Saturday, 5 July 2025
อิหร่าน

ธงชาติกลางภาพพังพินาศ สะดุดตาเกินบังเอิญ ตั้งข้อสังเกต ‘อิสราเอล’ สร้างภาพเป็นฝ่ายถูกกระทำ

(16 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก Anucha Somnas ตั้งข้อสังเกตถึงภาพข่าวความเสียหายจากการโจมตีที่เกิดขึ้นในอิสราเอลว่า แทบทุกภาพล้วนมีธงชาติอิสราเอลหรือสัญลักษณ์ประจำชาติ ปรากฏอยู่ในเฟรมอย่างชัดเจน สร้างคำถามถึงความตั้งใจหรือเบื้องหลังของการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ต่อสังคมโลก โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเนทันยาฮูกำลังเผชิญแรงกดดันด้านสิทธิมนุษยชนจากกรณีถล่มฉนวนกาซา

ผู้โพสต์วิเคราะห์ว่า ความเสียหายที่เกิดจากจรวดซึ่งตกลงกลางเมือง อาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือการจัดฉากเพื่อสร้างภาพจำ สื่อสารกับนานาชาติว่าอิสราเอลเป็นฝ่ายถูกกระทำ พร้อมใช้ภาพเหล่านี้เป็น “แฟ้มสะสมผลงาน” หรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ เบี่ยงเบนประเด็นเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ที่ยังดำเนินต่อไป

นอกจากนี้ยังชี้ว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงยึดแนวทางเดิมในการใช้พลเรือนของตนเองเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ ไม่ต่างจากกรณีตัวประกันชาวอิสราเอลในฉนวนกาซา ที่ไม่เคยได้รับความสำคัญเท่ากับเป้าหมายทางทหาร รัฐบาลเลือกเดินหน้าถล่มทุกพื้นที่ของกาซา โดยไม่สนใจว่าตัวประกันจะเสียชีวิตจากการโจมตีของตนเองหรือไม่

ข้อสังเกตเหล่านี้สะท้อนคำถามถึง เจตนาของรัฐบาลอิสราเอลในการจัดการสงคราม และความโปร่งใสของการสื่อสารข้อมูลกับสาธารณะ ทั้งยังสะท้อนว่าความสูญเสียอาจไม่ใช่เพียงผลข้างเคียงของสงคราม หากแต่เป็นกลไกที่รัฐเลือกใช้ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น

จีนประณามอิสราเอลละเมิดอธิปไตยอิหร่า เสนอตัวไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง สร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง

(16 มิ.ย. 68) รัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ แถลงเมื่อวันเสาร์ (15 มิ.ย.) ว่าจีน “ประณามอย่างชัดเจน” ต่อการโจมตีของอิสราเอล ซึ่งละเมิดอธิปไตย ความมั่นคง และบูรณภาพแห่งดินแดนของอิหร่าน พร้อมแสดงการสนับสนุนอิหร่านในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตน

หวัง อี้ โทรศัพท์หารัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งอิหร่านและอิสราเอล โดยระบุว่าจีนยินดีช่วยในการคลี่คลายสถานการณ์ พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้การเจรจาแก้ไขความขัดแย้ง

ขณะที่สหรัฐฯ ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับอิสราเอล จีนกลับเลือกประณามการใช้กำลังและเรียกร้องให้ประเทศที่มีอิทธิพลต่ออิสราเอลช่วยฟื้นฟูสันติภาพ สะท้อนภาพการขยับบทบาทของจีนในภูมิภาคและเวทีโลก

สำหรับ จีนถือเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการทูตที่สำคัญของอิหร่านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านพลังงาน การทหาร และการต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตกอย่างชัดเจน

กระทรวงต่างประเทศ อิหร่าน ออกแถลงการณ์ ชี้ ตอบโต้อิสราเอลชอบธรรมหลังถูกโจมตีก่อน

(16 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดว่า ในเช้าตรู่ของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 อิสราเอลได้เปิดฉากการโจมตีด้วยอาวุธขนานใหญ่ โดยไม่มีการยั่วยุจากอิหร่าน อันเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวอย่างร้ายแรงในทุกความหมายของการกระทำดังกล่าว ด้วยการโจมตีทางอากาศ ขีปนาวุธ และโดรนที่ปฏิบัติการประสานงานกัน

อิสราเอลได้กำหนดเป้าหมายไปที่ย่านที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน หน่วยงานสาธารณะ
และโรงงานนิวเคลียร์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ ในกรณีที่เลวร้ายเป็นพิเศษ การโจมตีของอิสราเอลต่ออาคารที่อยู่อาศัยส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 60 ราย รวมถึงเด็กและผู้หญิง 35 ราย จากปฏิบัติการทางทหารระลอกรั้งใหม่ อิสราเอลเริ่มกำหนดเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานและสถานที่อุตสาหกรรมด้วยข้ออ้างหลักสำหรับการโจมตีคือโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามที่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้รับการยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การติดตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสันติภาพเท่านั้น และยังคงอยู่ภายใต้ระบอบการตรวจสอบที่ครอบคลุมและรุนแรงที่สุดที่ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของนานาชาติ

การที่อิสราเอลกำหนดเป้าหมายไปยังโรงงานนิวเคลียร์พลเรือนที่ได้รับการคุ้มครองเหล่านี้ถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวโดยเจตนาและการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกรอบกฎหมายที่ควบคุมความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์อย่างโจ่งแจ้ง ตามที่ผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA นายราฟาเอล กรอสซี ได้ยืนยันอีกครั้งในระหว่างการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อเร็ว ๆ นี้ มติการประชุมสมัชชาใหญ่ IAEA GC(XXIX)/RES/444 และ GC(XXXIV)/RES/533 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การโจมตีด้วยอาวุธใด ๆ ต่อโรงงานนิวเคลียร์ที่มุ่งเน้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสันติภาพถือเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ธรรมนูญของ IAEA และหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ มติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่การโจมตีดังกล่าวจะก่อให้เกิดต่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์ และเน้นย้ำถึงผลกระทบที่บ่อนทำลายอย่างลึกซึ้งต่อสันติภาพในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ลักษณะของการโจมตีไม่ทิ้งช่องว่างสำหรับความคลุมเครือ: ถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง ทำให้ขอบเขตทางกฎหมายได้ถูกละเลยมองข้ามไปอย่างชัดเจน

อิสราเอลมีประวัติการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อรัฐอธิปไตยมายาวนานซึ่งมีเอกสารหลักฐานยืนยัน มีการกำหนดเป้าหมายต่อประชากรพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนให้เห็นถึงการดูหมิ่นหลักการที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเป็นระบบ การโจมตีครั้งล่าสุดนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกตัวออกมา แต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่สอดคล้องกันที่ใช้อาวุธบังคับและท้าทายระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเปิดเผย หลักนิติธรรมไม่ได้ถูกละเลย แต่กำลังถูกรื้อถอน โดยเจตนาในบริบทที่กว้างขวางมากขึ้นของพฤติกรรมของระบอบอิสราเอลต้องได้รับการยอมรับ

ปัจจุบันอิสราเอลอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีต่อหน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในข้อหาที่ถูกกล่าวหาว่าก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา และผู้นำระดับสูงของอิสราเอล รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู
เผชิญข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รวมถึงการกำหนดเป้าหมายพลเรือนโดยเจตนา การใช้อดอาหารเป็นวิธีการทำสงคราม และการกำหนดบทลงโทษรวมโดยเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกตัวออกมา แต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่คงอยู่ของการปราบปรามทางทหาร การไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย และการไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรม

ในขณะที่ความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายระหว่างประเทศอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มข้น การประยุกต์ใช้หลักการทางกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติและการอาศัยความเหมาะสมทางการเมืองคุกคามที่จะเข้าแทนที่ค่านิยมพื้นฐานของความสอดคล้อง ความรับผิดชอบ และหลักนิติธรรม ในการตอบโต้การรุกรานที่ผิดกฎหมายและปราศจากการยั่วยุโดยอิสราเอล สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายตามที่ระบุไว้ในมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ สิทธิขั้นพื้นฐานนี้อนุญาตให้รัฐสามารถปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนเมื่อถูกโจมตีด้วยอาวุธ

การตอบโต้ของอิหร่านยึดมั่นอย่างเคร่งครัดต่อหลักการและขอบเขตที่กำหนดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้มั่นใจว่าการกระทำของตนมีความสมเหตุสมผล จำเป็น และเหมาะสมภายใต้สถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตอบโต้ของอิหร่านได้รับการปรับเทียบอย่างรอบคอบให้ได้สัดส่วนกับภัยคุกคามและการโจมตีทางทหารของอิสราเอล การตอบโต้กำหนดเป้าหมายเฉพาะวัตถุประสงค์ทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น รวมถึงศูนย์บัญชาการและควบคุม การติดตั้งทางทหารเชิงกลยุทธ์ และโครงสร้างพื้นฐานในการปฏิบัติการที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการโจมตีที่ผิดกฎหมาย ตลอดเวลา

อิหร่านยังคงปฏิบัติตามกฎของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับการลดความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีให้เหลือน้อยที่สุด ความล้มเหลวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการตอบโต้อย่างเด็ดขาดต่อการกระทำที่ก้าวร้าวนี้ แสดงถึงการละทิ้งความรับผิดชอบพื้นฐานในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในอดีต คณะมนตรีได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นเอกฉันท์ หลังจากการโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์โอซิรักของอิรักในปี 1981 คณะมนตรีได้ออกมติ 487 ประณามการโจมตีและยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของโรงงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ แบบอย่างนั้นยังคงชัดเจน กฎหมายยังคงชัดเจน ทว่าวันนี้ คณะมนตรีกลับเป็นอัมพาต การหารือถูกบีบคั้นด้วยแรงกดดันทางการเมืองและเกราะป้องกันที่กลุ่มรัฐทรงอำนาจจำนวนน้อยยื่นให้การไม่ดำเนินการนี้จะคุกคามและกัดกร่อนรากฐานของระบบพหุภาคี

อิหร่านเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำที่ก้าวร้าวนี้ และยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นต่อกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ อธิปไตยไม่ใช่เรื่องที่ต่อรองได้ โรงงานนิวเคลียร์ภายใต้การคุ้มครองของ IAEA ไม่ควรถูกกำหนดเป้าหมาย การใช้กำลังทางอาวุธต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาแทนที่การทูต อิสราเอลไม่สามารถได้รับอนุญาตให้เขียนกฎการปฏิบัติระหว่างประเทศใหม่ผ่านการละเมิดซ้ำ ๆ และการยั่วยุที่มีการวางแผนไว้แล้ว เส้นทางสู่สันติภาพเริ่มต้นด้วยความรับผิดชอบ และระบบกฎหมายระหว่างประเทศต้องรวบรวมเจตจำนงเพื่อธำรงเรื่องนี้เอาไว้

ก.พลังงาน เกาะติดสถานการณ์อิสราเอล - อิหร่าน เตรียมมาตรการรองรับทั้งด้านราคา - ปริมาณสำรอง

กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ โดยได้ดำเนินมาตรการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ รวมทั้งเตรียมแผนเพิ่มปริมาณสำรองภายในประเทศ หากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อประเทศไทย

(17 มิ.ย. 68) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หลังจากที่เกิดการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะมีรายงานข่าวเมื่อคืนวันจันทร์ว่า อิหร่านพร้อมกลับมาเจรจาเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับสหรัฐหลังจากที่อิหร่านได้ยกเลิกการเจรจาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์การสู้รบก็ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้หลายประเทศเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ โดยนักวิเคราะห์จากหลายหน่วยงานรายงานถึงการคาดการณ์หากการสู้รบขยายวงกว้างขึ้น จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งอาจจะมีการปิดกั้นเส้นทางในการขนส่งน้ำมันอย่างช่องแคบฮอร์มุช ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ

กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยในด้านราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 72.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นจากต้นเดือนมิถุนายนที่ 65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการดูแลด้านราคาขายปลีกภายในประเทศเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ได้มีมติเมื่อวานนี้ ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล โดยใช้กลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพ และพยุงราคาน้ำมันในประเทศ ไม่ให้กระทบกับความต่อเนื่องในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาว

ส่วนในด้านปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,337 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 25 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,457 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 19 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,874 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 16 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ซึ่งหากสถานการณ์มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะมีการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านราคาให้มากที่สุด

“ขอย้ำว่า กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านอย่างใกล้ชิด ได้เตรียมพร้อมในเรื่องของปริมาณสำรองพลังงาน ซึ่งมีข้อกำหนดและมาตรการในการสำรองปริมาณน้ำมันและก๊าซหุงต้มอยู่แล้ว รวมถึงการเตรียมแนวทางการบริหารจัดการด้านราคาหากการสู้รบรุนแรงขึ้นและยืดเยื้อ โดยไทยเองเป็นประเทศนำเข้าน้ำมัน ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านราคาได้ ซึ่งเมื่อวานนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ได้มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการหากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอีก  จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานจะติดตามสถานการณ์และดำเนินทุกมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและปริมาณสำรองน้ำมัน และขอให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัดเพื่อลดการนำเข้า ก็จะช่วยให้ประเทศลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ด้วย” นายวีรพัฒน์ กล่าว

‘ทรัมป์’ เตือน ‘อิหร่าน’ ไม่มีวันชนะสงครามนี้ แนะเปิดเจรจาก่อนจะสายเกินไป

(17 มิ.ย. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เตือนอิหร่านให้รีบเปิดการเจรจากับอิสราเอลโดยด่วน ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ผมคิดว่าอิหร่านจะไม่ชนะสงครามนี้ พวกเขาควรพูดคุยกัน และควรพูดคุยทันที ก่อนที่จะสายเกินไป” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G7 ที่ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา

คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังการโจมตีล่าสุดของอิหร่านด้วยขีปนาวุธใส่เมืองต่าง ๆ ของอิสราเอล ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 8 ราย ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตรวมจากฝั่งอิสราเอลอยู่ที่ 24 คน ขณะที่ทางการอิหร่านรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 224 ราย และบาดเจ็บกว่า 1,000 คน นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มการโจมตีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อกองทัพอิสราเอลประกาศว่าได้ “ควบคุมท้องฟ้าเหนือกรุงเตหะรานอย่างสมบูรณ์” พร้อมทั้งทำลายฐานยิงขีปนาวุธของอิหร่านได้แล้วประมาณหนึ่งในสาม ด้านอิหร่านตอบโต้โดยขู่ว่าจะเปิดฉาก “การยิงขีปนาวุธที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” บนแผ่นดินอิสราเอล พร้อมกันนั้นยังมีรายงานว่าโรงพยาบาลพลเรือนในเมืองเคอร์มานชาห์ของอิหร่านถูกโจมตี จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

อีกด้านหนึ่ง องค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) แสดงความกังวลถึงการปนเปื้อนทางรังสีและสารเคมีจากการโจมตีของอิสราเอลที่โรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่เมืองนาทานซ์ แม้ระดับรังสีภายนอกยังปกติ แต่ระบบจ่ายไฟหลักและเครื่องสำรองถูกทำลาย ทำให้การตรวจสอบและประเมินผลกระทบทำได้อย่างจำกัด

ขณะที่ภาพรวมในสนามรบจะตึงเครียดอย่างหนัก แต่เบื้องหลังมีรายงานว่าอิหร่านเริ่มส่งสัญญาณความต้องการเจรจา โดยผ่านตัวกลางจากชาติอาหรับ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันโลกลดลงทันทีมากกว่า 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แสดงให้เห็นถึงความหวังเล็ก ๆ ในการคลี่คลายความขัดแย้ง หากคู่กรณียอมกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างจริงจังตามคำแนะนำของทรัมป์ก่อนที่จะสายเกินไป

ผู้นำ G7 หนุนอิสราเอล ย้ำมีสิทธิ์ตอบโต้อิหร่าน ด้าน ‘ทรัมป์’ ทิ้งประชุมด่วน!!...กลับมารับมือที่วอชิงตัน

(17 มิ.ย. 68) ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งเจ็ด (G7) ออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีขึ้นระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

ในแถลงการณ์ระบุว่า “เรายืนยันว่าอิสราเอลมีสิทธิในการป้องกันตัว และเรายังคงยืนหยัดเคียงข้างความมั่นคงของอิสราเอล” พร้อมเรียกร้องให้การแก้ไขวิกฤตกับอิหร่านนำไปสู่การลดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงการหยุดยิงในฉนวนกาซา

ผู้นำ G7 ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องพลเรือนจากผลกระทบของความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น ขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงผันผวนและเปราะบางอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ในวันเดียวกันโฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกจากการประชุม G7 ที่แคนาดาเร็วกว่ากำหนด และได้สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเตรียมพร้อมหารือฉุกเฉินในห้องสถานการณ์ของทำเนียบขาว

คำสั่งเร่งด่วนของทรัมป์ยังรวมถึงการเรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) เพื่อประเมินปฏิกิริยาตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่อทั้งอิหร่านและอิสราเอล ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากฝ่ายการเมืองภายในประเทศให้วอชิงตันแสดงบทบาทนำในวิกฤตนี้

โฆษกรัสเซียฟาดแรงอิสราเอล ‘อย่าบีบอิหร่านเปลี่ยนระบอบ’ เตือนการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์คือหายนะ

(19 มิ.ย. 68) มาเรีย ซาคาโรวา กระทรวงต่างประเทศรัสเซีย ออกมาแถลงอย่างชัดเจนว่า ‘อิสราเอลไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับให้อิหร่านเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง’ และเตือนว่าการโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้นอยู่ ‘ใกล้เคียงกับหายนะระดับมิลลิเมตร’

ซาคาโรวาเน้นถึงสิทธิของอิหร่านในโครงการพลังงานนิวเคลียร์ทางสันติภาพ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการลอบโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ถือเป็น ‘เกมอันน่าสยดสยอง’ ที่สามารถนำไปสู่ผลที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยย้ำว่าอิหร่านมีสิทธิ์ ‘มีและจะมี’ โรงงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพต่อไป

ขณะที่ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียชี้ว่า ขณะนี้อิหร่านกำลังรวมตัวกันอย่างแข็งแกร่ง แม้จะมีการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากอิสราเอล และยอมรับความเป็นกลางของรัสเซียในการใช้มาตรการทางทหาร แต่จะยังคงให้การสนับสนุนในระดับการทูตเพื่อหลีกเลี่ยงการลุกลามของวิกฤตการณ์

ขณะที่ชาติตะวันตกและสื่อระหว่างประเทศหลายแห่งเตือนว่าการมุ่งเป้า ‘เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง’ อาจนำไปสู่ความวุ่นวายในภูมิภาคและมิใช่ทางออกที่เหมาะสม เป้าหมายหลักควรเป็นการหยุดโครงการนิวเคลียร์ทางทหารของอิหร่านเท่านั้น

นอกจากนี้ สหภาพยุโรปได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่สนับสนุนแนวทางบีบบังคับให้อิหร่านเปลี่ยนผู้นำ และเรียกร้องให้เผชิญหน้าด้วยบทบาททางการทูตและการเจรจาที่จริงจังแทน ทั้งนี้ รัสเซียและชาติยุโรปยังคงผลักดันให้เปิดโต๊ะเจรจาเพื่อคลี่คลายวิกฤตอย่างสันติ

‘ทรัมป์’ ขอเวลาตัดสินใจ 2 สัปดาห์ ว่าจะส่งทหารร่วมศึกอิสราเอล-อิหร่าน หรือไม่

(20 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะตัดสินใจภายใน 2 สัปดาห์ว่าจะส่งกองกำลังเข้าแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านหรือไม่ โดยระบุว่าขณะนี้ยังมี 'โอกาสสำคัญ' สำหรับการเจรจาทางการทูตกับอิหร่าน จึงขอเวลาประเมินสถานการณ์เพิ่มเติม

โฆษกทำเนียบขาว แครอลไลน์ ลีวิตต์ กล่าวว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญสูงสุดกับการป้องกันไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และยังไม่ปิดโอกาสสำหรับการเจรจา แม้จะมีรายงานว่าทรัมป์อนุมัติแผนโจมตีไซโลนิวเคลียร์ของอิหร่านแล้ว แต่ยังไม่ได้สั่งให้ดำเนินการในทันที

ขณะที่ อิหร่านเตือนว่าหากสหรัฐฯ เข้าร่วมสงคราม จะยิ่งทำให้ภูมิภาคลุกเป็นไฟ โดยระบุว่า “นี่ไม่ใช่สงครามของอเมริกา” ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวเผยว่าเว็บไซต์ฟอร์โด ซึ่งเป็นโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมของอิหร่าน อาจตกเป็นเป้าหมายโจมตีหากการเจรจาล้มเหลว

ทั้งนี้ สถานการณ์ทวีความตึงเครียดหลังอิหร่านยิงขีปนาวุธใส่โรงพยาบาลทางตอนใต้ของอิสราเอล ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 70 คน ด้านอิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านหลายจุด ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากนานาชาติให้ใช้การทูตแทนการสู้รบ

‘อิหร่าน’ ซัดเดือดปมสหรัฐฯโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ ยันทั้ง 3 แห่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ IAEA

(22 มิ.ย. 68) สำนักงานพลังงานปรมาณูของอิหร่าน ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังสหรัฐ อเมริกา โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่ง โดยระบุว่า

หลังจากการโจมตีอันสกปรกของศัตรูไซออนิสต์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เช้าวันนี้ โรงงานนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน ฟอร์โด นาทานซ์ และอิสฟาฮาน ถูกโจมตี ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสนธิสัญญาห้ามเผยแพร่อาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ที่ศัตรูของอิหร่านได้ละเมิด

การกระทำดังกล่าว ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นความอัปยศที่เกิดขึ้นภายใต้เงามืดของความเพิกเฉยและเป็นความร่วมมือขององค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)

ศัตรูได้ยอมรับผ่านทางโลกออนไลน์โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งรับผิดชอบต่อการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ดังกล่าว และเป็นโรงงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องตามข้อตกลงการตรวจสอบและสนธิสัญญา NPT ของ IAEA

หวังว่าประชาคมโลกจะประณามการกระทำผิดและจะดำเนินกฎหมายตามกฎบัตรสากลและจะสนับสนุนอิหร่านในการเรียกร้องสิทธิที่ชอบธรรมของตน

สำนักงานพลังงานปรมาณูของอิหร่านขอยืนยันต่อประชาชนชาวอิหร่านว่า แม้จะมีการสมรู้ร่วมคิดชั่วร้ายของศัตรู ด้วยความมุ่งมั่นของนักวิทยาศาสตร์นักปฏิวัติและผู้เชี่ยวชาญหลายพันคนจะเป็นแรงจูงใจ จะไม่ยอมให้เส้นทางการพัฒนาอุตสาหกรรมนิวเคลียร์แห่งชาติที่เกิดจากเลือดของผู้เสียชีวิตต้องหยุดชะงักเป็นอันขาด

สำนักงานปรมาณูจะดำเนินการปกป้องสิทธิของประชาชนอันทรงเกียรติของอิหร่าน รวมถึงการติดตามทางกฎหมายอย่างจริงจัง

เตือนภัยแดงทั่วอิสราเอล!! ไซเรนดังสนั่นลั่นเทลอาวีฟ – ระเบิดถล่มเยรูซาเลม หลังอิหร่านปฏิบัติการตอบโต้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล

เตือนภัยแดงทั่วอิสราเอล!! ไซเรนดังสนั่นลั่นเทลอาวีฟ – ระเบิดถล่มเยรูซาเลม หลังอิหร่านปฏิบัติการตอบโต้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top