Thursday, 5 June 2025
พิมพ์ภัทรา_วิชัยกุล

‘รมว.ปุ้ย’ จี้แก้ปมกากแร่พิษหมื่นตัน จ.สมุทรสาคร สั่งระงับการขนย้าย ให้นำฝังกลบตามมาตรฐานฯ

(5 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก ขายกากแร่สังกะสีและกากแร่แคดเมียมที่ฝังกลบในพื้นที่จังหวัดตาก ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลกระทบต่อประชาชนเนื่องจากกากแร่ดังกล่าวอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้นั้น 

ขอชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 2566 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและจังหวัดสมุทรสาคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 35 และมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 สั่งอายัดกากแคดเมียมและกากสังกะสีดังกล่าว พร้อมทั้งสั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ห้ามนำกากแคดเมียมและกากสังกะสีเข้าสู่กระบวนการผลิต ให้ปรับปรุงแก้ไขโรงงานเก็บและดำเนินคดีทะเบียนโรงงานตามกฎหมาย

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวได้รับใบอนุญาตประกอบโลหะกรรมแร่สังกะสี และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานถลุงแร่สังกะสีและแคดเมียม ผลิตโลหะสังกะสีแท่ง สังกะสีอัลลอย โลหะแคดเมียม และผลิตโลหะทองแดง ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบโลหะกรรม แต่ยังคงไว้ซึ่งใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน โดยการฝังกลบ (Landfill) กากแร่ ซึ่งอยู่ในรูปของโลหะผสมกับปูนซีเมนต์และยึดเกาะกันเป็นเนื้อแน่นไว้ในบ่อเก็บกากแร่ ซึ่งปูพื้นและปิดทับด้วยวัสดุกันซึม (HDPE) และคอนกรีต ซึ่งเป็นไปตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม 

และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 บริษัทได้ทำการขนย้ายกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกจากโรงงานเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์ โดยโรงงานในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งประกอบกิจการหลอมหล่ออลูมิเนียมแท่ง อะลูมิเนียมเม็ด จากเศษอะลูมิเนียมและตะกรันอะลูมิเนียม (SCRAP AND DROSS) และได้เริ่มทำการขนย้ายกากที่บรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ถึงปัจจุบัน รวมประมาณ 13,450 ตัน

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้ตรวจสอบโรงงานดังกล่าว พบว่า มีการดำเนินการที่ฝ่าฝืน พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้อายัดกากแคดเมียม กากสังกะสี และส่วนของอื่น ๆ ไว้เพื่อตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว 

ส่วนบริษัทในพื้นที่อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เพื่อเก็บตัวอย่างกากแคดเมียม กากสังกะสี มาตรวจวิเคราะห์ และสั่งการให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการในส่วนของนำกากแคดเมียม กากสังกะสี ออกนอกบริเวณโรงงาน และให้นำกลับมาดำเนินการให้เป็นตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำหนดไว้ในเงื่อนไขใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานโดยเร่งด่วนต่อไป

“เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา กรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนอธิบดีกรมอนามัย และผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) มาให้ข้อมูลจึงทราบว่าก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้อายัดกากแร่ดังกล่าวไว้แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งดิฉันได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วน เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดพร้อมทั้งให้รายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะ” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวปิดท้าย

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งการดีพร้อม ดึงโตโยต้า นำ ‘คาราคูริ ไคเซน’ มาประยุกต์ใช้ เพื่อขับเคลื่อนการเกษตรไทย ไปสู่เกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่

(7 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เดินหน้าบูรณาการความร่วมมือ (DIPROM Connection) ผนึกกำลังกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เชื่อมโยงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve)สู่ชุมชน เพื่อยกระดับการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่ธุรกิจชุมชนครอบคลุมทุกมิติ ดึงกลไกคาราคูริ ไคเซน (Karakuri Kaizen) เพิ่มประสิทธิภาพ
กระบวนการผลิตและลดต้นทุน หวังเพิ่มศักยภาพธุรกิจชุมชนผ่านแนวคิดชุมชนเปลี่ยน พร้อมชูต้นแบบเครื่องทุ่นแรงให้กลุ่มผู้สูงอายุ

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการมอบเครื่องลำเลียงกล้วยหอมทองให้แก่กลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด จ.ชุมพร ว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้สามารถผลิตและส่งออกอาหารได้หลายประเภท อีกทั้ง ยังมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและ อาหารแปรรูปด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในระบบการผลิตภาคเกษตรเพื่อให้ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อกระบวนการแปรรูปในภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น การพัฒนาภาคเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรมยุคใหม่ จึงมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการผลิต หรือแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ประกอบกับรัฐบาลเร่งหาแนวการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรผ่านนโยบายเร่งด่วนต่าง ๆ เชิงพื้นที่ รวมถึงการขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยไปสู่เกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่

ที่เติมเต็มองค์ความรู้และทักษะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรให้มีความพร้อมในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันภาคเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะการเสริมศักยภาพภาคเกษตรไทยสู่เกษตรอุตสาหกรรมด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ตั้งแต่แต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยสนับสนุนองค์ความรู้สมัยใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติควบคู่ทักษะที่จำเป็นด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การบริหารจัดการธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และ มีมูลค่าเพิ่ม การพัฒนากระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม การสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม เร่งเดินหน้าส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง

นายภาสกร ชัยรัตน์ กล่าวว่า จากข้อสั่งการของ รมว.อุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อมได้ลงพื้นที่สำรวจความต้องการผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดชุมพร และได้รับทราบข้อมูลจากกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด จ.ชุมพร ผู้ผลิตและส่งออกกล้วยหอมทองปลอดสารพิษไปยังประเทศญี่ปุ่น ว่าปัจจุบันได้ประสบปัญหาการลำเลียงกล้วย เนื่องจากทางกลุ่มมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และการลำเลียงกล้วยมีลักษณะที่ใช้เป็นรางลาก ซึ่งต้องใช้แรงจำนวนมากในการเคลื่อนย้าย ส่งผลให้กระบวนการผลิตเกิดความล่าช้าและไม่เป็นไปตามกำลังการผลิตที่ควรจะเป็น จึงมีความต้องการขอรับการสนับสนุนด้านกระบวนการผลิตกล้วยหอมทองเพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น รวมถึงระบบการผลิต ลำเลียง และคัดแยกกล้วยหอมทองควบคู่กับการใช้แรงงานคนอีกด้วย

ดีพร้อม จึงเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ด้วยการมุ่งเน้นการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) และบูรณาการความร่วมมือกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และอุตสาหกรรมจังหวัดชุมพรเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัดผ่านโครงการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรมด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตกล้วยหอมทอง โดยการนำหลักการคาราคูริ (Karakuri) ซึ่งเป็นระบบกลไกอัตโนมัติที่ใช้หลักกลศาสตร์เข้ามาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ หรือกระบวนการผลิตกล้วยหอมทองของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด อันจะช่วยผ่อนแรงการทำงานได้เป็นอย่างดี

นายภาสกร กล่าวต่อว่า ดีพร้อม ได้ร่วมมือกับ บริษัท โตโยต้าฯ ในการพัฒนาระบบลำเลียงกล้วยผ่านการใช้กลไกคาราคูริ ไคเซน (Karakuri Kaizen) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การลำเลียง และทุ่นแรงขนย้ายกล้วย ขณะเดียวกัน ยังได้ร่วมมือกันออกแบบและพัฒนาต้นแบบเครื่องลำเลียงกล้วยหอมทอง ซึ่งใช้หลักการทำงานของคาราคุริ (Karakuri) ในการลำเลียงกล้วยจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้แรงในการลากทำให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตกล้วยหอมทองจากเดิมใช้ระยะเวลาการลำเลียงกล้วยหอมทอง 400 เครือ ต่อ 8 ชั่วโมง มาเป็นลำเลียงได้ 400 เครือ ต่อ 4 ชั่วโมง แทน รวมถึงสามารถลดเวลา ช่วยในการผ่อนแรงสำหรับสมาชิกกลุ่มผู้สูงอายุ และเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อการส่งออก ช่วยให้ลดต้นทุนการผลิตลงได้กว่าร้อยละ 30 – 50 ต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรในหลักสูตร “คาราคุริและการประยุกต์ใช้งาน การดูแลบำรุงรักษา” เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ดีพร้อมได้วางเป้าหมายขยายผลการบูรณาการความร่วมมือในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยังผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนทั่วประเทศ รวมทั้งเชื่อมโยงและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ในรูปแบบพี่ช่วยน้อง หรือ Big Brother เข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทในการเปลี่ยนชุมชนด้วยเครื่องมือ กระบวนการ หรือเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับระดับศักยภาพของชุมชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริม และพัฒนาทักษะการประกอบการในทุก ๆ มิติ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และสามารถนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ปรับใช้ให้เหมาะสมเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เกษตรอุตสาหกรรม อันจะเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดและขยายไปสู่ตลาดสากล รวมถึงการสร้างรายได้ให้ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 40 ล้านบาท นายภาสกร กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ กรุยทางยกระดับรอบด้านโครงสร้างพื้นฐาน 'นครศรีธรรมราช' พร้อมเพิ่มทักษะ 'ชุมชนดีพร้อม' เชื่อมท่องเที่ยว 'สายมู' สร้างรายได้ยั่งยืน

รมว.ปุ้ย ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลุยแผนยกระดับศักยภาพพื้นที่ ขานรับนโยบายรัฐบาล มุ่งสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์จากอัตลักษณ์และวัตถุดิบในท้องถิ่น ผ่านการอัปสกิลชุมชน ให้ 'ดีพร้อม' ถอดรหัสความสำเร็จเชื่อมโยงท่องเที่ยวสายมูสู่การขยายผลพัฒนาชุมชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมหารือนายกฯ เน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ต่อการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน

(9 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างการลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า การยกระดับเศรษฐกิจของประเทศจำเป็นต้องเสริมความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาคควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนความมั่งคั่งของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ซึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงพื้นที่และมอบนโยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการยกระดับต้นทุนเดิมไปสู่ศักยภาพในการแข่งขัน 

ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีความเข้มแข็งและประชาชนสามารถมีรายได้อย่างยั่งยืนได้นั้น จึงจำเป็นต้องกระจายโอกาสและสร้างรายได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการเชื่อมโยงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ในพื้นที่

สำหรับ จ.นครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดใหญ่ของทางภาคใต้ มีภูมิประเทศและลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีศักยภาพทางด้านศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ความศรัทธา และความเชื่อที่มีมนต์เสน่ห์สวยงาม โดยเฉพาะการเชื่อมโยงศิลปวัฒนธรรมการแสดงของชาวภาคใต้ อาทิ ครูหมอมโนราห์ ตาพรานบุญ ด้วยอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและกลมกลืนกับวิถีชีวิตชุมชน รวมถึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ประชาชนให้ความเลื่อมใสสักการะ อาทิ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช, วัดเจดีย์ จึงถือได้ว่ามีศักยภาพอย่างยิ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู อีกทั้ง ยังมีศักยภาพในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและมีความเหมาะสมอย่างมากในการนำเข้าสู่กระบวนการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม 

ขณะเดียวกัน ได้หารือนายกฯ เพื่อต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมที่มีความพร้อมในการขนส่งเชื่อมโยงในทุกด้าน รวมถึงความพร้อมในการยกระดับทุกมิติด้วยการเชื่อมโยงการท่องเที่ยว การขนส่ง และกระจายโอกาสสู่การพัฒนาตามแนววิสัยทัศน์ 'IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง' ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือได้ว่า จ.นครศรีธรรมราช เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความพร้อมในการพัฒนาในทุกๆ ด้านไปสู่เศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง กระทรวงอุตสาหกรรม จึงมองหาโอกาสในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อให้เป็นแหล่งรายได้สำหรับภาคประชาชน พร้อมทั้งส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการและชุมชนให้สามารถสร้างมูลค่าจากอัตลักษณ์และวัตถุดิบในท้องถิ่นผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนการแปรรูปในเชิงอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีที่สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมโลกสมัยใหม่ 

โดยมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ 'ดีพร้อม' เร่งยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความเข้มแข็งชุมชนในพื้นที่รับผิดชอบผ่านโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ 'เปลี่ยนชุมชน ให้ดีพร้อม สู่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืน' ด้วยการถอดบทเรียนความสำเร็จในการพัฒนาชุมชนจากผู้ประกอบการและเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้เข้ารับบริการของกระทรวงอุตสาหกรรมมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบอกเล่าประสบการณ์ในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจทั่วไปได้นำไปปรับใช้กับธุรกิจและเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชุมชนสายมูได้อย่างดี โดยมีประชาชนจากชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 2,000 คน 

ขณะเดียวกัน รมว.ปุ้ย ยังได้ใช้โอกาสในการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชหารือ กับนายกฯ เศรษฐา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยการยกระดับศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการสนามบิน จ.นครศรีธรรมราชสู่สนามบินนานาชาติ รวมถึงผลักดันการขยายถนน 4 ช่องจราจร ได้แก่ สายคลองเหลง-ขนอม และ ขนอม-ดอนสัก ซึ่งเส้นทางนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญ ในการเชื่อมโยงการเดินทางไปยังเกาะสมุยที่ใกล้ที่สุด โดยถนนสาย นศ.4088 เชื่อมโยงระหว่าง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ไปยัง อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเชื่อมั่นว่าเส้นทางนี้จะสามารถสร้างมิติใหม่ให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่ และเป็นเส้นทางขนส่งผลผลิตทุเรียนมูลค่านับพันล้านบาทต่อปี อีกทั้ง ยังเป็นเส้นทางอพยพของประชาชนในช่วงฤดูมรสุม น้ำหลาก 

นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการปรับปรุงถนนเลียบชายทะเลขนอม-สิชล และถนนเลียบชายทะเลสิชล-ท่าศาลา เพื่อรองรับการพัฒนาไปสู่ถนนสายการกีฬาและท่องเที่ยวได้ในอนาคตอีกด้วย

'รมว.ปุ้ย' สั่ง 'ปลัดอุตฯ' เคลียร์ 'กากแคดเมียม' ซุกบางซื่อ 150 ตัน พร้อมกำชับค้นหากากที่เหลือให้เสร็จภายในสิ้นเดือนเมษายน

เมื่อวานนี้ (10 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผย หลังจากได้ลงพื้นที่ร่วมกับ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมโรงงาน เพื่อตรวจสอบบริษัท ล้อโลหะไทย แมททอล จำกัด ตั้งอยู่ 1532/1 ซ.เรียงปรีชา ถนนประชาราษฎร์ แขวงและเขตบางซื่อ กทม. หลัง ตำรวจ บก.ปทส. สืบสวนแกะรอยจนทราบว่า ที่โรงงานดังกล่าวมีการซุกซ่อนกากแคดเมียมไว้ จากการตรวจสอบพบว่า แคดเมียมที่ตรวจพบมีจำนวน 150 ตัน บรรจุในถุงบิ๊กแบ็กจำนวน 98 ถุง ซึ่งขณะนี้ได้ยึดอายัดไว้แล้ว โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย และได้สั่งการข้าราชการให้ตรวจสอบโรงหล่อ โรงหลอมทั่วกรุงเทพมหานคร 

ทั้งนี้ รมว.พิมพ์ภัทรา ยังได้สั่งการให้ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบ และค้นหากากแคดเมียมที่เหลือ ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และขยายผลไปยังต้นตอเครือข่ายผู้เกี่ยวข้อง โดยเมื่อวานนี้ นายณัฐพล ได้เข้าตรวจสอบ กากแร่แคดเมียมซ้ำที่บริษัทแห่งแรก ที่ตั้งอยู่ในหมู่ 2 ต.บางน้ำจืด อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงงานแห่งแรกที่มีการตรวจพบว่า รับซื้อกากแร่แคดเมียม และกากสังกะสี มาจากจังหวัดตาก 

โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจพบว่า ที่โรงงานแห่งนี้ ยังมีกากแคดเมียมจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ตามซอกหลืบต่าง ๆ ทั่วโรงงาน และยังมีบางส่วนทางโรงงานได้นำสิ่งของขนาดใหญ่มาตั้งบังไว้ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจค้นครั้งแรก และพบว่ายังคงมีกากแร่แคดเมียมอยู่ในถุงบิ๊กแบ็กอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้ทำการตรวจนับ ทั้งที่อยู่ในอาคารและนอกตัวอาคาร ทางเจ้าหน้าที่จึงได้อายัดไว้ทั้งหมดเพื่อเร่งทำการตรวจนับจำนวนให้แล้วเสร็จภายในเย็นวันเดียวกัน และได้ทำการยึดรถบรรทุกไว้ 2 คัน เพื่อรอตรวจสอบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสีที่ถูกอายัดไว้ทั้งหมดหรือไม่

“ดิฉันได้กำชับกับทางปลัดว่าให้เอกซเรย์ทุกพื้นที่ เพื่อค้นหากากแคดเมียมที่ยังหลงเหลือให้หมดภายในเดือนเมษายน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และดำเนินการส่งกากแคดเมียมและกากสังกะสีลับไปยังหลุมฝังกลบที่จังหวัดตาก และจะต้องขนส่งอย่างปลอดภัยด้วย ส่วนบ่อที่ตากนั้นพบว่ายังคงมีสภาพดีพร้อมนำเข้าสู่การฝังกลบดังเดิม” รมว.อุตสาหกรรม กล่าวย้ำ 

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งเข้มมาตรฐาน ‘หมวกกันน็อก-ปืนฉีดน้ำ-ยางรถยนต์’ ปิดทุกความเสี่ยง-สร้างความปลอดภัยให้ประชาชนช่วงสงกรานต์

(12 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี มักเป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด เห็นได้จากสถิติปี 2566 มีอุบัติเหตุจากการใช้รถจักรยานยนต์ สูงถึง 80.46 % ของอุบัติเหตุทางถนนทั้งหมด ตนจึงได้กำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมมาตรฐานสินค้าให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและเป็นที่นิยมใช้ของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งหมวกกันน็อก ปืนฉีดน้ำ และยางรถยนต์ในร้านจำหน่ายทั่วไป ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งเฝ้าระวังการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพไม่ได้มาตรฐานถึงมือผู้บริโภค ลดการสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อให้เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลแห่งความสุขของประชาชนทุกคน 

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจหมวกกันน็อก ปืนฉีดน้ำ และยางรถยนต์ อย่างต่อเนื่องและเข้มงวดมากขึ้น ก่อนเทศกาลสงกรานต์ เพื่อป้องกันและสกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดก่อนถึงมือประชาชน โดยเฉพาะปืนฉีดน้ำซึ่งเป็นสินค้าที่ทุกเพศทุกวัยนิยมซื้อมาใช้ในช่วงสงกรานต์ และจัดเป็นสินค้าควบคุมของ สมอ. ในกลุ่ม ‘ของเล่น’ ปัจจุบันมีทั้งปืนฉีดน้ำแบบทั่วไปและปืนฉีดน้ำไฟฟ้า ซึ่งปืนฉีดน้ำไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน มอก. นั้น ครอบคลุมเฉพาะปืนฉีดน้ำไฟฟ้าที่มีแรงดันไม่เกิน 24 โวลต์ และต้องผ่านการทดสอบแรงดันน้ำ ด้วยการยิงปืนฉีดน้ำใส่แผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ในระยะ 100 เซนติเมตร แผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ต้องไม่ฉีกขาด ซึ่งหมายถึง จะไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บตามร่างกาย ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนที่จะซื้อปืนฉีดน้ำไฟฟ้า ขอให้เลือกที่มีมาตรฐาน มอก. และขอให้เล่นด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการฉีดน้ำใส่ใบหน้าหรือดวงตาผู้อื่น 

สำหรับผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ขอให้เลือกใช้หมวกกันน็อกที่มีเครื่องหมาย มอก. เพื่อช่วยป้องกันศีรษะไม่ให้ได้รับอันตรายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ส่วนยางรถยนต์ต้องเลือกที่มีเครื่องหมาย มอก. เพราะว่าจะมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ได้

สุดท้าย ขอฝากความห่วงใยถึงประชาชนที่เดินทางในช่วงเทศกาล และไม่อยู่บ้านเป็นเวลาหลายวัน ขอให้ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างภายในบ้าน โดยเฉพาะปลั๊กไฟและปลั๊กพ่วงต้องมีเครื่องหมาย มอก. และอยู่ในสภาพที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่มีสาเหตุมาจากเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานด้วย เลขาธิการ สมอ. กล่าว  

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! ต้องขนย้ายกากแคดเมียมให้จบภายใน 36 วัน เคาะดีเดย์ 7 พ.ค. พร้อมกำชับ!! ต้องปลอดภัยทุกขั้นตอน

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รายงานถึงผลการประชุมของ คณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ว่าได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแผนการขนย้ายกากแคดเมียมของบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ปรับปรุงมาใหม่ โดยบริษัทฯ ตอบรับการเพิ่มจำนวนรถบรรทุกจาก 10 คัน เป็น 30 คัน ตามที่คณะกรรมการฯ แจ้ง เพื่อให้สามารถขนย้ายกากแคดเมียมได้ถึง 450 ตันต่อวัน และลดระยะเวลาในการขนย้ายทั้งหมดจากเดิมที่ใช้เวลา 92 วัน ลงเหลือ 36 วัน โดยจะเริ่มทำการเคลื่อนย้ายกากจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพฯ และชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 หลังจากที่ทำการเตรียมความพร้อมของบ่อฝังกลบ และทำความเข้าใจให้ประชาชนรอบโรงงานที่จังหวัดตาก เรียบร้อยแล้ว

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมบ่อฝังกลบ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบความแข็งแรงปลอดภัยของบ่อร่วมกับโยธาธิการจังหวัดและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันนี้ (17 เม.ย.) โดยจะตรวจสอบพื้นบ่อที่ปูด้วยแผ่นพลาสติก HDPE หนา 1.5 มม. จำนวน 2 ชั้น ว่าอยู่ในสภาพที่ดีไม่มีการฉีกขาด สามารถป้องกันการรั่วไหลของกากได้ รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของพื้นปูนและขอบบ่อในภาพรวม หากไม่มั่นคงแข็งแรง ก็จะสั่งการให้มีการปรับปรุงให้เรียบร้อยโดยเร็ว  

ทั้งนี้ ในระหว่างการฝังกลบกากแคดเมียม จะต้องมีการสเปรย์น้ำที่บ่อฝังกลบระหว่างเคลื่อนย้ายกากลงหลุมเพื่อกันการแพร่กระจายของฝุ่นผง และการปรับเสถียรในบ่อฝังกลบ เมื่อทำการนำกากลงบ่อจนหมดแล้ว จะทำการเกลี่ยกากในบ่อให้เรียบแล้วทำการเททราย จากนั้นปูทับด้วยพลาสติก HDPE อีกชั้น ก่อนที่จะเทคอนกรีตเสริมเหล็กปิดบ่อเป็นขั้นตอนสุดท้าย

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ขอให้บริษัทฯ เพิ่มมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการขนส่งตั้งแต่ ต้นทาง ระหว่างทาง และปลายทาง การจัดหาถุง Big Bag เพื่อทำการสวมทับถุงเดิมอีกชั้นหนึ่ง (Double Bag) ก่อนการขนส่งเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการรั่วหรือฟุ้งกระจายของกากในระหว่างการขนส่ง รวมถึงขอให้เพิ่มกระบวนการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลังเสร็จสิ้นการปิดหลุมฝังกลบแล้ว โดยตรวจติดตามคุณสมบัติน้ำใต้ดินจากบ่อสังเกตการณ์ (Monitoring Well) รอบพื้นที่ทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วไหลของกากแคดเมียมหรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินการอย่างแท้จริง โดยหลังจากบริษัทฯ ได้ส่งแผนฉบับแก้ไขมาให้กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานชุดใหญ่แล้ว กระทรวงจะร่วมกับบริษัทฯ ในการทำความเข้าใจกับประชาชนโดยรอบโรงงาน ถึงวิธีการขนย้าย และมาตรการความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน 

รมว.อุตสาหกรรม เผยว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้มีการชี้แจงแผนการขนย้ายกากแคดเมียมให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 3 พื้นที่ (สมุทรสาคร, ตาก และ ชลบุรี) รวมถึงประเด็นการปรับปรุงคำสั่งทางปกครองของอุตสาหกรรมจังหวัดที่จะต้องสอดคล้องกับแผนการขนย้าย และการประสานกับ บก.ปทส. ในเรื่องการโอนของกลาง (กากแคดเมียมที่ได้ยัดอายัด และทำการตรวจนับแล้ว) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบฝ่ายเลขาจัดเตรียมข้อมูลทั้งหมด เพื่อนำเสนอต่อคณะทำงานชุดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจาก 6 กระทรวง โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน 

‘รมว.ปุ้ย’ สั่ง ‘สมอ.’ คุมเข้ม ‘เครื่องครัวสแตนเลส’ ผลักดันเป็นสินค้าควบคุม เร่งบังคับใช้ภายในปี 67

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้พบการจำหน่ายภาชนะสแตนเลสคุณภาพต่ำจากต่างประเทศมาจำหน่ายในไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะทางช่องทางออนไลน์ จึงมีความเป็นห่วงว่าสินค้าดังกล่าวอาจจะไม่ปลอดภัยกับผู้บริโภค ตนจึงได้กำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมมาตรฐานสินค้า เร่งดำเนินการให้เป็นสินค้าควบคุม เพราะต้องสัมผัสกับอาหารและเครื่องดื่มโดยตรง หากเป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐานอาจมีสารปนเปื้อนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาวได้ 

โดยก่อนหน้านี้ สมอ. ได้บังคับใช้มาตรฐานภาชนะเคลือบเทฟล่อน ภาชนะเมลามีน และภาชนะพลาสติกไปแล้ว ซึ่งพบว่าสามารถสกัดสินค้าไม่มีคุณภาพและไม่มีมาตรฐานในท้องตลาดได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของกระทรวงอุตสาหกรรมในการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคจากการใช้สินค้า และปกป้องผู้ประกอบการในประเทศที่ผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้ภาชนะและเครื่องใช้เหล็กกล้าไร้สนิมสำหรับอาหารที่ใช้ในครัวเรือน หรือ ‘ภาชนะสแตนเลส’ เป็นสินค้าควบคุม ตามที่ สมอ. เสนอแล้ว โดยมีการปรับปรุงแก้ไขสาระสำคัญของมาตรฐานให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และจะเร่งประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมภายในปี 2567 

รวมทั้งยังได้เห็นชอบร่างมาตรฐานอีกจำนวน 106 มาตรฐาน เช่น ลิฟต์โดยสารและลิฟต์ที่ใช้ขนของ สายไฟแรงสูง สวิตช์ไฟ ที่ติดกับสายไฟ เครื่องล้างจานเชิงพาณิชย์ แบตเตอรี่รถไฮบริด บอลลูนขยายหลอดเลือด ยางปิดช่องว่างระหว่างชานชาลากับขบวนรถขนส่งทางราง ยานยนต์ที่ติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง หม้อหุงข้าวและเตารีดประหยัดพลังงาน หมอนยางพารา น้ำมันหอมระเหยขิงไทย เป็นต้น รวมทั้งเห็นชอบรายชื่อมาตรฐานที่จะจัดทำในปี 2567 เพิ่มเติมอีก จำนวน 349 มาตรฐาน

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐานนี้ครอบคลุมภาชนะสแตนเลสที่สัมผัสโดยตรงกับอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 7 รายการ ได้แก่ หม้อ กระทะ ตะหลิว ช้อน ส้อม ถาดหลุมใส่อาหาร และปิ่นโต แต่ไม่ครอบคลุมอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้ากลุ่มดังกล่าวได้อย่างครบถ้วน เพราะสินค้าเหล่านี้มีการใช้งานแพร่หลายมาก โดยเฉพาะในโรงพยาบาล และโรงเรียน โดยมีข้อกำหนดที่สำคัญ คือ การควบคุมปริมาณโลหะหนัก ได้แก่ โครเมียม นิกเกิล ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู และโมลิบดินัม ให้อยู่ในเกณฑ์ที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพผู้บริโภค 

หลังจากนี้ สมอ. จะเร่งดำเนินการประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมภายในปี 2567 ซึ่งจะมีผลให้ทั้งผู้ทำและนำเข้าทุกราย จะต้องขออนุญาตก่อนทำหรือนำเข้า และจะต้องแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่สินค้าทุกชิ้น  หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย โดยผู้ทำหรือนำเข้าสินค้าโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี  ปรับไม่เกิน 2,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุก ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! แผน 'หลัก-รอง' ขนย้ายกากแคดเมียมไป จ.ตาก พร้อม!! ชี้!! มีความรัดกุมทุกขั้นตอน 'ถุงบรรจุ-รถขน-เส้นทาง-หน้าบ่อกลบ'

(18 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการขนย้ายกากแคดเมียมไปยัง จ.ตาก ว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการตรวจสอบการขนย้ายกากแคดเมียม ตลอดจนการสืบหาข้อเท็จจริงและข้อบกพร่องในแต่ละขั้นตอนร่วมกับ 6 กระทรวง โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานกรรมการนั้น 

ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็ว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาอีก 1 ชุด คือคณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสี โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน โดยตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ได้ประชุมทุกวัน และได้เรียกบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) มาหารือถึงขั้นตอนในการเตรียมการขนย้าย ซึ่งตนได้ย้ำว่า จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เป็นไปตามกระบวนการ EIA และถูกต้องตามกฎหมาย จนได้ข้อสรุปวันขนย้าย รวมถึงวิธีการขนส่ง ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ลงไปดูพื้นที่หน้างานแล้ว โดยเฉพาะบ่อที่รับกากแคดเมียม มีความแข็งแรงทนทาน เพื่อทำการฝังกลบหรือไม่ ซึ่งในวันนี้จะมีการรายงานมายังตนเอง

ส่วนคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการดำเนินการจัดการเรื่องการเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมและการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ล่าสุดได้สั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ดูหน้างาน และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการเป็นคนของกระทรวงอุตสาหกรรม แต่ส่วนตัวอยากให้มีองค์ประกอบที่หลากหลาย จึงขอเพิ่มคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานภายนอกด้วย 

นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่อีกหนึ่งชุด และให้ นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน

“คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ปปง., บก.ปทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีความชำนาญ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้หายคลางแคลงใจ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า จะขนย้ายให้เร็วที่สุด โดยวางไว้เบื้องต้นในวันที่ 7 พฤษภาคมและจะพยายามทำให้ได้รวดเร็ว แต่ขั้นตอนการเตรียมการมีค่อนข้างเยอะ เช่น ถุงที่บรรจุแคดเมียมต้องแข็งแรง รถขนส่งก็ต้องเป็นรถเฉพาะที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตราย เส้นทาง และจำนวนรถ ที่ต้องทำให้ถูกต้องตามระบบความปลอดภัยของ EIA โดยความตั้งใจจริงอยากทำให้รวดเร็ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด วันนี้สามารถทำได้เร็วขึ้นคือการเพิ่มจำนวนรถให้มากขึ้น แต่หน้าบ่อที่จังหวัดตาก ก็ต้องมีความพร้อมเช่นกัน ยืนยันว่า มีแผนหลัก และแผนสำรองในการขนย้าย” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

'รมว.ปุ้ย' เร่งย้ายกากแคดเมียมกลับตาก ปลายเม.ย.นี้ พร้อมปรับบ่อฝังกลบใหม่ ให้ประชาชนเชื่อมั่น

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า  คณะทำงานแก้ไขปัญหาและการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน ได้รายงานผลการประชุมคณะทำงานฯ โดยสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกับกากตะกอนแคดเมียมทั้งหมด ตั้งแต่ความเป็นมาของเหมืองแร่และโรงถลุง ข้อมูลการพบกากตะกอนแคดเมียม ข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในส่วนของแผนการบริหารจัดการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมกลับโรงงานตาก และปิดบ่อฝังกลบกากแคดเมียมนั้น โดยภาพรวมมีความครอบคลุมขั้นตอนต่าง ๆ ครบถ้วน ซึ่งที่ประชุมมีมติในประเด็นสำคัญ คือ การปรับปรุงบ่อกักเก็บกากแคดเมียมเพื่อเตรียมนำกากกลับไปฝังกลบ กำหนดให้ใช้การฉาบพื้นผิวบ่อใหม่ทั้งหมดซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่  

อย่างไรก็ดี จะเร่งขนกากตะกอนแคดเมียมที่กระจายอยู่ที่พื้นที่ต่าง ๆ ทั้งสมุทรสาคร, ชลบุรี และ กรุงเทพมหานคร มาเก็บที่โรงเก็บแร่ที่จังหวัดตากก่อน โดยต้องปรับปรุงโรงเก็บแร่ไม่ให้มีน้ำเข้ามาได้ และทำการปูวัสดุรองพื้นเพื่อป้องกันการรั่วซึม ก่อนจะขนกากตะกอนแคดเมียมมารอเพื่อนำลงในบ่อกักเก็บกากแร่ต่อไป

สำหรับรถที่จะใช้ในการขนส่งและวิธีการขนกากตะกอนแคดเมียมนั้น ที่ประชุมเสนอว่าให้ใช้แบบ hybrid คือ ทั้งการใช้รถบรรทุกที่มีการขนกากโดยการใช้วัสดุห่อปิดปกคลุมมา กับการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ร่วมกันในการขน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและสามารถเริ่มขนกากได้ในช่วงปลายเดือนเมษายน  

“ดิฉันได้ย้ำด้วยว่า ในการดำเนินการต่าง ๆ ให้คำนึงถึงความรวดเร็วในการขนกากตะกอนออกจากพื้นที่ต่าง ๆ ด้วยความปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน รวมถึงเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ด้วย” รมว.ปุ้ย กล่าวย้ำ 

‘สมอ.’ เดินตามนโยบาย Quick win จาก ‘รมว.ปุ้ย’ 6 เดือน กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพกว่า 220 ลบ.

(26 เม.ย. 67) นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในการแถลงผลการดำเนินงานของ สมอ. รอบ 6 เดือน ประจำปีงบประมาณ 2567 ว่า สมอ. ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้านการมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ และคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัย ตามนโยบาย Quick win ของนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ในการกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาด โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน สร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการภายในประเทศเป็นวงกว้าง โดย สมอ. ได้ดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. จำนวน 144 รายการ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องในทุกช่องทาง ทั้งการลงพื้นที่ตรวจสอบ การเฝ้าระวังผ่านระบบ NSW และตรวจติดตามการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567) ได้ตรวจจับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ลักลอบผลิตและนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 191 ราย  ยึดอายัดสินค้าเป็นมูลค่ากว่า 220 ล้านบาท โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) เหล็กและวัสดุก่อสร้าง 87.70 ล้านบาท 2) ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 73.23 ล้านบาท และ 3) ยานยนต์ 54.09 ล้านบาท 

ด้านการกำหนดมาตรฐาน สมอ. ตั้งเป้ากำหนดมาตรฐานในปีนี้ 1,000 เรื่อง ครึ่งปีแรกกำหนดมาตรฐานไปแล้ว 469 เรื่อง เช่น เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ฝารองนั่งสุขภัณฑ์ไฟฟ้า หลอดฟลูออเรสเซนส์สำหรับเปลี่ยนสีผิวเป็นสีแทน และมาตรฐานวิธีทดสอบยานยนต์ EV เป็นต้น

ทั้งนี้ ได้ประกาศให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นสินค้าควบคุมเพิ่มอีก 24 ผลิตภัณฑ์ เช่น บันไดเลื่อน ลิฟท์ คาร์ซีท แบตเตอรี่รถ EV ภาชนะพลาสติก และภาชนะสเตนเลส เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ประกาศใช้มาตรฐานด้านการท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนนโยบาย Soft Power อีกจำนวน 6 มาตรฐาน ได้แก่

1) มาตรฐานการเยี่ยมชมสถานที่ทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ 2) มาตรฐานการดำเนินงานเกี่ยวกับชายหาด 3) มาตรฐานโรงแรมย้อนยุค 4) มาตรฐานร้านอาหารแบบดั้งเดิม  5) มาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และ 6) มาตรฐานการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อสาธารณประโยชน์โดยหน่วยงานคุ้มครองพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ

พร้อมทั้งทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ที่เชื่อมโยงกับนโยบาย Soft Power จำนวน 10 มาตรฐาน เช่น ข้าวเกรียบกรือโป๊ะ สุรากลั่นชุมชน ไวน์ผลไม้ เป็นต้น และได้จัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อรองรับการขับเคลื่อนนโยบายฮาลาล จำนวน 3 มาตรฐาน คือ (1) แยม เยลลี่ และมาร์มาเลด (2) เส้นหมี่ และ (3) โยเกิร์ตกรอบ 

ด้านการออกใบอนุญาต สมอ. ได้นำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาต โดยผลงานครึ่งปีงบประมาณแรกได้ออกใบอนุญาต มอก. จำนวน 7,454 ฉบับ ใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน จำนวน 1,597 ฉบับ ใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมเอส จำนวน 132 ฉบับ และใบรับรองระบบงาน จำนวน 212 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 9,395 ฉบับ

ด้านการมาตรฐานระหว่างประเทศ สมอ. ได้เข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) และเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) ด้านการมาตรฐานกับประเทศต่างๆ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการของไทย รวมถึงปกป้องผลประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก อาทิ

1) การเจรจาทำ FTA กับศรีลังกา ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังศรีลังกา ปีละกว่า 10,800 ล้านบาท  2) การเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) สมอ. - BMSI (ไต้หวัน) เพื่อให้ไต้หวันยอมรับผลทดสอบและรับรอง ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการตรวจสอบสินค้า เป็นการช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าไปยังไต้หวัน ในปี 2566 กว่า 13,000 ล้านบาท

3) การเจรจากับอินเดียให้เลื่อนการบังคับใช้กฎระเบียบควบคุมคุณภาพสำหรับสินค้าแผ่นไม้ของอินเดีย ทำให้ผู้ประกอบการไทยรักษาตลาดส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย ปีละกว่า 2,700 ล้านบาท 

และ 4) การเจรจาร่างกฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานสำหรับรถยนต์ใหม่ของออสเตรเลีย โดยขอให้ออสเตรเลียพิจารณากำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซ CO2 อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวลาในการเตรียมตัว 

“6 เดือนหลังจากนี้ สมอ. จะเร่งรัดการดำเนินงานในทุก ๆ ด้าน ให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อเสริมแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมของไทย รวมทั้ง เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดให้มากยิ่งขึ้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top