Tuesday, 7 May 2024
เทคโนโลยี

เจริญชัย หนุน ENTEC ” ร่วมวิจัยนวัตกรรม นำเทคโนโลยี AI สร้างมูลค่าเพิ่ม น้ำมันปาล์ม สู่ น้ำมันหม้อแปลง เกรด พรีเมียม สู่ตลาด BCG ที่แรกของโลก

บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ร่วมมือวิจัยนวัตกรรมกับ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม และนำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model)


ดร. บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าว  ขอขอบคุณทางบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ที่ร่วมโครงการวิจัยครั้งนี้และขอขอบคุณความร่วมมือจากผู้ร่วมทุนในหลายภาคส่วนที่เป็นองค์กรหลักในอุตสาหกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า ตั้งแต่ผู้ที่มีศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ ผู้ใช้งานหลักของหม้อแปลงไฟฟ้าของประเทศอย่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมทั้งหน่วยงานจัดทำมาตรฐานสินค้าของประเทศ  เรียกได้ว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนผลงานวิจัยและผลักดันให้เกิดการใช้งานผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม   เชิงพาณิชน์อย่างแพร่หลายภายในประเทศของเรา ความร่วมมือนี้จะส่งผลให้การดำเนินวิจัยเป็นไปอย่างครบวงจร มีแผนและผลการดำเนินงานที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมีแนวทางการขับเคลื่อนผลการวิจัยให้สามารถไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างครบวงจร


ดร.ศุภกิตติ์  โชติโก อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ การวิจัยและส่งเสริมการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม นำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน จะช่วยยกระดับให้ผลผลิตทางการเกษตรถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรมมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศ รวมทั้งช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ทางด้านสนับสนุนเกษตรกรปาล์มน้ำมัน และเป็นแนวทางหลักที่สามารถนำพาปาล์มน้ำมันไทยไปสู่จุดมุ่งหมายในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการวิจัยนี้มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) โดย สร้างฐานข้อมูลและองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้งานภายในประเทศและ  การทำตลาดในต่างประเทศ อีกทั้งยัง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมาตรฐานคุณภาพและมีมูลค่าสูงกว่าอุตสาหกรรมเดิมจากพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย 

‘โกลด์แมน แซคส์’ เผย ‘เอไอ’ อาจเข้ามาแทนที่มนุษย์ ทำลูกจ้างส่อแววตกงานกว่า 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

(29 มี.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ธนาคารเพื่อการลงทุน ‘โกลด์แมน แซคส์’ เปิดเผยรายงาน ชี้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ ‘เอไอ’ อาจเข้ามาแทนที่งานประจำกว่า 300 ล้านตำแหน่งในสหรัฐหรือราว 1 ใน 4 ของงานประจำในตลาดงานทั้งในสหรัฐ และยุโรป

แต่นั่นก็อาจหมายถึงการเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงานแบบใหม่ และผลิตภาพการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น โดย ‘เอไอ’ อาจเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการแบบรายปีทั่วโลกมากถึงร้อยละ 7 ต่อปีในอีก 10 ปีข้างหน้า

ปัญญาประดิษฐ์แบบ Generative AI หรือ ‘เอไอ’ ที่สร้างสิ่งใหม่จากข้อมูลชุดที่มีอยู่แล้ว และมีความเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากผลงานของมนุษย์ ถือเป็น ‘พัฒนาการยิ่งใหญ่’

ตามรายงานของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ผลกระทบจากการเข้ามาของเอไออาจส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมในภาคส่วนต่าง ๆ คือ ด้านงานธุรการร้อยละ 46 และงานด้านกฎหมายร้อยละ 44 ขณะที่งานก่อสร้างจะได้รับผลกระทบเพียงร้อยละ 6 ส่วนงานบำรุงรักษาหรือเมนเทนแนนท์จะได้รับผลกระทบน้อยสุดเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น

ขณะเดียวกันในสหรัฐ ระบบเอไออาจนำไปใช้แทนแรงงานได้ประมาณร้อยละ 63 ส่วนแรงงานร้อยละ 30 ที่ทำงานด้านนอกไม่ได้รับผลกระทบจากเอไอ แม้งานเหล่านั้นอาจอ่อนไหวต่อระบบเอไอรูปแบบอื่นก็ตาม

นอกจากนี้ ผลวิจัยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เหมือนกันในยุโรป รวมถึงระดับโลก สัดส่วนการจ้างงานที่ทำด้วยตนเองในประเทศกำลังพัฒนามีมากกว่า จึงคาดว่างาน 1 ใน 5 อาจถูกแทนที่ด้วยเอไอ หรือคิดเป็นงานประจำประมาณ 300 ล้านตำแหน่งทั่วประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งหนึ่งที่มั่นใจ คือ เราไม่มีทางรู้เลยว่า งานตำแหน่งไหนที่จะถูกแทนที่โดยเอไอ ยกตัวอย่าง กระแส ‘แชทจีพีที (ChatGPT)’ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ ณ ขณะนี้ทำให้คนทั่วไปสามารถผลิตเรียงความและบทความได้โดยไม่ต้องเพิ่งผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้าน”

วิเคราะห์ ‘การเงิน-เทคโนโลยี-พลังงานโลก’ วิวัฒนาการพาสังคมโลกเพื่อก้าวไปสู่ยุคใหม่

(17 เม.ย.66) รายงานว่า ล่าสุด Elon Musk เริ่มเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่!!! หลังจากเขาประกาศจัดตั้งบริษัท ‘X’ เพื่อพัฒนา AI ขั้นสูงมาแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI, Microsoft และ Bard AI ของ Google โดยตรง ! แม้ก่อนหน้านี้พึ่งออกมาเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเอาไว้อย่างน้อย 6 เดือนเพราะโดยอ้างเหตุผลว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก ทำให้ชาวโลกเกิดคำถามว่าที่ออกมา Discredit อยู่นี้เป็นเพราะแค่กลัวตามคนอื่นไม่ทันหรือไม่? เพราะปากบอกให้โลกหยุด แต่ตัวเองกลับจัดตั้งบริษัทพัฒนา AI ซะเอง!?

เขาก่อตั้งบริษัท X และพึ่งรวมถึง Twitter เข้าไปด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาในการสร้าง ‘Everything App’ หรือกล่าวคือแอปพลิเคชั่นอเนกประสงค์ตัวเดียวที่ตอบสนองได้แทบทุกอย่างในชีวิตประจำวันทางอินเตอร์เน็ตของมนุษย์

ตอนนี้เจ้าพ่อ Tesla กำลังสรรหาวิศวกรจากแล็บ AI ชั้นนำของโลกมาร่วมงาน ซึ่งรวมถึง DeepMind ของ Alphabet (บริษัทแม้ของ Google) ในขณะที่เขาสำรวจแนวคิดและแผนการของบริษัทคู่แข่งที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือ OpenAI ที่ Microsoft เข้าไปลงทุน และแน่นอนว่า Elon Musk นั้นไม่ถูกกับ Bill Gates เลย (เท่าที่สื่อรายงานออกมาตลอดหลายปี)

Musk เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในยุคแรก แต่สุดท้ายก็ลาออกเนื่องจากมีความขัดแย้งกับแนวทางของผู้บริหารคนอื่น ๆ โดยหลังจากเขาลาออกมา OpenAI ก็ได้เปลี่ยนแนวทางและเริ่มหาทางเพิ่มผลกำไร พร้อมกับได้รับเงินระดมทุนจาก Microsoft มา 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่จะเพิ่มทุนอีก 10x เท่าเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อ ChatGPT เปิดตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น เมื่อดูฉากหลังที่ Elon Musk กับ Bill Gates ไม่ถูกคอกันแล้ว ก็น่าสนใจว่า X จะพัฒนา AI มาแข่งขันกับ OpenAI และ Microsoft ได้ดีแค่ไหน? และจะสามารถตามกลุ่มผู้นำได้ทันหรือไม่? เพราะการที่ Musk เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงชั่วคราวนี้ แต่ตัวเขาเองก็เร่งพัฒนา AI อยู่ซะงั้น (มีรายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้สั่งซื้อ Chip ขั้นสูงของ Nvdia ราว 10,000 ตัวเพื่อนำไปพัฒนา AI)

ดูเหมือน Elon Musk จะเคยด่าว่า ChatGPT นั้นมีอคติทางการเมืองและเป็นอันตราย ขณะที่เขากล่าวว่าต้องการพัฒนา AI ที่มีความสมจริงมากขึ้น ย้อนแย้งกับที่เขาเรียกร้องให้คนอื่นหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงอย่างสิ้นเชิงแบบตรงข้าม 180 องศา!

ขณะเดียวกัน เขาพึ่งเจรจากับบริษัท Etoro ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ชื่อดังของโลก เพื่อทำให้ Twitter สามารถเชื่อมต่อกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ในอนาคต โดยคาดว่าจะเปิดให้ซื้อ-ขายหุ้นและเหรียญต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าการสร้าง Everything App ของเขาจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?

สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือในอนาคต AI เหล่านี้จะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ว่ามันจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่นั่นก็จะเป็นไปพร้อมกับการที่ความต้องการแรงงานมนุษย์ลดลงในระยะยาว และมนุษย์ก็จะต้องปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานในอนาคตไปอีกมาก เพื่อให้เชื่อมโยงกับความฉลาดของ AI ที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 อย่างที่ World Maker เคยรายงานไปแล้วว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Goldman Sachs ระบุว่า AI อาจแทนที่งานมนุษย์ในปัจจุบันได้ถึง 300 ล้านตำแหน่งเป็นอย่างน้อย และทุกวันนี้งานต่าง ๆ ก็เริ่มใช้ AI เข้ามาคุมเป็นแบบระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงยุคเริ่มต้นของ Generative AI ที่จะฉลาดล้ำกว่า AI ยุคเก่า ๆ อีกหลายเท่าตัว ตามที่ Bill Gates กล่าวว่ามันสำคัญพอ ๆ กับการกำเนิดของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างมาก

และพร้อม ๆ กันนี้ ทางด้านฮ่องกงก็กำลังเร่งให้ธนาคารต่าง ๆ มีการรับลูกค้าที่เป็นบริษัท Crypto มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากออกมาประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตโลก ซึ่งเป็นการกลับลำ 180 องศาเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีว่าไม่เอา Crypto และถึงกับสั่งห้ามไม่ให้คนในประเทศไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากเกิดวิกฤตหายนะเช่น LUNA และ FTX ที่ทำให้ผู้บริโภคสูญเงินไปมหาศาล จีนก็เริ่มเปลี่ยนหน้ามาสนับสนุนคริปโตโดยทันที

ซึ่งในอนาคต ฮ่องกงจะสนับสนุน Crypto โดยมีกฏหมายรองรับอย่างเป็นทางการให้บริษัทสามารถ List เหรียญได้และให้ผู้บริโภครายย่อยเข้าไปลงทุนได้อย่างสะดวกง่ายดาย หน่วยงานในฮ่องกงของ Bank of Communications ของจีนกำลังทำงานร่วมกับบริษัท Crypto หลายแห่งที่ได้รับอนุญาตในเมือง และกำลังเจรจากับบริษัทที่ได้รับการควบคุมอื่น ๆ เกี่ยวกับการเปิดบัญชี

เหรียญหลัก ๆ ที่ถูกพูดถึงในฮ่งอกงตอนนี้ก็คือ Bitcoin, Ether และ Tether ซึ่ง 2 เหรียญแรกเคยเป็นกระแสก่อนหน้านี้ และเคยมีสื่อไทยบางแห่งออกมาหลอกเงินชาวบ้านเชียร์ซื้อ Bitcoin ที่ยอดดอยก่อนราคาร่วงยับ -80% ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฮ่องกงเป็นไปเพื่อที่จะพยายามรักษาตำแหน่งจุดศูนย์กลางการเงินโลกของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลจีนแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ และตะวันตกมากขึ้น รวมถึงการยึดอำนาจ และปรับเปลี่ยนกฏระเบียบต่าง ๆ ก็ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตลาดฮ่องกงไป

พูดง่าย ๆ ว่าความเคลื่อนไหวเชิงผ่อนคลายของฮ่องกงต่อตลาด Crypto ในตอนนี้ ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกหลายชาติที่กำลังปราบปรามคริปโตอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทางรัสเซียเองก็เพึ่งประกาศเชื่อม Metamask และ Ethereum Blockchain เข้ากับระบบการเงินของ Sberbank ทำให้เราพอจะเห็นภาพฉายได้ว่าตลอดที่ผ่านมาจีน-รัสเซียมีส่วนชักใยอยู่เบื้องหลังคริปโตเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอดูกันว่าความพยายามของจีน-รัสเซียในการดัน Crypto (รวมถึงทองคำและหยวน) ขึ้นมาเพื่อทุบอำนาจของดอลลาร์ จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ? ซึ่งหากดูจากทรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ คริปโตเหมือนจะมาแรงแต่สุดท้ายก็พังยับ และแม้ว่าในปัจจุบันจะฟื้นตัวมาเล็กน้อย แต่ในแง่ของความเชื่อมั่นก็อาจต้องรอดูว่าจะมั่นคงในระยะยาวได้ไหม ? โดยปู่ Warren Buffet เป็นนักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่งที่ออกมาด่าว่า Bitcoin และ Crypto นั้นไร้ค่าและจะพบจุดจบไม่สวยงาม ในขณะที่บางคนก็เชียร์ว่า Bitcoin และ Crypto จะสามารถล้มดอลลาร์ได้

(**ทั้งนี้ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ CBDC ที่จะเข้ามามีบทบาทอีกมากในอนาคต ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อ Crypto ขณะที่เงินดอลลาร์นั้นเผชิญข่าวกระหน่ำว่าจะกลายเป็นแบงก์กงเต็ก แต่หากดูตามสภาพจริงตอนนี้ดอลลาร์ยังครองการค้าโลกอยู่ถึง 88%**)

⚠️ กลับมาทางด้านสหรัฐฯ...ท่ามกลางฉากที่ดุเดือดในแง่ของ AI และการเงินโลกตอนนี้ พบว่ามหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกมีการอัดฉีดเงินลงทุนในภาคเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นถึง 20x เท่าเมื่อเทียบจากปี 2019 ! ซึ่งเป็นการแสดงให้เห้นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังเอาจริงในการยกระดับเทคโนโลยีของตัวเองไปอีกขั้น จากที่เป็นผู้นำโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะรวมไปถึง AI, คอมพิวเตอร์, ควอนตัม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ ! และยังเป็นการปรับเปลี่ยน Supply Chain เพื่อลดการพึ่งพาจีนลงอีกด้วย ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 ขั้วอำนาจโลก

ทางกลุ่มประเทศ G7 เองก็พึ่งออกมาให้คำมั่นว่าจะเร่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน) ที่ปล่อยคาร์บอนสูงให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยจะยกระดับความจริงจังในการลด ละ เลิก การใช้พลังงานเก่าและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาทดแทน

ตัวเลขคร่าว ๆ ที่เปิดเผยออกมาคือจะเพิ่มการผลิตพลังงานจาก Solar Cells ขึ้นอย่างน้อย 3x เท่าและเพิ่มการผลิตพลังงานจากลมอย่างน้อย 7x เท่าภายในปี 2030 (เทียบจากระดับในปี 2021) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการปล่อยคาร์บอนให้ใกล้เคียงกับ 0 ภายในปี 2050

นั่นหมายความว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบ ถ่านหิน และพลังงานเก่าอื่น ๆ จะลดลงเร็วขึ้นเมื่อเทียบจากในอดีต ซึ่งเมื่อเรานำมารวมกับภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ว่านี่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

(**เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ปัจจุบันโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ก่อนยุคอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศชั้นนำทั่วโลกกำลังหาทางป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกพุ่งขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส**)

📌 แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งมหากาพย์เช่นนี้จะต้องมีผลกระทบในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่โลกจะไปสู่ยุคใหม่ แปลว่าตลาดการเงินโลกและสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมไปถึงธุรกิจและภาคเศรษฐกิจ Real Sectors จะต้องเผชิญความผันผวนในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘เจฟฟรีย์ ฮินตัน’ ประกาศลาออกจากกูเกิลด้วยวัย 75 ปี เตือน!! เอไอส่อเค้าอันตราย วันหนึ่งอาจฉลาดเหนือมนุษย์

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 66 นายเจฟฟรีย์ ฮินตัน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ในฐานะเจ้าพ่อด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ลาออกจากกูเกิล พร้อมเตือนเกี่ยวกับภัยอันตรายจากการพัฒนา AI
ทั้งนี้ นายฮินตัน อายุ 75 ปี ได้ประกาศเรื่องการลาออกจากกูเกิล ในแถลงการณ์ต่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส พร้อมระบุว่า เขาเริ่มเสียใจต่องานของเขาแล้ว

นอกจากนี้ นายฮินตันได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า อันตรายบางประการจากแชตบอต AI นั้น ‘ค่อนข้างน่ากลัว’

“ขณะนี้แชตบอต AI ยังไม่ฉลาดกว่าพวกเราก็จริง แต่ผมคิดว่าอาจเป็นเช่นนั้นในอนาคตอันใกล้นี้” นายฮินตัน กล่าว

‘Thai Startup’ ผนึกกำลัง 200 องค์กร หนุนสตาร์ทอัพไทย ปรับโครงสร้างตลาด ดันไทยสู่ประเทศผู้นำนวัตกรรม-เทคโนโลยี

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 ในวาระครบรอบ 9 ปี สมาคม Thai Startup ประกาศผลงานความสำเร็จในการขับเคลื่อนระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพ พร้อมจับมือพันธมิตรกว่า 200 องค์กรขับเคลื่อน เศรษฐกิจนักสร้าง (Makers Economy) นวัตกรรมไทย (Thai Innovation) และ การทำ Digital Transformation อย่างต่อเนื่อง

โดยในงานมีสตาร์ทอัพไทย ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ มากกว่า 500 ราย และหุ้นส่วนพันธมิตรที่เกี่ยวข้องจากทางภาครัฐและเอกชนกว่า 200 รายที่มีส่วนในการขับเคลื่อนระบบนิเวศน์เข้าร่วม

ผศ.ดร. ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ นายกสมาคม Thai Startup เปิดเผยข้อมูลว่าปัจจุบันสมาชิกกว่า 200 รายของสมาคมมีผลประกอบการรายได้รวมกันมากกว่า 1 พันล้านบาท เติบโตโดยเฉลี่ย 2.5 เท่าต่อปี และมีผู้ใช้รวมกันมากกว่า 35 ล้านคน มียูนิคอร์น (มูลค่าบริษัทมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท) 3 คือ Flash Express Bitkub และ LINE MAN Wongnai และมีบริษัทที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนอีก 11 บริษัท

ในส่วนของผลงานที่ผ่านในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาของคณะกรรมการวาระ 2022-2023 สมาคมฯ ได้จัดกิจกรรมเพื่อสมาชิก และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยร่วมกับ 200 องค์กรไปแล้วกว่า 50 งาน

ด้านคุณแคสเปอร์-ธนกฤษณ์​ เสริมสุขสัน อุปนายกและประธานฝ่ายกลยุทธ์ ประกาศกลุยทธ์ 5 หา (HAHA) ในการช่วยขับเคลื่อนระบบนิเวศน์นวัตกรรมไทยร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เพื่อช่วยบริษัทสตาร์ทอัพไทย และบุคคลที่สนใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจผู้ผลิตนวัตกรรม ได้แก่

หาตลาด : จัดทำเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงตลาดในทุกภูมิภาคในประเทศไทย ต่อยอดเครือข่ายใน ASEAN และตลาด Emerging Market รวมถึงตลาดภาครัฐ (B2G)

หาทุน : ต่อยอด Grant Day สร้างศูนย์ข้อมูลทุนภาครัฐในการเริ่มต้นและสร้างธุรกิจ รวมถึงจัดทำเครือข่ายและฐานข้อมูลของนักลงทุน Angel และ VC

หาคน : จัดทำ Startup Talent Pool และพัฒนาบุคคลากรและผู้ประกอบการจากทั้งในและต่างประเทศ

หาเพื่อน : ขยาย community จัดทำ Thai Startup Regional Hub และ สภาสตาร์ทอัพ ASEAN & Emering Markets รวมถึงจัดกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายผู้ผลิตนวัตกรรมจากเอกชนและภาครัฐอื่น

หาทางออก : ขับเคลื่อนแก้กฏหมาย และนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ และจัดกิจกรรมเพื่อสังคมโดยใช้นวัตกรรมและกระบวณการทำ startup ต่อไป

หนึ่งในข้อเสนอที่สมาคมจัดทำและนำเสนอในงาน คือ Concept Paper ซึ่งรวบรวมข้อเรียกร้องที่ในนามสมาชิก นำเสนอไปยังภาครัฐเพื่อให้เป็นผู้สนับสนุน (Enabler) ในวงการสตาร์ทอัพ โดยคุณรับขวัญ ชลดำรงค์กุล อุปนายกและประธานฝ่ายกฎหมาย นำเสนอผลการศึกษาว่า ในปัจจุบันมีหน่วยงานกว่า 35 หน่วยงานที่ภายใต้กรอบกฎหมาย มีเครื่องมือพร้อมสนับสนุน Startup ทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐาน ตลาดภายใน-ต่างประเทศ การสร้างกำลังคน การสนับสนุนเงินให้เปล่า เงินลงทุน และสุดท้ายในแง่การกำจัดอุปสรรคด้านกฎหมาย พร้อมข้อเสนอ quick-wins ที่ทางสมาคมอยากนำเสนอ เช่น Open Data, 1 หน่วยงาน 1 Startup และ Guillotine กฎหมาย โดยสมาคมพร้อมสนับสนุนทุกโครงการที่ภาครัฐฯ จะทำและขับเคลื่อน

โดยในงาน Makers United 2023 ได้มีกิจกรรมอื่นๆ ดังนี้

- เปิดเวทีให้ความรู้โดยเหล่าผู้คร่ำหวอดวงการใน startup แนะนำเทคนิคและเบื้องลึกวงการสตาร์ทอัพตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นจนถึงประสบความสำเร็จ (Idea to Exit)
- เปิดตัวหนังสือ The Startup Mindset  29 แนวคิด จาก Startup Founder โดยคุณแคสเปอร์ คนไทยคนแรกที่ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ Warren Buffett
- เปิดตัวโครงการ Scaleup 99 ในโอกาสครบรอบ 90 ปีหอการค้าไทย Thai Chamber และ 9 ปีสมาคม Thai Startup
- มอบรางวัล 1 Million Club ให้กับสมาชิกสตาร์ทอัพที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคน
- มอบรางวัล Friends of Makers Awards 10 สาขาให้กับพันธมิตรและบุคคลที่ทำงานร่วมกับสมาคมในการขับเคลื่อนระบบนิเวศน์ผู้ผลิตนวัตกรรมของไทย

งานนี้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของ สมาคม Thai Startup ในการเปลี่ยนประเทศไทยจากประเทศผู้บริโภคนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Nation of Users) ให้เป็นประเทศผู้ผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Nation of Makers) โดยได้รับการสนับสนุนจาก Globish โกลบิช ภาษาอังกฤษสำหรับวัยทำงาน, AIS The Startup, Accrevo, QGEN, DBC, A2D Ventures, really Corp. (The Startup Mindset Book), LawxTech, iNT Mahidol, iTAX, Beacon Venture Capital, สมาคม Thai Venture Capital Association - TVCA, QueQ, LINE Thailand - Official, Witsawa, Zipevent, Kudun and Partners, Datawow และ Zeek Nurse

ติดตามข้อมูลสาระสำคัญต่างๆ ได้ทาง
Website : www.thaistartup.org
Facebook : https://www.facebook.com/thaistartupofficial

สานฝัน ปันรักเพื่อน้อง กิจกรรมดีดีที่เข้าถึงพื้นที่ห่างไกล ขับเคลื่อนให้สังคมไทยพัฒนา ด้วยการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พร้อมด้วยนางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายภาณุวัฒน์ สุขสบาย ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผนกองทุน พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงพื้นที่จัดกิจกรรม ‘สานฝันปันรักเพื่อน้อง ครั้งที่ 2’ ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอินทรีอาสา (บ้านปาเกอะญอ) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และรอยยิ้มให้กับน้อง ๆ รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ด้วยการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลแก่นักเรียนและชุมชนในพื้นที่ห่างไกลให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า “สดช. มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพราะเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประสิทธิภาพสูง รองรับรูปแบบและปริมาณการใช้งานในอนาคต และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ”

การจัดกิจกรรมสานฝัน ปันรักเพื่อน้อง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี 2566 ที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนเพื่อรับทราบความต้องการของนักเรียน โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอินทรีอาสา (บ้านปาเกอะญอ) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างแท้จริง โดยพบว่า เส้นทางการเดินทางมาโรงเรียนเป็นการเดินทางที่ยากลําบากและใช้ระยะเวลานาน รวมถึงการเข้าถึงสาธารณูปโภคยังมีความขาดแคลน เช่น มีข้อจํากัดเรื่องไฟฟ้า บางส่วนต้องใช้โซลาร์เซลล์เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้นักเรียนเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ยากกว่าปกติ ทําให้การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลต่อไป

ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการจัดตั้ง ‘ศูนย์ดิจิทัล ชุมชนอินทรีอาสา’ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อสังคมตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ สดช. เพื่อให้เกิดการรู้จัก เข้าใจ ใช้ได้ ใช้เป็น และมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

โดยนายภุชพงค์ กล่าวว่า “ในวันนี้ สดช. ได้นํากิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล มาสอนให้เด็กๆ ให้ทราบถึงประโยชน์ การใช้งานอย่างระมัดระวังที่เหมาะสมกับวัย รวมถึงให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วิธีการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ แท็บเล็ต เพื่อใช้ค้นคว้าหาความรู้ และเล่นเกมส่งเสริมทักษะต่างๆ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศที่มีสีสันและเห็นถึงความสุขของทุกคนที่ได้มาเข้าร่วมกิจกรรม”

ส่วนนางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “การจัดกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้นแล้ว ยังได้สร้างรอยยิ้มและขวัญกำลังใจ ด้วยการทำสาธารณะประโยชน์ เช่น ทาสีอาคารเรียน และมอบสิ่งของบริจาคที่จําเป็นแก่นักเรียนและชุมชนรอบข้าง ได้แก่ อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้านักเรียน ข้าวสารอาหารแห้ง และขนม เป็นต้น รวมไปถึงการสนับสนุนของใช้ที่จําเป็นแก่โรงเรียน ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องเขียน กระดาษสำหรับถ่ายเอกสาร อุปกรณ์ทำความสะอาดห้องน้ำห้องครัว และเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น เพื่อให้โรงเรียนนําไปต่อยอดบริหารจัดการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนต่อไป”

ทั้งนี้ กิจกรรมสานฝันปันรักเพื่อน้อง เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานเพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ของ สดช. และกองทุนดิจิทัลฯ โดยนายภุชพงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอขอบคุณผู้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทุกท่าน ที่ได้ร่วมบริจาคสิ่งของมากับ สดช. น้ำใจจากทุกท่านที่ได้รวบรวมมาในวันนี้ ได้ส่งต่อให้น้องๆ เยาวชน ได้มี อุปกรณ์การเรียน และสิ่งของจําเป็นต่างๆ ไว้ใช้ทํากิจกรรมที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มุ่งหวังให้เด็กนักเรียนและเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร เกิดการรับรู้ เข้าใจถึงบทบาทการดําเนินงานของ สดช. และขยายผลไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม พร้อมทั้งยังได้ร่วมสนับสนุนการศึกษาและสังคม โดยจะมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่อื่นต่อไป”

นายกฯ เปิดการใช้งานระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า โดยใช้งานผ่านแอปฯ ไทยดี (ThaID) อย่างเป็นทางการ ย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นนำพาประเทศสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์

วันที่ (30 มิ.ย. 66) ณ ลาน Promotion ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็ลทรัล ปิ่นเกล้า กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการใช้งานระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า (Face Verification System) โดยใช้งานผ่านแอปพลิเคชันไทยดี (ThaID) อย่างเป็นทางการ เพื่อยืนยันตัวตน โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลให้เสียเวลา ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลที่มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดำเนินโครงการระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า โดยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันไทยดี ว่า วันนี้ถือเป็นการเปิดตัวในการใช้งานอย่างเป็นทางการ พร้อมย้ำว่าปัจจุบันเทคโนโลยีถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ รัฐบาลมุ่งมั่นนำพาประเทศไปสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์ ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นองค์ประกอบหลักในการเพิ่มศักยภาพการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐ ให้มีความเป็นเลิศ ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่ว ถึงด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัย ทำให้ผู้รับบริการทุกคนสามารถเข้าถึงงานบริการภาครัฐได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัย

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสำเร็จ ในการพัฒนาระบบดิจิทัลของภาครัฐเพื่อประชาชน โดยขอชื่นชมกระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ผนึกกำลังร่วมกันดำเนินโครงการระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้าโดยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันไทยดี จนสำเร็จและสามารถเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการได้ในครั้งนี้ ถือเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมถึงพัฒนาและบูรณาการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของภาครัฐให้มีความเท่าเทียมกับระดับมาตรฐานสากล และหวังว่าหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จะได้นำแอปพลิเคชันไทยดีไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อการให้บริการประชาชนอย่างแท้จริง

นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจขับเคลื่อนโครงการนี้ และต่อยอดไปสู่การพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐที่ครอบคลุมในทุกหน่วยงาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ระบบราชการไทย รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกในการให้บริการ และสนองต่อความต้องการให้กับประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น โดยประชาชนสามารถยืนยันตัวตนทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและปลอดภัย สามารถลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเดินทางไปลงทะเบียนที่สำนักทะเบียนแต่อย่างใด พร้อมขออวยพรให้การดำเนินการดังกล่าว สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในปัจจุบันว่าต้องใช้อย่างรู้เท่าทัน ให้เกิดความปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ต้องมีการพิจารณาคิดวิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเชื่อหรือเผยแพร่ข้อมูลออกไป เพื่อร่วมกันป้องกันในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือไม่ถูกต้องที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและบุคคลอื่นด้วย
 

บริษัทรถไฟญี่ปุ่นจ่อใช้ ‘กระจกแปลภาษา’ ในห้องขายตั๋ว ช่วยพนักงานตอบโต้ นทท.ต่างชาติ ได้สะดวก-ราบรื่นขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ สื่อญี่ปุ่น​รายงาน​ว่า บริษัท เซบุเรลเวย์ (Seibu Railway Co.)​ ได้เปิดตัวระบบแปลคำพูดโดยอัตโนมัติแสดงคำที่แปลแล้วบนหน้าจอโปร่งใส

ระบบดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ดำเนินการรถไฟตอบสนองได้อย่างราบรื่นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากการตกต่ำในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

ระบบนี้ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทการพิมพ์รายใหญ่อย่าง Toppan Inc. หน้าจอโปร่งใส ผู้โดยสารสามารถมองเห็นพนักงานประจำสถานีได้ ในขณะที่การสนทนาระหว่างกัน จะถูกแปลและแสดงผลขึ้นเป็นข้อความแบบเรียลไทม์ สามารถรองรับภาษาต่างประเทศได้ถึง 12 ภาษา รวมถึง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนด้วย

และวันพุธ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมา ที่สถานี เซบุชินจูกุ​ (Seibu Shinjuku)​ ในโตเกียว พนักงานสถานี​ ได้ทดสอบระบบถามพนักงานสถานีด้วยภาษาต่างชาติ​ โดยด้านหลังหน้าจอโปร่งใสแสดงเป็นภาษาอังกฤษที่พูดว่าจะซื้อตั๋วได้ที่ไหน ที่แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นแสดงอยู่ด้านฝั่งหน้าจอของพนักงานสถานี

ทั้งนี้บริษัท เซบุเรลเวย์ ตั้งเป้าจะติดตั้งระบบดังกล่าวตามสถานีรถไฟต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงปลายปีนี้

‘เทคโนโลยี’ ที่มีผู้ใช้งาน ครบ 100 ล้านคน ใช้เวลานานแค่ไหน ?

ในยุคปัจจุบัน ‘เทคโนโลยี’ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธการใช้เทคโนโลยี 

ย้อนกลับไปสมัยที่ ‘โทรศัพท์’ เพิ่งถือกำเนิดขึ้น ต้องใช้เวลานานกว่า 75 ปี ถึงจะมีผู้ใช้งานครบ 100 ล้านคน ส่วนเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกิดตามมาก็ใช้เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ และล่าสุด Threads ได้ทำสถิติใหม่ ภายใน 5 วันมีผู้ใช้งานครบ 100 ล้านคน

‘ไบเดน’ สั่งคุมเข้มการลงทุนด้านเทคโนโลยีมะกันในแดนมังกร หวังสกัดขีดความสามารถจีน หวั่น!! กระทบความมั่นคงสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ได้ออกคำสั่งของฝ่ายผู้บริหารมุ่งจำกัดการลงทุนของชาวอเมริกันในเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีความละเอียดอ่อนในจีน ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าอาจทำให้ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกต้องเผชิญกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น

การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นที่คาดการณ์กันมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะให้มีผลบังคับใช้ในปีหน้า โดยพุ่งเป้าไปที่เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ท่ามกลางความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีหลัก

ไบเดนระบุในจดหมายที่ส่งถึงผู้นำสภาคองเกรสในคำสั่งของฝ่ายบริหารว่า ความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการเปิดการลงทุนเป็นรากฐานสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจของเรา และมันมอบผลประโยชน์มากมายให้กับสหรัฐฯ

“อย่างไรก็ตาม การลงทุนบางอย่างของสหรัฐฯ อาจเร่งและเพิ่มความสำเร็จของการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความละเอียดอ่อน และการผลิตในประเทศที่พัฒนามันขึ้นมา เพื่อต่อต้านขีดความสามารถของสหรัฐและพันธมิตร” ไบเดนระบุ

ตามรายละเอียดที่เผยแพร่โดยกระทรวงการคลังสหรัฐ คำสั่งผู้บริหารดังกล่าวจะห้ามไม่ให้เอกชนรายใหม่ เงินร่วมทุน และการลงทุนร่วมในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศควอนตัมบางประเภทในจีน

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐระบุว่า โครงการลงทุนนอกประเทศจะต้องเติมเต็มช่องว่างที่สำคัญในชุดเครื่องมือด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือแนวทางที่แคบแต่รอบคอบ ในขณะที่เรากำลังพยายามป้องกันไม่ให้จีนดั๊บและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสุด เพื่อส่งเสริมความทันสมัยทางทหารและบ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาในรายละเอียดของข้อกำหนดเพื่อการแจ้งเตือนสำหรับการลงทุนของสหรัฐในบริษัทของจีนที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ทีมีขั้นไม่สูงนัก รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวกับเอไอบางประเภท แต่คาดว่าจะมีข้อยกเว้นสำหรับการลงทุนในสหรัฐบางอย่าง ในหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสาธารณะและการโอนจากบริษัทแม่ในสหรัฐไปยังบริษัทย่อย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top