบรัสเซียรุ่นนี้

ในสัญญาซื้อขายระบุว่า เครื่องบิน Su-57 ที่ขายให้ต่างชาติจะใช้ชื่อรุ่นว่า Su-57E ('E' หมายถึงการส่งออก) นาย Alexander Mikheev หัวหน้าบริษัท Rosoboronexport ยืนยันว่าได้ลงนามสัญญาฉบับแรกสำหรับการส่งออกเครื่องบิน Su-57 แล้ว แม้ว่าข้อมูลระบุตัวตนของผู้ซื้อจะยังคงเป็นความลับอย่างเคร่งครัด แต่การประกาศครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความสนใจที่เพิ่มขึ้นในเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ของรัสเซีย

Mikheev เน้นย้ำว่าสัญญานี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นของรัสเซียในการนำอาวุธประเภทใหม่และเทคโนโลยีทางการทหารเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึง Su-57 ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำว่ารัสเซียได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตร ซึ่งขณะนี้ต่างก็กระตือรือร้นที่จะซื้ออาวุธที่ 'เชื่อถือได้และได้รับการพิสูจน์แล้ว'

ความคิดเห็นของ Mikheev เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่แหล่งข่าวรัสเซียรายอื่น ๆ รายงานว่ามีความสนใจอย่างมากใน Su-57 จากลูกค้าต่างประเทศ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน TASS เปิดเผยว่าสำนักงานความร่วมมือทางเทคนิคการทหารของรัฐบาลกลาง (FSMTC) ได้รับคำขออย่างเป็นทางการในการซื้อเครื่องบินรบหลายบทบาทของรัสเซียจากลูกค้ารายหนึ่งที่ไม่ได้เปิดเผย

สำหรับงาน Airshow China 2024 รัสเซียได้ส่งเครื่องบิน Su-57 จำนวนสองลำมาจัดแสดงในงาน โดยหนึ่งลำมีการแสดงการบิน และอีกหนึ่งลำถูกนำมาแสดงในรูปแบบสถิติเพื่อให้ตัวแทนทางทหารจากทั่วโลกและสื่อมวลชน 

Mikheev กล่าวกับ Global Times ว่า "Airshow China เป็นหนึ่งในงานแสดงอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับ Rosoboronexport เพราะที่จูไห่ คือที่ที่บริษัท บริษัท Rosoboronexport ของรัสเซีย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2000 ได้แสดงผลิตภัณฑ์ของตนเป็นครั้งแรก นั่นคือเหตุผลที่เรารู้สึกยินดีที่ได้จัดการแสดงแรกของ Su-57E ที่นี่ ซึ่งเครื่องบินของเราสามารถแสดงให้พันธมิตรหลักของรัสเซียได้เห็นและชื่นชม"

มิคเฮฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากเรื่องบิน Su-57 เราได้นำเสนอขีปนาวุธนำวิถีล่าสุดและระเบิดอากาศสำหรับเครื่องบินเจ็ทรุ่นที่ 5 และเฮลิคอปเตอร์สำหรับการโจมตีด้วย

'ชวีชุ่ยหรง' นายหญิงแห่ง KFC จีน เผยเคล็ดลับสำเร็จ ขยาย 10,000 สาขาในเวลาอันสั้น

(18 พ.ย. 67) โจอี้ วัต หรือ ชวีชุ่ยหรง ผู้บริหารหญิงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของจีน และติดอันดับหนึ่งใน 500 ผู้บริหารยอดเยี่ยมจากการสำรวจของนิตยสาร Fortune ได้ เผยเคล็ดลับการขยายธุรกิจร้านอาหาร Fast Food ในเครือ Yum China ซึ่งรวมถึง KFC, Pizza Hut, และ Taco Bell กว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศจีน

ในปี 2024 KFC ได้ทะยานสู่เป้าหมาย 10,000 สาขา ครอบคลุม 2,000 เมืองทั่วจีน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของแบรนด์ Fast Food ยอดนิยมจากต่างประเทศ ที่ยังคงครองใจผู้บริโภคจีนอย่างเหนียวแน่น

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ KFC สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว คือการสังเกตพฤติกรรมลูกค้าอย่างใกล้ชิดของ ชวีชุ่ยหรง ซึ่งไม่ได้พึ่งพาทีมการตลาดหรือการใช้ AI เท่านั้น แต่เธอใช้เวลามากกว่า 2-3 ชั่วโมงทุกวันในการนั่งดูลูกค้ากินอาหารในร้าน KFC เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงบริการและเมนูต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าผู้บริโภควัยรุ่นชาวจีนชอบกินไก่ทอดคู่กับมันบด แต่พบว่ามันไม่สะดวกในการรับประทาน ชวีชุ่ยหรงจึงคิดค้นเมนู "เบอร์เกอร์มันบดไก่ไม่มีกระดูก" ซึ่งกลายเป็นเมนูยอดฮิตใน KFC จีน

ไม่เพียงแค่ใน KFC ชวีชุ่ยหรงยังได้สร้างสรรค์เมนูพิซซ่าหน้าทุเรียนในร้าน Pizza Hut หลังจากที่เธอสังเกตเห็นว่าคนจีนชื่นชอบทุเรียน โดยเฉพาะเมื่อหลายร้านอาหารต่างชาติไม่อนุญาตให้นำทุเรียนเข้ามาในร้าน เธอจึงตัดสินใจนำทุเรียนมาสร้างสรรค์เป็นพิซซ่าหน้าทุเรียนซึ่งกลายเป็นเมนูขายดีอันดับหนึ่งของร้าน Pizza Hut จีน โดยมียอดขายมากกว่า 30 ล้านถาดต่อปี

ภายใต้การบริหารของเธอ KFC และร้านในเครือ Yum China ได้เสนอเมนูใหม่ๆ ให้กับลูกค้าชาวจีนมากกว่า 500 เมนู และปรับรูปแบบการให้บริการให้ทันกับสถานการณ์ รวมถึงในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ KFC เป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการแบบ "ไร้การสัมผัส" และยังมีการตั้งกองทุนช่วยเหลือพนักงานในช่วงที่ร้านต้องปิดกิจการ

ชวีชุ่ยหรงกล่าวว่า ทักษะการบริหารที่ประสบความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากตำราเรียน แต่เกิดจากการสละเวลาลงไปสังเกตและเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพูดคุยกับผู้จัดการร้านบ่อยๆ เพื่อเข้าใจปัญหาจริงจากหน้างานและสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ชวีชุ่ยหรงสามารถนำ KFC และร้านอาหารในเครือ Yum China ก้าวสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ ด้วยการสังเกตและเข้าใจลูกค้าด้วยตาตัวเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top