Thursday, 5 June 2025
ยาเสพติด

'สมศักดิ์' จ่อรื้อประกาศโทษครอบครอง 'ยาบ้า' ชี้!! ครอบครอง 1 เม็ดก็มีความผิด เสพก็มีความผิด

(8 พ.ค.67) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นยาเสพติดที่เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล ว่า การบำบัดยาเสพติดซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ที่ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพราะเรื่องแก้ไขปัญหายาเสพติดจะมี 6 ด้าน คือ ป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู บูรณาการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยึดทรัพย์ เพื่อไม่ให้การดำเนินการเกิดความเหลื่อมล้ำในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เพราะถ้าหากเครื่องจักรทั้งหมดทำงานไม่ไปด้วยกัน ก็จะทำให้เสียเปล่าในงบประมาณ ทั้งนี้ ต้องมีตัวชี้วัดว่าเมื่อมีการเข้ารับบำบัดแล้ว หายเท่าไหร่อย่างไร ถ้าสมัครใจมาบำบัดแล้วหายก็ต้องมีใบรับรอง ส่วนผู้ที่หนีการบำบัดที่มีประมาณร้อยละ 20 นั้นก็จะต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะถือว่ายังเป็นคดี ยังมีความผิดอยู่ ยังต้องรับโทษ เพราะในอดีตยังอาจปฏิบัติตามเงื่อนไขไม่ครบ จึงยังมีการลักลั่นอยู่ แต่ถ้าเราดำเนินการแล้วก็ต้องขอให้หน่วยงานอื่น ๆ ได้ขับเคลื่อนไปอย่างเต็มที่ด้วยกัน ก็จะแก้ไขได้ตามกำหนดเวลาของรัฐบาล ส่วนการกำหนดเวลาต่าง ๆ ขอให้มีการพูดคุยกันในระดับสูงก่อน จึงจะมีความชัดเจนขึ้น

เมื่อถามถึงประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่สันนิษฐานว่า มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 กรณีแอมเฟตามีนมีปริมาณไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคือให้ถือเป็นผู้ป่วยที่สามารถสมัครเข้ารับการบำบัดแทนการรับโทษจำคุกได้ แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้งหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า แน่นอน ต้องมีการพิจารณาแน่นอน ตนขอย้ำถึงเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฯ ที่มีการเขียนมาก่อนที่ตนจะรับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม มีการเสนอไม่สำเร็จ ตนจึงนำมาปรับและเสนอใหม่และจบมาเป็นกฎหมาย

“ถ้าผมมีโอกาสเสนอผู้บังคับบัญชา ผมจะพูดถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย แล้วจะทำให้เกิดเป็นงานที่ชัดเจนขึ้นมา เพราะการนำเสนอที่ผิดพลาด ทำให้เกิดความยุ่งยาก คนครอบครองยาบ้า 1 เม็ดก็มีความผิด เสพยาบ้าก็มีความผิด แต่โทษต่างกัน ดังนั้น ต้องดำเนินการตามแนวทางของกฎหมายที่ชัดเจน ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่เท่าไหร่นั้นขอให้ฟังต่อไป” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะต้องปรับให้น้อยกว่า 5 เม็ดหรือไม่ แล้วมีไทม์ไลน์การดำเนินการอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ถูกต้อง ส่วนไทม์ไลน์การดำเนินงานนั้น คาดว่าภาครัฐบาลจะออกมาพูด

ถามถึงการแนวทางในกฎหมายควบคุมกัญชา กัญชง ที่ยังรอการออกร่างพระราชบัญญัติอยู่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็ต้องมีการปรับปรุงทั้งนั้น แต่ขั้นตอนการดำเนินการต้องครบ 6 ด้านที่กล่าวมา ส่วนเรื่องการบำบัดในกลุ่มโซนสีแดง สีส้ม จะรักษาแบบเดิมไม่ได้ ต้องเพิ่มขั้นตอน ซึ่งเรากำลังทำงานอยู่ ส่วนเรื่อง ร่างพ.ร.บ.ก็ต้องคุยกัน

“เรื่องของกัญชานั้นแนวทางต้องเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนอย่างไร เราทำโดยลำพังไม่ได้ ต้องเกี่ยวกับหน่วยงานหลายกระทรวง ต้องมาพูดคุย อย่างเรื่องโรงงานพลุระเบิดจะประกาศกระทรวงเดียวไม่ได้ ต้องประกาศ 5 กระทรวง ต้องพูดพร้อมกัน ถ้าพูดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งแล้ว มันตีกัน” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า อันนี้เดี๋ยวรอฟัง ตนอยากฟังความเห็นของประชาชนด้วย และต้องฟังแนวทางจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

เมื่อถามว่าเรื่องกัญชาจะมีความชัดเจนเมื่อไหร่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่นาน ภายในเดือนนี้ต้องจบแล้ว 

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็น”สมรภูมิ” ของ”ยาเสพติด”

ล่าสุดจับได้ 8จ ล้านบาท  ดังนั้นการแก้ปัญหายาเสพติดยังเป็น”งานหนัก” ของ”ทวี สอดส่อง”  รัฐมนตรียุติธรรม หลังรับตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง นโยบายแรกๆของที่”ทวี” ลงพื้นที่และกล่าวกับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ การ”แก้ปัญหายาเสพติด” ที่เป็นปัญหา”ความทุกข์” ของประชาชน และเป็นปัญหาของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ “ยาเสพติด” ที่ “ผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน” ครึ่งหนึ่ง” ถูก ขบวนการค้ายาเสพติด ลำเลียงมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่ง จำหน่าย ในพื้นที่ ส่วนหนึ่ง ส่งไปยังประเทศที่สาม โดยผ่านทางแนวตะเข็บจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน จ.นราธิวาส สงขลา และ สตูล เข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ก่อนที่จะอาศัย เส้นทางขนส่ง จาก มาเลเซีย ไปยังประเทศต่างๆ ตามความต้องการของ ขบวนการ ผู้ค้ายาเสพติดระดับโลก “ผมเป็นหนี้บุญคุณของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เลือกผมและ สส.ของพรรคประชาติเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ดังนั้นผมจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นความทุกข์ร้อนของคนในพื้นที่ ซึ่งมีความเดือดร้อนมากมาย ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน  เรื่องอาชีพ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร และ อื่นๆ  แต่เรื่อง”ยาเสพติด” เป็นเรื่องของความ”ทุกข์ใจ” สำหรับ ครอบครัวที่มีผู้ติดยาเสพติด และชุมชนที่มีผู้ติดยาเสพติด ซึ่งวันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นี้คือ บางช่วง บางตอน ที่” ทวี” ได้”สื่อสาร” กับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ”สื่อสาร”กับ”สื่อ” ที่ติดตาม รายงานข่าว ในการลงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้และนี่คือที่มาของ”โครงการแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง” ทวี” กล่าวทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเพื่อ พบปะกับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ผ่านมา” ตำรวจ ,ทหาร, ปกครอง ,ปปส, และ หน่วยงานราชการมากมาย ได้เข้าไปทำการแก้ปัญหา ยาเสพติด กันมาโดยตลอด แต่ ปัญหายาเสพติด นอกจากไม่ลดลง ยังเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ผู้เสพ ผู้ขาย และ จำนวน ยาเสพติด ที่ลำเลียงจากประเทศเพื่อน เข้ามายังประเทศไทย ทำให้รู้ว่า ยาเสพติด “ไม่กลัวทหาร ,ไม่กลัวตำรวจ, ไม่กลัว พรบ.ฉุกเฉิน ,ไม่กลัว กฎอัยการศึก, เพราะถ้ากลัว ป่านนี้ยาเสพติดคงจะ ถูกปราบปรามหมดไปจากประเทศแล้ว ในอดีต ยาเสพติด กลัวผู้นำศาสนา  แต่ ในปัจจุบัน ก็ไม่แน่ใจ เพราะใน” ปอเนาะ, ในโรงเรียนสอนศาสนา, ก็มีผู้ที่ติดยาเสพติด ดังนั้นโครงการ แก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน จึงเป็นอีก”ทางเลือกหนึ่ง” ของการแก้ปัญหายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการให้ประชาชน ในชุมชน หมู่บ้าน ตำบล  ร่วมกันคิดและการ”ออกแบบ” การแก้ปัญหายาเสพติด และ กระทรวงยุติธรรม ให้การสนับสนุน งบประมาณ ตาม แผนงาน โครงการ ที่ผ่านการร่วมคิดร่วมทำด้วยกัน

ซึ่ง สามเดือนที่ผ่านมาที่ได้ ขับเคลื่อน โครงการ แก้ปัญหายาเสพติด โดยคณะทำงานที่เป็นภาคประชาชน มี พล.อ.วิชาญ สุขสง เป็นหัวหน้าคณะทำงานด้าน “ยุทธศาสตร์ “ และ คณะที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน นักวิชาการ และ องค์กรต่างๆ มี ตำบลต่างๆ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาสาเข้ามาเป็น “ตำบลอาสา” แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว 60 ตำบล มีการประชุมเพื่อกำหนด”ยุทธศาสตร์” เพื่อการ “ปฏิบัติการ” มีการนำตัวแทนของประชาชน”ตำบลอาสา ๆละ 2 คน จำนวน 120 คน ไป ศึกษาดูงาน”ตำบลต้นแบบ” ของการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ จ.ลพบุรี และ จ.นนทบุรี และ ขณะนี้ ให้ทุกตำบล เขียนโครงการ เพื่อของบประมาณ เพื่อ ปฏิบัติการ แก้ปัญหายาเสพติด ให้เป็นผลสำเร็จ ตามแผนที่ประชาชนในตำบลอาสา แต่ละตำบล ได้ร่วมกันประชุมร่วมกันคิดรวมกัน ออกแบบ และหลังจากที่มีการให้ งบประมาณ กับทุกตำบลที่เข้าร่วมโครงการ ตำบลอาสา แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว ทั้ง 60 ตำบล จะเริ่มปฏิบัติการทันทีสำหรับสถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวกับการระบาดของยาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้  เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี  ได้มีการแถลงข่าวการจับกุม ยาเสพติดรายใหญ่ เป็นยาบ้า 1.400,000 เม็ด และ ยาไอซ์ 350 กิโลกรัม  ได้ผู้ต้องหา 4 คน รถยนต์จำนวน 3 คัน โดยมูลค่าของกลางที่จับได้อยู่ที่ 80 ล้านบาท ทั้งหมดรับว่า จะลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่สำคัญยาบ้าวันนี้ราคาเม็ดละ 5 บาทเท่านั้นนี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่มีการจับกุม ยังไม่รวมคดี ยาเสพติด อีกมาหมาย ที่ถูก จับกุม และที่ หลุดรอด ไปได้ ที่มี มากกว่าหลายเท่า สถานการณ์ของ ยาเสพติด ที่ ทะลักเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ที่มีการทำ สงคราม ทำให้ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต้องการใช้เงินเพื่อทำสงครามภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนยาเสพติดจึงทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นๆ และถ้าติดตามการจับกุมกลุ่มผู้ค้า จะพบว่าเป็นคนจาก จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นจำนวนมาก และจากคำให้การหลังถูกจับกุม ไม่ว่าจะถูกจับที่ภาคไหนของระเทศไทย ทุกคนจะให้การว่า นำยาเสพติดเหล่านั้นมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้  

ดังนั้น จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะไม่มีโรงงาน ผลิตยาเสพติด แต่เป็น “ตลาดใหญ่ของยาเสพติด” เป็น”สมรภูมิ” ของการค้ายาเสพติด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การปราบปรามยาเสพติด การที่จะ”เอาชนะ” ขบวนการค้ายาเสพติด” และการที่จะเอา”ผู้ขาย” และ”ผู้เสพ” ออกจาก”หมู่บ้าน ตำบล” ตามนโยบาย”การแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน” ที่เป็นนโยบายของกระทรวงยุติธรรมภายใต้การ”กำกับดูแล” ของ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็น”ความหวัง” ของคนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นภารกิจที่”ท้าทาย” ครั้งสำคัญของ”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นอย่างยิ่ง

ตำรวจหนองคาย สกัดเฮโรอีนล็อตใหญ่กว่า 1.4 ตัน หลังขนข้ามโขงเข้าไทย

ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ให้ปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน และเพิ่มความเด็ดขาดในการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่มีปัญหา พล.ต.ท.สรายุทธ  สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ตำรวจภาค 4 ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างเด็ดขาด ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค.67  เวลาประมาณ 22.00 น. ตำรวจ สภ.นางิ้ว  ภ.จว.หนองคาย นำโดย พ.ต.ท.พญา บุญโสดากร สวญ.สภ.นางิ้ว ร่วมกับชุดปฏิบัติการด้านการข่าว ตชด.244 และ ตชด. 245 ร่วมกันสกัดจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ พร้อมด้วยเฮโรอีน 1,404 กิโลกรัม ผู้ต้องหา 4 คน ขณะกำลังลำเลียงเฮโรอีนไปส่งให้กับเครือข่ายที่ จ.หนองคาย  

โดยตำรวจ สภ.นางิ้ว, ตชด.244 และ ตชด. 245 ชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่า จะมีการลอบนำยาเสพติดจำนวนมากเข้ามาใน จ.หนองคาย จึงร่วมกันนำกำลังติดตามจับกุม ต่อมาวันที่ 8 พ.ค.67 เวลาประมาณ 22.00.น. ตำรวจชุดจับกุมได้นำกำลังไปที่บ้านเลขที่ 48 ม.7 บ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย พบผู้ต้องหาทั้ง 4 ทราบชื่อภายหลังว่า นายนิยม, นายศราวุธ, นายประสิทธิ์ และ นายประโท กำลังช่วยกันยกลังกระดาษรวม 20 ลัง จึงแสดงตัวขอตรวจค้น พบว่าเป็นเฮโรอีน ซึ่งผู้ต้องหารับว่ายังมีเฮโรอีนอยู่ในสวนยางอีก ตำรวจชุดจับกุมจึงติดตามไปค้นที่กระท่อมไม่มีเลขที่ ในสวนยาง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย พบเฮโรอีนบรรจุในลังอีก 9 ลัง จึงยึดไว้เป็นของกลาง จากการตรวจสอบทั้ง 29 ลัง พบว่าเป็นเฮโรอีน รวม 208 ก้อน น้ำหนัก 1,404 กก.  สอบถามได้ความว่า ผู้ต้องหาร่วมกัน ขนเฮโรอีนทั้งหมดมาขึ้นริมฝั่งบริเวณบ้านภูเขาทอง หมู่ 7 ต.บ้านม่วง โดยมีชาวลาวนำใส่เรือกีบหางเครื่องมาให้ ก่อนจะมาซุกซ่อนไว้ที่บ้านหลังดังกล่าว เบื้องต้นแจ้งข้อหานำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน)เข้ามาในราชอาณาจักร  มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน)ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำหน่าย หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยเฮโรอีนของกลาง นำส่ง พงส.สภ.นางิ้ว ดำเนินคดีต่อไป

ภายหลังการจับกุม พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ ชุดปราบปรามยาเสพติดของ บก.สส.ภ.4 ประสานงานกับ ภ.จว.หนองคาย เร่งสืบสวนขยายผล กวาดล้างจับกุมผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการอย่างเด็ดขาด รวมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์กับเครือข่ายยาเสพติดทุกรายต่อไป

พิษณุโลก เลขาฯ ป.ป.ส. ลุยงานยึดทรัพย์ฯเหนือล่าง เสริมศักยภาพเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ริบทรัพย์ทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติด

วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. ตรวจเยี่ยมโครงการฝึกอบรมเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง พร้อมพบปะและมอบนโยบายแก่เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่รับผิดชอบด้านสอบสวน สังกัดตำรวจภูธรภาค 6 ณ โรงแรมเดอะพาร์ค จังหวัดพิษณุโลก                    

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีเป้าหมายลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดและต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม ภายใน 1 ปี โดยในด้านการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดได้สั่งการให้ทำงานบูรณาการหนักขึ้น ในการยึดทรัพย์ผู้ค้าทั้งรายใหญ่รายย่อย และต้องขยายผลให้ถึงผู้ค้าเครือข่ายรายสำคัญ ตลอดจนการใช้สาธารณสุขนำการแก้ไขปัญหายาเสพติด ผ่านการสร้างศูนย์บำบัด และนำผู้เสพเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างเหมาะสม รวมถึงมาตรการป้องกันยาเสพติดที่มุ่งหวังให้เยาวชนไทยมีปฏิกิริยาการปฏิเสธต่อยาเสพติด เหมือนกับเยาวชนในสหรัฐอเมริกาที่หาที่กำบังเมื่อได้ยินเสียงปืน หรือเหมือนกับเยาวชนในญี่ปุ่นที่รีบวิ่งเข้าใต้โต๊ะเมื่อรู้สึกถึงการสั่นของอาคาร โดยให้ทุกหน่วยงานผนึกกำลังเพื่อลดความเดือนร้อนของประชาชน โดยยึดหลัก “ผู้เสพเป็นผู้ป่วย ส่วนผู้ค้าจะต้องถูกลงโทษและยึดทรัพย์สิน” โดยการยกระดับการปราบปราม ทำลายโครงสร้างเครือข่ายกลุ่มการค้ายาเสพติดระดับต่าง ๆ อย่างจริงจัง

การจัดโครงการฝึกอบรมในครั้งนี้ ถือเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บแก่เจ้าหน้าที่ให้พร้อมทั้งองค์ความรู้แนวทางการทำงาน และเครือข่ายประสานงาน เพื่อให้การยึดทรัพย์สินตามมูลค่าหรือ Value-based confiscation ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดทำได้อย่างมีศักยภาพ จำเป็นต้องพัฒนาเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านสอบสวนตรวจสอบทรัพย์สินเพราะต้องใช้องค์ความรู้ในการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงพยานหลักฐานให้ครอบคลุม และต้องก้าวทันรูปแบบการโอนย้ายอำพรางเส้นทางการเงินของเครือข่ายการค้ายาเสพติด อาจใช้กลไกศูนย์สืบภาค บูรณาการงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส.ภาค กับตำรวจภูธรภาค เพื่อขยายผลยึดทรัพย์ผู้กระทำผิด และนำผู้เกี่ยวข้องมาลงโทษให้มากที่สุด 

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเป็นกำลังให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านในทำงานเพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งนี้  สำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ตำรวจภูธรภาคในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะยุทธการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อย เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดในระดับพื้นที่จากผู้ค้ารายย่อย รวมถึงการลดความรุนแรงที่อาจเกิดจากผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด ตลอดจนการนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดตามนโยบายของรัฐบาล

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

สตม.ขยายผลทลายเครือข่ายต่างชาติผิวสีค้ายาเสพติดของกลางมูลค่าร่วม 5 ล้านบาท

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

วันนี้ (15 พ.ค.67) เวลา 11.00 น.ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.กันตวัฒน์ พงศ์สถาบดี รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.ตม.จว.สงขลา, พ.ต.อ.เกรียงไกร อารยะยิ่ง ผกก.ตม.จว.ภูเก็ต, พ.ต.ท.วิศรุต ละเอียดอ่อง รอง ผกก.ตม.จว.ภูเก็ต, พ.ต.ท.พงษ์ศิริ พิทักษ์ สว.ตม.จว.สงขลา ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

สตม.ขยายผลทลายเครือข่ายต่างชาติผิวสีค้ายาเสพติดของกลางมูลค่าร่วม 5 ล้านบาท ตม.จว.ภูเก็ต ร่วมกับ ชุดสืบสวน บก.ปส.4 และ ชุดสืบสวน ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.3 จับกุมคนต่างชาติ จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. Mr.Denis (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย
2. Mr.Ogadinma (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไนจีเรีย
3. Mr.Harison (นามสมมติ) อายุ 40 ปี สัญชาติไนจีเรีย  
โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะรน จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย
4. Mr.Solomon (นามสมมติ) อายุ 53 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายโดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดประเภท 1 (ยาไอซ์และยาอี) และยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) เพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สืบเนื่องจาก ตม.จว.ภูเก็ต ได้กวดขันจับกุมคนต่างด้าวที่มีเจตนาแอบแฝงไม่ได้เข้ามาท่องเที่ยวหรือมาประกอบกิจการอันดี โดยเมื่อประมาณต้นเดือน เม.ย.2567 ที่ผ่านมา ชุดสืบสวน ตม.จว.ภูเก็ต สืบสวนหาข่าวจากกลุ่มลับของคนต่างด้าวสัญชาติรัสเซีย พบว่า Mr.Denis (ทราบชื่อภายหลัง) สัญชาติรัสเซีย เสนอว่าตนปล่อยรถเช่า รับแลกเงินคริปโต ชุดสืบสวนจึงได้แฝงตัวเข้าไปทักถามเป็นภาษารัสเซีย ทราบว่า Mr.Denis ได้นำเสนอว่าตนมียาเสพติด (โคเคน) จำหน่ายในราคากรัมละ 4,000 บาท จึงได้วางแผนพิสูจน์ทราบและจับกุม ต่อมาได้ติดต่อนัดหมายซื้อโคเคนจาก Mr.Denis ที่บริเวณ ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน ต.วิชิต อ.เมือง จว.ภูเก็ต โดย ตม.จว.ภูเก็ต ได้ร่วมกับชุดสืบสวน บก.ปส.4 และ ชุดสืบสวน ส.ทท.1 กก.2 บก.ทท.3 เข้าตรวจสอบ เมื่อพบ Mr.Denis เข้ามายังสถานที่นัดพบจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบยาเสพติด (โคเคน) บรรจุในหีบห่อ น้ำหนักรวม 0.99 กรัม จึงได้จับกุมพร้อมยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.วิชิต ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผล ทราบว่า Mr.Denis ซื้อโคเคนมาจากชายต่างชาติผิวสี 2 คน ในราคา กรัมละ 3,000 บาท โดยชายผิวสีดังกล่าวจะใช้รถยนต์ยี่ห้อ มาสด้า สีแดง เป็นยานพหานะในการส่งยาเสพติด จึงได้ให้ Mr.Denis ติดต่อให้มาพบในวันเดียวกัน โดยนัดหมายกันบริเวณลานจอดรถโรงแรมแห่งหนึ่ง ต.กะรน อ.เมือง จว.ภูเก็ต เมื่อรถยนต์คนดังกล่าวขับเข้ามาในที่นัดหมาย ชุดสืบสวนได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ ยาเสพติด (โคเคน) ซุกซ่อนอยู่ที่บนพื้นรถยนต์ด้านคนขับ จำนวน 1 ห่อ น้ำหนัก 1.4 กรัม โดยมี Mr.Harison (นามสมมติ) อายุ 40 ปี และ Mr.Ogadinma (นามสมมติ) อายุ 41 ปี สัญชาติไนจีเรีย เป็นผู้นำยาเสพติดดังกล่าวมาส่ง จึงได้จับกุมตัวพร้อมตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.กะรน ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาชุดสืบสวนได้สืบสวนพบว่า Mr.Harison และ Mr.Ogadinma ได้ทำการซื้อขายยาเสพติดหลายครั้งโดยขับรถไปรับยาเสพติดจากบังกะโลแห่งหนึ่งใน ต.ฉลอง อ.เมือง จว.ภูเก็ต บ่อยครั้ง เมื่อได้ข้อมูลที่แน่ชัด จึงได้นำหมายค้นศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ ค.152/2567 ลง 8 พ.ค.67 เข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้น พบ Mr.Solomon (นามสมมติ) อายุ 53 ปี สัญชาติ ไนจีเรีย อาศัยอยู่ในบังกะโลหลังดังกล่าว จากการสอบถาม Mr.Solomon รับว่ามีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติดดังกล่าว โดยมียาเสพติดฝังไว้บริเวณหลังบังกะโล และได้พาชุดสืบสวนไปขุด พบของกลางดังนี้

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอี) ห่อหุ้มด้วยแผ่นพลาสติก บรรจุในขวดโหล จำนวน 855 เม็ด
2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ห่อหุ้มด้วยพลาสติก น้ำหนักต่อชิ้นประมาณ 1 กรัม บรรจุในขวดโหล จำนวน 470 ห่อ 
3. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) บรรจุในเป็นห่อ น้ำหนักรวม 127.8 กรัม 
4. บัญชีธนาคาร จำนวน 1 เล่ม โดยพบบัญชีธนาคารอีก 1 เล่มที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องอยู่ภายในบ้านพักด้วย

จึงได้จับกุมตัวพร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินอื่น นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสืบสวนทราบว่าราคาซื้อขายยาเสพติดในจังหวัดภูเก็ตที่ลักลอบจำหน่าย ยาอี ราคา เม็ดละ 1,000 -2,000 บาท โคเคน กรัมละ 4,000 -5,000 บาท รวมราคายาเสพติดของกลางประมาณ 4 ล้านบาท ในส่วนของทรัพย์ ที่ตรวจยึดตามมาตรการปราบปรามยาเสพติด ประกอบด้วยรถยนต์และเงินสดอีก ประมาณมูลค่า 9 แสนบาท รวมมูลค่าของกลางประมาณ 4.9 ล้านบาท กรณี Mr.Solomon ถือเป็นตัวการรายใหญ่ในระดับพื้นที่ภูเก็ต โดยมีการรับของมาจากพื้นที่ภาคกลาง และจะกระจายให้กับผู้ค้าและผู้เสพรายย่อย ซึ่งมีหลายสัญชาติในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะได้สืบสวนและรวมรวมข้อมูลกลุ่มบุคคลดังกล่าว เพื่อสืบสวนจับกุมและเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมต่อไป

สืบนครบาล รวบ 'โด้โพธิ์ปั้น' ผู้ต้องหาบัญชีม้า พบยาเสพติด อาวุธปืน กระสุน หลังก่อเหตุเล็งปืนใส่เจ้าหน้าที่ชุดจับเปิดทางหนี

ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้เร่งรัดปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในปัจจุบันสถิติอาชญากรรมที่มีการใช้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนก่อเหตุอาชญากรรม มีเป็นจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 14 พ.ค.67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย ,พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท ณัฐวุฒิ สีเสมอ , พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.สมพร คำเกตุ สว.กก.สส.2 บก.สส.บช.น.  ร.ต.อ.โสรชาติ  ดาวเรือง  รอง.สว.สส.2 บก.สส.บชน. เจ้าหน้าที่กก.สส.2 สืบนครบาล ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว 
1.นายธีรพลหรือโด้ อายุ 30 ปี  ภูมิลำเนา ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร   ผู้ต้องหาตาม หมายจับศาลอาญาที่ จ.3912/2567 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ซึ่งเมื่อวันที่ 7 พ.ค.67 เวลาประมาณ 19.30 น ขณะเข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ทำการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เล็งอาวุธปืนใส่เจ้าหน้า เพื่อเปิดทางหลบหนีไป นั้น
2. นางสาวปภาดา อายุ 46 ปี ภูมิลำเนา ซ.เทียนทะเล ถ.บางขุนเทียน - ชายทะเล แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร
3.น.ส.ธนาวรรณ อายุ 36 ปี ภูมิลำเนา ถ.เสรีไทย แขวงคลองจั่น เขตบางกะปี กรุงเทพมหานคร

ตรวจยึดของกลางคือ 
1. อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 2 ซอง 
2.เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 16 นัด
3.ยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 18 กรัม
4.ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด
5.อุปกรณ์การเสพและจำหน่าย

โดยกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งหมดว่า “ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ยาบ้า ไอซ์ ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และ ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ”

กล่าวคือ สืบนครบาล ได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุมตัวนายธีรพล ผู้ต้องหาภายในซอยโพธิ์ปั้น แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ  ร.ต.อ.โสรชาติ  ดาวเรือง  รอง.สว.สส.2 บก.สส.บชน. กับพวก ติดตามเพื่อจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิดฐาน "โดยทุจริตหรือโดยหลอกหลวง นำเข้าสู่ซึ่งข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์" โดยบุคคลดังกล่าวเป็นผู้พักอาศัยอยู่บริเวณบ้านเลขที่ 580/152 ซอยโพธิ์ปั้น แยก 8ฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซุ่มดูอยู่บริเวณใกล้เคียง และพบบุคคลตามหมายจับปรากฎตัวอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวจริง และกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น PCX สีน้ำเงิน-ดำ ออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว จึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมหยุดรถ พร้อมกับเร่งเครื่องยนต์ หลบหนีมุ่งหน้าไปยังท้ายซอยโพธิ์ปั้น แยก 8ฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจขับขี่รถจักรยานยนต์ติดตาม จนถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ (ท้ายซอยโพธิ์ปั้น แยก 14ฯ)  ผู้ต้องหาได้ประสบอุบัติเหตุ และรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ก่อเหตุขับขี่มาได้ล้มลง จากนั้นผู้ต้องหาได้นำอาวุธปืนที่ติดตัวมา ชี้เล็งใส่ ร.ต.อ.โสรชาติฯ ได้นำอาวุธปืนที่ติดตัวมา ยิงขึ้นฟ้าจำนวน 1 นัด เพื่อหยุดผู้ก่อเหตุ แต่ผู้ก่อเหตุวิ่งหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ 

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น  ได้สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น  พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. จัดชุดสืบสวนไล่ล่าเต็มรูปแบบเนื่องจากผู้ต้องหาเป็นอันตรายต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ต่อมา ชุดสืบนครบาลพบตัวผู้ต้องหาได้ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขา ถ.โชคชัย4 แยก 24 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ หลังจากนั้น ผู้ต้องหา ได้พาไปยังห้องพักห้อง อภิญญาเพลส ถ.โชคชัย4 ซอย 27 และนำตรวจค้น ซึ่งจากการตรวจค้นในห้องดังกล่าวพบ น.ส.ประภาดา อายุ 46 ปี  และน.ส.ธนาวรรณ อายุ 36 ปี อยู่อาศัย จากการตรวจค้นในห้องดังกล่าว พบ1. อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 2 ซอง 
2.เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 16 นัด
3.ยาไอซ์น้ำหนักประมาณ 18 กรัม
4.ยาบ้าจำนวน 8 เม็ด
5.อุปกรณ์การเสพและจำหน่าย แจ้งข้อกล่าวหา “ ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ยาบ้า ไอซ์ ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และ ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ”

จับกุมได้ที่ บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขา โชคชัย 4 ซอย 24 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่อง ห้องพัก หอพักอภิญญา เพลส ถนน โชคชัย 4 ซอย 25 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร นำตัว มาสืบสวนที่สืบนครบาลเพื่อดำเนินการต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น กล่าวว่าคดีนี้ผู้ต้องหามีหมายจับบัญชีม้าเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าจับกุมได้ชักอาวุธปืนเล็งใส่ต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ในที่สาธารณะ ถือเป็นอันตรายต่อประชาชนใกล้เคียงและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ น.1 ได้สั่งการให้ผมจัดชุดไล่ล่าจนสามารถจับกุมพร้อมของกลาง ถือว่าเป็นบทเรียนในการจับกุมผู้ต้องหาไม่ว่าเป็นคดีใดๆ เราต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

‘นิด้าโพล’ ชี้ ปชช. หนุนกัญชาเป็น ‘ยาเสพติด’ ย้ำ!! ควรใช้เพื่อ ‘การแพทย์-รักษาโรค’ เท่านั้น

(19 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กัญชาเป็นยาเสพติด?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดของรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.74 ระบุว่า เป็นยาเสพติดแต่ก็มีประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 33.59 ระบุว่า เป็นยาเสพติดและไม่มีประโยชน์ใด ๆ ร้อยละ 11.60 ระบุว่า ไม่เป็นยาเสพติด และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการกำหนดนโยบายกัญชาของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.58 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค รองลงมา ร้อยละ 19.39 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรออกนโยบายใด ๆ เพื่อสนับสนุนกัญชา/ผลิตภัณฑ์กัญชา ร้อยละ 10.53 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนการสร้างผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมาย ร้อยละ 7.40 ระบุว่า เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 3.21 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนความบันเทิงในสังคม เช่น การเสพกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย การมีบุหรี่กัญชา เป็นต้น และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.38 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 14.50 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 8.93 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาหรือนักธุรกิจกัญชา หากรัฐบาลนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.95 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ใดเลย รองลงมา ร้อยละ 35.03 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาและนักธุรกิจกัญชา ร้อยละ 10.08 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาเท่านั้น ร้อยละ 2.06 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับนักธุรกิจกัญชาเท่านั้น และร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 68.93 ระบุว่า ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับกัญชา ขณะที่ ร้อยละ 31.07 ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา (จำนวน 407 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.58 เคยมีประสบการณ์การใช้กัญชาเพื่อประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม รองลงมา ร้อยละ 34.64 ระบุว่า การเสพหรือสูบกัญชา ร้อยละ 22.36 ระบุว่า การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 15.97 ระบุว่า การปลูกกัญชา และร้อยละ 0.98 ระบุว่า การแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชาในเชิงพาณิชย์ และการค้ากัญชา ในสัดส่วนที่เท่ากัน

เชียงใหม่-นบ.ยส.35 แถลงผลการปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ ห้วง 6 เดือน

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ห้องพลอยไพลิน โรงแรมกรีนเลค รีสอร์ท อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พล.อ.นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (ผบ.นบ.ยส.35) นางจิตติวรรณ เอมมณีรัตน์ อธิบดีอัยการภาค 5 นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย ที่ปรึกษา ป.ป.ส. นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ ผอ.ปปส.ภ.5 นายศราวุธ ภักดี ผอ.ปปส.ภ.6 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผบก.ภ.จว.ตาก พ.อ.กิดากร จันทรา รอง ผบ.กล.ผาเมือง และ พ.อ.ไมตรี ชูปรีชา รอง ผบก.กกล.นเรศวร ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ ในช่วง 6 เดือน 

ตามที่ รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน 11 อำเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย (อำเภอเวียงแหง, เชียงดาว, ฝาง, ไชยปราการ, แม่อาย, แม่จัน, แม่ฟ้าหลวง, แม่สาย, เชียงแสน, 
เวียงแก่น และ เชียงของ) ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลาร่วม 6 เดือน 

ผลการปฏิบัติการสกัดกั้น มีเหตุการณ์สำคัญ 74 เหตุการณ์ โดยมีการปะทะกับกลุ่มขบวนการ 30 ครั้ง ตรวจยึด/จับกุม 40 ครั้ง และขยายผลยึดทรัพย์ 4 ครั้ง ตรวจยึดยาบ้ารวม 129 ล้านเม็ดเศษ, ไอซ์ 1,890 กก., เฮโรอีน 249 กก., ฝิ่นดิบ 188 กก. จับกุมผู้ต้องหา 1,507 ราย กลุ่มขบวนการเสียชีวิต 25 ศพ 

ในปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายที่จะเร่งแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดในทุกพื้นที่ชายแดนของประเทศ ให้เห็นผล และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 
จึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เห็นชอบให้เพิ่มพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ชายแดนภาคเหนืออีก 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปาย และปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน, อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย, อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา, อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน และ อำเภอแม่สอด, อำเภอพบพระ จังหวัดตาก

ทั้งนี้ พลเอกนฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ(ผบ.นบ.ยส.35) ได้เปิดเผยว่า ในห้วงที่ผ่านมามีการจับกุมยาบ้าได้เป็นจำนวนมากในพื้นที่รับผิดชอบ อีกทั้งยังพบว่ากลุ่มขบวนลักลอบขนยาเสพติด ใช้พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย และพื้นที่ข้างเคียงเป็นทางผ่านเพื่อส่ง ไอซ์ และ เฮโรอีน ออกไปต่างประเทศมากขึ้น จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่สำคัญเร่งด่วน และพื้นที่อนุมัติเพิ่มเติม ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 5, ตำรวจภูธรภาค 6, ตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองกำลังผาเมือง, กองกำลังนเรศวร, ผู้ว่าราชการจังหวัด เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พะเยา, น่าน และ ตาก ปปส.ภาค 5 และ ปปส.ภาค 6 ตลอดจนที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศ และ อุตสาหกรรม ร่วมกันพิจารณาหารือ ถึงแนวทางในการขับเคลื่อนงานด้านการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด ได้แก่การเพิ่มกำลังในพื้นที่ หรือการเพิ่มความถี่ในการปฏิบัติการ ซึ่ง นบ.ยส.35 จะต้องจัดส่วนแยกออกไปดำเนินการ ประสานการทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 6 จังหวัด18 อำเภอ ให้บรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล

นอกจากนี้ นบ.ยส.35 ยังมุ่งเน้นการประสาน และหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการส่งหมายจับของผู้ต้องหา เพื่อขอความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษ ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือ
จากสื่อมวลชน ให้ประโคมข่าวผู้ต้องหาหลบหนีข้ามแดน ก็จะเป็นการกดดันหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศเพื่อนบ้านได้เร่งรัดและให้ความสำคัญ จากกระแสสื่อสังคมอีกทางหนึ่ง

การประชุมในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์ต่อทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะในเรื่องของการประสานงาน และการบูรณาการ การปฏิบัติในระดับพื้นที่ หน่วยที่มาประชุมได้ ร่วมพิจารณาการนำเสนอข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่างๆ อันนำไปสู่แนวทางในการปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติ เพื่อลดระดับความรุนแรงของปัญหายาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป 

'เชียงราย' ฉก.ทัพเจ้าตาก ตชด.327เข้าจับโกดังขนส่งแม่สาย ซุกซ่อนยาบ้า 2.2 ล้านเม็ด

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 เวลา 06.30 นาฬิกา กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จัดกำลังจากกองร้อยทหารม้าที่ 3 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ร่วมกับ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327

ได้ทำการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด (ปิดล้อมตรวจค้น) บริษัทขนส่งสินค้าแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ บ้านป่ายางใหม่ ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย หลังจากสืบทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ และได้ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัยขับจากพื้นที่ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สายฯ เลี้ยวเข้าไปในโกดังของบริษัทขนส่งสินค้าดังกล่าว ผลการปฏิบัติตรวจพบผู้ต้องหา จำนวน 3 คน ขณะกำลังทำการแพ็คยาเสพติดเพื่อจะทำการขนส่ง จากการตรวจสอบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุอยู่ในเป้กระสอบ จำนวน 11 เป้ๆ ละ 200,000 เม็ด รวมยาบ้า จำนวนประมาณ 2,200,000 เม็ด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมและตรวจยึดรถบรรทุก 10 ล้อ จำนวน 2 คัน รถกระบะบรรทุก จำนวน 3 คัน ซึ่งเป็นรถที่ใช้ในการขนส่งสินค้า พร้อมทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ จำนวน 1 คัน

ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 นาฬิกา พลตรี ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้มอบหมายให้ พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก พร้อมด้วย พันเอก ไมตรี ศรีสันเทียะ เสนาธิการกองกำลังผาเมือง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เพื่อแถลงข่าวการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว ณ หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนแม่สาย อำเภอแม่สายฯ โดยมี พลตำรวจตรี วรพัฒน์ บุญมา ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 เป็นประธานการแถลงข่าว หลังจากนั้นจึงได้นำของกลางส่งให้ สถานีตำรวจภูธรแม่สาย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ตะลึง ! ตำรวจ ปส. เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น เครือข่าย 'ใหม่ Logistics' ยึดทรัพย์กว่า 2,034 ล้านบาท

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ                          

วันนี้ 24 พ.ค.67 เวลา 10.00 น.  พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการปราบปรามยาเสพติดที่สำคัญ ของ บก.ปส.2 ดังนี้ 

1.ผลงานตามแผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย : ปิดล้อมตรวจค้นเครือข่าย “ใหม่ Logistics” สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 มี.ค.66 ตำรวจ บก.ปส.2 ได้สืบสวนพบว่าจะมีเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดผ่านบริษัทขนส่งสินค้าระบบ Logistics จำนวนมาก จึงได้ระดมกำลังเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด จนตามจับกุมผู้ต้องหา ได้ 8 คน ในพื้นที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงทำการกระจายคีตามีนของกลางจาก 300 กิโลกรัม จึงสามารถตรวจยึดคีตามีนที่เหลืออยู่ได้เพียง 46 กิโลกรัม และจากการสืบสวนขยายผลทำให้ทราบว่าอีก 10 วันถัดมา เครือข่ายนี้จะมีการส่งยาเสพติดล็อตใหม่มาทดแทนของกลางที่ถูกตำรวจตรวจยึดไป จนวันที่ 25 มี.ค.66 สามารถตรวจยึดคีตามีน 300 กิโลกรัม ซุกซ่อนในกล่องพัสดุ 15 กล่อง ได้ที่บริษัทไทยพาร์เซิล จำกัด (TP logistics) แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กทม. 

ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติการณ์ใช้ชื่อบุคคลที่เสียชีวิตแล้วเป็นผู้รับพัสดุ และใช้สถานที่นัดหมายกับพนักงานส่งสินค้าตามถนนสาธารณะ ได้สืบสวนจนออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน ที่ทำหน้าที่รับพัสดุดังกล่าว ต่อมาพบว่าเครือข่ายนี้ยังมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเรื่อยมา กระทั่งพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ต้องหาได้แจ้งเปลี่ยนสถานที่จัดส่งพัสดุ จาก จว.ปทุมธานี เป็น จว.พิษณุโลก ในวันที่ 28 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ได้แฝงตัวเข้าจับกุม 2 ผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้า 4,000,000 เม็ด ที่ซุกซ่อนมาในกล่องน้ำผลไม้ 27 กล่อง ส่งผ่านบริษัทขนส่งในพื้นที่ ต.ปากโทก อ.เมือง จว.พิษณุโลก นับเป็นการส่งยาบ้าผ่านผู้ให้บริการขนส่งทางพัสดุมากสุดเท่าที่เคยมีการจับกุมได้ในประเทศไทย เบื้องต้นขออำนาจศาลอนุมัติหมายจับเครือข่ายนี้เพิ่มเติม 4 คน หนึ่งในนั้นคือ ด.ต.ใหม่ อดีตข้าราชการตำรวจสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งถูกจับกุมตัวตามหมายจับช่วงกลางปี 66 และ อีก 2 ราย จับได้ช่วงต้นปี 67 เหลือหลบหนีอีก 1 ราย สำหรับ ด.ต.ใหม่ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการคนสำคัญ ทำหน้าที่จัดส่งยาเสพติดมาแล้วถึง 1,096 กล่อง และทุกครั้งจะใช้ชื่อหญิงสาวคนสนิท เป็นผู้จัดส่งพัสดุผ่านบริษัทไทยพาร์เซิล จำกัด (TP logistics) สาขาแม่สาย จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติที่มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบ โดยการลำเลียงยาเสพติดของกลุ่มเครือข่ายนี้ จะมี นายออง ตี๋ อ้า สัญชาติเมียนมาเป็นหัวหน้ากลุ่มโพยก๊วนคนสำคัญในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก ทำหน้าที่จัดส่งยาเสพติดเข้ามายัง

ประเทศไทยให้ นายจันทร์ กลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยง ทำหน้าที่รับยาเสพติดโดยใช้บริษัทรับส่งสินค้า ในตลาดสายลมจอย อ.แม่สาย ที่เปิดเป็นธุรกิจบังหน้า เพื่อรับยาเสพติด และมีนายชาย ผู้กว้างขวางและเป็นเจ้าของโกดังหลายแห่ง ในพื้นที่ อ.แม่สาย ทำหน้าที่ประสานกับเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานนำยาเสพติด  มาพักคอยไว้ที่โกดังของตน และจะมี ด.ต.ใหม่ ที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ประสานกับบริษัทไทยพาร์เซิล จำกัด (TP logistics) สาขาแม่สาย เพื่อส่งยาเสพติดมายังพื้นที่ชั้นใน จากการสืบสวนขยายผล พบความเกี่ยวข้องกับหลายเครือข่ายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และมีธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องโยงใยถึงกัน และพบว่าเส้นทางการเงินในห้วง 2 ปีที่ผ่านมา(ปี 2564 – 2566) มีเงินหมุนเวียนในบัญชีผู้เกี่ยวข้อง 15 บัญชี มากกว่า 2,200 ล้านบาท เมื่อนำมาคำนวณเป็นมูลค่าจากการค้ายาเสพติด (Value Based) เพื่อเสนอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 84 พบว่ามีมูลค่าสูงถึง 1,413 ล้านบาท  โดยเครือข่ายนี้จะนำเงินจากการค้ายาเสพติด แปลงไปเป็นอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ โดยให้เครือญาติเป็นผู้ถือครอง 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 – 21 พ.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.2 ได้เปิดปฏิบัติการปูพรมปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่และขยายผล เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในขบวนการนี้ ในพื้นที่ 8 จังหวัด ของภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 35 จุด ได้แก่ เชียงราย 10 จุด เชียงใหม่ 5 จุด ลำพูน 1 จุด สุโขทัย 2 จุด อำนาจเจริญ 2 จุด ปทุมธานี 1 จุด สมุทรปราการ 1 จุด และกรุงเทพมหานคร 13 จุด สามารถยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาทิ โฉนดที่ดิน 55 แปลง, สิ่งปลูกสร้าง 18 หลัง, รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ 16 คัน, รถแบคโฮ, แทรกเตอร์,รถเกี่ยวข้าว รวม 6 คัน, อาวุธปืน 2 กระบอก และเครื่องใช้ไฟฟ้า 3,000 รายการ ซึ่งเครือข่ายได้ฟอกเงินโดยการเปิดเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า รวม 3,097 รายการ มูลค่า 2,034,491,309 บาท 

2. จับกุมคดียาเสพติดคดีรายสำคัญ 1 เครือข่าย สืบเนื่อง ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 ได้ขยายผลการจับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลาง ไอซ์ 50 กก. เคตามีน 50 กก. ในพื้นที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จว.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 10 พ.ค.67  จนทราบเป้าหมายนักบินลำเลียงยาเสพ ติดต่อมาวันที่ 13 พ.ค.67 เวลา 01.30 น. ชุดจับกุมพบรถยนต์เป้าหมาย 2 คัน คือ รถหมายเลขทะเบียน ผฉ 65xx นครสวรรค์ และ 
3 ฒศ 91xx กรุงเทพมหานคร ขับขี่ตามกันมาบนถนน อ.ธาตุพนม – มุกดาหาร มุ่งหน้าเข้า อ.เมือง จว.มุกดาหาร จนกระทั่งเวลา 04.00 น. รถยนต์คันเป้าหมายทั้งสองคันขับเข้าไปจอดในบ้านเลขที่ 52 หมู่ที่ 2 บ้านหนองแคน ต.หนองหลวง อ.เสลภูมิ จว.ร้อยเอ็ด ต่อมาเวลา 05.00 น. พบรถกระบะตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน 3 ฒศ 91xx กรุงเทพมหานคร  ได้ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถปั๊มน้ำมัน ปตท.เสลภูมิ จว.ร้อยเอ็ด ชุดจับกุมจึงแสดงตัว ขอตรวจค้น พบนายทวีศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่ และนางสาวมาริสา โดยสารมาด้วย ตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่ยอมรับว่าตนพร้อมพวกได้ไปรับยาบ้าที่ อ.ธาตุพนม จว.นครพนม 

โดยใช้รถของตนที่ขับขี่ขนยาเสพติดมาในครั้งแรก ก่อนจะขนถ่ายยาเสพติดไปไว้ในรถอีกคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ในบ้านพักดังกล่าว ตำรวจชุดจับกุมจึงเดินทางไปตรวจสอบ พบ นายธนัตย์ และ นายสุกฤษฎิ์ พร้อมรถหมายเลขทะเบียน ผฉ 65xx นครสวรรค์ ที่จอดอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว ตรวจสอบพบยาบ้า 12 กระสอบ วางอยู่ท้ายรถยนต์ โดยมีผ้าใบสีเขียวคลุมและมีที่นอนขนาดใหญ่วางทับอีกชั้นหนึ่ง รวมยาบ้า 5,200,000 เม็ด สอบสวนผู้ต้องหา ทั้ง 4 คน รับสารภาพว่าได้รับจ้างจากผู้ว่าจ้างชาวลาวลักลอบขนยาเสพติดมาจากในพื้นที่ จว.นครพนม เพื่อไปส่งในพื้นที่ภาคกลาง โดยจะได้รับค่าจ้างคนละ 50,000 บาท 

สำหรับ การปราบปรามยาเสพติดในห้วง 7 เดือน ที่ผ่านมา ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 22 พ.ค.67  กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญได้ 849 คดี ผู้ต้องหา 1,240 คน ของกลางเป็นยาบ้า 277,713,203 เม็ด, ไอซ์ 5,857 กก., เฮโรอีน 379 กก., คีตามีน 2,041 กก. และ ยาอี 1,903 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่าประมาณ 3,796 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top