Friday, 23 May 2025
ภาษี

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ โพสต์ข้อความ ฟาดใส่!! ‘นายกฯอิ๊งค์’ เดินหน้าดัน!! ‘กาสิโน’ แต่ไม่คิดแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

(5 พ.ค. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สติปัญญามีแค่นี้

ในขณะที่ประเทศเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ตลาดเงียบสนิท มีแต่คนขาย ไม่มีคนซื้อ จีดีพีของไทยต่ำเตี้ยติดดิน ต่ำกว่าลาว ไหนจะเจอกำแพงภาษีจากสหรัฐ แจกเงินหมื่นไม่เกิดพายุหมุน

แทนที่จะคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้เดินหน้า นายกรัฐมนตรีคิดได้อย่างเดียว แผ่นเสียงตกร่อง กาสิโนเป็นประโยชน์ยิ่งของประเทศ หรือของใครก็ไม่รู้ จะเอาให้ได้

'อ.เจษฎ์' ค้านรัฐขึ้นภาษีน้ำมัน-ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แนะควรขึ้นภาษีเหล้าเบียร์ บุหรี่ หาเงินทดแทนดีกว่า

ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า 

น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นสินค้าจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของประชาชน และเป็นต้นทุนในด้านการขนส่งของเศรษฐกิจประเทศ ..

จึงไม่ควรแค่จะขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน (เพื่อหาเงินเติมคลัง) แต่ควรจะหาทางลด เพื่อช่วยเหลือประชาชน ด้วยซ้ำครับ

อย่างน้อย ช่วงที่ราคาน้ำมันโลกลดลงต่อเนื่องแบบนี้ ก็ควรจะตรึงค่าภาษีสรรพสามิตไว้ จะได้ทำให้ราคาน้ำมันของผู้บริโภคในประเทศลดตามไปด้วย (ไม่ใช่ทำมาเป็นโม้ว่า ช่วยตรึงค่าน้ำมันให้คงที่ไว้ แต่จริงๆ คือเก็บภาษีเพิ่ม)

ไปขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ อย่าง เหล้า เบียร์ไวน์ บุหรี่ ฯลฯ ดีกว่าครับ .. ถ้าจะหาเงินโปะ แก้รัฐถังแตก

นอกจากนี้ ดร.เจษฎา ยังระบุด้วยว่า (จากท้ายประกาศฯ) "เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง สมควรเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล เพื่อให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น อันเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศและเสถียรภาพทางการคลังของรัฐ จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้"

ดังนั้น มันไม่ได้ 'ปรับสมดุลรายรับ' อะไรหรอกครับ จริงๆ มันก็คือแอบเนียนๆ หาเงินภาษี มาโปะคลังเพิ่ม เพราะรัฐขาดรายได้ไปมาก (จากการไปสนับสนุนราคารถอีวีนั่นแหละ)

หรือพูดง่ายๆ คือ เทคนิคโยกเงินที่กองทุนน้ำมันควรจะได้ ไปเข้ากระเป๋ารัฐ เอาไปใช้อย่างอื่นแทน

‘ผู้ส่งออก’ เหนื่อยหนัก!! ตลาดสหรัฐ ออร์เดอร์วูบ!! คู่แข่งเวียดนาม เร่ง!! โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี

(11 พ.ค. 68) หลัง ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการด้านภาษีนำเข้า กับนานาประเทศ ที่จะส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐอเมริกา การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐก็ปั่นป่วน ปัจจุบันออร์เดอร์ส่งออกเริ่มลดลง เพราะคู่ค้าชะลอการนำเข้า หลังก่อนหน้านี้ เร่งตุนสต๊อกสินค้า ก่อนปรับขึ้นภาษี

ในไตรมาสแรกปี 2568 ไทยส่งออกไปสหรัฐโต 25% ล่าสุดคำสั่งซื้อเริ่มแผ่วลง สาเหตุหลักเพราะผู้นำเข้าสหรัฐได้เร่งสั่งซื้อสินค้าไปตุนสต๊อกก่อนมาตรการภาษีตอบโต้ใหม่ของ “ทรัมป์” ที่ชะลอไป 90 วันจะเริ่มใช้ โดยสินค้ากระทบหนัก ได้แก่ ข้าว ถุงมือยาง ทูน่ากระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องนุ่งห่ม

การส่งออกข้าวหอมมะลิขยายตัวสูงแต่เริ่มลดลง เพราะลูกค้าเร่งตุนไว้ก่อน ขณะผู้ส่งออกไทยกังวลเรื่องเครดิตการค้า ด้านถุงมือยางแม้โตขึ้นเล็กน้อยแต่ยังเสียเปรียบมาเลเซียที่ถูกเก็บภาษีต่ำกว่า ส่วนทูน่าและอาหารสัตว์เลี้ยงแม้ยอดส่งออกยังสูงจากการนำเข้าล่วงหน้า แต่เริ่มชะลอคำสั่งซื้อแล้ว เพราะลูกค้ารอสัญญาณชัดเจนจากผลเจรจาภาษี

แม้ยอดส่งออกเครื่องนุ่งห่มโต 23% จากออร์เดอร์ปลายปีที่แล้ว แต่คาดว่าคำสั่งซื้อใหม่จะชะลอลงหากอัตราภาษีตอบโต้ไทยสูงกว่าเวียดนามหรืออินโดนีเซีย ซึ่งมีโอกาสที่คู่ค้าจะเปลี่ยนไปนำเข้าจากประเทศที่เสียภาษีน้อยกว่า

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย” (สรท.) มองว่าสถานการณ์นี้ไทยต้องเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ พร้อมเร่งหาตลาดใหม่รองรับ เพื่อไม่ให้การส่งออกไทยสะดุดครึ่งปีหลัง หากถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% อาจทำให้การส่งออกทั้งปีติดลบถึง 2%

หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 68 เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และการค้าโลก โดยขณะนี้ธนาคารของรัฐ ธนาคารของรัฐ 5 แห่ง ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.15% ต่อปี รับมติกนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผล 13-14 พ.ค. 68 นี้

เวียดนาม กำลังวางแผนเตรียมออกแพ็คเกจเงินกู้ครั้งใหญ่มูลค่า "500 ล้านล้านดอง" (ราว 6.6 แสนล้านบาท) กับธนาคาร 21 แห่ง เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการพัฒนา "โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี" เพื่อมุ่งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวทางการเงินครั้งใหญ่ที่ไม่ได้พบบ่อยนักในประเทศนี้

ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุด 4 แห่งในเวียดนาม ได้แก่ Vietcombank, VietinBank, BIDV และ Agribank ได้ให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อมูลค่า 60 ล้านล้านดอง (ราว 7.6 หมื่นล้านบาท) สำหรับโครงการขยายโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ส่วนธนาคารอื่นอีก 12 แห่งให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อรายละ 20 ล้านล้านดอง (ราว 2.5 หมื่นล้านบาท) และอีก 5 แห่งให้คำมั่นว่าจะให้สินเชื่อรายละ 4 ล้านล้านดอง (ราว 5 พันล้านบาท)

ติดเชื้อ“โควิด” พุ่งสูง 8 พันรายภายในหนึ่งสัปดาห์ ใกล้ช่วงเปิดเทอมอาจมีการระบาดขยายวงกว้าง ภาวะปัจจุบันระบาดหนักกว่าไข้หวัดใหญ่ 2 เท่า รัฐบาลเตือนประชาชนเฝ้าระวังเข้ม หากพบว่าเติดเชื้อให้แยกกักตัว อย่างน้อย 5 วันหลังติดเชื้อ

ในช่วงเปลี่ยนผ่านผู้ว่าแบงค์ชาติ ผู้ที่จะคานอำนาจรัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศไทย กับนโยบายภาครัฐ ที่ยังกู้วิกฤติเศรษฐกิจไทยไม่ได้ผล และยังหาแนวทางรับมือนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ ประเทศเพื่อนบ้านเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ไม่ใช่ ‘คาสิโน’

ถึงแม้ กนง.มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แต่ถ่ายโอนไปยังผู้ประกอบการ เพียงร้อยละ 0.15% ตามประกาศของธนาคารรัฐ ทั้ง 5 แห่ง ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตลอดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 

ผู้ประกอบการ คงต้องรักษานโยบายงดการลงทุนเพื่อคงเงินสด รักษาสภาพคล่องไว้ก่อน เพราะสถานการณ์ยังคงมีความเสี่ยงจากทุกๆ ด้าน การระบาดเชื้อโควิดก็กำลังกลับมาอีกระลอก... อย่างน้อย..ประครองให้จำนวนผู้ประกอบการไม่ปิดตัวลงไปมากกว่านี้ ไม่งั้น อัตราแรงงานที่ว่างงาน คงพุ่งขึ้นไม่หยุด เศรษฐกิจไทยคงกู่ไม่กลับไปอีกนาน

‘จีน - สหรัฐฯ’ เดินหน้าเจรจาการค้า แก้ไขปัญหาภาษี เน้น!! เคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ

(12 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

การเจรจาการค้าระหว่าง #จีน และ #สหรัฐฯ คืบหน้าไปมาก

ทั้งจีนและสหรัฐต่างชื่นชมความคืบหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างการเจรจาการค้าที่เจนีวาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมุ่งลดความตึงเครียดที่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ

รองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ หลี่เฟิง ผู้นำด้านการค้าและเศรษฐกิจจีน-สหรัฐ พบกับผู้นำของสหรัฐ ได้แก่ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ สก็อตต์ เบสเซนต์ และผู้แทนการค้าสหรัฐ เจมีสัน กรีร์ ที่เจนีวาเมื่อวันเสาร์และวันอาทิตย์ นับเป็นการประชุมระดับสูงครั้งแรกระหว่างทั้งสองฝ่ายนับตั้งแต่สงครามภาษีตอบโต้กันครั้งล่าสุด

“บรรยากาศของการประชุมเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เจาะลึก และสร้างสรรค์ การประชุมมีความคืบหน้าไปมากและมีฉันทามติที่สำคัญ” เขากล่าวในการแถลงข่าวเมื่อเย็นวันอาทิตย์

เขากล่าวว่าทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันที่จะจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือเกี่ยวกับประเด็นการค้าและเศรษฐกิจ ระบุผู้นำของแต่ละฝ่าย และจะดำเนินการปรึกษาหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นการค้าและเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีความกังวลร่วมกัน

ทั้งสองฝ่ายจะสรุปรายละเอียดที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุดและจะออกแถลงการณ์ร่วมที่บรรลุในการประชุมในวันจันทร์นี้ ตามที่นายเหอกล่าว

เมื่อถูกถามว่าจะออกแถลงการณ์ร่วมในวันจันทร์นี้เมื่อใด นายหลี่เฉิงกัง ผู้เจรจาการค้าระหว่างประเทศและรองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน ตอบว่าหากอาหารจานนี้อร่อย เวลาก็ไม่ใช่ปัญหา

นายหลี่กล่าวว่า "ไม่ว่าแถลงการณ์นี้จะออกเมื่อใด จะเป็นข่าวใหญ่และเป็นข่าวดีสำหรับโลก"

นายเหอ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณรัฐบาลสวิสที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ และเขายังกล่าวอีกว่า "ความเป็นมืออาชีพและความขยันขันแข็ง" ของเพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันนั้น "น่าประทับใจ"

เขากล่าวว่าในช่วงกว่าสามเดือนที่ผ่านมา สงครามการค้าโลกที่สหรัฐฯ เป็นผู้ก่อขึ้นได้ดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก

ภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กำหนดให้กับจีนตั้งแต่ต้นปีรวมแล้วสูงถึง 145 เปอร์เซ็นต์ โดยภาษีศุลกากรรวมของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจีนบางรายการสูงถึง 245 เปอร์เซ็นต์ จีนตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากรต่อสินค้าสหรัฐฯ ถึง 125 เปอร์เซ็นต์ สถานการณ์นี้ถูกบางคนอธิบายว่าเป็นเหมือนการคว่ำบาตรทางการค้า

“จุดยืนของจีนต่อสงครามการค้าครั้งนี้ชัดเจนและสม่ำเสมอ นั่นคือ จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า เพราะสงครามการค้าไม่ได้ทำให้มีผู้ชนะ แต่ถ้าสหรัฐฯ ยืนกรานที่จะบังคับให้จีนทำสงครามนี้ จีนจะไม่กลัวและจะสู้จนถึงที่สุด” เขากล่าว โดยย้ำจุดยืนของจีน

เขากล่าวว่าการพบปะครั้งนี้มีประโยชน์และเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่ทั้งสองฝ่ายดำเนินการเพื่อแก้ไขความแตกต่างอย่างเหมาะสมผ่านการเจรจาอย่างเท่าเทียม เพื่อเชื่อมช่องว่างความแตกต่างและกระชับความร่วมมือ

เขาย้ำว่าธรรมชาติของการค้าและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นประโยชน์ร่วมกันและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

“สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตามหลักการเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และการหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมผ่านการพูดคุยและปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียม เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่มีเสถียรภาพ มั่นคง และยั่งยืน” เขากล่าว

เขากล่าวว่าฝ่ายจีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อปฏิบัติตามฉันทามติสำคัญที่ผู้นำทั้งสองประเทศบรรลุในการโทรศัพท์หารือเมื่อวันที่ 17 มกราคมอย่างจริงจัง และด้วยแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา

“เรายินดีที่จะมีส่วนร่วมในบทสนทนาอย่างเข้มข้นและการปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียม จัดการความแตกต่างของเรา ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของความร่วมมือ ขยายผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกัน และทำให้ผลประโยชน์ร่วมกันมากขึ้น” เขากล่าว
“เราสามารถส่งเสริมการพัฒนาใหม่ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเพิ่มความแน่นอนและเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น”

หลี่ เฉิงกัง หัวหน้าผู้เจรจาของจีน อธิบายถึงลักษณะเด่นสามประการของการประชุมครั้งนี้ว่า “การเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน ความเป็นมืออาชีพ และประสิทธิภาพสูง”

ด้าน เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ กล่าวในวันอาทิตย์ว่าการเจรจาครั้งนี้ "มีประสิทธิผล"

"ผมดีใจที่จะรายงานว่าเราได้บรรลุความคืบหน้าที่สำคัญระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในการเจรจาการค้าที่สำคัญยิ่ง" เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว
เบสเซนต์กล่าวว่าเขาได้แจ้งให้ทรัมป์ทราบถึงความคืบหน้าของการเจรจาแล้ว

ปธน.ทรัมป์กล่าวบนโซเชียลมีเดียในวันอาทิตย์ว่า "วันนี้เป็นการประชุมที่ดีมากกับจีนที่สวิตเซอร์แลนด์ มีการหารือกันหลายเรื่องและหลายฝ่ายเห็นด้วย การเจรจารีเซ็ตใหม่ทั้งหมดเป็นไปอย่างเป็นมิตรแต่สร้างสรรค์

"สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเราสามารถบรรลุข้อตกลงได้เร็วเพียงใด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบางทีความแตกต่างอาจไม่มากเท่าที่คิด" กรีเออร์กล่าวในวันอาทิตย์

ผลเจรจาสหรัฐฯ – จีน 🇺🇸🇨🇳 ก็แค่พักรบสงครามภาษี มันเป็นได้แค่เกมซื้อเวลา ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังคงหวาดระแวงการเติบใหญ่ของจีน

(12 พ.ค. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ระบุว่า ...

ผลเจรจาสหรัฐฯ - จีน 🇺🇸🇨🇳 ก็แค่พักรบสงครามภาษี  มันเป็นได้แค่เกมซื้อเวลา  ตราบใดที่สหรัฐฯ ยังคงหวาดระแวงการเติบใหญ่ของจีน

รัฐผุดมาตรการอุ้มภาคธุรกิจส่งออกตลาดสหรัฐฯ สั่งแบงก์รัฐลดดอกเบี้ย-อัดงบช่วยเหลือผู้ประกอบการ

รัฐผุดมาตรการอุ้มภาคธุรกิจ สั่งแบงก์รัฐลดกำไร-ใส่งบช่วยเหลือผู้ประกอบการ-ลดดอกเบี้ย ตั้งเป้าช่วยธุรกิจส่งออกตลาดสหรัฐ ซัพพลายเชน ผู้ผลิตแข่งขันกับสินค้านำเข้า รับมือวิกฤตกำแพงภาษี 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายกระทรวงการคลังให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือภาคธุรกิจไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกาเป็นการเร่งด่วนนั้น 

กระทรวงการคลังจึงมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยการลดเป้าหมายกำไรจากการทำธุรกิจ เพื่อจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการ โดยสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 7 แห่ง อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการตามนโยบาย ประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM Bank ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 

สำหรับโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการสินเชื่อ Soft Loan วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสิน ที่กำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขแตกต่างจากสินเชื่อ Soft Loan โครงการอื่น เนื่องจากมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการชัดเจน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ธุรกิจส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา 2) ธุรกิจ Supply Chain และ 3) ธุรกิจผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ตลอดจนผู้ประกอบการ SMEs ในภาพรวม และสถาบันการเงินของรัฐอื่นเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรม และภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงออกมาตรการลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลต่อผู้ส่งออกและธุรกิจ SMEs/Supply Chain อย่างมีนัยสำคัญ เป็นต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีพิจารณา

ภายใต้สภาวะความผันผวนที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กล่าวได้ว่ากลไกสถาบันการเงินของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ผ่านการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤต เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตอย่างเข้มแข็งยั่งยืนในระยะยาว 

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ธนาคารออมสินจะดำเนินการในทันที คือ โครงการที่ลดดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับผู้ประกอบการ และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ในอัตรา 2-3% คาดว่าจะดำเนินการได้ภายใน 2-3 วันนี้ โดยลูกค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการจะต้องมาติดต่อกับธนาคารเท่านั้น จะไม่ได้เป็นการให้ลูกค้าเป็นการทั่วไป

นอกจากนี้ ธนาคารได้เตรียมโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ Soft Loan วงเงิน 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นวงเงินใหม่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ โดยโครงการดังกล่าวจะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

สำหรับ Soft Loan ที่จะดำเนินการนั้น จะมีลักษณะเดิมคือ ธนาคารออมสินปล่อยให้กับธนาคารพาณิชย์ ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% และให้ธนาคารพาณิชย์ไปดำเนินการปล่อยต่อให้กับลูกค้าของธนาคารต่อไป

‘โอ๋-ฐิติภัสร์’ เผยไทยกำลังสูญเสียจากนิคมศูนย์เหรียญ ชี้ สินค้าไม่ได้มาตรฐานทำเสียชื่อ Made in Thailand

น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า นิคมศูนย์เหรียญ ที่ทำเราสูญเสีย‼️

ต้องการเอาตัวรอดจากกำแพงภาษี ถือโอกาสมาเช่าโกดังพร้อมใบอนุญาตโรงงาน 

เครื่องจักรและวัสดุนำเข้ามาจากต่างประเทศ 100 % ใช้แรงงานไทยและต่างด้าวประกอบวัสดุขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งปลั๊กพ่วง ปลั๊กราง สายรัดของ แม่แรงยกรถ ส่งออกไปขายอเมริกา ติดโลโก้ Made in Thailand แต่ไม่มีใบอนุญาตโรงงานบ้าง ไม่แจ้งประกอบกิจการบ้าง ใบอนุญาตโรงงานให้ทำสินค้าอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง และที่สำคัญผลิตภัณฑ์บางตัวต้องแจ้งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ก่อนผลิตแต่ไม่แจ้งลักไก่ผลิตเตรียมส่งออกเลย

หากผลิตของไม่ดี ไม่มีมาตรฐานก็ทำเสียชื่อ Made in Thailand และผู้ประกอบดีรายอื่นก็จะได้รับผลกระทบด้วย 

ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของ รมว. เอกนัฏ ที่สั่งให้เร่งปราบและจัดการดำเนินคดีหากใครฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะไม่เพียงสร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมภาพรวมแล้ว ยังทำให้สินค้าไทยต้องสูญเสียความเชื่อมั่นจากต่างประเทศด้วย

ขอบคุณท่าน สส.ท็อป ชุติพงศ์ ผู้แทนของชาวระยอง แจ้งเบาะแสพบกลุ่มโรงงานต้องสงสัยลักลอบประกอบกิจการที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ในครั้งนี้ด้วยค่ะ

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ เตือน!! ระวังภัยซ่อนเร้นจากโต๊ะเจรจาการค้า ชี้!! เกษตรกรไทย อาจถูกตีซ้ำสอง ทั้งจากจีน และสหรัฐอเมริกา

(17 พ.ค. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง 'กระดูกสันหลังหักแน่' ระบุว่า …

น่ากลัว การเจรจาเรื่องภาษีที่ไทยกำลังเจรจากับสหรัฐ อย่ายอมเปิดตลาดไทยให้สินค้าเกษตรอเมริกันแบบอ้าซ่า โดยไม่มีเงื่อนไขเด็ดขาด

สินค้าเกษตรอเมริกันอาจมีปัญหาจีเอ็มโอ ที่มีการตัดต่อพันธุกรรม อาจเป็นผลร้ายต่อผู้บริโภคชาวไทยแต่ประการสำคัญ สินค้าเกษตรจากอเมริกาจะดั๊มตลาดไทย จนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำและรัฐบาลก็ไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ เกษตรกรจะเจอสึกสองด้นทั้งจีนและอเมริกา

สินค้าอีกตัวที่เข้ามาได้คือเนื้อหมูที่อเมริกาอยากให้เราเปิดตลาดมานานแล้ว ปัจจุบันก็มีการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูชำแหละเข้าประเทศอยู่แล้ว คนเลี้ยงหมูตายแน่คราวนี้

เกษตรกรที่ถูกเชิดชูเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม คงมีอยู่แต่ในเนื้อเพลง แต่เกษตรกรตัวจริงหลังหักไปแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top