Wednesday, 8 May 2024
เทคโนโลยี

‘HACKaTHAILAND 2023’ เสริมทักษะดิจิทัลคนไทย ผ่านกิจกรรมดิจิทัลแบบไร้ขีดจำกัด

(25 ส.ค. 66) ดีอีเอส - ดีป้า ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตรเปิดมหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ ร่วมยกระดับความรู้และทักษะด้านดิจิทัล ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือโลกอนาคตที่ดิจิทัลเข้ามามีส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตรอบด้าน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลที่หลากหลาย เวทีเสวนาและการบรรยายพิเศษ รวมถึงการประชันไอเดียด้านดิจิทัลบนเวที Pitching กับ 5 โซนไฮไลต์ ณ Plenary Hall 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งเป้าผู้เข้าร่วมกิจกรรมตลอด 2 วันไม่น้อยกว่า 40,000 คน สร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากกว่า 1,000 ล้านบาท

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในพิธีเปิดมหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ โดยมีผู้แทนจากสถานทูต ผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และเครือข่ายเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึง นายธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานกรรมการกำกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, ผศ.ดร.ณัฐพลนิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ‘ดีป้า’ พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงานร่วมในพิธีโดยพร้อมเพรียง

นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนและบุคลากรดิจิทัล ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศผ่านการเสริมสร้างความรู้และทักษะด้านดิจิทัลที่จำเป็นแก่ประชาชนทุกช่วงวัยให้สามารถต่อยอดประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย พร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต

“ด้วยเหตุนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า จึงจัดมหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลสุดยิ่งใหญ่ในชื่อ HACKaTHAILAND 2023: DIGITAL INFINITY ขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 26 สิงหาคม ณ Plenary Hall 1 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีดิจิทัลที่น่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายและการดำเนินงานของกระทรวงที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล เพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลประเทศในภาพรวม ผ่านแนวทางการทำงานตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง ดีป้าและเครือข่ายพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มาร่วมมอบประสบการณ์ ยกระดับความรู้และทักษะด้านดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนไทยทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ก่อนนำพาประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ และสังคมดิจิทัลอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยภายในงานมีการนำเสนอเทคโนโลยีดิจิทัลในรูปแบบ Edutainment เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ด้านดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความรู้จากเวทีเสวนาและการบรรยายพิเศษจากเหล่ากูรูในแวดวงรวมไปถึงการประชันไอเดียด้านดิจิทัลในหลากหลายสาขา ซึ่ง ‘HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY’ แบ่งเป็น 5 โซนไฮไลต์ ประกอบด้วย

1.) FUTURE ZONE : เตรียมความพร้อมกำลังคนของประเทศ เพื่อก้าวสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลผ่าน Showcase เทคโนโลยีใหม่ของโลก และการสร้างประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) กับGENERATIVE AI STUDIO โดยการจำลองสตูดิโอที่รองรับทุกไอเดียการสร้างสรรค์ผลงานดิจิทัล

2.) COMMERCE ZONE : รวบรวมเทคโนโลยีเพื่อการซื้อ – ขายในโลกยุคใหม่ที่ครอบคลุมระบบนิเวศเพื่อการค้าพร้อมพบกับความสำเร็จจากการยกระดับตลาดสดสู่ตลาดยุคใหม่ ที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ลดต้นทุน และเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน รวมถึง Showcase ตลาดแห่งโลกอนาคตที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัยมาใช้ยกระดับการบริหารจัดการร้านค้า การเปิดตัวแพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Platform) ด้าน E-commerce สัญชาติไทย เพื่อวิเคราะห์เทรนด์การค้าขายจาก Social Platform และ E-Commerce Platform รวมถึงการเนรมิตพื้นที่เป็น Live Studio เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้รับชมเบื้องหลังการขายของออนไลน์ จากบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังใน 4 หมวดสินค้า คือ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ความงาม อาหาร และเทคโนโลยี

3.) TOURISM ZONE : เปิดประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวแห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลแบบเต็มขั้นผ่านกิจกรรม Digital Tourism Fair เชื่อมโยงทุกการเดินทางให้เป็นเรื่องง่าย ด้วยการออกแบบและวางแผนการเดินทางอย่างชาญฉลาด สะดวก สบาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว พร้อมพบกับ Showcase แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับชาติ ThailandCONNEX เชื่อมต่อทุกโอกาสให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในยุคดิจิทัล

4.) CONTENT ZONE : พบกับโอกาสสำคัญของวงการเกมไทยกับกิจกรรม Demo Day ของโครงการ depa Game Accelerator Program Batch 3 ที่เหล่าคนทำเกม ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นจะมาประชันผลงาน เพื่อค้นหาสุดยอดเกมและนักพัฒนาเกมรุ่นใหม่ พร้อมเปิดประสบการณ์ไปกับ ‘เกมไทย Showcase’ ที่ผู้ร่วมงานจะได้ลองเล่นเกมที่ได้รับการพัฒนาโดยฝีมือคนไทย และพื้นที่พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์ของคนในเครือข่าย และภาคอุตสาหกรรม

5.) WELL-BEING ZONE : พบกับ Showcase แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ(Health Link) พร้อมการเสวนาในหลากหลายหัวข้อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยเทคโนโลยี Big Data และการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ ‘The International Conference on Big Data Analytics and Practices’ (IBDAP)

นอกจากนี้ HACKaTHAILAND 2023: DIGITAL INFINITY ยังมีเวที Pitching ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ได้แสดงศักยภาพทางความคิดในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น

- กลุ่ม DIGI-PRENEUR การเฟ้นหาสุดยอด DIGITAL SOLUTIONS เพื่อพลิกโฉมประเทศ ชิงเงินรางวัลรวม 1 ล้านบาท

- กลุ่ม FUTURE CAREER การแข่งขันด้าน DIGITAL SKILLS ต่อยอดอาชีพแห่งโลกอนาคตและยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวม 2 ล้านบาท

- กลุ่ม YOUTH การแข่งขัน HACKATHON by Digital Youth Network กับหัวข้อนวัตกรรมสร้างสรรค์โลกดิจิทัลใน5 หมวด ประกอบด้วย Startup, Program, Technology, Business และ Activity ชิงเงินรางวัลรวม 275,000 บาท

- กลุ่ม E-COMMERCE การแข่งขันของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ และดิจิทัลคอนเทนต์ครีเอเตอร์หน้าใหม่ ชิงเงินรางวัลรวม 280,000 บาท

- กลุ่ม DIGITAL CONTENT การประชันไอเดียของเหล่าคนทำเกม ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น เพื่อเฟ้นหา The Best Game of depa Game Accelerator Program Batch 3 พร้อมรับทุนสำหรับต่อยอดผลงานรวม 500,000 บาท

ภายในพิธีเปิดยังมีพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่าง ดีป้า และAustralian-Thai Chamber of Commerce, Malaysian Research Accelerator for Technology & Innovation (MRANTI) บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีคลาวด์ เอไอ มาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเปิดหลักสูตรเพื่อพัฒนากำลังคนดิจิทัลกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี(ประเทศไทย) จำกัด

พร้อมกันนี้ ยังมีการแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนแนวคิดจากกูรูในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็น นายจิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน ONE Championship ประเทศไทย, ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่จำกัด, นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัดและ นายคมสันต์ ลี ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ฯลฯ

“มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของคนไทยที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ด้านดิจิทัลสุดประทับใจแบบไร้ขีดจำกัด เรียนรู้ประโยชน์ของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากำลังคนและเพิ่มศักยภาพให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัปไทย เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ที่สำคัญประชาชนจะมีภูมิคุ้มกันในการรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากโลกอนาคต โดย ดีป้า ประเมินว่า ตลอดระยะเวลา 2 วันของการจัดงานมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบ Online และ Onsite ไม่น้อยกว่า 40,000 คน สามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากกว่า 1,000 ล้านบาท” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและรายละเอียดต่าง ๆ ของงาน HACKaTHAILAND 2023 : DIGITAL INFINITY ได้ที่LINE OA: @depaThailand, Facebook Page : HACKaTHAILAND และ Website: www.hackathailand.com

‘ชัยวุฒิ’ ร่วมยินดีครบรอบ 5 ปี ‘ทีทรี เทคโนโลยี’ ยกเป็นองค์กรที่มีบทบาทร่วมขับเคลื่อนเทคโนโลยีของไทย

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์  รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานเปิดงานในพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี ของบริษัท ทีทรี เทคโนโลยี จำกัด พร้อมกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานครบรอบ 5 ปีของบริษัทที ทรี เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนระบบเทคโนโลยีของประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับบริษัทที ทรี เทคโนโลยี ในความสำเร็จครั้งนี้ด้วย

ในช่วงระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา บริษัท ที ทรี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรม การเชื่อมต่อระหว่างความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ และการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการส่งเสริมเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองและการเชื่อมโยงโครงข่ายให้ถึงกันในทุกมิติ 

‘บริษัท ที ทรี เทคโนโลยี’ มีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฟิกส์บรอดแบนด์ (FBB), โมบาย บรอดแบนด์ (MBB), Internet of things (IoT), และโซลูชั่นระดับองค์กร เทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานสำคัญซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน  และยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือทางธุรกิจกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม และมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในโลกยุคดิจิทัลนี้ และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

‘ท็อป-จิรายุส’ กร้าว!! 5 ปีข้างหน้า ทักษะเดิมๆ อาจเสื่อมถอย หลัง AI พร้อมสะเทือน ‘ทุกอาชีพ-ทุกวงการ’ แม้แต่เก้าอี้ ‘นายกฯ’

เมื่อไม่นานนี้ ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง ได้กล่าวในงานสัมมนา ‘Revolution AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ’ จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเขาได้กล่าวถึงการที่เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) จะเข้ามาเปลี่ยนโลกให้หมุนเร็วขึ้น และผู้คนก็จำเป็นต้องเตรียมปรับตัวตามให้ทัน

ท็อป กล่าวอีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถของมนุษย์ราว 44% จะใช้ไม่ได้อีกแล้วในโลกอนาคต และที่สำคัญได้พยากรณ์ไปในอีก 4 ปีข้างหน้าด้วยว่า ผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของไทย ต้องเป็นผู้ที่มีพลังในการกุม AI ไว้ได้

“ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถประมาณ 44% ของพวกเราทุกคน จะใช้การไม่ได้แล้ว ซึ่ง 44% นี้ เทียบได้เกือบครึ่งนึงของความสามารถที่เราทุกคนมีอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะ AI กำลังจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ด้วยโซลูชันและเทคโนโลยี ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการทำงาน รวมถึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและลักษณะของคน”

“อีกทั้ง 1 ใน 3 ของประชากรโลก ในอีกระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2030 อาจจะต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้าโลกจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะในการแบ่งหมวดหมู่ประเภท’ (Skill Taxonomy)”

ท็อป มองว่า ในอนาคต โลกจะไม่มีสิ่งที่เป็น ‘ทักษะหรือความสามารถในแต่ละสายอาชีพ’ (Hard Skills) หรือ ‘ทักษะด้านเทคนิค’ (Technical Skills) จะเหลือเพียงแค่ ‘ทักษะทางสังคมที่ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน’ (Soft Skill) เท่านั้น ดังนั้นมนุษย์ควรจะพัฒนาให้ ‘ทรัพยากรมนุษย์’ (Human Capital) มีทักษะในการสื่อสารที่ดีขึ้น เพิ่มทักษะภาวะผู้นำ หรือทักษะในการทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้น ล้วนเป็น Soft Skill ทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า ทักษะด้านเทคนิคยังจำเป็นอยู่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า ต้องกลับไปในยุคสมัยที่มีการแท่นพิมพ์ขึ้น ทำให้การผลิตหนังสือพิมพ์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ทำได้ง่าย รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนไปได้มาก ส่งผลทำให้คนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและความรู้ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

ต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตได้มีการทำให้ข้อมูลมีความเป็นประชาธิปไตย (Democratization of information) มากขึ้น รวมถึงการติดต่อสื่อสารที่ในยุคสมัยใหม่ สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย และง่ายดายมากยิ่งขึ้น แถมยังฟรี ไม่เสียเงินมากเท่าสมัยก่อนอีกด้วย ขณะเดียวกัน ตอนนี้

หลังจากนั้น ก็มี ‘ระบบจัดการฐานข้อมูลชนิดพิเศษ’ อย่าง Blockchain ซึ่งองค์กรน้อยใหญ่ บริษัท อสังหาริมทรัพย์ โครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) คาร์บอนเครดิต ต่างก็หลั่งไหลเข้ามา ช่วยเปลี่ยนมูลค่าทุกอย่างให้กลายเป็นดิจิทัล

เมื่อถามถึงวาระสำคัญอย่าง AI ที่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในโลกยุคนี้และกำลังเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ สังคม และผู้คนมากขึ้น จะมอบประโยชน์อะไรให้กับโลก? ท็อป กล่าวว่า “AI จะเข้ามาเพิ่มความสามารถด้านเทคนิคในการทำให้ข้อมูลเป็นกลางมากยิ่งขึ้น เราจะคัดกรองข้อมูลได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างที่เป็นความสามารถเฉพาะทางเทคนิก AI สามารถที่จะทําได้แล้ว แปลว่าในอนาคต เราทุกคนจะต้องพัฒนาทักษะความสามารถ เพื่อให้สามารถเข้าถึง AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า”

เมื่อถามถึง AI ต่อการศึกษาในอนาคต? ท็อป มองว่า "การศึกษาในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน เราสามารถพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นได้ด้วย AI ลดปัญหาของการศึกษา โดยการใช้วิธี ‘2 Sigma Problem’ คือ การสอนเด็กแบบตัวต่อตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการสอนแบบกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถผลิตเด็กที่มีความรู้ความสามารถแบบพิเศษได้มากขึ้น เช่น การที่จะทำให้เกิดการสอนแบบตัวต่อตัวนั้น หากเป็นอาจารย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคนไม่เพียงพอ แต่หากใช้ระบบ AI เข้ามาช่วย จะสามารถช่วยให้การศึกษาแบบตัวต่อตัวนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

“แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ หรือครูผู้สอนจะตกงาน เพราะการที่มี AI เข้ามาช่วยนั้น จะทำให้อาจารย์ผู้สอนกลายเป็นอาจารย์ที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากเด็กนักเรียนที่จะมีอาจารย์ผู้สอนแบบตัวต่อตัวที่คอยสร้างสมดุลของไอเดีย เป็นติวเตอร์ส่วนตัวแล้วนั้น อาจารย์ก็จะมี AI เป็น ‘ผู้ช่วยสอนส่วนตัว’ (Teacher Assistant) ที่จะคอยเตรียมเอกสารประกอบการเรียนการสอน หรือแม้แต่สอนเทคนิคต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้แก่อาจารย์ ทำให้ประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์ดีมากขึ้นอีกด้วย”

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่ AI จะเข้ามาทำให้ระบบการศึกษากลายเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่เปิดกว้างต่อคนทุกวัยมากขึ้นใช่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า “เป็นไปได้มาก เพราะในอนาคต ลูกค้าของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้มีเพียงแค่เด็กมัธยมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพวกเราทุกคน เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ทักษะปัจจุบันครึ่งนึงของพวกเราจะใช้การไม่ได้แล้ว พวกเราทุกคนจึงต้องพัฒนาทักษะความรู้ในเท่าทันโลกแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มการศึกษาแห่งอนาคตที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการช่วยส่งเสริม เพิ่มพูนทักษะความรู้ของมนุษย์แต่ละคน”

ไม่ใช่แค่การศึกษาที่จะเปลี่ยนไป เพราะแม้แต่โลกของอุตสาหกรรมการผลิต ก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดย ท็อป ชี้ว่า “ขีดความสามารถของเครื่องจักรในอนาคตนั้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการผลิตสินค้า สามารถผลิตได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลงเรื่อยๆ ทุกปี อีกทั้งราคาสินค้ายังถูกลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานบริการในอนาคตอีกเช่นกันที่ AI จะเข้ามามีความสามารถทางเทคนิคโดยอัตโนมัติ แทนที่มนุษย์ทั้งหมด” ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ท็อปพยายามย้ำว่า ทำไม Soft Skill ถึงสำคัญมากในอนาคต

เมื่อถามถึง AI จะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของไทยในอนาคต? ท็อป เผยว่า “ในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรีคนถัดไป อาจจะเป็นผู้ที่มี AI Power มากที่สุด เพราะเทคโนโลยี มีผลต่อการเลือกตั้งทุกยุคทุกสมัย ยุคแรกใครมีป้ายหาเสียงที่อยู่ตามท้องถนน สถานที่ดีๆ คนเห็นเยอะๆ ได้เป็นนายกฯ แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน ใครที่เก่งเรื่องโซเชียลมีเดียมากๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นนายกฯ เป็นต้น”

‘กองทุนดีอี’ โชว์ผลสำเร็จโครงการโดรนสำรวจพื้นที่ป่า เตรียมใช้ข้อมูลเพิ่มศักยภาพดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

‘กองทุนดีอี’ โชว์ผลสำเร็จโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลังสำรวจครบ 11 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เตรียมนำข้อมูลช่วยดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

สถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน มีการบุกรุกทำลายก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน และทรัพยากรป่าไม้โดยการออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อสงวน และอนุรักษ์ป่าไม้มาโดยตลอด แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งปัญหาอีกประการด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศซึ่งในอดีตไม่สามารถแสดงผลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศความละเอียดสูง เพื่อกำหนดขอบเขตของพื้นที่ป่าอย่างชัดเจน หรือติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างละเอียด อีกทั้งยังไม่มีการประยุกต์ใช้ข้อมูลเพื่อจัดการด้านภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า น้ำป่าไหลหลาก หรือดินถล่ม เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านเทคโนโลยี

กองการบิน สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำเสนอโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดทำภาพถ่ายทางอากาศและการบินลาดตระเวนทางอากาศ ด้วยอากาศยานไร้คนขับ ในการสนับสนุนภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการติดตามสถานการณ์ไฟป่าและน้ำป่าไหลหลาก รวมถึงเพื่อพัฒนาระบบจัดเก็บ แลกเปลี่ยน และแสดงผลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศความละเอียดสูงสำหรับสนับสนุนการจัดการพื้นที่ทำกิน ให้บริการแก่ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และแสดงผลข้อมูลสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสถานการณ์ด้านไฟป่าและน้ำป่าไหลหลากในรูปแบบ real time บน web map service และ mobile application และเพื่อพัฒนาระบบติดตามและเฝ้าระวังพื้นที่ป่าและป่าอนุรักษ์ รวมทั้งพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยอากาศยานไร้คนขับในรูปแบบขึ้นลงทางดิ่ง (vertical takeoff and landing, VTOL) สำหรับการลาดตระเวนทางอากาศและการสำรวจจัดทำภาพถ่ายทางอากาศ 

โครงการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปีงบประมาณ 2564 โดยเป้าหมายของโครงการนี้เพื่อใช้อากาศยานไร้คนขับสำหรับงานลาดตระเวน ติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการบุกรุกทำลายและสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ต่ำกว่า 9 ล้านไร่ อีกทั้งยังเป็นฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่า และป่าอนุรักษ์ ด้านการจัดพื้นที่ทำกิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงการจัดการด้านภัยธรรมชาติ เช่นไฟป่า น้ำป่าไหลหลาก หรือดินถล่ม และเป็นการเสริมศักยภาพในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจากเดิมที่ใช้อากาศยานเป็นอุปกรณ์หลักเพียงอย่างเดียว ให้มีอุปกรณ์เสริมช่วยลดความเสี่ยง และสามารถเข้าพื้นที่ได้รวดเร็ว ครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาช่องทางให้บริการข้อมูลที่จำเป็นแก่ประชาชน และหน่วยงานภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ข้อมูลภาพถ่ายความละเอียดสูงแบบหลายช่วงคลื่น ประกอบภาพถ่ายสีธรรมชาติ ข้อมูลสภาพภูมิประเทศแบบสามมิติ วิดีโอในรูปแบบ real time เป็นต้น ในการสนับสนุนการตัดสินใจของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและประชาชน

สรุปผลการดำเนินงาน โครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอากาศยานไร้คนขับ จำนวนทั้งสิ้น 14  ลำ โดยมีพื้นที่เป้าหมายดำเนินการใน 11 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและพื้นที่ส่วนกลางในกรุงเทพมหานคร 

ปัจจุบันได้มีการทดสอบการใช้งานจริงในพื้นที่เป้าหมายที่กำหนดซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าเขา พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ไฟป่า และพื้นป่าที่มีประชาชนอยู่อาศัยทำกิน โดยกำหนดเป็นภารกิจการบินสำหรับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ การบินลาดตระเวนพื้นที่ รวมทั้งการฝึกอบรมผู้ใช้งานให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

จากการได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีสำหรับการสำรวจที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการจัดการพื้นที่ทำกิน ด้วยข้อมูลสารสนเทศเชิงพื้นที่ความละเอียดสูงจากอากาศยานไร้คนขับ และยังเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ลดความเสี่ยงและการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ อีกทั้งมุ่งผลลัพธ์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ โดยการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในครั้งนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยั่งยืน

‘ดร.ดนุวัศ’ สรุป ‘10 เทคโนโลยีเกิดใหม่มาแรงปี 2023’ ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม ใน 3-5 ปีข้างหน้า

เมื่อไม่นานมานี้ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาการศึกษา อาจารย์คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Danuvas Sagarik’ ถึง 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มาแรงสุดในปี 2023 โดยระบุว่า…

😀10 อันดับ เทคโนโลยีเกิดใหม่สุดปัง ที่มาแรงสุดในปี 2023🌈

🎉 World Economic Forum ได้เผย 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ได้แก่

📌 1. แบตเตอรี่แบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Batteries)

ในอนาคต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จะเห็นได้จากพัฒนาการของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์พับได้ สมาร์ทโฟนพับได้

ทำให้แบตเตอรี่แบบแข็งอาจถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ที่ทำจากวัสดุน้ำหนักเบา บาง สามารถบิด งอ หรือยืดหยุ่นได้ง่าย 

📌 2. ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI)

เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการ ‘สร้างใหม่’ จากชุดข้อมูลที่มีอยู่ด้วยอัลกอริทึม 

Generative AI กำลังได้รับความนิยม จากการปรากฏตัวของ ChatGPT และถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม

📌 3. เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)

เป็นอีกเทคโนโลยีที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ท่ามกลางกระแสการคมนาคมสีเขียว (Green Transportation) ซึ่งรวมไปถึงความนิยมการใช้รถ EV 

แม้ปัจจุบัน Sustainable Aviation Fuel ถูกใช้ในสัดส่วนไม่ถึง 1% ของความต้องการเชื้อเพลิงเครื่องบินทั่วโลก 

แต่สัดส่วนดังกล่าวจำเป็นจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 13-15% ภายในปี 2040 เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

📌 4. ไวรัสที่ถูกออกแบบ และปรับแต่งเพื่อใช้ทางการแพทย์ (Designer Phages)

เช่น สามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับไมโครไบโอม เช่น กลุ่มอาการฮีโมไลติกยูรีมิก ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้ยาก แต่ร้ายแรง ซึ่งส่งผลต่อไตและการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเกิดจากเชื้ออีโคไลบางชนิด

📌 5. Metaverse เพื่อสุขภาพจิต (Metaverse for Mental Health)

Metaverse หรือโลกเสมือนที่เปิดให้ผู้คนเข้าไปทำกิจกรรมหรือมีปฏิสัมพันธ์กัน ผ่านการใช้เทคโนโลยี AR และ VR

ปัจจุบัน Metaverse ถูกนำไปใช้ในการรักษาสุขภาพจิตในหลายวิธี ซึ่ง Metaverse ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยผ่านการรักษาทางไกล

เช่น บริษัท DeepWell Therapeutics ที่สร้างวิดีโอเกมเพื่อรักษาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล

และบริษัท TRIPP ซึ่งสร้าง ‘Mindful Metaverse’ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนผ่านการเจริญสติ และการทำสมาธิ 

📌 6. เซ็นเซอร์ติดที่พืช (Wearable Plant Sensors)

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า การผลิตอาหารของโลกจะต้องเพิ่มขึ้น 70% เพื่อเลี้ยงประชากรทั้งโลกให้เพียงพอ ภายในปี 2050 

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีด้านการเกษตรจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเสริมความแกร่งด้านความมั่นคงด้านอาหารของโลก

เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ติดที่พืชกำลังกลายเป็นวิธีตรวจสอบสุขภาพและคุณภาพของพืชที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้สุขภาพของพืชผลต่าง ๆ ดีขึ้น และมีผลผลิตมากขึ้น

อุปกรณ์มีขนาดเล็ก และไม่รบกวนพืช ใช้ติดเข้ากับพืชต่าง ๆ เพื่อการตรวจสอบอุณหภูมิ ความชื้น และระดับสารอาหารได้อย่างต่อเนื่อง 

ทำให้เกษตรกรควบคุมการใช้น้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นของโรคได้ดีขึ้น

📌 7. เทคโนโลยีที่ใช้วิเคราะห์โมเลกุลในพื้นที่ที่เซลล์หรือโครงสร้างชีวภาพต่าง ๆ อยู่ (Spatial Omics)

Spatial Omics จึงอาจให้คำตอบแก่นักวิจัยได้เพิ่มขึ้น ด้วยการรวมเทคนิค ‘การถ่ายภาพขั้นสูง’ เข้ากับความเฉพาะเจาะจงและความละเอียดของการจัดลำดับ DNA 

วิธีการที่เกิดขึ้นใหม่นี้ช่วยทำให้นักวิจัยค้นพบความลึกลับของสิ่งมีชีวิตได้มากขึ้น และดูรายละเอียดเซลล์ และเหตุการณ์ทางชีววิทยาที่ไม่สามารถสังเกตได้ก่อนหน้านี้

📌 8. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สื่อระบบประสาทแบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Neural Electronics)

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างคลื่นสมองและคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ภายนอก อื่น ๆ หรือ Brain-Machine Interfaces (BMI) เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ 

และถูกนำมาใช้ในหลายกรณี เช่น การรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู และแขนขาเทียมที่เชื่อมต่อกับระบบประสาท ทำให้เกิดการจินตนาการเกี่ยวกับศักยภาพในการควบคุมเครื่องจักรด้วยความคิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 9. คลาวด์คอมพิวติงแบบยั่งยืน (Sustainable Computing)

ขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายลง มนุษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็กำลังพึ่งพาข้อมูลมากขึ้น 

ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าและการปล่อยความร้อนของศูนย์ข้อมูล (Data Center) สำหรับเทคโนโลยี Cloud Computing มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการขยายตัวของ Metaverse AI และเทคโนโลยีอื่นๆ 

แต่คาดว่าในทศวรรษหน้า ศูนย์ข้อมูลที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ และ Sustainable Computing จะมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างมาก 

📌 10. การดูแลสุขภาพที่ใช้ AI (AI-Facilitated Healthcare)

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างระบบสาธารณสุขที่น่าเชื่อถือมากขึ้น 

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นหนึ่งแนวทางสำคัญในการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น ลดความล่าช้าที่ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเจอเมื่อพยายามเข้ารับการรักษาพยาบาลผ่านระบบ 

เช่น บริษัท Medical Confidence ที่ใช้ AI เพื่อจัดการความต้องการในการรักษาของผู้ป่วยให้เหมาะสมกับความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้ช่วยลดเวลารอการรักษาได้อย่างมาก บางกรณีช่วยลดเวลารอจากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

นอกจากนี้ AI ยังสามารถอำนวยความสะดวกในการระบุรายละเอียดที่สำคัญทางรังสี หรือภาพ CT ที่แพทย์อาจมองข้ามได้ และการรวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างข้อมูลเชิงลึกต่อไปได้อีกด้วย

‘ดร.สุวินัย’ หวั่น!! ยุคดาต้านิยม แฮกความเป็นมนุษย์ ด้วยทุนนิยมสอดแทรก ‘เด็ก-เยาวชน’ เหยื่อโอชะ จิตวิญญาณข้างในค่อยๆ ถูกฆ่าให้ตาย

(10 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ระบุว่า…

แลไปข้างหน้าในยุคดาต้านิยม (Dataism) : ยุคแห่งมิคสัญญีท่ามกลางกระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ’ (Power Shift)

โลกนี้วุ่นวายหนอ แต่เพจนี้ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ขอเธอจงตั้งใจอ่านเถิด

วันนี้เรามาหัดมองป่าทั้งป่ากัน เพื่อเข้าใจว่าเรากำลังอยู่ในยุคอะไร และกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ เพื่อรับมือกับคลื่นสึนามิลูกยักษ์ที่กำลังมา ไม่ให้ ‘นาวาสยาม’ ลำนี้ของเราล่มสลาย

ปัจจุบัน ‘ยุคดาต้านิยม’ (Dataism) ได้เริ่มต้นแล้ว และกำลังเข้ามาทดแทนยุคทุนนิยม (Capitalism) ที่ชาวโลกคุ้นเคย

มนุษย์จะไม่ใช่ ‘ตัวตนอันมีอิสระ’ (แบบเสรีนิยม) ที่ถูกขับเคลื่อนด้วย ‘เรื่องเล่า’ ที่ตัวตนประดิษฐ์ขึ้นมาเหมือนยุคก่อนๆ อีกต่อไป

แต่มนุษย์จะถูกกลืนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอัลกอริทึมระดับโลกอันมหึมาในที่สุด… โดยเป็นส่วนหนึ่งที่มีแต่จะถูกลดระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ ในเครือข่ายระดับโลกอันมหึมานี้ (ขอให้ขีดเส้นใต้ตรงนี้… “มนุษย์จะถูกลดระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ ในเครือข่ายอัลกอริทึมระดับโลก”)

การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจกับ Global Politic ผ่าน ‘สงครามใหญ่’ อย่าง ‘สงครามยูเครน-รัสเซีย’ ตามมาด้วยสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน และต่อไปจะลุกลามไปที่เกาะไต้หวันกับคาบสมุทรเกาหลี 

คือส่วนหนึ่งของกระบวนการ ‘The Great Reset’ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระดับโลก พร้อมกับการสถาปนาระบบ Technocracy (เทคโนโลยีเป็นใหญ่) เพื่อมาแทน Democracy (ประชาธิปไตยเป็นใหญ่) ที่ถูกรองรับด้วยปรัชญามนุษย์นิยมที่กำลังล่มสลาย

ภายใต้ระบบ Technocracy… เทคโนโลยีในยุคดาต้านิยม ทำให้อัลกอริทึมภายนอกสามารถ ‘แฮกความเป็นมนุษย์’ ได้ทุกคน ทำให้มันสามารถรู้จักคนผู้นั้นดีกว่าที่ผู้นั้นรู้จักตัวเองเสียอีก…

คนทุกคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย ล้วนถูกมัน ‘แฮกความเป็นมนุษย์’ ทั้งสิ้น เพราะอีกชื่อหนึ่งของ ‘ดาต้านิยม’ คือ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ (Surveillance Capitalism) ที่อยู่ภายใต้เงื้อมมือของบรรษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่แนบแน่นกับ ‘รัฐลึก’ (Deep State) ของประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายที่กำลังแย่งชิง-ท้าทาย ‘ความเป็นเจ้าโลก’ ของมหาอำนาจเจ้าโลกเดิม

อีกไม่เกิน 30 ปีข้างหน้า (ภายในปี 2050) ความเชื่อในแนวคิดปัจเจกบุคคลของปรัชญามนุษย์นิยมคงถึงคราวล่มสลาย โดยที่ ‘อำนาจ’ จะย้ายเคลื่อนจาก ‘มนุษย์ผู้เป็นปัจเจก’ ไปยัง ‘อัลกอริทึม’ ที่โยงกันเป็นเครือข่ายมหึมาแทน…

กระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ (Power Shift)’ นี้ มันเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2010 แล้ว และคงจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2050 ขณะที่คนทั้งโลกกำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ’ กระบวนการนี้

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ฉับพลัน รุนแรง คาดไม่ถึง และไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต… เราต้องทำความเข้าใจมันด้วยมุมมองของ ‘ดาต้านิยม’ และ ‘กระบวนการย้ายอำนาจ’ ที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังดำเนินอยู่ คืบหน้าอยู่ด้วยอัตราเร่ง

ในราวๆ ปี 2050 มนุษย์คงจะต้องยอมศิโรราบต่ออัลกอริทึมโดยสิ้นเชิง แล้วถอดใจหันมามองตัวเองเป็นแค่ ‘จิ้งหรีด’ ที่เป็นกลุ่มกลไกทางชีวเคมี ที่ถูกเครือข่ายอัลกอริทึมอิเล็กทรอนิกส์คอยเฝ้ามอง และชี้นำจูงจมูกอย่างต่อเนื่อง…

นี่คือความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ (Alienation) ที่ ‘คาร์ล มาร์กซ์’ เคยชี้ให้เห็นตอนเขาวิเคราะห์ระบบทุนนิยม และเรียกร้องให้ทุกคนที่รู้สึกแปลกแยกที่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ ลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติกรรมาชีพ เพื่อโค่นล้มระบบทุนนิยม… จะกลายเป็นของเด็กๆ ที่น่ารักน่าคำนึงถึง เมื่อเทียบกับความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์อันเกิดจากระบบดาต้านิยม

พวกเด็กและเยาวชน ซึ่งมีจิตใจเปราะบางกว่าคนวัยอื่น คือ เป้าหมายหรือเหยื่ออันโอชะรายแรกๆ ของเครือข่ายอัลกอริทึม

- เป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง
- ติดพนันออนไลน์
- คลั่งการเมืองแบบฝูงซอมบี้
- นิยมความรุนแรง เห็นชีวิตเป็นผักปลาเพราะติดเกมออนไลน์
- เป็นหนี้อย่างหนัก เพราะถูกกระตุ้นให้สร้างหนี้เพื่อการบริโภค
ฯลฯ

ดังนั้น ภายในปี 2050 ภายใต้ระบบดาต้านิยมที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในอัตราเร่งอยู่นี้ พวกเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นลูกหลานของเราจำนวนมากจะถูกลดคุณค่าอย่างถึงที่สุด จนกลายเป็น ‘สิ่งไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’ หรือ ‘สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์’ หรือ ‘สวะ’ สำหรับระบบดาต้านิยม

ส่วนคนที่ยังมีคุณค่าใช้สอยในระบบดาต้านิยม คือคนยอมกลายเป็นส่วนหนึ่ง หรือชิ้นส่วนอินทรีย์ของเครือข่ายอัลกอริทึมอันมหึมาเท่านั้น คนประเภทนี้ต้องมีทักษะทางดิจิทัลที่สูง ทำงานร่วมกับอัลกอริทึมได้ เขียนโปรแกรมซอฟท์แวร์ได้ หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถใน ‘งานบริการขั้นสูง’ ที่หุ่นยนต์หรืออัลกอริทึมยังทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดีพอ…

มีแต่คนแบบนี้เท่านั้น ถึงจะอยู่รอดในโลกอนาคตแห่งยุคดาต้านิยมได้

ในยุคดาต้านิยมนี้ อัลกอริทึมเริ่มต้นจากเป็น ‘เทพพยากรณ์ผู้รอบรู้ทุกสิ่ง’ (Oracle) ให้คนใช้ มันเป็นประโยชน์มาก และเป็นข้ารับใช้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับมนุษย์

ปัจจุบันยุคดาต้านิยมเพิ่งอยู่ในขั้นนี้เท่านั้น

แต่อีกไม่นาน เมื่อยุคดาต้านิยมพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งในอีก 30 ปีข้างหน้า อัลกอริทึมจะวิวัฒนาการตนเองไปเป็น ‘ผู้แทน’ ที่ช่วยตัดสินใจแทน หรือทำงานแทนมนุษย์ในขอบเขตที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมทุกสิ่งทุกเรื่องในที่สุด

มันจะกลายเป็น ‘ผู้นำ’ หรือ ‘ผู้ตัดสินใจ’ ที่ยอดเยี่ยมกว่ามนุษย์ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องความเครียด อารมณ์และความเหนื่อยล้า ในการตัดสินใจ

สุดท้าย ในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว ก็จะมาถึงขั้นตอนสูงสุดแห่งยุคดาต้านิยม เมื่ออัลกอริทึมกลายเป็น ‘พระเจ้า’ หรือ ‘ผู้มีอำนาจสูงสุด’ เสียเอง

ช่วงเวลาร้อยปี หรือสองร้อยสามร้อยปีหลังจากนี้ จึงมิใช่ช่วงเวลาอื่นใด แต่คือ ช่วงเวลาแห่งการพัฒนาไปสู่ขั้นตอนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ ของระบบดาต้านิยมเท่านั้น

ทบทวนอีกครั้ง เทคโนโลยีใหม่ของศตวรรษที่ 21 จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘การปฏิปักษ์ปฏิวัติมนุษย์นิยม’ หรือการถอดรื้อการปฏิวัติมนุษย์นิยม ผ่านการริบยึดอำนาจไปจากมนุษย์ และมอบโอนอำนาจให้แก่อัลกอริทึมซึ่งไม่ใช่มนุษย์แทน

ต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคดาต้านิยม คือการที่ปัจเจกบุคคลจะถูกบดขยี้ให้แหลกลาญจากภายในเอง แทนที่จะถูกบดขยี้อย่างโหดร้ายจากภายนอก

ฟังให้ดีนะ ต่อไปลูกหลานของเรา… จะถูกบดขยี้จากภายใน พวกเขาจะถูกบดขยี้ทางจิตวิญญาณ ให้ย่อยยับไม่มีชิ้นดีจากภายใน จากข้างใน ในระดับลึกสุดถึงจิตวิญญาณ

โรคซึมเศร้าจะแพร่กระจายในหมู่คนทุกวัยทั่วทั้งสังคม แต่จะแพร่มากที่สุดในเด็กและเยาวชน

ต่อไป อัตราการฆ่าตัวตายจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอัตราการถูกฆาตกรรมเสียอีก

เนื่องเพราะ ‘การตายทางจิตวิญญาณข้างใน’ ย่อมนำมาซึ่งการฆ่าตัวตายทางกายภาพ ไม่ช้าก็เร็ว

นี่คือสัญญาณช่วงต้นๆ ที่บ่งบอกถึงการถูกบดขยี้จากภายในของปัจเจกบุคลทั้งหลายในยุคดาต้านิยม…

แต่นี่เป็นแค่น้ำจิ้มเอง!!

ความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ น่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดาต้านิยม โดยออกมาในรูปของมิคสัญญี…

- สงครามโลก 
- ความล่มสลายของทุกสถาบันหลักในสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว  
- โรคระบาดระดับโลกโดยจงใจ (อาวุธชีวภาพ) 
- ความวุ่นวายไม่รู้จบสิ้นในแต่ละประเทศ หลังการล่มสลายทางเศรษฐกิจ
- สงครามกลางเมือง ที่มีที่มาจากความแตกแยกทางความคิดเป็นสองขั้วอย่างรุนแร งเพราะต่างฝ่ายต่างโดนปลุกปั่นด้วยอัลกอริทึม จนมันระเบิดออกมาแบบรวมหมู่ในที่สุด
ฯลฯ

ยุคของมวลชนและยุคเพื่อมวลชน ใกล้จะจบสิ้นแล้ว พร้อมๆ กับการรุดหน้าแบบก้าวกระโดดของระบบดาต้านิยมหลังจากนี้

ภายใต้ยุคดาต้านิยม คงจะเกิดศาสนาใหม่ขึ้นที่เรียกว่า ‘ศาสนาดาต้า’ (Data Religion) ซึ่งเป็นลัทธิบูชาดาต้าเทคโนโลยีแบบวัตถุนิยมสุดโต่งประเภทหนึ่ง

เพราะ ‘ศาสนาดาต้า’ ให้สัญญาแก่ผู้คนว่า จะนำพาผู้คนให้หลุดพ้นได้ด้วยอัลกอริทึมที่ ‘อัปเกรดจิตใจมนุษย์’ และด้วยเทคโนโลยีพันธุกรรม

สเปกตรัมของสภาวะจิต (Spectrum of mental state) ที่นักวิทยาศาสตร์ยุคดาต้านิยมใช้ในการสร้างอัลกอริทึมที่อัปเกรดจิตใจมนุษย์ มาจากภาคส่วนเล็กๆ 2 ภาคส่วนเท่านั้น คือ ส่วนพร่องจากบรรทัดฐาน (Sub-normaltive) และกลุ่ม WEIRD ที่มาจากคำหน้าของคำว่า Western, Educated, Industrialsed, Rich, Democratic คือ ใช้สภาวะจิตและระดับจิตเฉลี่ยของพลเมืองในสังคมประเทศตะวันตกเป็นข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น

ตรงนี้แหละ คือข้อจำกัดของพวกดาต้านิยมในการทำความเข้าใจเรื่องจิต!!

เพราะพวกบรรษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่บูชา ‘ลัทธิดาต้านิยม’ ก็ยังยึดติดอยู่ในกรอบความคิดแบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์อย่างสุดโต่ง

แนวคิดแบบวัตถุนิยมประวัติศาตร์ของพวกดาต้านิยม คือมิจฉาทิฐิที่ร้ายแรงที่สุดในยุคนี้… ที่โลกได้เข้าสู่ยุคดาต้านิยมแล้ว

โลกทัศน์แบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่สุดโต่งของพวกนักวิทยาศาสตร์ และนักเทคโนโลยีในวงการปัญญาประดิษฐ์ระดับแนวหน้าของโลกตอนนี้  คือสิ่งกำหนดทิศทางของยุคดาต้านิยมในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน

ในฐานะที่เป็นคนฝึกจิต ผมทราบดีว่าเรื่องที่เขียนข้างต้นนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก สำหรับชาวบ้านที่ยังต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทางเศรษฐกิจไปวันๆ

แต่ลองตั้งใจอ่านบทความข้างต้นของผมทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรเถิด แล้วใช้มุมมองนี้ไปทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้… บางทีท่านผู้อ่านอาจได้คิด หรือสำเนียก แลเห็นสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเห็นหรือเคยเฉลียวใจมาก่อนก็เป็นได้

รู้ไว้นะ คนที่อ่านอนาคตได้ขาด คนที่มองอนาคตได้กระจ่าง มีไม่มากนักหรอก ไม่ว่าในยุคใด

จะมีก็แต่คนประเภทนี้เท่านั้น ที่สามารถนำพาผู้คนโต้คลื่นแห่งยุคสมัยได้ โดยไม่ถูกคลื่นสึนามิกระหน่ำซัดจนล่มสลายเหมือนเรือลำอื่น

3 การเคลื่อนไหวใหญ่ของญี่ปุ่น ทวงคืนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

👉การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของญี่ปุ่น ก้าวสู่ยุคใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นั่นก็คือ การออกมาตรการล่าสุดภายใต้กฎหมายฉบับสำคัญที่มุ่งส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น มีด้วยกัน 3 ด้าน ได้แก่

1.เทคโนโลยีคลาวด์
รัฐบาลญี่ปุ่นได้สนับสนุนโครงการคลาวด์ ของ ‘SAKURA internet’ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้าน AI ของญี่ปุ่น รวมทั้งเร่งให้เกิดการวิจัยและพัฒนา generative AI และการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ภายในประเทศ

2.เซมิคอนดักเตอร์ 
รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจให้เงินทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ 8 โครงการ รวมถึงเงินทุนสนับสนุนให้กับ ‘SHINKO Electric Industries’ สูงถึง 17.8 พันล้านเยน หรือประมาณ 4.4 พันล้านบาท เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับซัพพลายเชนด้านเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศที่ครอบคลุมอุปกรณ์การผลิต ชิ้นส่วนและส่วนประกอบ วัตถุดิบ ตลอดจนการเป็นฐานการผลิต

3.เครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
รัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุมัติแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม จำนวน 3 หมื่นล้านเยน หรือคิดเป็น 7.5 พันล้านบาท ภายใต้กฎหมายการส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก ซึ่งมุ่งไปยังผู้ผลิตหลักของกลุ่มเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมในญี่ปุ่น โดยรัฐบาลต้องการเสริมสร้างขีดความสามารถในการผลิตอุปกรณ์ควบคุมที่มีผลกับการพัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องจักรกลและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม อุปกรณ์ควบคุมนี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับญี่ปุ่นซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

‘จีน’ เร่งพัฒนาระบบ ‘สิทธิบัตร’ รองรับอุสาหกรรมดิจิทัล หลังขึ้นแท่นผู้ส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.) สำนักบริหารทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติจีน รายงานว่าการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของจีนได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมดิจิทัล

เซินฉางอวี่ หัวหน้าสำนักบริหารฯ เผยว่าจำนวนการออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ในกลุ่มธุรกิจหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 18 ต่อปีในช่วงปี 2016-2022

ขณะเดียวกันจำนวนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ทั้งหมดในภาคธุรกิจเหล่านี้สูงแตะ 1.6 ล้านฉบับ เมื่อนับถึงสิ้นปี 2022 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 38 ของปริมาณสิทธิบัตรภายในประเทศ

จีนได้เพิ่มความพยายามสร้างระบบสิทธิบัตรที่ดียิ่งขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล พร้อมกับยกระดับกฎเกณฑ์การตรวจสอบสิทธิบัตรเทคโนโลยีใหม่ เช่น อินเทอร์เน็ต คลังข้อมูลขนาดใหญ่ และปัญญาประดิษฐ์

ดาเรน ถัง ผู้อำนวยการองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก กล่าวว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยเศรษฐกิจของจีนได้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นหนึ่งในเครื่องจักรขับเคลื่อนนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีอันทรงพลังที่สุดของโลก

“จีนได้เติบโตเป็นผู้ส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ (creative goods) จากประเทศกำลังพัฒนาในระดับชั้นนำ และทรัพย์สินทางปัญญามีส่วนสำคัญต่อการเติบโตนี้” ถังกล่าวเสริม

‘จีน’ มีโรงงานอัจฉริยะ-สถานีฐาน 5G กว่า 2.2 แสนแห่งแล้ว พร้อมผลักดันเครือข่ายขนาดใหญ่-ล้ำสมัยมากที่สุดในโลก

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, หางโจว รายงงานว่า สำนักเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ ประจำมณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน รายงานว่า ปัจจุบันเจ้อเจียง ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ได้ก่อสร้างสถานีฐาน 5G เป็นจำนวน 220,000 แห่งแล้ว

‘หลี่หมิน’ รองผู้อำนวยการสำนักฯ ซึ่งร่วมการประชุม 5G+ อินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมแห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ปี 2023 ในเมืองเส้าซิงของเจ้อเจียง กล่าวว่าปัจจุบันผู้อยู่อาศัยในเจ้อเจียงทุก 10,000 คน สามารถเข้าถึงสถานีฐาน 5G มากกว่า 33 แห่ง

นอกจากนั้น เจ้อเจียงได้สร้าง ‘โรงงานแห่งอนาคต’ และโรงงานอัจฉริยะระดับมณฑล จำนวน 653 แห่ง และสร้างแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมระดับมณฑล จำนวน 535 แห่ง

อนึ่ง จีนถือเป็นผู้นำโลกด้านการพัฒนา 5G ด้วยจำนวนสถานีฐานรวม 2.84 ล้านแห่ง เมื่อนับถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมของปีนี้ โดยจีนกำลังพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่และล้ำสมัยมากที่สุดในโลก

‘มือเศรษฐกิจจุลภาค’ ชี้!! กระแส ‘EV’ มาแรง เขย่าวงการรถยนต์ แนะ ‘ไทย’ จับทิศทางให้ถูก รับมือการเปลี่ยนแปลงรอยต่อเทคโนโลยี

(10 ธ.ค. 66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Ta Plus Sirikulpisut’ เกี่ยวกับกระแสตอบรับของรถยนต์ไฟฟ้า จากงาน ‘Motor Expo 2023’ ระบุว่า…

‘Motor Expo’ คราวนี้ รถยนต์ไฟฟ้าขายดีมากๆ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงเริ่มแล้วในไทย?

รถยนต์เป็นพาหนะที่คุ้นเคย จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่แพงขึ้น ทำให้คนเริ่มเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีปัญหาในเรื่องของจุดชาร์จ แบตดับก่อนที่ Range ในจอบอกไว้ ขายต่อยาก และค่าประกันแพง

แต่ปัญหาเหล่านี้ทยอยถูกแก้ไข และที่สำคัญคือ ‘คนใช้รถ’ จะเอาเงินค่าเติมน้ำมันมาผ่อนรถได้เกือบฟรีเลย ค่าบำรุงรักษาก็น้อยมาก ยกเว้นเปลี่ยนแบตเตอรี่ การตัดสินใจตรงนี้ทำให้มีการเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น

แต่รถไฟฟ้า ไม่ใช่แค่ธุรกิจรถยนต์ มันมี 3 ธุรกิจ อยู่ในนั้น คือ ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ และยานยนต์

นั่นคือ Toyota, Panasonic และ Apple รวมกัน

เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก ถ้ามีระบบที่ทำให้ชาร์จไว และวิ่งได้นานขึ้น จาก 400 Km เป็น 700 Km รถที่คุณใช้จะกลายเป็นรถตกรุ่นเหมือนโทรศัพท์ตกรุ่นทันที และถ้ารถมีเทคโนโลยีช่วยขับ คนเก่าก็ตกรุ่นทันที อีกหน่อยถ้าบินได้ยิ่งแล้วใหญ่เลย

วันนึงถ้า Apple พร้อม แล้วออกรถยนต์ไฟฟ้า Toyota, Benz, BMW, Tesla, BYD จะเจอเหมือน Nokia, Motorola, Nikon, Seiko การ Disrupt ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น

ในทางกลับกันค่ายญี่ปุ่นที่เคยมองข้าม EV เพราะหลายปีก่อน มันมีทางแยกเทคโนโลยี ยุโรปพัฒนา ‘Diesel’ ส่วนญี่ปุ่นพัฒนา ‘Hybrid’ และข้ามไปสู่ ‘Hydrogen’ ในขณะที่ ‘Elon Musk’ พัฒนา EV เมื่อจีนเข้ามาเร่งปฎิกริยา EV ดูเหมือน EV จะชนะแล้ว แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ ยังไม่ทิ้ง Hydrogen การที่ไม่ยอมแพ้ทำให้ เงิน R&D กระจายไป 3 ทาง Hybrid, EV และ Hydrogen ไม่สุดสักทาง

อย่างไรก็ดี ขอให้ไทยเราจับทิศทางให้ถูกเพื่อสร้างอุตสาหกรรม เพื่อการจ้างงานในประเทศ ดูแลคนไทยในยุครอยต่อของเทคโนโลยี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top