Thursday, 5 June 2025
พิมพ์ภัทรา_วิชัยกุล

‘รมว.ปุ้ย’ นำทีมเยือนญี่ปุ่น ศึกษา ‘โมเดลคิตะคิวชู’ เตรียมนำมาประยุกต์ใช้สร้าง ‘นิคมฯ Circular’ ในไทย

(26 ก.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงภารกิจการเยือนประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 24 - 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับ อธิบดีสำนักสิ่งแวดล้อมเมืองคิตะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ว่า เมืองเชิงนิเวศคิตะคิวชู (Kitakyushu Eco-Town) เป็นหนึ่งในต้นแบบที่ดี ที่กระทรวงอุตสาหกรรมนำมาเป็นแนวทางพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในประเทศไทย เพื่อพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมที่ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและประชาชนในพื้นที่โดยรอบ ให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับเมืองคิตะคิวชู มีความร่วมมือในการพัฒนาเมืองเชิงนิเวศ และได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อร่วมกันพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และมาบตาพุดคอมเพล็กซ์ จังหวัดระยอง ให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ได้รับการรับรองการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco World Class 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมอบหมายให้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กนอ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ร่วมกันจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งการเตรียมความพร้อมด้านองค์ความรู้และพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร รวมไปถึงเทคโนโลยี เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Circular โดย กนอ. อยู่ระหว่างการหารือความร่วมมือกับสถานกงสุลใหญ่ฟุกุโอกะ กระทรวงการต่างประเทศ เมืองคิตะคิวชู เพื่อดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน 

โดยเบื้องต้นกำหนดกรอบความร่วมมือ ดังนี้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัจจัยความสำเร็จในการบริหารจัดการของเสียและวัสดุเหลือใช้ของญี่ปุ่น ประกอบด้วย 

(1) กฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลโรงงาน ทั้งผู้ก่อกำเนิดของเสียและผู้รับกำจัดของเสีย 

(2) กฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลนิคมอุตสาหกรรมให้เอื้อต่อการพัฒนารูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 

(3) บูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการหมุนเวียนทรัพยากรตามแนวคิด end-of-waste และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของนิคมอุตสาหกรรมให้รองรับการตั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเวียนทรัพยากร

“เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่สนใจลงทุนในประเทศไทย ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการสนับสนุน การประกอบกิจการที่คำนึงถึงความยั่งยืนตามเป้าหมายของประเทศและของโลก การหารือและดูงานครั้งนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในการนำปัจจัยความสำเร็จจากเมืองคิตะคิวชูมาเป็นต้นแบบในการบูรณาการเพื่อสนับสนุนให้การทำ BCG Model เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญที่กระทรวงอุตสาหกรรมต้องขับเคลื่อนต่อไป เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทย” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ ได้เข้าเยี่ยมชมกระบวนการรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ ที่ Recycle-Tech Corporation ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ชินเรียว คอร์ปอเรชั่น ตอกย้ำเป้าหมายของประเทศในการผลักดัน BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อลดปริมาณของเสียและส่งเสริมการนำวัสดุกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งการเยี่ยมชมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในอนาคตอันใกล้นี้ โลกจะต้องเผชิญกับปัญหาของเสียจากแผงโซลาร์เซลล์จำนวนมาก การรีไซเคิลจึงเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เศรษฐกิจหมุนเวียน และความเป็นกลางทางคาร์บอน

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ (24 ก.ค.67) คณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้เข้าเยี่ยมชมกระบวนการรีไซเคิลหลอดฟลูออเรสเซนต์ ของบริษัท เจ-รีไลท์ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เศรษฐกิจหมุนเวียน และความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการรีไซเคิลเพื่อลดของเสีย ซึ่งนิคมอุตสาหกรรม Circular จะเป็นพื้นที่เป้าหมายสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย โดยนักลงทุนจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน

ด้านนางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการ กนอ. (สายงานพัฒนาที่ยั่งยืน) กล่าวเสริมว่า บทบาทของ กนอ. ต่อจากนี้ คือ การอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัวให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ควบคู่กับการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนที่อยู่โดยรอบโรงงานอุตสาหกรรม และนิคมอุตสาหกรรม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยและยั่งยืน โดยความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จะเกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมแก่ภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่กำลังจะตัดสินใจมาลงทุนในประเทศไทย ให้เห็นว่าประเทศไทยตั้งใจสนับสนุนและอำนวยความสะดวกการประกอบกิจการ รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายของประเทศ รวมถึงเป้าหมายของโลก โดยมีภาครัฐที่พร้อมให้การสนับสนุนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ มีกำหนดการเยือนประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ 21 - 27 กรกฎาคม 2567 เพื่อร่วมศึกษาดูงานการพัฒนาการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม Circular ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการ 

'รมว.ปุ้ย' ตอบกระทู้สด 'ก้าวไกล' ปมการบริหารจัดการ 'แคดเมียม' 'ขนกลับต้นทางครบ-ไร้กระทบสุขภาพ ปชช.' ลั่น!! คนผิดต้องไม่ลอยนวล

(1 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ทำหน้าที่เป็นประธานพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายศิรโรจน์ ธนิกกุล ส.ส.สมุทรสาคร เขต 2 พรรคก้าวไกล ถาม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การบริหารจัดการสารเคมีอันตรายในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยตั้งคำถามปริมาณของกากแคดเมียมที่ขนกลับไป จ.ตาก ตลอดจนถึงความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนหรือไม่ นอกจากนี้แนวทางการบริหารจัดการหลังจากนี้เป็นอย่างไรบ้าง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาเพียงใด และการสอบสวนผู้กระทำทั้งกระบวนการมีความคืบหน้าอย่างไร  

รมว.พิมพ์ภัทรา ได้มาตอบกระทู้สดด้วยตัวเอง โดยระบุว่า ตนในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม หลังจากที่ได้รับรายงานว่ามีการพบกากตะกอนแคดเมียม ซึ่งเป็นสารเคมีอันตราย ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ก็ได้ลงพื้นที่ในทันที โดยได้พบและหารือผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้นำส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยได้ตรวจสอบถึงที่มาของกากแคดเมียมว่ามาจากแหล่งใด ปริมาณเท่าไร จากนั้นได้มีการตรวจสุขภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหาสารปนเปื้อนทั้งนี้ พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาทำงาน คนงาน ทั้งหมด หลังจากนั้นก็ได้เร่งหากกากตะกอนแคดเมียมซึ่งกระจายในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวด้วยว่า ในเรื่องของจำนวนตัวเลขกากตะกอนแคดเมียมที่ระบุว่า มีประมาณ 15,000 ตัน เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่เกิดจากการแจ้งขอขนย้าย และเมื่อมีการตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่ามีการนำออกจริงผ่านระบบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 13,800 ตัน สำหรับปริมาณน้ำหนักของกากแคดเมียมที่ได้ขนกลับไปที่แหล่งต้นทางจังหวัดตากเหลือเพียง 12,912 ตัน สิ่งที่หายไปคือความชื้น และเมื่อไปดูการขุดออกมาจากหลุมฝังกลบ ทั้งกระบวนการ และฤดูกาล ล้วนมีผลต่อน้ำหนัก ซึ่งเราได้ทำการตรวจสอบตามหลักวิชาการในทุกขั้นตอน 

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวถึง การย้ายอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เข้ามาประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ทันทีที่เกิดเรื่อง ก็เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อหาข้อเท็จจริงมาตอบสังคมว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นถูกต้องหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ตั้ง นายเดชา จาตุธนานันท์  ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทาง จ.สมุทรสาคร จนถึงปลายทาง จ.ตาก 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการจาก 6 กระทรวงมาทำงานร่วมกันเพื่อให้การกำจัดกากตะกอนแคดเมียมเป็นไปตามกระบวนการ EIA โดยคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ ไม่เฉพาะ จ.สมุทรสาครเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศต่อการจัดการของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับมาว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนกลับคืนมา  

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนหาผู้กระทำความผิดว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการทางการปกครองโดยให้บริษัทต้นทางนำกากตะกอนแคดเมียมกลับไปในพื้นที่ต้นทางต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึง ยังได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) แจ้งข้อกล่าวหาทางอาญา โดยในพื้นที่ จ.ชลบุรี ศาลได้พิพากษาจำคุกผู้กระทำความผิดเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และยังได้ฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้น จากบริษัทที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต้นทางและปลายทาง ในจำนวนที่รัฐต้องจ่ายไปก่อนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยันว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมาย 

"ส่วนการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมนั้น ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ทำงานร่วมกับดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน นี้" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ ตอบกระทู้สด ปมขนย้ายกากแคดเมียมกลับ จ.ตาก ยัน!! ปลอดภัย-คนทำผิดต้องได้รับโทษ

จากกรณีนายศิรโรจน์ ธนิกกุล สส.สมุทรสาคร เขต 2 พรรคก้าวไกล ได้ถาม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ถึงเรื่อง การบริหารจัดการสารเคมีอันตรายในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยตั้งคำถามปริมาณของกากแคดเมียมที่ขนกลับไป จ.ตาก ตลอดจนถึงความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนหรือไม่ นอกจากนี้แนวทางการบริหารจัดการหลังจากนี้เป็นอย่างไรบ้าง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาเพียงใด และการสอบสวนผู้กระทำทั้งกระบวนการมีความคืบหน้าอย่างไร?

ทางด้าน นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ได้ลุกขึ้นตอบคำถามในประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า…

ตนในฐานะ รมว.อุตสาหกรรม หลังจากที่ได้รับรายงานว่ามีการพบกากตะกอนแคดเมียม ซึ่งเป็นสารเคมีอันตราย ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ก็ได้ลงพื้นที่ในทันที โดยได้พบและหารือผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้นำส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยได้ตรวจสอบถึงที่มาของกากแคดเมียมว่ามาจากแหล่งใด ปริมาณเท่าไร จากนั้นได้มีการตรวจสุขภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อหาสารปนเปื้อนทั้งนี้ พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาทำงาน คนงาน ทั้งหมด หลังจากนั้นก็ได้เร่งหากากตะกอนแคดเมียมซึ่งกระจายในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 

ในเรื่องของจำนวนตัวเลขกากตะกอนแคดเมียมที่ระบุว่า มีประมาณ 15,000 ตัน เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่เกิดจากการแจ้งขอขนย้าย และเมื่อมีการตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่ามีการนำออกจริงผ่านระบบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 13,800 ตัน สำหรับปริมาณน้ำหนักของกากแคดเมียมที่ได้ขนกลับไปที่แหล่งต้นทางจังหวัดตากเหลือเพียง 12,912 ตัน สิ่งที่หายไปคือความชื้น และเมื่อไปดูการขุดออกมาจากหลุมฝังกลบ ทั้งกระบวนการ และฤดูกาล ล้วนมีผลต่อน้ำหนัก ซึ่งเราได้ทำการตรวจสอบตามหลักวิชาการในทุกขั้นตอน 

ส่วนการย้ายอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เข้ามาประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ทันทีที่เกิดเรื่อง ก็เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อหาข้อเท็จจริงมาตอบสังคมว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นถูกต้องหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ตั้ง นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการการขนย้ายกากแคดเมียมและกากสังกะสี ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทาง จ.สมุทรสาคร จนถึงปลายทาง จ.ตาก 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการจาก 6 กระทรวงมาทำงานร่วมกันเพื่อให้การกำจัดกากตะกอนแคดเมียมเป็นไปตามกระบวนการ EIA โดยคำนึงถึงสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ ไม่เฉพาะ จ.สมุทรสาครเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศต่อการจัดการของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับมาว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนกลับคืนมา  

สำหรับความคืบหน้าการสอบสวนหาผู้กระทำความผิด ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการทางการปกครองโดยให้บริษัทต้นทางนำกากตะกอนแคดเมียมกลับไปในพื้นที่ต้นทางต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึง ยังได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) แจ้งข้อกล่าวหาทางอาญา โดยในพื้นที่ จ.ชลบุรี ศาลได้พิพากษาจำคุกผู้กระทำความผิดเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และยังได้ฟ้องแพ่ง เรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้น จากบริษัทที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต้นทางและปลายทาง ในจำนวนที่รัฐต้องจ่ายไปก่อนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยันว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมาย 

"ส่วนการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมนั้น ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ทำงานร่วมกับดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน นี้" รมว.อุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

‘รมว.ปุ้ย’ กำชับ ‘กรมโรงงานฯ-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง’ ต้องควบคุม’ไซยาไนด์’ เข้มงวด!! การใช้ผิดวัตถุประสงค์ นอกเหนือกิจการอุตสาหกรรม ต้องดำเนินคดี

(12 ส.ค. 67) จากกรณีการเสียชีวิตอย่างปริศนาของนางสาวชลดา หรือ น้องตอง เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมามีการสอบสวนถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่า เกิดจากสารไซยาไนต์ที่ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเป็นคนสั่งซื้อออนไลน์มาใช้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับผู้ต้องหาที่ก่อคดีสะเทือนขวัญเมื่อไม่นานมานี้ 

ก่อนหน้านี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เข้มงวดกับสถานที่เก็บรักษาโพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบทุกครั้งประกอบการพิจารณาขออนุญาต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมายและหลักวิชาการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมีการตรวจติดตามสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อบุคคล ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม และกำหนดให้ผู้ที่มีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในครอบครองตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไปในรอบ 6 เดือน มีหน้าที่ต้องรายงานข้อเท็จจริงของการนำไปใช้ ปริมาณคงเหลือ การจำหน่าย เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบไปจนถึงผู้ใช้ได้

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงถึงการควบคุมสารโพแทสเซียมไซยาไนด์(potassium cyanide) โดยระบุว่า สารดังกล่าวมีลักษณะเป็นของแข็ง ก้อนผลึก หรือผงสีขาว เมื่อเป็นของเหลวจะใสไม่มีสี กลิ่นคล้ายแอลมอนต์ เมื่อเจอกับความร้อนจะทำให้เกิดก๊าซพิษ หากได้รับเข้าสู่ร่างกายจะรบกวนการทำงานของอวัยวะภายใน จนเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยมีการนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมชุบโลหะ และในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ เช่น การนำไปทดสอบหาค่าความกระด้างของน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ โพแทสเซียมไซยาไนด์ไม่มีการผลิตในประเทศไทย โพแทสเซียมไซยาไนด์มีการควบคุมโดยหน่วยงานภาครัฐ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) โดย อย. กำหนดการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือน หรือทางสาธารณสุขที่มีเกลือของไซยาไนด์ที่ละลายน้ำได้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้ามาในประเทศ ส่วน กรอ. ควบคุมสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ที่ความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ 1 โดยน้ำหนัก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 3 ภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่ง กรอ. มีการกำกับดูแลกรณีมีการนำเข้า และการครอบครองสารดังกล่าว ดังนี้

1. ผู้ประกอบการต้องขอขึ้นทะเบียนพร้อมระบุวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ และขออนุญาตก่อนนำเข้า โดยการพิจารณาอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนด และการนำไปใช้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ปรากฏในใบสำคัญการขึ้นทะเบียน 

2. เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ในการนำเข้าต้องแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเข้า ก่อนนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ ออกจากด่านศุลกากร เช่น ปริมาณการนำเข้า ลักษณะภาชนะบรรจุ สถานที่เก็บรักษา และกำหนดวันที่พาหนะ จะมาถึงด่านศุลกากร เป็นต้น ตามแบบ วอ./อก.6 โดยปัจจุบันกำหนดให้แจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 

3. กรณีมีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในความครอบครอง ตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไป ในรอบ 6 เดือน ต้องแจ้งข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณการใช้ การจำหน่าย ปริมาณคงเหลือ และข้อมูลผู้ซื้อ เป็นต้น ตามแบบ วอ./อก.7 ซึ่งการประกอบการในระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน ต้องแจ้งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น และการประกอบการ ในระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม ต้องแจ้งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป โดยสามารถแจ้งที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือแจ้งผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ 

4. กรณีครอบครองโพแทสเซียมไซยาไนด์เพื่อการใช้สอยส่วนบุคคล หรือใช้เพื่อการอุตสาหกรรม และกรณีครอบครองโพแทสเซียมไซยาไนด์เพื่อการค้าปลีก ที่เก็บโพแทสเซียมไซยาไนด์และวัตถุอันตรายทุกชนิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายรวมกันไม่เกิน 1,000 กิโลกรัม ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตครอบครอง

จากเหตุการณ์ที่มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งพบการจำหน่ายอย่างแพร่หลายในแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารดังกล่าวได้โดยง่าย เพื่อนำไปใช้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ กระทรวงอุตสาหกรรม  โดย กรอ. ได้มีดำเนินการ ดังนี้

1.กำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยกำหนดให้ใบอนุญาตที่ออกใหม่มีอายุไม่เกิน 1 ปี และกำหนดให้เพิ่มเงื่อนไขในใบอนุญาตนำเข้าสารโพแทสเซียมไซยาไนด์(ทั้งกรณีใบอนุญาตฉบับเดิมที่ยังมีอายุอยู่และใบอนุญาตที่ออกใหม่) สำหรับกลุ่มผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้า สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ที่แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามความเข้มข้นและวัตถุประสงค์การนำไปใช้ ได้แก่ กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการโรงงาน กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับห้องปฏิบัติการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และกลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการชุบล้างโลหะขนาดเล็ก 

รายละเอียดดังตารางสรุปมาตรการเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ 

2. จัดทำระบบรายงานข้อมูลสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ เพื่อรองรับรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณการครอบครองวัตถุอันตรายทันที และรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณการครอบครองทุกปริมาณ ทุก 3 เดือน 

3. จัดทำหนังสือขอความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดมิให้มีการโฆษณาและจำหน่ายสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ และสารโซเดียมไซยาไนด์ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายสินค้าจำนวนมากด้วย 

4.จัดทำร่างประกาศกรมโรงานอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโฆษณาวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเห็นชอบ พ.ศ. .... โดยกำหนดห้ามมิให้ทำการโฆษณาวัตถุอันตราย โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์สื่อสังคมออนไลน์ หรือสื่อโฆษณาอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

5. ส่งเจ้าหน้าที่ไปร้องทุกข์ เพื่อให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 

ตามข้อมูลการรายงานการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 จากรายงานดังกล่าว พบว่ามีผู้กระทำความผิดตามมาตรา 45 (4) อันมีโทษตามมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 31 ราย โดยมีผู้ร่วมกระทำความผิดประกอบด้วย ผู้จำหน่าย จำนวน 6 ราย และผู้นำเข้า จำนวน 1 ราย และเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 กรอ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

ทั้งนี้ ภายหลังดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ยังปรากฏข้อมูลการโฆษณาจำหน่ายสารประกอบไซยาไนด์ เช่นโกลด์โพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายภายใต้กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ทุกชนิดเป็นสารพิษที่มีความรุนแรงสูง ออกฤทธิ์ได้เร็วโดยหากได้รับในขนาดที่เพียงพอจะทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน ในลักษณะเดียวกับโพแทสเซียมไซยาไนด์ และโซเดียมไซยาไนด์

ดังนั้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ป้องกันประชาชนทั่วไปเข้าถึงวัตถุอันตรายดังกล่าว และมีการนำไปใช้ ผิดวัตถุประสงค์ กรอ. จึงได้มีการดำเนินการเพื่อควบคุมวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ ดังนี้ 

1. จัดทำหนังสือถึงผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ และมีการนำเข้าสารดังกล่าวในปี พ.ศ. 2565 – 2566 จำนวน 37 ราย เพื่อควบคุมการจำหน่ายและการใช้สารประกอบไซยาไนด์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งหรือระบุในใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย 

2. จัดทำหนังสือขอความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดมิให้มีการโฆษณาและจำหน่ายวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์เพิ่มเติม จำนวน 13 รายการ เช่น โกลด์ โพแทสเซียมไซยาไนด์ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ 

3. จัดทำร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงการจัดชนิดวัตถุอันตรายในกลุ่มสารประกอบไซยาไนด์ จำนวน 6 รายการ จากเดิมที่มีการควบคุมเป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 ให้ยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายและขออนุญาต ตามมาตรา 36 และมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 ตามลำดับ รวมทั้งผู้นำเข้าหรือส่งออกต้องแจ้งข้อเท็จจริงก่อนนำหรือส่งวัตถุอันตรายออกจากด่านศุลกากร และผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองที่มีหรือเคยมีวัตถุอันตรายตามรายชื่อที่กำหนด ต้องแจ้งข้อเท็จจริงปีละ 2 ครั้ง ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยเรื่องการให้แจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม

'เอ็มจี' ต้อนรับ ‘รมว.ปุ้ย’ ชมโรงงาน พร้อมร่วมเปิดไลน์ผลิต ‘ALL NEW MG3 HYBRID+’ ชูศักยภาพโรงงาน ด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี

(15 ส.ค.67) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้รับเกียรติจาก นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม, นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการควบคุมทางสรรพสามิต และ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมคณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเปิดไลน์การผลิตรถไฮบริดรุ่นล่าสุด ALL NEW MG3 HYBRID+ ก่อนเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 20 สิงหาคม นี้ พร้อมเยี่ยมชมฐานการผลิตรถยนต์เอ็มจีในไทย ที่ครอบคลุมการผลิตรถยนต์ในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์พลังงานทางเลือก และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงโรงงานประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรก ในประเทศไทย พร้อมแสดงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ครอบคลุม

สำหรับ โรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจรของ เอ็มจี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ พัฒนาขึ้นภายใต้งบการลงทุนที่สูงถึงกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่ง เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนที่มีการลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ กับจุดเด่นของโรงงานที่สามารถผลิตและประกอบรถยนต์ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี 

โดยมีพื้นที่ของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) ครอบคลุม ไปถึงส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น รวมถึงพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน 

ส่วนภายในโรงงานมีการจัดสรรพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำสามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยกว่า 10 ปี เอ็มจี ยังคงพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างครอบคลุม ในฐานะผู้บุกเบิกยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดย เอ็มจี ได้มีพัฒนาและขยาย MG EV ECOSYSTEM เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต พร้อมทั้ง ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในนโยบายส่งเสริมต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้คนไทยได้ใช้ยานยนต์คุณภาพในราคา ที่เข้าถึงได้ ซึ่งล่าสุด เอ็มจี ได้เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เริ่มต้นด้วยโกลบอลโมเดลอย่าง NEW MG4 ELECTRIC 

นอกจากนี้ เอ็มจี ยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกอย่างยั่งยืน ด้วยการขยายไลน์การผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถไฮบริดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงเทคโนโลยียานยนต์ที่ผสมผสานทั้งระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน และระบบไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับทิศทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ ที่ไทยมีโอกาสเป็นฐานการผลิตระดับโลกได้ต่อไป

'รมว.ปุ้ย' สั่ง 'สนอ.' เกาะติดราคาน้ำตาลตลาดโลก ห่วง!! อาจกระทบราคาอ้อยในไทยปี 67/68

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำตาลตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ห่วงอาจกระทบกับราคาอ้อยในประเทศ ฤดูการผลิตปี 2567/68 ซึ่งสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ราคาน้ำตาลตลาดโลกเฉลี่ยที่ระดับ 20 เซนต์ต่อปอนด์ ลดลง 16.67% จากปี 2566 ที่ราคาอยู่ในระดับ 24 เซนต์ต่อปอนด์ เนื่องจากมีสต็อกน้ำตาลในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก และบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลกมีผลผลิตน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตน้ำตาล ประกอบกับในฤดูการผลิตปี 2566/67 ไทยมีผลผลิตน้ำตาล 8.81 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12.80% จากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมี 7.81 ล้านตัน 

สำหรับสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 แนวโน้มราคาน้ำตาลตลาดโลกจะอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 21 เซนต์ต่อปอนด์ โดยมีปัจจัยมาจากบราซิลสามารถผลิตน้ำตาลได้มากขึ้น และหากอินเดียได้เปลี่ยนนโยบายอนุญาตให้ส่งออกน้ำตาลได้ตามปกติ จะส่งผลให้สต็อกน้ำตาลในตลาดโลกสะสมเพิ่มขึ้น ส่วนไทยคาดว่าในฤดูการผลิตปี 2567/68 จะมีผลผลิตอ้อย 92 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11.96% เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีที่ผ่านมาที่มีปริมาณอ้อย 82.17 ล้านตัน

ด้าน นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า เบื้องต้น สอน. ได้นำตัวเลขมาคิดคำนวณราคาอ้อยในประเทศสำหรับฤดูการผลิตปี 2567/68 หากราคาน้ำตาลตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับที่ 21 เซนต์ต่อปอนด์ จะส่งผลให้ราคาอ้อยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,200 บาทต่อตันอ้อย ลดลง 15.49% เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีที่ผ่านมาที่มีราคาอ้อยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,420 บาทต่อตันอ้อย 

อย่างไรก็ดี องค์ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยในประเทศยังคงมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ในฤดูการผลิตปี 2567/68 สอน. จะมีแนวทางในการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้ชาวไร่อ้อยมีผลผลิตที่ดี และโรงงานได้น้ำตาลทรายที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยผลักดันราคาอ้อยในประเทศให้สูงขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะให้ชาวไร่อ้อยจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทาง

'รมว.ปุ้ย' เผยตัวเลขการผลิตน้ำตาลทรายของไทยปี 67 กำชับ!! 'สอน.' ดูแลปริมาณให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ

(4 ก.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยปี 2567 จากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) โดยในฤดูการผลิตปี 2566/67 ที่ผ่านมา มีปริมาณอ้อยเข้าหีบจำนวน 82.17 ล้านตัน มีผลผลิตน้ำตาลทราย 8.80 ล้านตัน โดยในครึ่งปีแรกของปี 2567 (มกราคม - มิถุนายน 2567) ไทยใช้น้ำตาลเพื่อบริโภคภายในประเทศ 1.27 ล้านตัน แบ่งออกเป็น น้ำตาลที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม 0.52 ล้านตัน และน้ำตาลที่ใช้ในการบริโภคโดยตรง (รวมร้านยี่ปั๊วและห้างโมเดิร์นเทรด) 0.75 ล้านตัน 

โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2567 ไทยมีน้ำตาลเพื่อบริโภคภายในประเทศคงเหลือ 1.77 ล้านตัน และ สอน. ได้คาดการณ์ว่าระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตถัดไป ไทยจะใช้น้ำตาลเพื่อบริโภคภายในประเทศ 0.8 ล้านตัน ซึ่งตนได้กำชับให้ สอน. ดูแลปริมาณน้ำตาลให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า สอน. ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลในการดูแลปริมาณน้ำตาลให้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดย สอน. ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำโรงงานน้ำตาลทั้ง 57 โรงทั่วประเทศ รายงานปริมาณน้ำตาลคงเหลือส่งให้ สอน. เป็นประจำทุกวัน 

ปัจจุบัน ราคาขายหน้าโรงงานอยู่ที่ 21 - 22 บาท/กิโลกรัม (ไม่รวมค่าโลจิสติกส์และ VAT) ราคาขายปลีกตามห้างโมเดิร์นเทรดอยู่ที่ 27 - 28 บาท/กิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่เป็นไปตามกลไกการตลาดที่จะต้องมีการบวกเพิ่มค่าการตลาดและค่าบรรจุภัณฑ์

"ถือว่าเป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องการรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากน้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่ง สอน. จะบริหารจัดการการจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะมีปริมาณน้ำตาลทรายเพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ" นายวิฤทธิ์กล่าวปิดท้าย

พลิกโฉม!! 1 ปี ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ ภายใต้หญิงเก่งสุดแกร่ง ‘ปุ้ย-พิมพ์ภัทรา’

เมื่อวันที่ (6 ก.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง โดยได้เข้าสักการะเพื่ออำลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ พระภูมิ และองค์พระนารายณ์ 

‘พิมพ์ภัทรา’ ได้กล่าวขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมทุกคนที่ทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มว่า “ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนมีความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับทุกท่าน ขอบคุณจากหัวใจ ที่ได้สร้างภาพจำที่ดีให้กับกระทรวงฯ ทั้งนี้ ความสำเร็จต่าง ๆ จะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากชาวกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความรู้ความสามารถ และได้ส่งพลังงานดี ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ทุกคนมีรอยยิ้มที่กว้างกว่าวันแรกที่เข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าทุกท่านจะร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านและครอบครัวของพวกเราต่อไป”

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ‘ณัฐพล รังสิตพล’ ได้กล่าวอำลา ‘พิมพ์ภัทรา’ ว่า “1 ปี ที่ผ่านมา รัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา เป็นผู้นำที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สามารถทำงานร่วมกับข้าราชการในทุกระดับเป็นอย่างดี ขอบคุณท่านที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ช่วยหลือชุมชน ผู้ประกอบการ และได้ผลักดันนโยบาย 'รื้อ ลด ปลดสร้าง' ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตนในฐานะตัวแทนของผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขอกราบขอบพระคุณ และพร้อมที่จะสานต่อนโยบายต่อไป”

ทั้งนี้ผลงาน 1 ปีในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนของ ‘พิมพ์ภัทรา’ ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นแนวทางในการพลิกอุตสาหกรรมไทยที่รองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต :

‘รื้อ’ ด้วยการเร่งรื้อปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้อต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น อาทิ ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ที่คงค้างจำนวนมากจนแล้วเสร็จ ทำให้เกิดการลงทุนเพิ่ม 12,000 ล้านบาท และดำเนินการออกใบอนุญาตที่ขอใหม่ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนด แก้ไขปัญหาผังเมือง เพื่อให้เกิดการลงทุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 

‘ลด’ ด้วยการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ 

(1) เร่งดำเนินการจัดการกากอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพี่น้องประชาชนคนไทย 

(2) ช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลอันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลไม่ให้ลักลอบเผาไร่อ้อยเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 

(3) กวดขันให้มีการตรวจ กำกับดูแลโรงงาน/วัตถุอันตราย และโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียวถึงร้อยละ 87.66 จากเป้าหมายร้อยละ 90 เพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน 

(4) ส่งเสริมการทำเหมืองแร่ในเมือง (Urban Mining) เพื่อสร้าง/ขยายเครือข่ายการนำขยะหรือของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ 

(5) กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทยซึ่งเป็นผู้บริโภค 

(6) ผลักดันการจัดตั้งนิคม Circular แห่งแรกของไทยในพื้นที่ EEC ให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน และพัฒนานิคม Smart Park เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ การแพทย์ หุ่นยนต์ และดิจิทัล 

(7) เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า/จักรยานยนต์ไฟฟ้า Solar Rooftop และอุตสาหกรรม Recycle เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยแนวคิด BCG 

(8) พัฒนาองค์กรดิจิทัลเพื่อให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ 

(9) จัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฝุ่น PM 2.5 สู่ชั้นบรรยากาศ และจัดตั้งศูนย์บริหารภาวะฉุกเฉินจากการประกอบการและจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยจากโรงงานอุตสาหกรรม

‘ปลด’ ด้วยการปลดภาระให้ผู้ประกอบการ โดยการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด 

(1) ปลดล็อกการติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 

(2) ช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ด้วยสินเชื่อลดโลกร้อน (Decarbonize Loan) สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความตั้งใจในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน 

(3) ผลักดันเหมืองแร่โปแตชเพื่อส่งเสริมการผลิตปุ๋ยภายในประเทศ อันเป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรให้เกษตรกร และได้จัดสรรผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 

(4) เร่งส่งเสริม MSMEs ให้มีศักยภาพและแข่งขันได้ 

‘สร้าง’ ด้วยการเร่งสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก โดยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Food for the Future) อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลก อาทิ อุตสาหกรรมฮาลาล ฯลฯ 

ทั้งนี้ นโยบายทั้งหมดได้ส่งต่อให้กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ได้ทำงานสานต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม มีความต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top