Friday, 9 May 2025
BCG

‘ดอยคำ’ เปิดตัวไอศกรีม ICE POP ‘รสฟรุตแอ๊บพันซ์’ มาพร้อมบรรจุภัณฑ์พิเศษ!! เก็บในอุณหภูมิห้องได้ ไม่ง้อตู้เย็น

‘ดอยคำ’ เปิดตัวไอศกรีมหวานเย็นรักษ์โลกสูตรใหม่ล่าสุด เอาใจคนรักสนุก กับดอยคำ ICE POP ‘ฟรุตแอ๊บพันซ์’ หวานเย็นเต็มรส 4 ผลไม้แท้ อร่อย หวาน หอม ซ่อนเปรี้ยว สไตล์ฟรุ้ตตี้สุด ๆ พร้อมแชร์ความสนุกให้กับทุกปาร์ตี้

หลังจากเปิดตัว ICE POP กลุ่มแรกออกไปไม่นาน กระแสตอบรับดีเกินคาด ถูกปาก ถูกใจ ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุกช่วงอายุ ด้วยรสชาติที่ดึงจุดเด่นของผลไม้แต่ละชนิด แต่ละสายพันธุ์ออกมาช่วยชูรสชาติที่แตกต่าง แต่ลงตัว มาในรูปแบบหวานเย็น ที่สามารถเก็บในอุณหภูมิห้องได้ จึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ลดการใช้พลังงานไปโดยปริยาย โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบ หรือกระบวนการผลิต ที่เน้นความยั่งยืนและคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับรางวัล ‘Creative Sustainable Product Award’ จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ที่ครองใจชาวโซเชียลมีเดีย เกณฑ์ตัดสินจากการค้นหาบนโลกออนไลน์

สำหรับ ICE POP ‘ฟรุตแอ๊บพันช์’ ดอยคำคัดเลือกผลไม้ 4 สายพันช์ มะม่วง เสาวรส ส้ม และทับทิม ที่พัฒนาและวิจัยจนได้อัตราส่วนที่เหมาะสมและลงตัวที่สุด ภายใต้เงื่อนไขผลผลิตคุณภาพจากเกษตรกรไทย บนมาตรฐานดอยคำ จึงเชื่อได้ว่าทุกการ ‘แช่ ฉีก ป๊อป’ ต้อง อร่อย ปลอดภัย มีมาตรฐาน และยังได้ช่วยเหลือเกษตรกรไทย

ICE POP ‘ฟรุตแอ๊บพันช์’ มาในรูปแบบซอง ขนาด 85 มล. ราคาซองละ 20 บาท หาซื้อได้แล้ววันนี้ ที่ร้านดอยคำ ทุกสาขา และทาง Doi Kham Shop ออนไลน์

พิเศษสุด ดอยคำชวนรักษ์โลกกับ กิจกรรม ‘แกะ ล้าง เก็บ’ เพียงนำกล่องน้ำผลไม้ UHT ตราดอยคำ หรือซองดอยคำ ICE POP ที่ผ่านการทำความสะอาดด้วยการ ‘แกะ’ ตัดมุมบรรจุภัณฑ์ทั้งสี่ด้าน ‘ล้าง’ ทำความสะอาด เพื่อง่ายต่อการ ‘เก็บ’ รักษา และนำไปแปรรูป นำมาใช้แลกเป็นส่วนลด 1 กล่อง/ซอง มีมูลค่า 1 บาท สำหรับซื้อสินค้าดอยคำ ที่ร้านดอยคำ ทุกสาขา รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.doikham.co.th

‘นายกฯ’ ชู 3 แนวทาง แก้วิกฤติสภาพภูมิอากาศ บนเวทีเอเปค ‘ความยั่งยืน-การค้าการลงทุนที่เปิดกว้าง-ความเชื่อมโยงศก.’

(18 พ.ย.66) ที่ศูนย์ประชุมมอสโคนีเซ็นเตอร์ (Moscone Center) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในรูปแบบ Retreat (APEC Economic Leaders’ Retreat (Session II)) หัวข้อ ‘Interconnectedness and Building Inclusive and Resilient Economies’ และร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปค ครั้งที่ 30 โดยนายกฯ กล่าวถ้อยแถลงเป็นลำดับที่ 18 ต่อจากผู้นำจีนไทเป ประธานาธิบดีเวียดนาม นาง Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจโลกใน ค.ศ. 2023

นายกฯ กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ต่อระบบการค้าพหุภาคีและเอเปค เพื่อมุ่งสู่ประชาคมเอเชีย-แปซิฟิก ที่เปิดกว้าง ยืดหยุ่นและสงบสุข โดยได้มีการหารือและสนทนาเกี่ยวกับวิธีการต่อสู้กับปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเห็นพ้องกับผู้นำทุกคนว่า ถึงเวลาที่ต้องลงมือให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยเสนอ 3 มุมมอง ที่เป็นประโยชน์ต่อเอเปค คือ 1.ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสานต่อพัฒนาการเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG ที่ปีนี้เอเปคมีความก้าวหน้าอย่างมาก โครงการมากกว่า 280 โครงการ ตอบสนองต่อเป้าหมายฯ นี้ ขณะที่ ABAC เดินหน้าผลักดันการจัดทำ BCG Pledge การจัดการประชุม Sustainable Future Forum ครั้งแรก เพื่อกระตุ้นธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น 

2.เปิดการค้าและการลงทุนอย่างเติบโตและรุ่งเรือง เอเปคสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดกฎเกณฑ์ โดยมีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นแกนกลาง เป็นกุญแจสำคัญ รวมถึงการมีส่วนร่วมไปสู่ผลลัพธ์ที่มีความหมายในการประชุมรัฐมนตรีครั้งต่อไป (The Thirteenth Ministerial Conference (MC13))

นายกฯ กล่าวว่า ไทยผลักดันความพยายามอย่างต่อเนื่องในเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) เพื่อความก้าวหน้าในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค และไทยจะเร่งเจรจา FTA อื่นในเชิงรุก รวมทั้งยกระดับการเจรจาที่มีอยู่เพื่อรับมือกับความท้าทายทางการค้าที่จะเกิดขึ้นใหม่ 3. เสริมสร้างความเชื่อมโยง เพื่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่น โดย ไทยกำลังเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) เชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย และยังรวมทั้งยังได้อนุมัติวีซ่าฟรี ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสนับสนุนความต่อเนื่องของบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปค (APEC Business Travel Card) ให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อสนับสนุน MSMEs และสตาร์ตอัปอีกด้วย ทั้งนี้ยินดีกับสหรัฐฯ ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมที่เป็นประโยชน์ครั้งนี้ โดยไทยพร้อมร่วมประสานความร่วมมือกับเปรูเพื่อสานต่อความสำเร็จนี้ต่อไป  

‘กรมการข้าว’ เดินสายติวเข้ม ‘เกษตรกร’ หวังยกระดับการผลิตข้าวแบบลดโลกร้อน

(19 พ.ย.66) นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า กรมการข้าว มีเป้าหมายนำเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ หรือ Modern Agriculture Technology จากงานวิจัยมาส่งเสริมเกษตรกร เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน รวมถึงเกิดการผลิตข้าวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแนวทางปฏิบัติของ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ที่เน้นให้เกิดการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ด้วยแนวทาง BCG Model 

“งานวิจัย ถือเป็นภารกิจต้นน้ำของกรมการข้าว แล้วนำมาต่อยอดในช่วงกลางน้ำ ด้วยการขยายผลนำเทคโนโลยีที่ได้มาเผยแพร่ สู่การยอมรับและนำไปใช้ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร และปลายน้ำเป็นการนำมาปรับใช้และสร้างมูลค่าเพิ่ม ดั่งคำที่ว่าตลาดนำการผลิต และทำน้อยแต่ได้มาก ล้วนแล้วแต่เป็นการนำเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่มาใช้ทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาเราจะมุ่งเน้นเพียงแค่เพิ่มของผลผลิตเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะหากการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น แต่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมโดยการทำลายสิ่งแวดล้อมย่อมทำให้การผลิตข้าวไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืน” นายอานนท์ กล่าว

การจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง หรือ AWD นับเป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จ ของการส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ โดยเป็นองค์ความรู้ที่กรมการข้าวได้ดำเนินการวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งส่งเสริมให้ชาวนาได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ปลูกข้าวนาชลประทาน ทั้งนี้ การจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง เป็นการจัดการน้ำที่ใช้น้ำในปริมาณที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งจะใช้ประมาณ 850-900 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ต่อฤดูกาลเพาะปลูก

เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำแบบขังตลอดเวลาจะสามารถใช้น้ำลดลงได้มากถึงร้อยละ 30 แล้วยังเพิ่มผลผลิตข้าวได้อีกถึงร้อยละ10-15 ที่สำคัญเทคโนโลยีนี้ยังสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญอันก่อเกิดภาวะโลกร้อนลงได้ถึงร้อยละ 80 ทั้งนี้ตัวอย่างของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ยกมาให้เห็นนี้เป็นเพียงบางส่วนของงานวิจัยที่กรมการข้าวได้ดำเนินการ และขยายผลสู่เกษตรกรให้มีการผลิตข้าวแบบลดโลกร้อน

“กรมการข้าว ได้นำผลงานวิจัยดังกล่าว มาถ่ายทอดสู่เกษตรกร ผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ‘การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว’ ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมวิสมา โฮเทล จังหวัดราชบุรี

โดยการฝึกอบรมดังกล่าว เป็นการจัดครั้งที่ 2 กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของกรมการข้าว และเกษตรกรชั้นนำภายใต้กลุ่มศูนย์ข้าวชุมชนในเขตภาคกลาง จำนวน 100 คน เข้าเรียนรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ข้าวที่มีระบบรากแข็งแรงต้านทานภัยแล้ง เทคนิคการปรับพื้นที่ให้ราบเรียบด้วยเลเซอร์ การปลูกข้าวด้วยเครื่องหยอดข้าวงอกและข้าวแห้ง การใช้โดรนฉีดพ่นทางการเกษตรให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และการใช้สารอินทรีย์รมกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บซึ่งปลอดภัยต่อคนและสภาพแวดล้อมอีกด้วย” นายอานนท์ กล่าว

‘สวทช. – จุฬาฯ’ พัฒนา ‘เส้นพลาสติกรักษ์โลก’ จาก ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ คืนชีพขยะ PLA ย่อยสลายได้ 100% ขจัดปัญหาขยะในชุมชนอย่างยั่งยืน

‘นักวิจัยนาโนเทค สวทช.’ จับมือ ‘จุฬาฯ’ ต่อยอดไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจาก ‘เปลือกหอยแมลงภู่’ ผสมขยะพลาสติกชีวภาพ (PLA) พัฒนา ‘Re-ECOFILA เส้นพลาสติกรักษ์โลกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ’ ย่อยสลายได้ 100% คุณภาพเทียบเท่าของที่มีในท้องตลาดในราคาที่ถูกกว่า หวังทดแทนของนำเข้าราคาสูง สร้างโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติของนักเรียน นักศึกษาและคนทั่วไป ตอบ BCG เศรษฐกิจหมุนเวียน-สีเขียว ช่วยคืนชีพขยะ PLA จัดการขยะเปลือกหอยแมลงภู่ในชุมชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน

(22 พ.ย. 66) ดร.ชุติพันธ์ เลิศวชิรไพบูลย์ นักวิจัยจากทีมวิจัยการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ‘Re-ECOFILA’ มาจากงานวิจัย ‘เส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ ผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่และขยะพลาสติกชีวภาพ’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ‘สวทช.’ โดย ‘นาโนเทค’ และ ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ โดยศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ ที่มีแนวคิดการใช้ประโยชน์ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ที่ได้ทำงานวิจัยมาก่อนหน้านั้น จากความเป็นไปได้สำหรับเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ โดยจะไปแทนที่แคลเซียมคาร์บอเนตจากหินปูน ที่ใช้ในกระบวนการผลิตพอลิเมอร์

ข้อมูลจากกลุ่มสถิติการประมง กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า ประเทศไทยผลิตหอยแมลงภู่เฉลี่ยมากกว่า 50,000 ตันต่อปี โดยน้ำหนักมากกว่าครึ่งเป็นน้ำหนักของเปลือกหอย ทำให้เกิดขยะเปลือกหอยสะสมเป็นจำนวนมาก ตามพื้นที่ชุมชนที่ประกอบอาชีพเลี้ยงหอยและแกะเนื้อหอยขาย ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ปัจจุบัน วิธีการเดียวที่จะนำเปลือกหอยแมลงภู่ไปใช้ประโยชน์คือ การรับซื้อในราคาถูกเพื่อนำไปถมที่

“แคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ถูกใช้เป็นสารเติมแต่ง (additive) ในอุตสาหกรรมพอลิเมอร์ เพื่อลดต้นทุน โดยเติมแคลเซียมคาร์บอเนตจากหินปูนที่มีราคาถูกกว่า แต่เมื่อเรามีขยะจากเปลือกหอยแมลงภู่จำนวนมาก ซึ่งเปลือกหอยเป็นแหล่งแคลเซียมคาร์บอเนตที่มีความบริสุทธิ์สูง นอกจากจะสามารถใช้ทดแทนแคลเซียมคาร์บอเนตจากหินปูนได้แล้ว ยังช่วยในมิติของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อีกด้วย ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาวิธีการแปรรูปเปลือกหอยแมลงภู่เป็นไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตและนำไปใช้เป็นสารเติมแต่งใน PLA เพื่อฉีดเป็นเส้นพลาสติกสำหรับใช้ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ” ดร.ชุติพันธ์ กล่าว

ปัจจุบัน ‘พอลิแลกติกแอซิด’ (polylactic acid : PLA) ซึ่งเป็นพลาสติกชีวภาพผลิตจากพืชนั้น มีการใช้งานที่แพร่หลายมากขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ (3D printing) จากคุณสมบัติของ PLA ที่เหมาะสมสำหรับการฉีดขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ ได้แก่ มีจุดหลอมเหลวที่ต่ำ, มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างต่ำ (dimension stability) และมีค่าการไหลที่เหมาะสำหรับการฉีดขึ้นรูป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติด้วยเทคนิค FDM (Fused Deposition Modeling) ซึ่งจะเป็นการหลอมเส้นพลาสติกให้กลายเป็นของไหลแล้วฉีดออกมาเป็นเส้นด้วยหัวฉีด โดยเครื่องพิมพ์จะฉีดเส้นพลาสติกตามแนวระนาบและฉีดซ้อนทับเป็นชั้นไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นชิ้นงาน

ทีมวิจัยนาโนเทค-จุฬาฯ เริ่มจากพัฒนาวิธีการแปรรูปเปลือกหอยแมลงภู่เป็นไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต โดยไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตที่ได้มีรูปร่างกลมและมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 109 นาโนเมตร มีความบริสุทธิ์สูงโดยจากผลการวิเคราะห์ด้วย TGA พบว่า ไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตมีความบริสุทธิ์มากกว่าร้อยละ 98 โดยน้ำหนัก และจากผลการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Raman spectroscopy พบว่า ไบโอแคลเซียมมีอัญรูปเป็นอะราโกไนต์

ในช่วงแรก ทีมวิจัยได้นำพลาสติกชีวภาพหรือ PLA มาผสมกับไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ที่เตรียมขึ้นมา จากนั้น นำไปแล้วฉีดขึ้นรูปเป็นเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ ผลที่ได้คือ เส้นพลาสติกที่มีคุณภาพดีมีคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติระบบ FDM ได้ทันที นับเป็นโอกาสทางการตลาดที่ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็มองเห็นโอกาสในการนำขยะพลาสติกจากการพิมพ์สามมิติมาคืนชีพ ใช้ทดแทน PLA

ดร.ชุติพันธ์กล่าวว่า เมื่อศึกษาข้อมูลด้านการพิมพ์สามมิติ ก็พบว่า ปริมาณขยะพลาสติกจากการพิมพ์สามมิติทั้งชิ้นส่วนที่ไม่ใช้แล้วและการเกิดขยะจากการกระบวนการพิมพ์ (การพิมพ์ support และการพิมพ์ที่ผิดพลาด) สืบเนื่องจากปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีราคาถูกลง การใช้ที่ไม่ซับซ้อน สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อย่างรวดเร็ว (fast fashion) ทำให้เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติถูกนำไปใช้ในวงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะการขึ้นรูปต้นแบบอีกต่อไป เช่น การพิมพ์วัสดุสามมิติสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น

“เราได้ทดลองนำขยะพลาสติกชีวภาพ หรือ ‘Recycled PLA’ จากกระบวนการพิมพ์สามมิติมาใช้ โดยบดผสมกับไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ แล้วฉีดขึ้นรูปเป็นเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ โดย Re-ECOFILA หรือ ‘เส้นพลาสติก’ ที่ผลิตได้มีคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติระบบ FDM ได้ทันที อาจจะมีข้อจำกัดเรื่องสีของเส้นพลาสติกที่แตกต่างจากของทั่วไป แต่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางการตลาด ด้วยข้อมูลจาก HSSMI ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาด้านการผลิตที่ด้วยกระบวนการที่ยั่งยืน พบว่า มีการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติชนิด FDM ที่ต้องใช้เส้นพลาสติกโดยเฉพาะเส้นพลาสติกผลิตจาก PLA ถึง 66% ของจำนวนเครื่องพิมพ์สามมิติทั่วโลก” ดร.ชุติพันธ์ กล่าว

เส้นพลาสติกที่ผลิตได้จากงานวิจัยนี้ ดร.ชุติพันธ์ เผยว่า เป็นเส้นพลาสติกที่มีราคาไม่แพง คุณภาพเทียบเท่ากับเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติระบบ FDM ได้ทันที ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อชิ้นต่ำลง สามารถใช้นวัตกรรมนี้เพื่อผลิตเส้นพลาสติกราคาถูกสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องใช้ PLA คุณภาพสูง เพิ่มโอกาสและความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง ด้วยเป็นวัสดุทางเลือกที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขึ้นรูปต้นแบบผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษาและบุคคลทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติได้ง่ายขึ้นจากวัสดุที่ราคาถูกลง เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและการพัฒนาโครงงานและงานนวัตกรรมสำหรับนักเรียน นักศึกษา

นอกจากนี้ นวัตกรรมเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่และขยะพลาสติกชีวภาพ ยังเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) สร้างมูลค่าให้กับขยะจากการพิมพ์สามมิติ และขยะจากอุตสาหกรรมอาหารทะเล (Waste-to-Wealth) ส่งเสริมการจัดการของเสีย (waste management) ทั้งขยะเปลือกหอยสะสมในแหล่งชุมชนและขยะพลาสติก PLA ที่ไม่มีวิธีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม โดยนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่า ส่งผลให้มีการวางแผนการจัดการขยะอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ กำจัดขยะเก่า และลดการสร้างขยะใหม่

“ที่สำคัญ ผลงานนี้ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากการขายเปลือกหอยแมลงภู่เหลือทิ้งจากการแปรรูปอาหารทะเลให้ภาคธุรกิจโดยการแปรรูปเบื้องต้น เช่นเดียวกับองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้ ก็สามารถถ่ายทอดให้ผู้ประกอบการไทยมีเทคโนโลยีการผลิตเส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติ ลดต้นทุนการผลิตด้วยการใช้สารเติมแต่งไบโอแคลเซียมคาร์บอเนต และเทคโนโลยีการนำขยะพลาสติก PLA กลับมาใช้ใหม่ ผลิตภัณฑ์สามารถจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์กลางน้ำเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ หรือผลิตเป็นสินค้าเพื่อจำหน่ายได้เชิงพาณิชย์ได้” นักวิจัยนาโนเทคกล่าว พร้อมชี้ว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีมีระดับความพร้อมอยู่ที่ TRL 6 เส้นพลาสติกที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้กับเครื่องพิมพ์สามมิติ และสามารถพิมพ์ชิ้นงานสามมิติได้ โดยคุณภาพของชิ้นงานเทียบเท่ากับชิ้นงานที่ถูกพิมพ์จากเส้นพลาสติกที่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ โดยทีมวิจัยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโมเดลธุรกิจ เพื่อทำให้นวัตกรรมเส้นพลาสติกที่พัฒนาขึ้น ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมงานวิจัย

นอกจากนี้ ดร.ชุติพันธ์ แย้มว่า เตรียมต่อยอดการวิจัย เพื่อเพิ่มแอปพลิเคชันการใช้งานที่มีความต้องการทางการตลาดอีกมุมหนึ่ง จากนวัตกรรมรักษ์โลก ย่อยสลายได้ 100% ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม CRS เราจะเปลี่ยนมาใช้พลาสติก ABS หรือ ‘Acrylonitrile Butadiene Styrene’ ที่มีความแข็งแรง ทนทาน นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแพร่หลาย ผสมกับสารตัวเติมที่มีคุณสมบัติหน่วงไฟ (flame retardants) ที่เตรียมขึ้นใช้เองโดยมีสารตั้งต้นเป็นไบโอแคลเซียมคาร์บอเนตจากเปลือกหอยแมลงภู่ พัฒนาเป็นวัสดุที่มีสมบัติหน่วงไฟ สามารถประยุกต์ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เคสคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและพิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์สามมิติ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นอีก 1 ตลาดใหญ่ที่จะต่อยอดใช้ประโยชน์จากขยะเปลือกหอยแมลงภู่ในอนาคต

เส้นพลาสติกสำหรับเครื่องพิมพ์สามมิติผลิตจากขยะเปลือกหอยแมลงภู่ และขยะพลาสติกชีวภาพ ได้รับรางวัลเหรียญเงิน สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ และรางวัลพิเศษ (Special Prize) จาก Korea Invention Promotion Association สาธารณรัฐเกาหลี ในการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติ ในเวที ‘Taiwan Innotech Expo 2023’ (TIE 2023) เมื่อวันที่ 12 - 14 ตุลาคม 2566 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

‘การบินไทย’ จับมือ ‘จิม ทอมป์สัน’ ผุด ‘Amenity Kit’ กระเป๋ารักษ์โลก ลายพิมพ์พิเศษ ย่อยสลายได้เอง ใส่ใจสิ่งแวดล้อม-ส่งเสริมความเป็นไทย

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 66 ‘บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)’ และ ‘จิม ทอมป์สัน’ (Jim Thompson) ร่วมจับมือเปิดตัวกระเป๋าพร้อมชุดสิ่งอำนวยความสะดวก (Amenity kit) แบบใหม่ในคอนเซ็ปต์ ‘รักษ์โลก’ ภายในบรรจุสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อมอบความผ่อนคลายเหนือระดับตลอดเที่ยวบิน สำหรับผู้โดยสายชั้นธุรกิจบนเครื่องบินของการบินไทย

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับจิม ทอมป์สัน ในครั้งนี้ เป็นการนำเสนอชุดสิ่งอำนวยความสะดวกแบบใหม่ สำหรับให้บริการผู้โดยสารชั้นธุรกิจ (Royal Silk) ในเที่ยวบินระหว่างประเทศของการบินไทยที่ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงขึ้นไป ยกเว้นเส้นทางโดยเครื่องบินแบบแอร์บัส A320 เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่อันน่าประทับใจแก่ผู้โดยสาร โดยเป็นแพ็กเกจกระเป๋าผ้าของ จิม ทอมป์สัน ที่ผลิตจากวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดดเด่นด้วยลายพิมพ์สุดพิเศษ 6 ลาย ที่ได้รับการออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปวัฒนธรรมไทย และความงามตามธรรมชาติ ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนมากขึ้น อาทิ แปรงสีฟันที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ถุงเท้ารักษ์โลก ลูกกลิ้งน้ำมันหอมระเหย ลิปบาล์ม โลชั่นทามือ ยาสีฟัน และผ้าปิดตา

มิตเตอร์แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมไทย จำกัด กล่าวว่า การร่วมมือกันในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการยกระดับความเป็นไทยสู่สากล ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษารากฐานวัฒนธรรมความเป็นไทย

‘ADB-JICA-EXIM’ ไฟเขียว!! ปล่อยกู้ EA 3.9 พันล้านบาท เดินหน้าโครงการรถโดยสารไฟฟ้า ยกระดับขนส่งไร้มลพิษ

EA ลงนามสินเชื่อเงินกู้มูลค่า 3.9 พันล้านบาท กับ ADB JICA และ EXIM Thailand เดินหน้าโครงการรถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) ยกระดับการขนส่งไร้มลพิษอย่างยั่งยืน

(4 ธ.ค.66) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด ได้ร่วมลงนามสินเชื่อเงินกู้ มูลค่า 3.9 พันล้านบาท (เทียบเท่า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) กับ 3 สถาบันการเงิน นำโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Thailand) เพื่อลงทุนเช่าซื้อรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะ (EV Bus) จำนวนไม่เกิน 1,200 คัน ซึ่งรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะเหล่านี้ จะเข้ามาแทนที่รถโดยสารเครื่องยนต์สันดาป และช่วยเสริมบริการขนส่งสาธารณะของบริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด และบริษัทในเครือ ครอบคลุม 123 เส้นทาง ภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รองรับการใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่สะอาดในประเทศไทย

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยว่า “การร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนสินเชื่อ มูลค่า 3.9 พันล้านบาท (เทียบเท่า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อนำเงินไปบริหารจัดการธุรกิจเช่าซื้อรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะ (EV Bus) โดยระยะแรกเป็นการให้เช่าซื้อแก่ผู้ประกอบการที่ให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกระดับการเดินทาง ลดปัญหามลพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้จากผลตอบแทนจากการเดินรถนำไปสู่การแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตรถโดยสารไฟฟ้าเป็นโครงการแรกของเอเชีย”

“EA มุ่งเน้นในการขยายสู่ธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดการดำเนินงานธุรกิจปัจจุบันของกลุ่มบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง โดยการสนับสนุนสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Thailand) ในครั้งนี้ เพื่อผลักดันนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดของประเทศ ในการดำเนินธุรกิจที่มีความครอบคลุมทุกการบริหารจัดการด้านพลังงานไฟฟ้า สร้างนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EA’s EV Ecosystem) อย่างครบวงจร โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและสร้างโอกาสการลงทุนร่วมกัน จะเป็นพลังสำคัญทำให้ EA เติบโตไปพร้อมกับการสร้างสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม สู่สังคมไร้มลพิษอย่างยั่งยืน” นายอมรกล่าว

‘พีระพันธุ์’ ดัน ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ หนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชุมชน

‘พีระพันธุ์’ ดันพลังงานแสงอาทิตย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชุมชน มุ่งลดต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศ

(4 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้ดำเนินสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการลดรายจ่ายให้แก่กลุ่มเกษตรกรในการนำแผง โซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าไปใช้กับเครื่องสูบน้ำในพื้นที่ที่ต้องการน้ำในภาคเกษตรกร

โดยเฉพาะในฤดูแล้ง ทั้งระบบสูบน้ำจากบ่อบาดาลและการสูบน้ำจากแหล่งน้ำ ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายน้ำมันดีเซลได้ค่อนข้างมาก 

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนนำเทคโนโลยีด้านพลังงานมาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้นั้นสามารถลดระยะเวลาในการผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมากขึ้น และผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความสะอาด ผ่านมาตรฐานจนได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ชุมชนดีเด่น

“เป้าหมายสำคัญนอกจากการลดรายจ่ายด้านพลังงานทั้งค่าน้ำมันและค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนทั่วไปแล้ว ยังต้องการให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรสามารถนำเทคโนโลยีพลังงานมาใช้ ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชน”

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานก็ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีพลังงาน ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซล่าเซลล์ในการสูบน้ำ รวมทั้งเทคโนโลยีโรงอบแห้งที่ใช้อบผลิตภัณฑ์ชุมชน 

นอกจากจะลดรายจ่ายค่าเชื้อเพลิงซึ่งต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ได้ยังมีความสะอาดได้มาตรฐาน จนหลายผลิตภัณฑ์ได้รับรางวัล OTOP และ ไทยเด็ด 

อย่างไรก็ตาม จะพยายามเร่งดำเนินการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงาน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการสำรวจความต้องการของเกษตรกรผ่านพลังงานจังหวัด คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้

‘กนอ.’ ยกระดับ ‘เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ’ ปี 66 สำเร็จตามเป้า พร้อมเร่งพัฒนาความร่วมมือภาคอุตฯ-สังคม-สิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ SDGs

(5 ธ.ค. 66) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผย ยกระดับ ‘เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ’ ปี 66 สำเร็จตามเป้า พร้อมลุยต่อแผนปีงบประมาณ 2567 ให้สอดคล้องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 13 เป้าหมาย พร้อมผลักดันสิทธิประโยชน์ทั้งการลดหย่อน / ยกเว้น ค่าบริการอนุญาตในระบบ e-PP

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. มุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับนิคมอุตสาหกรรม สู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) เพื่อการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันของภาคอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้กรอบ 5 มิติ  คือ มิติกายภาพ, มิติเศรษฐกิจ, มิติสิ่งแวดล้อม, มิติสังคม และมิติการบริหารจัดการ

โดยส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรม ตามวิสัยทัศน์ ‘นำนิคมอุตสาหกรรมสู่มาตรฐานสากล ด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน’

โดยปีงบประมาณ 2566 กนอ. สามารถพัฒนาและยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จากระดับ Eco-Champion 39 แห่ง ยกระดับขึ้นเป็นระดับ Eco-Excellence 22 แห่ง และระดับ Eco-World Class 7 แห่ง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 
กนอ. มีเป้าหมายขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตามนโยบายเศรษฐกิจ ‘BCG Model’ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

โดย กนอ. ดำเนินโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับนิคมฯ และโรงงาน เช่น การยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โครงการปรับปรุงค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco Efficiency) โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ยั่งยืน มุ่งเน้นจัดการกากของเสียให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) และ Eco Factory for Waste Processor

“ปี 2567 กนอ. ยังคงใช้หลักเกณฑ์การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเดิม แต่จะปรับปรุงให้สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) 13 ข้อ ขณะเดียวกันยังผลักดันสิทธิประโยชน์สำหรับผู้พัฒนานิคมฯ และผู้ประกอบการ ทั้งการลดหย่อน / ยกเว้น ค่าบริการอนุญาตในระบบ e-PP ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของ กนอ.ในอนาคตต่อไป” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 กนอ. มีแผนงานยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ ระดับ Eco Champion ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิว เอช เอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4, ระดับ Eco Excellence ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมราชบุรี, ระดับ Eco World Class ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิว เอช เอ ตะวันออก (มาบตาพุด), นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้

‘บพข.’ ผนึก ‘รัฐ-เอกชน-ชุมชน’ แก้ปัญหาขยะพลาสติก เปลี่ยน ‘ขยะซองขนม’ ไร้ราคา เป็น ‘อะลูมิเนียม’ ที่มีค่า

(11 ธ.ค.66) รายงานข่าวจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มเความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า บพข.ได้ร่วมมือ UNDP ประเทศไทย, CIRAC, บริษัท โกลบอล อาร์แอนด์ดี จำกัด, ทีมวิจัยเคมีเทคนิคจุฬาฯ และชุมชนวัดจากแดง ในโครงการแก้ปัญหาขยะพลาสติกผสมชั้นอะลูมิเนียมอย่างยั่งยืน ด้วยเครื่องจักรไพโรไลซิสแบบต่อเนื่องออกแบบโดยคนไทย เพื่อรีไซเคิลอะลูมิเนียมและพลาสติกใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ 

โดยได้เปิดตัวเครื่องจักรไพโรไลซิสแบบต่อเนื่องสำหรับรีไซเคิลอะลูมิเนียมจากขยะพลาสติกผสมชั้นอะลูมิเนียม หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘ถุงวิบวับ’ เพื่อแยกชั้นอะลูมิเนียมออกจากพลาสติก (Laminated Plastic) และนำอะลูมิเนียมที่แยกได้มาหลอมเป็นอะลูมิเนียมก้อนที่มีความบริสุทธิ์สูงมากกว่า 97% นำกลับไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มีความต้องการใช้อะลูมิเนียมได้ ขณะที่ขยะพลาสติกที่เหลืออยู่จะเปลี่ยนเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และขายต่อได้ 

ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ ประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน บพข. กล่าวว่า เครื่องจักรดังกล่าวใช้หลักการของไพโรไลซิสในการแยก Laminated Plastic โดยเฉพาะอะลูมิเนียมออกกัน คาดว่าจะสามารถรับขยะประเภทกล่องนม และถุงขนมขับเคี้ยวได้ 100 กิโลกรัมต่อวัน และได้อะลูมิเนียมจากการรีไซเคิลประมาณ 20 กิโลกรัมต่อวัน ทั้งยังมีผลพลอยได้เป็นน้ำมันจากการหลอมละลายพลาสติก ซึ่งสามารถขายต่อได้ รวมถึงได้ Fuel Gas ที่สามารถนำมาใช้หมุนเครื่องจักรแทนก๊าซ LPG ได้อีก จึงตอบโจทย์ บพข. ทั้งด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าโดยการเอาอะลูมิเนียมกลับมาใช้ใหม่ ด้านการลดของเสีย และการลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก เนื่องจาก Fuel Gas นำมาใช้แทน LPG ได้ เป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง

“ต้องขอบคุณ UNDP และ CIRAC ที่เริ่มต้นดำเนินโครงการกันมาตั้งแต่ระดับ Lab Scale ขอบคุณทีมวิจัยจากภาควิชาเคมีเทคนิค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท โกลบอล อาร์แอนด์ดี จำกัด ที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์ไพโรไลซิสแบบต่อเนื่องจากระดับ Lab Scale สู่ระดับ Pilot Scale ทำให้ได้เครื่องจักรที่จัดการกับขยะกลุ่ม Laminated Plastic ได้อย่างมีประสิทธภาพ ที่ขาดไม่ได้เลยคือความร่วมมือจากทางวัดจากแดงที่อนุเคราะห์สถานที่สำหรับดำเนินโครงการ และชาวบ้านในชุมชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

ด้าน ดร.ศิขริน เตมียกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง CIRAC กล่าวเสริมว่า ปัญหา คือโอกาส เนื่องจากขยะพลาสติกมีอะลูมิเนียมซึ่งเป็นโลหะที่มีมูลค่าสูงผสมอยู่ หากแยกออกมาได้ จะเปลี่ยนขยะที่ไม่มีมูลค่าให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง และเติบโตได้ในเชิงธุรกิจ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์กลุ่ม Aluminum Plastic ต่างให้ความสนใจแก้ไขปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ชนิดดังกล่าว ซึ่ง CIRAC เป็นหนึ่งใน Solution Provider ให้บริษัทต่าง ๆ คาดว่าหากโครงการนี้ได้รับการขยายผลในเชิงพาณิชย์สำเร็จจะมีกำไรสุทธิ (Potential Profit) จากการจำหน่ายอะลูมิเนียมรีไซเคิลได้ถึง 140-340 เหรียญสหรัฐต่อตัน นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาขยะบรรจุภัณฑ์พลาสติกผสมชั้นอะลูมเนียมที่ยังไม่มีใครสามารถจัดการอย่างยั่งยืนในระดับชุมชน และระดับประเทศ ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจากกระบวนการผลิตอลูมิเนียม และลดการนำเข้าของอะลูมิเนียมจากต่างประเทศอีกด้วย

จากการสำรวจของทีมวิจัย พบว่าขยะพลาสติกในประเทศไทยมีที่มีอะลูมิเนียมผสมอยู่คิดเป็นปริมาณ 50 ตันต่อวัน เพียงพอต่อการสร้างรถยนต์ได้ถึง 150 คัน ถ้าหากรีไซเคิลอะลูมิเนียมกลับมาใช้ในอุตสาหกรรมได้ จะเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมได้มหาศาลจากการไม่ต้องนำเข้าอะลูมิเนียมจากต่างประเทศ และสามารถที่จะใช้อะลูมิเนียมที่รีไซเคิลมาจากขยะได้เอง

ตลาดอะลูมิเนียมในไทย (Total Market) มีมูลค่าสูงถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ผลิตอะลูมิเนียมเองได้ ต้องนำเข้า 100% หากคิดเฉพาะอะลูมิเนียมที่แทรกซึมอยู่ตามถุงขนม ซองกาแฟ กล่องนม กล่องน้ำผลไม้ต่างๆ ที่ไม่สามารถรีไซเคิลนำกลับมาใช้ได้ มีมูลค่าถึง 35 ล้านเหรียญสหรัฐ

รายงานข่าวระบุว่า ประเทศไทยได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มีการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่สิ่งแวดล้อมมากเป็นอันดับ 6 ของโลก และปัจจุบันการรีไซเคิลขยะพลาสติก เช่น ขวดน้ำพลาสติก (PET) หรือถุงแกง กลับมาใช้งานใหม่หรือเปลี่ยนสภาพเพื่อใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นทำได้ไม่ยากนักด้วยกระบวนการทางเคมี 

แต่โครงการนี้มุ่งเน้นการจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกในกลุ่มที่เรียกว่า ‘Aluminum Plastic Packaging’ หรือก็คือ บรรจุภัณฑ์ที่มีชั้นอะลูมิเนียมเป็นเลเยอร์อยู่ด้านในตรงกลางระหว่างชั้นพลาสติก เรียกอีกอย่างว่า Laminated Plastic ที่ยากต่อการรีไซเคิล และไม่สามารถขายต่อได้ จนกลายเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมนั่นเอง

ถอดบทเรียน ‘ถั่วเหลืองอเมริกา’ คาร์บอนต่ำกว่าคู่แข่ง 10 เท่า ตัวแปรสำคัญสินค้าส่งออกไทย หากคิดพิชิตเวทีโลกแบบยั่งยืน

TFMA ถอดบทเรียนการผลิตถั่วเหลืองยั่งยืนจากสหรัฐอเมริกา หลังปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าประเทศคู่แข่งประมาณ 10 เท่า ตอบโจทย์ตลาดโลกต้องการสินค้าถั่วเหลืองที่ผลิตอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับการจัดหาอาหารปลอดภัย เพื่อนำมายกระดับการพัฒนาระบบจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศไทยให้ทัดเทียมสากล

(15 ธ.ค. 66) นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย (TFMA) เปิดเผยในงานสัมมนา ‘เจาะลึกกลยุทธ์ปฏิบัติการที่ยั่งยืน: ระดมความคิดจากผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์’ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และ สภาการส่งออกถั่วเหลืองแห่งสหรัฐอเมริกา (USSEC) ว่า…

ความร่วมมือครั้งนี้ ตอกย้ำว่าผู้ประกอบการอาหารสัตว์ของไทยมีความพร้อมและขานรับกระแสโลกที่ต้องการการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงภาคปศุสัตว์ ที่กำลังมุ่งสู่ปศุสัตว์สีเขียว เชื่อว่ากลยุทธ์ที่ได้จากเวทีสัมมนาไนวันนี้จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ของไทยชนิดอื่น ๆ ได้

นายพรศิลป์ กล่าวว่า ผลการศึกษาพบว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการผลิตถั่วเหลืองของประเทศสหรัฐฯ เมื่อเทียบต่อกิโลกรัมแล้ว ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งประมาณ 10 เท่า ถั่วเหลืองของสหรัฐฯ จึงมีข้อได้เปรียบด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าคู่แข่ง ขณะที่ไทยมีการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองปีละเกือบ 6 ล้านตัน เชื่อว่าการสั่งซื้อหรือนำเข้าวัตถุดิบในอนาคต ต้องมองความเป็นมาของวัตถุดิบ ก่อนคิดถึงเรื่องราคา ถั่วเหลืองจึงเป็นต้นแบบที่ดีที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดหาวัตถุดิบชนิดอื่น ๆ ต่อไป ที่สำคัญคือ ประเทศไทยต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ และต้องทำงานร่วมกันตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต

"แม้ถั่วเหลืองจะเป็นสินค้านำเข้า ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อต่อของห่วงโซ่ปศุสัตว์ที่ต้องให้ความสำคัญ ขณะที่วัตถุดิบหลักภายในประเทศอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, มันสำปะหลัง, ผลิตภัณฑ์ข้าว และปลาปั่น ก็อยู่ในแผนการพัฒนาสู่ความยั่งยืนเช่นกัน ทั้งหมดก็เพื่อให้อาหารส่งออกจากประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ก้าวข้ามอุปสรรคด้านการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ทันการณ์"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top