Thursday, 5 June 2025
พิมพ์ภัทรา_วิชัยกุล

‘พิมพ์ภัทรา’ เตรียมประกาศมาตรฐาน ‘เครื่องวัดปริมาณแอลฯ จากลมหายใจ’ รับนโยบายรัฐ ‘ขจัดเมาแล้วขับ’ คาด!! ประกาศใช้จริงภายใน 2 เดือน

(19 ต.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตนได้เตรียมประกาศมาตรฐาน ‘เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ’ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลด้านการเมาแล้วขับ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตลอดจนส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้อ้างอิงในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน โดยเฉพาะนักดื่มสายแข็งที่เมาแล้วขับ และมักจะร้องเรียนกล่าวหาการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ บอร์ด สมอ. ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐานดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา 

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ด สมอ. เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมาว่า นอกจากบอร์ดจะเห็นชอบมาตรฐาน ‘เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ’ แล้ว ยังเห็นชอบแผนการจัดทำมาตรฐานของ สมอ. ประจำปีงบประมาณ 2567 ที่เสนอทั้งหมด 600 มาตรฐาน แบ่งเป็นมาตรฐานกำหนดใหม่ 443 มาตรฐาน และมาตรฐานเดิมที่ต้องทบทวนให้ทันสมัยอีก 157 มาตรฐาน ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve 105 มาตรฐาน เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ กลุ่ม New S-curve 120 มาตรฐาน เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์  เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ การแพทย์ครบวงจร ฯลฯ กลุ่มมาตรฐานตามนโยบาย 32 มาตรฐาน เช่น นวัตกรรม สมุนไพร ฯลฯ กลุ่มส่งเสริมผู้ประกอบการ 163 มาตรฐาน และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ 23 มาตรฐาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ฯลฯ

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐาน ‘เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ’ มีข้อกำหนดที่สำคัญ เช่น วัดความเที่ยงตรงแม่นยำของเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ โดยการฉีดก๊าซเข้าเครื่องวัดแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องซ้ำ ๆ 20 ครั้ง เพื่อจำลองลมหายใจของผู้ขับขี่ ต้องได้ค่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่อ่านได้จากเครื่องวัดที่มีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ในเกณฑ์การยอมรับของเครื่องมือ คือ ไม่เกิน 4 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยกำหนดปริมาณลมที่หายใจออก ต้องไม่น้อยกว่า 1.2 ลิตร และเวลาที่หายใจออกต้องไม่น้อยกว่า 5 วินาที เครื่องวัดแอลกอฮอล์ต้องจัดเก็บข้อมูลผลการวัดสำหรับการใช้งาน และสามารถเรียกดูได้แต่ไม่สามารถปรับแก้ไขข้อมูลได้ และแสดงผลเป็นตัวเลขที่ถูกต้องชัดเจน เป็นต้น คาดว่าจะประกาศใช้มาตรฐานนี้ได้ภายใน 2 เดือน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้” นายวันชัยฯ กล่าว

'พิมพ์ภัทรา' เอาจริง!! ออก 8 มาตรการปราบสินค้าออนไลน์ไร้มาตรฐาน ลั่น!! ต้องกวาดล้างให้หมดไปจากท้องตลาดภายใน 6 เดือน

(26 ต.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังจากการลงพื้นที่ดูแลประชาชน มักจะได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนเรื่องการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่มีมาตรฐานอยู่เป็นระยะ ตนจึงสั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เข้มงวดในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ต้องกวาดล้างให้หมดไปจากท้องตลาดภายใน 6 เดือน 

ทั้งนี้ ภายใต้ภารกิจ 'Quick Win' ได้ออก 8 มาตรการเร่งด่วน เพื่อกำกับดูแล ควบคุม และส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ถูกหลอกจากการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ ได้แก่...

1) มาตรการ 3 ร. (เร่งตรวจ เร่งกำกับ เร่งปราบ)  
2) มาตรการจับจริง-ปรับจริง 
3) มาตรการเชื่อมโยงข้อมูล 
4) มาตรการให้ความรู้  
5) มาตรการขยายผลอย่างยั่งยืน 
6) มาตรการสร้างความตระหนัก 
7) มาตรการใกล้ชิดประชาชน 
8) มาตรการเพิ่มอาวุธ 

โดยคาดว่าทั้ง 8 มาตรการจะสามารถกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพที่จำหน่ายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ให้หมดไปจากท้องตลาด

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ลงพื้นที่ตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาด และทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปภายใน 6 เดือน รวมทั้ง ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ได้แก่...

1) มาตรการ 3 ร. (เร่งตรวจ เร่งกำกับ เร่งปราบ) โดยเพิ่มความถี่ในการตรวจสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และนำข้อมูลที่ได้มาขยายผล เพื่อให้รู้ถึงพิกัดโกดังเก็บสินค้า พิกัดการโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ และให้ทราบถึงแหล่งที่มาทั้งโรงงานที่ผลิตและช่องทางการนำเข้าของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างสูงสุด  

2) มาตรการจับจริง-ปรับจริง หากพบสินค้าไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. สมอ. จะออกหนังสือแจ้งผู้ประกอบการให้มาให้ข้อมูลร้านค้า และรายละเอียดของสินค้า หากพบว่ามีความผิดจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

3) มาตรการเชื่อมโยงข้อมูล โดยการชี้แจงให้ทุกแพลตฟอร์มทราบมาตรการในการดำเนินคดีกับสินค้าที่มีการโฆษณาโดยไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. และให้ทุกแพลตฟอร์มจัดทำระบบที่บังคับให้ผู้จำหน่ายสินค้าควบคุมต้องแสดง QR Code ข้อมูลใบอนุญาต และภาพในการโฆษณาต้องแสดงเครื่องหมาย มอก. ด้วย 

4) มาตรการให้ความรู้  สมอ. จะเชิญร้านค้าออนไลน์ และแพลตฟอร์ม หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการป้องกันการโฆษณา การจำหน่าย และการลักลอบขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และให้ทราบถึงการกระทำความผิดฐานเป็นผู้ให้พื้นที่ในการโฆษณาและเป็นผู้มีส่วนได้ผลประโยชน์จากการขายสินค้าดังกล่าว 

5) มาตรการขยายผลอย่างยั่งยืน โดย สมอ. จะขยายผลให้ทราบถึงแหล่งที่มาของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเพื่อให้ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด และจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการ หรือผู้เกี่ยวข้อง ที่แจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับแหล่งที่มาของสินค้า 

6) มาตรการสร้างความตระหนัก โดยขอความร่วมมือแพลตฟอร์มให้แสดงอินโฟกราฟิกแจ้งเตือนผู้บริโภคให้รู้วิธีการสังเกตสินค้าที่มีมาตรฐานทุกครั้งที่มีการค้นหา Keyword (คีย์เวิร์ด) เช่น คำว่า 'ปลั๊กพ่วง' / 'พาวเวอร์แบงค์' หรือ 'หลอดไฟ' ฯลฯ 

7) มาตรการใกล้ชิดประชาชน สมอ. จะทำคอนเทนต์ออนไลน์ให้ความรู้แก่ประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าที่มีมาตรฐาน 

8) มาตรการเพิ่มอาวุธ มีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจศึกษาข้อกฎหมาย ข้อจำกัด และแนวทางการแก้ปัญหาในการลงโทษร้านค้าออนไลน์ที่กระทำความผิด รวมทั้งผู้มีส่วนได้ผลประโยชน์จากการขายสินค้าด้วย 

ทั้งนี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้ภารกิจ 'Quick Win' เพื่อกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปภายใน 6 เดือน นายวันชัยฯ กล่าว

‘พิมพ์ภัทรา’ เตือน!! ปชช. เลือกซื้อยางรถยนต์มีเครื่องหมาย มอก. หลังพบร้านค้า จ.ชลบุรี แอบขายยางไม่มีมาตรฐานกว่า 800 เส้น

(30 ต.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังจากได้มอบนโยบายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาดภายใน 6 เดือน ภายใต้ภารกิจ ‘Quick win’ และติดตามความคืบหน้าของภารกิจ พบการยึดอายัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภค

ล่าสุด สมอ. เข้าตรวจค้นร้านจำหน่ายยางรถยนต์แห่งหนึ่งในตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่มีการโฆษณาขายผ่านช่องทางออนไลน์ พบยางล้อรถยนต์ตกเกรดหลายขนาดที่นำมาลบยี่ห้อบนแก้มยาง จำนวน 684 เส้น และยางล้อที่ไม่มีเครื่องหมาย มอก. จำนวน 180 เส้น รวมทั้งสิ้น 864 เส้น มูลค่ากว่า 3.3 ล้านบาท ตนจึงสั่งการให้ สมอ. ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบการรายนี้ และเร่งตรวจสอบขยายผลไปถึงผู้กระทำความผิดรายอื่นต่อไปด้วย

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิต ภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ยางล้อเป็นสินค้าที่ สมอ. ควบคุม เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การทำ นำเข้า ต้องได้รับอนุญาตจาก สมอ. ก่อน รวมถึงร้านจำหน่ายต้องขายเฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย

สำหรับผู้ประกอบการรายนี้มีความผิดฐานจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ หลังจากนี้ สมอ. จะตรวจสอบเพื่อขยายผลไปถึงผู้ทำผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ ฝากถึงประชาชนที่กำลังมองหายางรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรือกำลังจะเปลี่ยนยางใหม่ ให้สังเกต เครื่องหมาย มอก. คู่กับ QR Code โดยท่านสามารถสแกนเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของยางเส้นนั้นได้ เช่น ผู้รับใบอนุญาต รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่ได้รับใบอนุญาต ก่อนตัดสินใจซื้อ และยังเป็นข้อมูลในการตรวจสอบหรือร้องเรียนในกรณีที่สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานตามที่ระบุไว้ นอกจากนี้ ให้สังเกตลักษณะภายนอกของยาง ต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ที่แก้มยางต้องไม่มีร่องรอยการลบยี่ห้อ

ทั้งนี้ เพื่อความมั่นใจให้เลือกซื้อจากร้านจำหน่ายที่เชื่อถือได้ เช่น ร้านที่มีป้ายสัญลักษณ์ ‘ร้าน มอก.’ ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ประชาชนมั่นใจได้ เพราะผ่านการตรวจประเมินตามหลักเกณฑ์ของ สมอ. แล้ว และขอเตือนไปยังผู้ประกอบการที่กำลังฝ่าฝืนกฎหมาย โดยนำยางตกเกรดมาดัดแปลงโดยการลบยี่ห้อออกแล้วส่งขาย หรือนำมาประทับตรายี่ห้อใหม่ว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นภัยสังคม สร้างความเสียหายให้กับประชาชนถึงแก่ชีวิต หากพบการกระทำความผิดจะส่งเรื่องดำเนินคดีเพื่อเอาผิดให้ถึงที่สุด

‘รมว.อุตสาหกรรม’ เตรียมหารือหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดูแลราคาอ้อย ไม่ให้กระทบเกษตรกร

"การปรับขึ้นราคา…หากราคาน้ำตาลในประเทศมีราคาถูก อาจเกิดการลักลอบขายออกนอกประเทศ และเกิดการกักตุนเก็งกำไร ซึ่งทำให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบในที่สุด ขณะที่การปรับขึ้น จะทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งที่ถูกกำหนดโดย พรบ.ด้วย ไม่ใช่เฉพาะโรงงาน และเงินบางส่วนจะไปที่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านมลภาวะทางอากาศ PM2.5 หาปริมาณฝุ่น PM2.5 เพิ่มขึ้น เพื่อลดผลกระทบกับอีกหลายระบบนิเวศ...

"รัฐบาลพร้อมดูแลเกษตรกร ภายหลังการเข้าควบคุมราคา โดยจะมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดภาระให้กับประชาชนผู้บริโภคและเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรม" 

พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เผยว่ากระทรวงพาณิชย์มีมติไม่ให้ปรับขึ้นราคาน้ำตาล 4 บาท ต่อกิโลกรัม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะกลับไปหามาตรการที่จะมาช่วยเหลือกลุ่มชาวไร่อ้อย เพราะที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้น้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.)

เผยสาเหตุ!! 'การเสนอปรับขึ้นราคาน้ำตาล' 4 บาท/กก.

การประกาศกำหนดราคาน้ำตาลภายในราชอาณาจักรเพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ประจำปีการผลิตในแต่ละฤดูการผลิต ของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย จะเป็นการแจ้งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายได้แก่ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล รับรู้รายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ 

ทั้งนี้ โรงงานน้ำตาลสามารถจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร ณ หน้าโรงงานในราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาที่ประกาศได้ แต่โรงงานต้องนำส่งรายได้ตามราคาที่ประกาศ

การปรับเพิ่มราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรเพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ฤดูการผลิตปี 2566/2567 จากเดิมราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวธรรมดากิโลกรัมละ 19 บาท ปรับเป็นกิโลกรัมละ 23 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์จากเดิมกิโลกรัมละ 20 เป็นกิโลกรัมละ 24 บาท โดยมีแนวทางการปรับเพิ่มรายได้และพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตแก่ระบบอุตสาหกรรม โดยมีแนวทางการปรับเพิ่มราคาจำแนกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

1) การปรับเพิ่มราคา 2 บาท/กิโลกรัม ส่วนที่ 1 
เป็นการปรับเพิ่มราคาตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยใช้หลักการ Cost Plus ประกอบด้วยต้นทุนการผลิตอ้อย ต้นทุนการผลิตน้ำตาล ค่าใช้จ่ายในส่วนการจำหน่ายน้ำตาลในประเทศ และผลตอบแทนในอัตราที่เหมาะสม 

ในเบื้องต้นคาดการณ์ว่า หากมีการบริโภคน้ำตาลในประเทศที่ประมาณ 2.5 ล้านตัน (2,500 ล้านกิโลกรัม) จะทำให้มีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานที่ ร้อยละ 70 : 30 ส่วนของชาวไร่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 3,500 ล้านบาท 

และจากประมาณการผลผลิตอ้อยฤดูการผลิตปี 2566/2567 ที่ 82 ล้านตันอ้อย เป็นผลให้ราคาอ้อยมีราคาเพิ่มขึ้นอีกตันละ 42 บาท (3,500/82) ซึ่งจะทำให้ราคาอ้อยที่ชาวไร่อ้อยได้รับคุ้มต่อต้นทุนการผลิต โดยในเบื้องต้นจากการประชุมหารือร่วมกับผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็นสอดคล้องกัน

2) การปรับเพิ่มราคา 2 บาท/กิโลกรัม ส่วนที่ 2 
เป็นการปรับเพิ่มราคาเพื่อนำเงินส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายในจำนวนที่เท่ากับส่วนที่ 1 โดยรายได้ที่นำส่งกองทุน ฯ ในส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยว และจะเป็นการช่วยเหลือทั้งในรูปแบบการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเก็บเกี่ยวอ้อยในพื้นที่ (In Kind) การช่วยเหลือต้นทุนการเก็บเกี่ยวอ้อยสด (In Cash) 

ทั้งนี้เพื่อให้เป็นตามมติคณะรัฐมนตรีที่มีความเห็นต่อการขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสดให้กับชาวไร่อ้อย ที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปศึกษาผลดีผลเสียและความคุ้มค่าของการดำเนินการ รวมทั้งแนวทางการลดต้นทุนการผลิตอื่น ๆ ที่มีความยั่งยืนและไม่เป็นภาระงบประมาณ

ทั้งนี้ ในการประชุมหารือร่วมกับผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความกังวลว่าการปรับเพิ่มราคาในส่วนนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค

'พิมพ์ภัทรา' สั่ง!! สอน.เร่งหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ ดูแล 'ชาวไร่อ้อย-ผู้บริโภค-ผู้ส่งออก' ทั้ง 'ผลผลิต-ราคา'

(2 พ.ย .66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึง สถานการณ์อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ที่อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรชาวไร่อ้อย ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยอย่างมาก จากต้นทุนการเพาะปลูกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลกระทบให้เกิดความแห้งแล้งและทำให้ปริมาณผลผลิตอ้อยลดน้อยลง กระทรวงอุตสาหกรรม จึงสั่งการและกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เร่งหาแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับชาวไร่อ้อยให้ได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม 

ขณะเดียวกันต้องไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบการขึ้นทะเบียนน้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม 1 ปี ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ที่รัฐบาลเร่งควบคุมราคาเพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค 

“กระทรวงอุตสาหกรรม ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และกระทรวงพาณิชย์ ที่มีความห่วงใยและเข้ามาร่วมช่วยทั้ง 3 ส่วน คือ ชาวไร่อ้อย ผู้ส่งออก และประชาชนผู้บริโภค โดยกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมยกระดับความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูแลทุกข์สุขของพี่น้องชาวไร่อ้อย ยกระดับอุตสาหกรรมน้ำตาล เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ” รัฐมนตรีฯ พิมพ์ภัทรา กล่าว 

ทั้งนี้ รัฐบาลได้เน้นย้ำว่า พร้อมสนับสนุนเงินชดเชยให้กับเกษตรกร และระบบอุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาลทราย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะเร่งหามาตรการที่เหมาะสมสำหรับการส่งออก 

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (2 พ.ย.66) ในการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งน้ำตาลทราย ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง จะร่วมกันหารือแนวทางเพื่อหาทางออกต่อสถานการณ์ดังกล่าวต่อไป

'รมว.พิมพ์ภัทรา' กำชับ 'สมอ.' เชิญ 8 สถาบันเครือข่าย เร่งกำหนดมาตรฐานให้ได้ตามเป้าหมาย ทันยุคอุตฯ ใหม่

(6 พ.ย. 66) นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ให้เชิญ 8 สถาบันเครือข่าย ได้แก่...

- สถาบันอาหาร 
- สถาบันพลาสติก 
- สถาบันการก่อสร้างแห่งประเทศไทย  
- สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย  
- สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ 
- สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์  
- สถาบันยานยนต์ 
- และ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ 

ซึ่งทั้งหมดเป็นหน่วยงานเครือข่ายที่มีภารกิจสนับสนุนการดำเนินงานด้านการมาตรฐานของ สมอ. ทั้งการจัดทำมาตรฐาน และการตรวจสอบคุณภาพของสินค้า โดย สมอ. ให้การยอมรับว่าหน่วยงานเหล่านี้สามารถกำหนดมาตรฐานได้ หรือที่เรียกว่า SDOs (Standards Developing Organizations) มาประชุมหารือเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรฐานในปี 2567

ทั้งนี้ สมอ.ได้มอบหมายนโยบายให้ SDOs ทั้ง 8 หน่วยงานเร่งรัดจัดทำมาตรฐานในปีนี้ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง เสริมเติมจากที่ สมอ. ได้วางแผนกำหนดมาตรฐานไว้แล้ว 600 เรื่อง เพื่อให้เป็นไปตามแผนแม่บทการกำหนดมาตรฐานระยะ 5 ปี ของ สมอ. (พ.ศ.2566-2570) ที่มีอยู่จำนวน 1,777 เรื่อง เพื่อรองรับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เช่น มาตรฐาน EV, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, เครื่องมือแพทย์, อุตสาหกรรมชีวภาพ, AI,  ฮาลาล และ Soft power

ปัจจุบัน สมอ. มี SDOs จำนวน 43 หน่วยงาน ที่มีศักยภาพสามารถกำหนดมาตรฐานเพื่อให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ครอบคลุม 81 สาขา เช่น สาขาเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ, สีและวาร์นิช, วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์, นาโนเทคโนโลยี, ปิโตรเลียม,  ยางและผลิตภัณฑ์ยาง, ระบบการจัดการความเสี่ยง  อาชีวอนามัยและความปลอดภัย, ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร, การยศาสตร์, ความรับผิดชอบต่อสังคม, ดิจิทัล, ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม, หนังและผลิตภัณฑ์หนัง, ก๊าซธรรมชาติ, แบตเตอรี่, การสื่อสารโทรคมนาคม, ยานพาหนะไฟฟ้า เป็นต้น

“เบื้องต้น สถาบันยานยนต์ จะเร่งจัดทำมาตรฐานด้านความปลอดภัยของยานยนต์สมัยใหม่ รวมทั้งรถไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์อื่นๆ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะเร่งทำมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่พยายามขโมยข้อมูลสำคัญต่างๆ ของบุคคลหรือองค์กร เช่น บัญชีเงินฝาก ข้อมูลประจำตัว ข้อมูลด้านสุขภาพ หรือข้อมูลสำคัญขององค์กร เป็นต้น สถาบันสิ่งทอ จะจัดทำมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสิ่งทอและด้านการป้องกันไฟ เช่น ผ้าม่าน, พรม, ถุงมือกันบาด และถุงมือกันสารเคมี เป็นต้น ทั้งนี้ สมอ. จะรวบรวมรายชื่อมาตรฐานที่ SDOs จะดำเนินการจัดทำทั้งหมด เสนอบอร์ด สมอ. ให้ความเห็นชอบต่อไป” นายวันชัยฯ กล่าว

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ หนุนรถแดงเชียงใหม่ใช้ EV สร้าง ‘ภาพจำที่ดี-อัตลักษณ์’ รถประจำถิ่น

รัฐมนตรีอุตสาหกรรม หนุน!! รถแดงเชียงใหม่ ใช้ EV คู่คงอัตลักษณ์รถสาธารณะประจำถิ่น มุ่งลดมลพิษและควันดำ สร้างภาพจำที่ดีให้นักท่องเที่ยว ชี้เป็นนโยบายนำร่องที่ต้องเร่งทำ เหตุจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มสูงขึ้น

(6 พ.ย. 66) นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สนับสนุนให้รถแดงคู่เมืองเชียงใหม่เป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือรถยนต์อีวี (EV) เช่นเดียวกับรถยนต์ขนส่งสาธารณะประจำเมืองต่างๆ ซึ่งควรปรับเปลี่ยนกลไกจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นรถไฟฟ้า

ทั้งนี้ แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของรถยนต์สาธารณะประจำท้องถิ่นไว้ และสร้างภาพจำที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว โดยการผลักดันระบบขนส่งสาธารณะเป็นยานยนต์ไฟฟ้าเป็นนโยบายนำร่องที่ต้องเร่งทำ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มสูงขึ้น การใช้รถยนต์สาธารณะจะมีมากขึ้น

เพราะถ้าหากยังเป็นรถยนต์สันดาป ปัญหามลพิษจากควันท่อไอเสียก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนรถยนต์สาธารณะเป็นยานยนต์ไฟฟ้าจะลดควันดำและปัญหามลพิษไปในตัว

“จังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวทั้งเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ การรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของความเป็นเมืองเหนือของเชียงใหม่ทำได้น่าสนใจมาก โดยรถแดงถือเป็นรถสาธารณะที่อยู่คู่กับเมืองเชียงใหม่มานาน”

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มต้นเป็นผู้ผลิตรถไฟฟ้า มีหลายแนวทางที่สามารถใช้เพื่อสนับสนุนและเพิ่มโอกาสในธุรกิจได้ หากมีความรู้เกี่ยวกับตลาดและอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องที่ท้าทายและอาจต้องใช้เวลา

แต่หากวางแผนที่ดีในแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้สร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าในไทยได้

'พิมพ์ภัทรา' จี้!! ผู้ประกอบการหลัก เร่งผลิต 'โปแตช' ห้ามล่าช้า หากเกษตรกรต้องแบกราคาปุ๋ยแพงนาน สั่งเปลี่ยนเจ้าทันที

'รมว.อุตสาหกรรม' จี้ผู้ประกอบการเร่งผลิต 'โปแตช' วัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ยเข้าสู่ระบบ ย้ำถ้าผลิตไม่ได้ต้องหาผู้ประกอบการรายใหม่เข้าดำเนินการ

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบัน โปแตช คือ วัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ซึ่งตลาดโลกมีความต้องการสูงมาก และในประเทศไทยก็มีแร่ชนิดนี้มากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแคนาดา แต่ปัจจุบันมีการขาดแคลนโปแตช ที่เป็นวัตถุดิบต้นทางอย่างกว้างขวาง ทำให้ปุ๋ยที่ไปถึงมือเกษตรกรมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันความต้องการใช้ปุ๋ยในอุตสาหกรรมการเกษตรมีความจำเป็นอย่างมาก 

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวย้ำว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 พ.ย.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้ติดตามสอบถามถึงผู้รับสัมปทานทั้ง 3 ราย ให้เร่งดำเนินการผลิตเพื่อนำวัตถุดิบเข้าระบบ แนวนโยบายและการสั่งการสำคัญขณะนี้คือ หากผู้รับสัมปทานทั้ง 3 รายที่ได้สัมปทานไปยังไม่ดำเนินการหรือดำเนินการไม่ได้ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งหาผู้ดำเนินการรายใหม่เข้าดำเนินการแทน เพื่อให้มีวัตถุดิบเข้าไปในระบบการผลิตปุ๋ยเพื่ออุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องให้ได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าติดตามแล้ว

"นายกฯ ได้มีการสอบถามการผลิตแร่โปแตชในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดมีผู้ประกอบการเข้ารับสัมปทานจำนวน 3 ราย ในจังหวัดชัยภูมิ, อุดรธานี และนครราชสีมา โดยได้ให้นโยบายว่า จะต้องมีการเร่งรัดให้มีการผลิตแร่เข้าสู่ระบบ แต่จนถึงขณะนี้พบว่า ผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย ยังไม่ได้ดำเนินการทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้ไขปัญหา จึงได้มีการสั่งการให้เร่งรัดและหากปัญหาเกิดจากผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องหาผู้ประกอบการรายใหม่" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

'พิมพ์ภัทรา' เดินหน้า!! เร่งก่อตั้ง 'กรมอุตสาหกรรมฮาลาล' หลังนายกฯ ไฟเขียว เพื่อยกระดับฮาลาลไทยสู่สากล

(8 พ.ย.66) น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลังได้เชิญตนเข้าร่วมหารือ โดยมีประเด็นข้อหารือสำคัญคือ การเร่งยกระดับอุตสาหกรรม 'ฮาลาล' ที่จะเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวคิดเพื่อความรวดเร็วและเห็นผลการปฏิบัติว่า จะต้องมีหน่วยงานหลักระดับ 'กรม' ซึ่งจะต้องเป็นอีกกรมหนึ่งของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อทำงานรองรับอุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะจากความละเอียดอ่อนในแง่มุมต่างๆ และการควบคุมมาตรฐานให้เป็นไปตามหลักการฮาลาลสากล

น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล มองเห็นโอกาสการขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในระดับโลก เพราะมีผู้บริโภคที่กว้างขวางมากในประเทศกลุ่มมุสลิมหลายภูมิภาคของโลก ทั้งตะวันออกกลาง, แอฟริกา หรือแม้แต่ในภูมิภาคเอเชียเอง

"มีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับความสำคัญของกลุ่มงานอุตสาหกรรมฮาลาลให้เป็นรูปธรรม และมีกระบวนการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีความรับผิดชอบอย่างชัดเจนในรูปของกรม ตามแนวบัญชาการของนายกรัฐมนตรี ขณะนี้มีการสั่งการไปแล้ว และมีการพูดคุยกับทางคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ให้เร่งดูขั้นตอนของกฎหมายเพื่อยกระดับหน่วยงานนี้ขึ้นมาให้เป็นหน่วยงานระดับกรมที่สังกัดอยู่ในกระทรวงอุตสาหกรรม" รมว.อุตสาหกรรมกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top