Tuesday, 20 May 2025
เวียดนาม

‘สาวเวียดนาม’ โดนโซเชียลถล่มยับ!! หลังเชียร์นักเตะช้างศึก ทีมชาติไทย

(4 ม.ค. 68) Youtube ช่อง ‘UP Comment’ ได้นำเสนอเรื่องราวของ 'สาวเวียดนาม' ซึ่งโดนโซเชียลถล่มหนัก หลังเชียร์ทีมชาติไทย โดยในคลิปนั้นมีใจความว่า ...

เป็นประเด็นในโซเชียลมีเดีย ประเทศเวียดนาม เมื่อ ‘ง็อก-เหวียน-โด’
สาวเวียดนามรายหนึ่ง ที่ได้มีการปรากฏภาพของเธอสวมเสื้อเชียร์ทีมชาติไทยในศึกเอเอฟเอฟคัฟ ที่เวียดนาม นั้นสามารถเปิดบ้านเอาชนะทีมชาติไทยไปได้สองประตูต่อหนึ่ง 

งานนี้เธอโดนชาวเวียดนามรุมประณามอย่างหนักด้วยข้อหาไม่รักชาติพร้อมกับตั้งคําถามเพราะเหตุอันใดเธอจึงเชียร์ทีมชาติไทย

ตามข้อมูล ได้มีการระบุว่า เธอได้มีการติดตามเชียร์ทีมชาติไทยมากว่า 10 ปีแล้วและทุกครั้งที่ทีมชาติไทยมาแข่งขันที่ประเทศเวียดนามเธอก็มักจะเข้าไปให้กําลังใจทีมชาติไทยอยู่เสมอ ซึ่งจากภาพดังกล่าวที่ถูกสื่อเวียดนามเผยแพร่นี้เอง ก็สร้างความไม่พอใจให้กับชาวเวียดนามเป็นจํานวนมาก จนถึงขั้นที่เธอนั้นถูกชาวเวียดนามรุมสาปแช่ง แล้วรวมถึงมีการรุมรีพอร์ตเฟซบุ๊ก และติ๊กต็อกของเธอจน ถูกระงับการใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อย

นอกจากนี้ชาวเวียดนาม ได้มีการออกมาแสดงความคิดเห็นที่ค่อนข้างรุนแรง รวมถึงมีการบูลลี่เธอเป็นอย่างมาก 

เรามาเริ่มต้นกันที่ความคิดเห็นของชาวเวียดนามท่านแรกครับท่านนี้เค้าบอกว่า ถ้าผมอยู่ใกล้ ๆ ผมจะฉีกเสื้อตัวนั้นทิ้งท่านนี้ก็น่าจะหมายถึงเสื้อทีมชาติไทยนะครับ

ความคิดเห็นต่อไป ช่างมันเถอะมันก็โต ๆกันแล้ว แล้ว เธอมีจุดประสงค์อะไรที่ไปสนามกีฬาที่มีคนเวียดนามเยอะขนาดนั้น

ความคิดเห็นต่อไป นอกจากกีฬาสีแล้วฉันยังไม่เคยเห็นใครทําร้ายเด็กแบบนี้เลย ชอบทีมไหนเชียร์ทีมไหนก็ลุยเลยเธอไม่ใช่คนทรยศเธอไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายและเธอก็ไม่เคยสาปแช่งประเทศตัวเอง

คุณกินข้าวเวียดนามดื่มน้ำเวียดนามและสูดอากาศของเวียดนามที่บรรพบุรุษต้องเสียสละ เพื่อให้ได้มันมา แต่พอเวียดนามยิงประตูได้ ทําไมเธอถึงโกรธ

ความคิดเห็นต่อไป ทําไมคนไทยคนนี้ถึงมีชื่อเหมือนเวียดนามท่านนี้ก็แสดงความคิดเห็นแบบประชดประชันไว้

ตั้งฐานทัพบินมาถล่มเวียดนาม อยากจะถามเธอว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า

เธอคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะไปทํางานในประเทศไทยนั่นแหละ เธอเลยสร้างภาพเพื่อให้ได้สมัครงานมาง่าย ๆ

ความคิดเห็นต่อไปครับทั้งนี้เขาบอกว่าทุกคนคงยังไม่เข้าใจอะไรบางอย่างจริง ๆ แล้วเธอคนนี้เป็นเด็กผู้ชายที่เกิดมาในร่างของเด็กผู้หญิงดังนั้นเธอจึงต้องการไปที่ประเทศไทยเพื่อกลายเป็นคนข้ามเพศ เธอจงใจดึงดูดความสนใจเพื่อที่จะทําให้เธอเป็นคนข้ามเพศในไทยและทําให้คนไทยนั้นเห็นใจเธอ

'มาร์โก รูบิโอ' จี้!! เวียดนาม ให้เร่งแก้ปัญหาการค้าเกินดุลกับ ‘อเมริกา’ หลังยอดขาดดุล 11 เดือนแรกปีที่แล้ว พุ่งทะลุ 1.1 แสนล้านดอลลาร์

(26 ม.ค. 68) ‘มาร์โก รูบิโอ’ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับการรับรองจากวุฒิสภาเป็นคนแรกในรัฐบาลทรัมป์ ต่อสายโทรศัพท์พูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม บุ่ย แทงห์ เซิน (Bui Thanh Son) เมื่อวันศุกร์ เรียกร้องให้เวียดนาม ‘แก้ปัญหาการค้าที่ไม่สมดุลกับสหรัฐ’ และหารือเรื่องความกังวลต่างๆ เกี่ยวกับจีน  

ทั้งนี้ เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดในโลก จากข้อมูลของทางสหรัฐพบว่า เฉพาะช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 ยอดเกินดุลการค้าและบริการสูงถึงกว่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นเพราะค่าเงินดองที่อ่อนค่าลงทุบสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  ทำให้เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจับตาว่าอาจจะถูกหมายหัวในยุคของรัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  

แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุว่า ในการหารือกันทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรกระหว่างนักการทูตระดับสูง 2 คน ทั้งสองได้แสดงความยินดีในวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเวียดนาม และความคืบหน้าที่เกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม (Comprehensive Strategic Partnership) ซึ่งทั้งสองประเทศได้ตกลงกันในปี 2023

รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐยังได้หารือถึงข้อกังวลในภูมิภาค ซึ่งรวมถึง ‘พฤติกรรมก้าวร้าวของจีนในทะเลจีนใต้’ ด้วย และในขณะที่มีการชื่นชมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน รูบิโอก็ได้เรียกร้องให้เวียดนามแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าด้วย

ทั้งนี้ แม้ว่าเวียดนามจะกลายมาเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่สำคัญของสหรัฐ แต่นักวิเคราะห์มองว่า

ของสหรัฐในเดือนนี้แสดงให้เห็นว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐกับเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐ ‘สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 รองจากจีน สหภาพยุโรป และเม็กซิโก’

ก่อนหน้านี้ที่ทรัมป์เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวาระแรก ทรัมป์ได้สิ้นสุดวาระปีสุดท้ายด้วยการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกประกาศว่า ‘เวียดนาม’ และ ‘สวิตเซอร์แลนด์’ เป็นสองประเทศที่เข้าข่าย ‘บิดเบือนค่าเงิน’ (currency manipulation) โดยมีการแทรกแซงตลาดทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อความได้เปรียบทางการค้า

ทางด้านนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ได้กล่าวในที่ประชุม เวิลด์ อีโคโนมิ ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เวียดนามกำลังดำเนินการหาทางออกเพื่อสร้างสมดุลเรื่องดุลการค้ากับสหรัฐ โดยย้ำคำมั่นสัญญาที่จะ "ซื้อเครื่องบิน" ของบริษัทโบอิ้ง และแสดงความสนใจในการซื้อสินค้าไฮเทคอื่นๆ ของสหรัฐมากขึ้น

เวียดนาม-มาเลเซีย เร่งสปีดส่งออก ไทยเสี่ยงเสียแชมป์ทุเรียนตลาดจีน

(7 ก.พ.68) รายงานการวิจัยความเสี่ยงของประเทศและอุตสาหกรรมของบีเอ็มไอ (BMI Country Risk and Industry Research) หน่วยงานในเครือสถาบันวิจัยฟิทช์ (Fitch) คาดการณ์ว่าความต้องการทุเรียนที่เพิ่มมากขึ้นในจีนจะผลักดันการส่งออกทุเรียนของผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เติบโต

สถาบันฯ คาดว่าการแข่งขันในตลาดทุเรียนจะดุเดือดมากขึ้น โดยการส่งออกจากเวียดนามและมาเลเซียจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งน่าจะท้าทายสถานะของไทยในการเป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดในโลกมากยิ่งขึ้น

สถาบันฯ มองว่ามาเลเซียจะกลายเป็นผู้ส่งออกทุเรียนสดป้อนตลาดจีนที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องมาจากข้อตกลงเมื่อปี 2024 ที่รัฐบาลจีนบรรลุข้อตกลงกับมาเลเซียในการอนุญาตการส่งออกทุเรียนสดเข้าสู่จีน โดยในช่วงเวลานั้นมาเลเซียได้ส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งเปลือกและเนื้อทุเรียนแช่แข็งไปยังจีนอยู่แล้ว

ส่วนการผลิตและการส่งออกทุเรียนของเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักบางประการที่ผลักดันการเติบโต ส่วนใหญ่คือสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยในไทยที่กระทบการส่งออก และข้อตกลงที่กระทรวงเกษตรของเวียดนามและสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปจีนบรรลุร่วมกันในปี 2022 ซึ่งอนุญาตการส่งออกทุเรียนสดไปยังจีน

นอกจากนี้ เวียดนามยังได้รับประโยชน์จากการมีพรมแดนทางบกติดกับจีน และการผลิตทุเรียนนอกฤดูกาล สิ่งนี้เป็นพัฒนาการสำคัญที่จะเพิ่มรายได้จากการส่งออกของเวียดนาม ควบคู่กับการเพิ่มการแปรรูปและลดแรงกดดันในการเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล

ด้านรัฐบาลอินโดนีเซียกำลังเร่งทำงานเพื่อให้สามารถส่งออกทุเรียนสดไปยังจีน ขณะที่ลาวเป็นอีกประเทศหนึ่งที่สถาบันฯ คาดว่าจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานทุเรียน

สถาบันวิจัยฟิทช์เผยว่าจีนนำเข้าทุเรียนสดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสิบปีมานี้ พร้อมคาดการณ์ว่าความต้องการทุเรียนจากจีนจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยคาดว่าในระยะสั้นถึงระยะกลางจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในภาคส่วนนี้

บีเอ็มไอคาดว่าการเติบโตจะดำเนินต่อไปในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากตลาดยังคงห่างจากช่วงอิ่มตัว และผลไม้ชนิดนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ ทุเรียนเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีราคาแพงที่สุด และมักถูกมองว่าเป็นสินค้าแปลกใหม่ที่มักรับประทานในโอกาสพิเศษ บีเอ็มไอจึงเชื่อว่าทุเรียนเป็นสินค้าที่จะมีศักยภาพทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงในแง่อำนาจซื้อของผู้บริโภค

เวียดนามคิกออฟ ลดข้าราชการ 100,000 ตำแหน่ง ยุบกระทรวงหลายแห่ง ลดภาระคลัง หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

(18 ก.พ.68) สภาเวียดนามได้ลงมติเห็นชอบแผนปรับโครงสร้างรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยมีเป้าหมายในการลดขนาดกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐลงประมาณ 20% เพื่อลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการ สู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย

ตามรายงานของบลูมเบิร์ก การลงมติครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ระหว่างการประชุมสมัยวิสามัญของสมัชชาแห่งชาติ ณ กรุงฮานอย โดยการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะส่งผลให้ข้าราชการราว 100,000 คนต้องถูกลดตำแหน่ง ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจในทศวรรษ 2520

แผนการนี้รวมถึงการยุบกระทรวง 5 แห่ง และการควบรวมกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการคลังเข้ากับกระทรวงการวางแผนและการลงทุน นอกจากนี้ รัฐบาลยังจะปิดสถานีโทรทัศน์ของรัฐหลายช่องและยกเลิกหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางฉบับเพื่อลดช่องทางการเผยแพร่ข้อมูล

การปฏิรูปครั้งนี้ได้รับการผลักดันโดย โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งกำลังเตรียมตัวสำหรับการปรับเปลี่ยนผู้นำในปีหน้า และมุ่งหวังที่จะสร้างผลงานสำคัญในช่วงที่กำลังขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจในระดับ 8% ในปีนี้ โดยมีเป้าหมายยกระดับเศรษฐกิจให้เติบโตในระดับเลขสองหลักในปีถัดไป

อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปนี้มาพร้อมกับความท้าทาย เนื่องจากมีการลดตำแหน่งงานของข้าราชการหลายพันคน ซึ่งรัฐบาลเตรียมเงินชดเชยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ แต่หลายคนยังคงกังวลเกี่ยวกับการหางานใหม่ในสถานการณ์ที่ภาครัฐกำลังลดขนาดและแรงงานจำนวนมากเคลื่อนย้ายไปยังภาคเอกชน

เวียดนามไฟเขียวเปิดประตูรับ 'สตาร์ลิงก์' ใช้ดาวเทียมมักส์แลกทรัมป์เลี่ยงขึ้นภาษี

(19 ก.พ.68) เวียดนามกำลังเดินหน้าออกกฎระเบียบใหม่ที่เอื้อให้ Starlink บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของ อีลอน มัสก์ สามารถให้บริการภายในประเทศได้ โดยเปิดทางให้บริษัทต่างชาติสามารถควบคุมการดำเนินงานของตนเองได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ ท่ามกลางความตึงเครียดทางเศรษฐกิจระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ

กฎระเบียบใหม่นี้จะอนุญาตให้ Starlink สามารถดำเนินธุรกิจในเวียดนามผ่านบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของมัสก์ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเจรจาที่ยืดเยื้อระหว่างเวียดนามกับ SpaceX และถูกมองว่าเป็นสัญญาณแห่งความร่วมมือ หรือ ‘กิ่งมะกอก’ ที่ส่งถึงรัฐบาลสหรัฐฯ

นโยบายใหม่นี้มีขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนาม ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ปัจจุบัน สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตร

จากอุปสรรคสู่โอกาส: เวียดนามเปลี่ยนจุดยืนต่ออินเทอร์เน็ตดาวเทียม ก่อนหน้านี้ เวียดนามมีข้อจำกัดเข้มงวดเกี่ยวกับการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม โดยไม่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติถือหุ้นข้างมากหรือดำเนินธุรกิจโดยอิสระ ส่งผลให้แผนขยายตลาดของ SpaceX ในเวียดนามต้องหยุดชะงักในช่วงปลายปี 2023 อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งมีกำหนดนำเสนอในที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ จะเปิดทางให้บริษัทอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสามารถควบคุมการดำเนินงานของตนเองได้เต็มรูปแบบ ภายใต้โครงการนำร่องที่มีกำหนดดำเนินการจนถึงปี 2030

หาก Starlink สามารถเข้าสู่ตลาดเวียดนามได้สำเร็จ อาจช่วยให้ประเทศลดแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้บางส่วน ปัจจุบัน เวียดนามมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 123,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.1 ล้านล้านบาท) ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลทรัมป์พิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้า

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า SpaceX มีแผนลงทุนมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 50,000 ล้านบาท) ในเวียดนาม โดยขยายเครือข่ายซัพพลายเออร์และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยเร่งการอนุมัติกฎระเบียบใหม่

นอกจากการเปิดตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมแล้ว เวียดนามยังพยายามปรับสมดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยเสนอที่จะนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากอเมริกามากขึ้น และอยู่ระหว่างหารือเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าอื่น ๆ เพื่อบรรเทาแรงกดดันจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น

การตัดสินใจเปิดทางให้ Starlink ดำเนินธุรกิจในเวียดนามสะท้อนถึงแนวทางที่รัฐบาลฮานอยใช้ในการรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากมหาอำนาจโลก พร้อมส่งสัญญาณถึงวอชิงตันว่า เวียดนามพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ หากได้รับข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

รัฐบาลเวียดนามประกาศโครงการใหม่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียน เพื่อสร้างเยาวชนพร้อมสำหรับโลกการศึกษาในระดับสากลนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ

(13 มี.ค. 68) รัฐบาลเวียดนาม ได้ประกาศแผนการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านภาษาในประเทศ โดยจะมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียนทั่วประเทศ ภายในปี 2035 เป้าหมายหลักของโครงการคือการทำให้ เด็กทุกคนในเวียดนาม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มต้นโครงการนี้โดยการพัฒนาแผนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมและมัธยม โดยจะมีการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับการศึกษาขั้นสูง อีกทั้งยังมีการจัดอบรมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีความเชี่ยวชาญและสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวียดนามตั้งเป้าหมายพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ โดยการศึกษาภาษาอังกฤษจะไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว และการค้าในระดับสากล

การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา นี้จะช่วยให้ เยาวชนเวียดนาม สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงและเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น

การปฏิรูปการศึกษา ในเวียดนามนี้จะเป็นการยกระดับประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มี การแข่งขันด้านภาษา สูงในเอเชียและทั่วโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

Apple - Meta - Boeing นำทัพบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ เข้าพบนายกฯ ‘ฝ่ามมิงชิ่ญ’ ถกการขยายธุรกิจในเอเชีย

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะผู้แทนจากกว่า 60 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ รวมถึง Apple, Meta และ Boeing ได้เดินทางเข้าพบ นายฝ่ามมิงชิ่ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสในการขยายการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

การเจรจาครั้งนี้จัดขึ้นท่ามกลางความพยายามของเวียดนามในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าหลักของเวียดนาม กำลังมองหาโอกาสในการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับธุรกิจระดับโลก

“เวียดนามเข้าสู่บทใหม่ด้วยระบบการเมืองที่ได้รับการปฏิรูปและปรับปรุงอย่างพื้นฐาน ชุมชนธุรกิจอเมริกันก็ตั้งตารอที่จะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และโอกาสต่างๆ ข้างหน้า” นายเท็ด โอเซียส ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) กล่าว

แหล่งข่าวระบุว่า การหารือครั้งนี้ครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแนวทางสนับสนุนบริษัทต่างชาติที่ต้องการขยายธุรกิจในเวียดนาม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฮเทค อิเล็กทรอนิกส์ และการบิน

ก่อนหน้านี้ Apple และบริษัทซัพพลายเออร์ของตนได้ขยายการผลิตมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ Meta กำลังมองหาโอกาสทางดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในภูมิภาค ส่วน Boeing ก็ให้ความสนใจในการร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการบิน

นายฝ่ามมิงชิ่ญย้ำถึงความพร้อมของเวียดนามในการสนับสนุนการลงทุนจากสหรัฐฯ และเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลเวียดนามพร้อมให้การสนับสนุนในด้านนโยบาย สิทธิประโยชน์ทางภาษี และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนในระยะยาว

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเวียดนามในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทชั้นนำระดับโลก

เวียดนามชิงประกาศลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ของ ‘ทรัมป์’

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เวียดนาม ประกาศลดภาษีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายประเภทในความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีใหม่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2568 นี้

ตามแถลงการณ์จากเว็บไซต์รัฐบาล การลดภาษีครั้งนี้รวมถึงการปรับลดภาษีรถยนต์บางประเภทจากเดิมที่สูงถึง 64% ลงมาเหลือ 32% และลดภาษีก๊าซ LNG จาก 5% เหลือเพียง 2% ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เวียดนามแก้ไขปัญหาการเกินดุลการค้า และเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าให้ดีขึ้น 

นอกเหนือจากรถยนต์และ LNG แล้ว เวียดนามยังได้ปรับลดภาษีเอทานอลจาก 10% เหลือ 5% และลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิด เช่น แอปเปิลสด ไก่แช่แข็ง อัลมอนด์ และเชอร์รี่

การลดภาษีครั้งนี้ของเวียดนามดูเหมือนจะเป็นการตอบสนองล่วงหน้าต่อแผนการเก็บภาษีที่สหรัฐฯ อาจใช้กับสินค้าเวียดนาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้เริ่มตรวจสอบการนำเข้าของเวียดนาม โดยเฉพาะสินค้าบางประเภทที่สหรัฐฯ มองว่ามีการค้ากับเวียดนามในลักษณะไม่เป็นธรรม

เวียดนามจึงพยายามลดภาษีในบางสินค้าหวังที่จะป้องกันไม่ให้มาตรการภาษีใหม่จากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนในระดับสากล

การลดภาษีของเวียดนามอาจช่วยรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษีที่อาจกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและยานยนต์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของเวียดนามในปัจจุบัน

ตามข้อมูลจากสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีช่องว่างการค้ากับสหรัฐฯ ใหญ่ที่สุด โดย เวียดนาม ครองอันดับที่ 3 ของประเทศที่มีดุลการค้าส่วนเกินกับสหรัฐฯ รองจาก จีน และ เม็กซิโก ซึ่งปัญหานี้ทำให้เวียดนามตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ที่มุ่งหวังลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

สำหรับการลดภาษีในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของเวียดนามในการรักษาสมดุลในการค้าระหว่างประเทศและรับมือกับความท้าทายจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น โดยรัฐบาลเวียดนามจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนการรับมือหากเกิดการตอบโต้จากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้ ‘เวียดนาม’ อยู่เป็น ในภาวะสหรัฐฯ เก็บภาษีอ่วม ต่อสายตรงเจรจา ‘ทรัมป์’ พร้อมเสนอลดภาษีสหรัฐฯ เหลือศูนย์

(5 เม.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า…

#เวียดนาม 🇻🇳 เทหมดหน้าตัก #จำใจยอม ถอยสุดซอย เพราะพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูงมากกกกก #โตเลิม 🇻🇳 ผู้นำเบอร์หนึ่งเวียดนามต่อสายโทรคุยกับ #ทรัมป์ 🇺🇸 เสนอว่าจะ #ลดภาษีเหลือศูนย์ ให้สหรัฐฯ ถ้ามีข้อตกลงกันได้!! สัญญาณเหมือนจะดี ทรัมป์พอใจและบอกว่า “a very  productive call” และครอบครัวทรัมป์โดย Trump Organization ก็มีผลประโยชน์ทางธุรกิจในเวียดนาม มีโครงการสร้างสนามกอล์ฟและรีสอร์ตแถวเมืองบ้านเกิดโตเลิม มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ 🤔เรื่องนี้จะจบอย่างไร ติดตามกันนะคะ #ภาวะผู้นำ ในยามวิกฤตสำคัญยิ่งยวด 🇻🇳 #เวียดนามอยู่เป็น

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี อธิบายเพิ่มเติมว่า #ผลประโยชน์ส่วนตัวของทรัมป์ในเวียดนาม 🤔 ครอบครัวทรัมป์ โดย Trump Organization และพันธมิตรในเวียดนาม คือ กลุ่ม Kinh Bac Urban Development Corporation (KBC) มีโครงการลงทุนกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนามกอล์ฟ โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนาม

ตามรายงานจาก Reuters โดยอ้างคำพูดของโฆษกของ Trump Organization ระบุว่า “โครงการนี้จะลงทุนมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัดฮึงเอียน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเลขาธิการใหญ่โต เลิม คาดว่า จะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคมปีนี้”

แหล่งข่าวอ้างว่า “โครงการที่ร่วมมือกับ KBC ที่จังหวัดฮึงเอียนจะประกอบด้วยสนามกอล์ฟ 18 หลุม รวม 3 สนาม รวมทั้ง Resort Complex ที่จะเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกของ Trump Organization”

ในวันที่ 18 มีนาคม 2025 ตัวแทนของ Trump Organization ได้พบกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ โดยมีตัวแทนจากบริษัทระดับบิ๊กของสหรัฐฯ และสภาธุรกิจ U.S. ASEAN Business Council อื่นๆ ร่วมเข้าพบด้วย เช่น Boeing, Apple, Intel, Coca-Cola, Nike และ Amazon

#จุดแข็งเวียดนาม 🇻🇳 เวียดนามมีศักยภาพสูง เพราะมี 2 ปัจจัยหลักที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง คือ

(1) #ผู้นำดีมีชัย !! ผู้นำเวียดนามมองไกล มีวิสัยทัศน์ และกล้าลงมือทำ (ไม่ดีแต่พูด) มีความเฉียบขาดในการ regulate จัดการปัญหา/ขจัดจุดอ่อน และมีเป้าหมายที่แน่วแน่ long term strategy (ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา)

(2) #คุณภาพคนในชาติ !! คนเวียดนามขยันมากกก กระหายความสำเร็จ (ไม่งอมืองอเท้ารอคอยแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต)

แถมอีกเรื่อง คือ คนในชาติเวียดนาม #ไม่แตกแยกกันเอง และทุกคน #รักชาติยิ่งชีพ ด้วยค่ะ

‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ ที่ปรึกษาทรัมป์ ปัดตกข้อเสนอของเวียดนาม แม้ยื่นลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% ก็ยังไม่พอ แนะต้องแก้ที่ ‘กลโกงทางการค้า’

(9 เม.ย. 68) ความพยายามของเวียดนามในการเสนอให้ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 46% จากรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูเหมือนจะไม่เป็นผล 

เมื่อปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าของทำเนียบขาว ออกมาตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า ข้อเสนอของเวียดนาม “ไม่มีความหมายอะไรเลย”

ความคิดเห็นของนาวาร์โรมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เปิดเผยผ่านโพสต์ในแพลตฟอร์ม Truth Social เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่า โต เลิม เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้เสนอให้เวียดนามลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีใหม่จากสหรัฐฯ

ต่อมาในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อวันจันทร์ นาวาร์โรไม่เพียงแค่ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว แต่ยังกล่าวหาว่าเวียดนามใช้ “กลโกงทางการค้า” หลายรูปแบบ เช่น การเปิดช่องให้จีนหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรโดยส่งสินค้าผ่านเวียดนาม การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้า

“ดูอย่างเวียดนาม เมื่อพวกเขาเสนอจะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าอเมริกันทั้งหมด สำหรับเราแล้วข้อเสนอนี้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง” นาวาร์โรกล่าวอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเสริมว่า “ทุกประเทศโกงเรา แค่วิธีต่างกันเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม นาวาร์โรได้ “ปรับน้ำเสียง” เล็กน้อยในช่วงท้ายของบทสัมภาษณ์ โดยยอมรับว่าข้อเสนอของเวียดนามอาจถือเป็น “การเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ” แต่ยังห่างไกลจากการสร้างความน่าเชื่อถือหรือแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นอุปสรรคในการค้าระหว่างสองประเทศ

คำให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ตอกย้ำแนวทางการค้าที่แข็งกร้าวของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งยังคงมุ่งเน้นการกดดันประเทศคู่ค้าให้ลดความไม่สมดุลทางการค้า และเตือนเวียดนามว่าการยื่นข้อเสนอเพียงผิวเผินอาจไม่เพียงพอในการหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีที่เข้มงวดจากวอชิงตัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top