Wednesday, 21 May 2025
พรรคประชาธิปัตย์

‘องอาจ’ แท็กทีม ‘ส.ก.ประชาธิปัตย์’ ลุยหาเสียงเขตบางพลัด ช่วย ‘ชนินทร์’ ผู้สมัคร กทม.ทำคะแนน ระหว่างรักษาตัวหลังติดโควิด

(30 เม.ย. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่ กทม. กล่าวว่าในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมา ขณะที่นายชนินทร์ รุ่งแสง ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางพลัด บางกอกน้อย เบอร์ 7 ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด และต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ทีมงานพรรค ปชป.ในพื้นที่เขตบางพลัด บางกอกน้อย ซึ่งประกอบไปด้วย นายนภาพล จีระกุล ส.ก. เขตบางกอกน้อย และ พ.ต.อ.ภิญโญ ป้อมสถิตย์ ส.ก.เขตบางพลัด ได้ร่วมกันเดินหาเสียง พร้อมกับตน และ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก กรรมการบริหารพรรค และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทุกวันตลอดช่วง 5 วันที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันมีสาขาพรรค ตัวแทนพรรค และผู้สนับสนุนพรรค ปชป.จำนวนมาก เมื่อทราบว่า นายชนินทร์  ติดโควิด ไม่สามารถออกมารณรงค์หาเสียงได้ จึงร่วมกันออกมาช่วยเดินรณรงค์หาเสียงตามพื้นที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก และได้รับเสียงตอบรับจากพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งสอบถามความคืบหน้าอาการติดโควิดของนายชนินทร์ ด้วยความเป็นห่วง และส่วนมากได้ฝากแจ้งถึงนายชนินทร์ว่า ขอให้หายจากการติดโควิดในเร็ววัน

“พรรคประชาธิปัตย์”ตั้งเป้าเติมทุนเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่ 3 ล้านขยายเกษตรอินทรีย์2ล้านไร่ผลิตปุ๋ยชีวภาพ 5 ล้านตัน เดินหน้าเกษตรคาร์บอนต่ำลดโลกร้อน 

“อลงกรณ์”ประกาศกลางเวทีดีเบตปักธง 10 นโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์”เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน” 

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมการดีเบตในหัวข้อ”พรรคการเมืองกับนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืนและปัญหาความมั่นคงทางอาหาร”ที่อาคารชีววิถี
จัดโดยภาคีเครือข่ายสมาคมสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรอินทรีย์ ไบโอไทย มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ โดยกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ตั้งเป้าหมายของนโยบายเกษตรทันสมัยสู่ครัวไทยครัวโลก
1.ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารท็อปเทน
ของโลกอย่างมีความรับผิดชอบต่อเกษตรกรและผู้บริโภค
2.เพิ่มGDPเกษตรเป็น10%
3.เพิ่มรายได้เกษตรกร 100%
จึงได้กำหนด 10 นโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรสุขภาพ และความมั่นคงทางอาหารเชิงปริมาณและคุณภาพภายใต้ยุทธศาสตร์”3 เอส.”(3 S : safety security sustainability) เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืนตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนฐานเทคโนโลยี ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาไทย

1. ส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน ขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 2 ล้านไร่ เดินหน้าเกษตรคาร์บอนต่ำลดโลกร้อน
2. เติมทุนเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่ 3 ล้าน ส่งเสริมสนับสนุนสภาเกษตรอินทรีย์PGSแห่งประทศไทยเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ออกานิคและกสิกรรมธรรมชาติ
3. เพิ่มปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ 5 ล้านตัน จัดตั้งศูนย์บริการปุ๋ย-น้ำชุมชนทุกตำบล
4. ตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตร นวัตกรรม เครื่องจักรกล(AIM C:Agritech Innovation Machine Center) Application Agrimap ส่งเสริมการวิจัยพัฒนานวัตกรรมชีวภัณฑ์ เกษตรอัจฉริยะ เกษตรอินทรีย์ อบรมบ่มเพาะและถ่ายทอด พัฒนาเกษตรกร-สหกรณ์และสถาบันเกษตรกร
5. คุ้มครองสิทธิเกษตรกร พันธ์ุพืชพันธ์ุสัตว์และ ความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity )โดยเฉพาะในส่วนเกี่ยวข้องกับ FTA ที่จะเจรจา และข้อตกลงอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งปัจจุบันและอนาคตเช่น UPOV - CPTPP และ FTA EU /UAE EFTA
6. เร่งสนับสนุนการขับเคลื่อนกลไกเกษตรกรรมยั่งยืนระดับชาติ คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนระดับพื้นที่ 77 จังหวัด
 

7. สนับสนุนความมั่นคงทางอาหารทั้งเชิงปริมาณ คุณภาพ และโภชนาการที่ดี
8. ส่งเสริมอาหารแห่งอนาคต เช่น โปรตีนทางเลือกใหม่ได้แก่โปรตีนจากพืช โปรตีนจากแมลงสาหร่าย ผำ แหนแดง อาหารฮาลาล
9. ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย เกษตรสุขภาพ ลดใช้ปุ๋ยเคมีและสารพิษอันตราย 
10. สร้างกลไกใหม่ ขยายความร่วมมือภาคีเครือข่ายระหว่างภาคเอกชน ภาคเกษตรกรและภาควิชาการ และภาครัฐเพิ่มบทบาทด้านเกษตรกรรมยั่งยืนของ”มกอช.”  “อย.”และกรมพัฒนาที่ดิน กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมข้าว กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นต้น

‘ทีมเศรษฐกิจ ปชป.’ ชูนโยบาย 12 ข้อ ยกระดับชีวิตแรงงานไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน-สร้างคน-สร้างชาติ’ ช่วยแรงงานครอบคลุม

‘ทีมศก.ปชป.’ ชูนโยบาย 12 ข้อ ยกระดับคุณภาพแรงงานไทย สนับสนุนแรงงานคืนถิ่น ดันระบบประกันสังคมถ้วนหน้า ยกระดับสิทธิประโยชน์-สวัสดิการให้แรงงานทั้งในและนอกระบบ

(1 พ.ค.66) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคและทีมโฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 1 พ.ค.ของทุกปี เป็นวันแรงงานแห่งชาติ พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายชัดเจนที่จะสนับสนุนและยกระดับแรงงานไทยให้มีคุณภาพ สอดรับกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งทีมเศรษฐกิจของพรรคฯ ที่นำโดยนายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบายและทีมเศรษฐกิจพรรคฯ จึงได้ประกาศนโยบาย 12 ข้อ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานจากปัญหาการเงิน ภายใต้ยุทธศาสตร์ สร้างเงิน-สร้างคน-สร้างชาติ คือ 

1.สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการไตรภาคีในการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำให้สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ภาวะเงินเฟ้อ และความสามารถในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการดูแลอย่างเป็นธรรม 

2.พัฒนาและฝึกอบรมแรงงานทุกระดับให้มีความรู้ และทักษะฝีมือที่มีมาตรฐานสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยความร่วมมือของฝ่ายนายจ้าง และหน่วยงานภาครัฐ เช่น ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้มีสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ฝ่ายจ้างตามเหมาะสม 

3.ดำเนินนโยบายขยายอายุเกษียณออกไปอีก 5 ปี ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยให้เป็นไปตามความสมัครใจของแรงงานเป็นสำคัญ 

4.สนับสนุน และผลักดันให้ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ และไม่มีรายได้ประจำให้เข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 33 เพื่อให้แรงงานได้รับสิทธิ สวัสดิการ การเยียวยา และการคุ้มครองอย่างเสมอภาค ตามกฎหมายแรงงาน 

5.ส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุ และคนพิการ โดยกำหนดให้มีรูปแบบที่หลากหลาย เหมาะสมกับความสามารถ และสภาพแห่งร่างกาย โดยสนับสนุนให้มีการร่วมกลุ่มเพื่อทำงานที่ถนัดในลักษณะเป็นธุรกิจเพื่อสังคม (social enterprises) พร้อมทั้ง จัดให้มีระบบการดูแลสวัสดิการที่เป็นธรรม 

‘มาดามเดีย’ร์ ช่วย ‘หมอตุลกานต์’ ลุยหาเสียงเมืองตรัง ยัน!! ‘ปชป.’ มีเลือดใหม่ไหลเข้าตลอด ย้ำ!! ไม่เอาเสรีกัญชา

มาดามเดียร์ ลุยเมืองตรัง ช่วย ‘หมอตุลกานต์’ ดึงเสียงคนรุ่นใหม่ ลั่น ปชป.ยังอยู่คู่คนไทยอีกนาน ย้ำจุดยืนไม่หนุนกัญชาเสรี

เมื่อวันที่ (1 พ.ค. 66) ที่ จ.ตรัง น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พร้อมด้วย นพ.ตุลกานต์ มักคุ้น ผู้สมัคร ส.ส. ตรัง เขต 1 หมายเลข 4 เดินพบปะประชาชน เพื่อแนะนำตัวและขอคะแนนสนับสนุน ภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ตรัง ซึ่งเป็นแหล่งรวมของเยาวชน คนรุ่นใหม่

ระหว่างการเดินมีประชาชนเข้ามาทักทาย มอบดอกไม้ให้กำลังใจ และขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พร้อมกับบอกว่าเป็นแฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าบางคนที่เข้ามาทักทายไม่ได้เป็นคนตรังก็ตาม จากนั้นได้ขึ้นรถแห่ประชาสัมพันธ์ขอเสียงสนับสนุนรอบบริเวณเมืองตรัง ก่อนที่จะขึ้นปราศรัยพบปะกับประชาชน

นพ.ตุลกานต์ กล่าวว่า วันนี้ตนมาขอเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน ขอโอกาสให้คนที่มีความรู้ ความสามารถ คนมีคุณภาพ ซื่อสัตย์สุจริต เข้าไปทำงานการเมือง เพื่อพัฒนาบ้านเรา พัฒนาประเทศชาติ เพราะประเทศชาติจะพัฒนาได้ การเมืองต้องสุจริต ขอย้ำว่า ขออย่าเลือกใครเพราะความกลัว โดยเฉพาะการกลัวว่ารับเงินเขามาแล้วจึงต้องเลือก แต่ให้เลือกคนที่ดี มีความจริงใจ ตั้งใจที่จะมาพัฒนาบ้านเรา

ด้านน.ส.วทันยา กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมืองที่มีความมั่นคง และจะยังคงอยู่คู่คนไทยต่อไปอีกยาวนาน ขออย่ากังวลกับข่าวที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มีแต่เลือดที่ไหลออก พรรคประชาธิปัตย์จะยังไหวหรือไม่ การที่ตนมายืนอยู่ตรงนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเพียงเลือดที่ไหลออกเท่านั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังมีเลือดใหม่อย่างตน และ นพ.ตุลกานต์ ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ มีอุดมการณ์ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า ใครที่สบประมาท ปรามาส ที่เขาให้ข่าวว่าร้ายพรรคประชาธิปัตย์ว่าแย่แล้ว อย่าไปเชื่อเขา เพราะการยืนอยู่ของตน และ นพ.ตุลกานต์วันนี้ นี่คือโอกาสที่จะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสมาทำงาน มาเสนอตัวเป็นผู้แทนของประชาชน

“การปรับเปลี่ยนของเลือดที่ไหลออก แต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพของเลือดใหม่ที่ไหลเข้า ที่เป็นเลือดใหม่ที่เป็น young blood ที่แท้จริง นั่นคือเครื่องตอกย้ำว่าประชาธิปัตย์จะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงอยู่คู่คนไทยไปอีกนานแสนนาน”

น.ส.วทันยา ยังย้ำจุดยืนอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนนโยบายยาเสพติดโดยเฉพาะกัญชาเสรี เพราะเป็นสิ่งที่จะทำลายอนาคตของลูกหลาน และอนาคตของประเทศชาติ และพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวและพรรคแรกที่ประกาศชัดว่าไม่สนับสนุนให้มีกัญชาเสรี แต่หากเป็นกัญชาทางการแพทย์ยินดีสนับสนุน

น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า กัญชาเสรีไม่ได้ทำลายเพียงอนาคตของลูกหลาน แต่ยังส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ กระทบกับรายได้ของประเทศ เนื่องจากมีหลายประเทศไม่สนับสนุน โดยเฉพาะประเทศจีน ตนเคยมีโอกาสคุยกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการค้าของจีน เขาแจ้งว่าหากประเทศไทยมีการเปิดกัญชาเสรี เขาจะห้ามนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทย หากเป็นเช่นนั้นประเทศไทยที่ต้องพึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ก็จะต้องได้รับผลกระทบด้วย

‘ชวน’ หนุน ‘แนน ศิริภา’ ลุยขอคะแนนชาวฝั่งธนฯ ย้ำ!! 14 พ.ค. เข้าคูหาเลือกคนซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อบ้านเมือง

‘นายหัวชวน’ เดินเท้าตลาดพลู ขอชาวฝั่งธนหนุน ‘แนน ศิริภา’ ย้ำ 14 พ.ค. เลือกคนซื่อสัตย์ เข้าสภาฯ ยกคดีส.ส.ตบทรัพย์ เป็นบทเรียนประชาชน อย่าเลือกนักการเมืองสีเทา 

(2 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ลงพื้นที่ย่านตลาดพลู เขตธนบุรี ขอคะแนนเสียงสนับสนุนให้กับ น.ส.ศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคฯ และผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขตธนบุรี คลองสาน และราษฎร์บูรณะ หมายเลข11 โดยนายชวน เดินพบปะทักทายบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น คนวัยทำงาน ที่มักจะมาท่องเที่ยวตลาดยามค่ำ ซึ่งเป็นอีกแลนด์มาร์คสำคัญของฝั่งธนบุรี มีร้านค้าอาหาร หลากหลายคงความดั้งเดิมและวิถีชีวิตของชาวตลาดพลูทำให้เป็นที่นิยมอย่างมาก 

นายชวน ได้ขอคะแนนเสียงให้ชาวฝั่งธนบุรี ช่วยกันเลือก น.ส.ศิริภา เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ และเป็นผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถ เชื่อว่า จะสามารถเป็นตัวแทนของชาวฝั่งธนบุรี ได้เป็นอย่างดี สมกับที่ตนสนับสนุนในฐานะที่เคยเป็นเลขาของตนระหว่างทำหน้าที่ในสภาฯ พร้อมกับ ขอคะแนนเสียงให้กับตนเอง ในฐานะผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ หมายเลข 26 พรรคประชาธิปัตย์ด้วย

‘อภิสิทธิ์’ ปะทะคารมเดือด ‘ธนาธร’ ถกประเด็นม.112 ชี้!! ‘ก้าวไกล’ ทำสับสน บางวันแก้ไข บางวันยกเลิก

เมื่อวานนี้ (1 พ.ค. 66) ในรายการยืนหนึ่งชิงนายก ที่มีพิธีกรนำโดย ‘พุทธ อภิวรรณ’ และ ‘ธีระ ธัญญอนันต์ผล’ ซึ่งมีตัวแทนจาก 2 พรรค อย่าง ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’  ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ที่ได้ถกถึงประเด็นการแก้หรือยกเลิก ม.112

นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่า “เอาตรงๆ ที่คนมองว่าเป็นเรื่องสุดโต่งมันเป็นประเด็นเรื่องเงื่อนไข ม.112 ซึ่ง ม.112 ก็มีความสับสนอีก เพราะว่าคุณพิธา บางวันก็บอกว่ายกเลิก บางวันก็บอกว่าแก้ 3 ประเด็น ถ้าเป็นแค่เรื่องแก้ไขบางผมว่าบางคนก็มองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง แต่ถ้าบอกว่ายกถูกก็ถูกมองว่าสุดโต่ง”

ซึ่งนายธนาธร ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “อันนี้ผมว่าคุณอภิสิทธิ์ เข้าใจผิดแน่ๆ เลยนะครับ ไม่เคยมีใครบอกว่ายกเลิก”

นายอภิสิทธิ์ ได้สวนกลับว่า “คุณพิธา ได้ไปติกสติกเกอร์บนเวทีว่ายกเลิกหรือแก้ไข” 

นายธนาธร ได้แก้ต่างว่า “อันนั้นบังคับ Yes or No แต่นโยบายพรรคไม่ใช่แค่พูด ทำไปแล้ว เสนอกฎหมายเข้าสู่สภาฯ ”

นายอภิสิทธิ์ ได้ถามกลับว่า “แล้วทำไมถึงไปติดสติ๊กเกอร์ตรงยกเลิก แทนที่จะติดว่าแก้ไข”

นายธนาธร ได้ให้คำตอบว่า “อันนั้นคุณพิธา อาจจะคิดได้ในนามส่วนตัว”

นายอภิสิทธิ์ ได้สวนกลับว่า “แต่คุณพิธา เป็นหัวหน้าพรรค”

นายธนาธร ได้ย้อนไปว่า “คุณอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรคหรือเปล่าครับ ในการเลือกตังครั้งที่แล้ว แล้วคุณพูดว่าอะไรครับ”

นายอภิสิทธิ์ จึงได้ตอกกลับไปว่า “ผมพูดแล้วผมลาออกครับ แล้วคุณพิธาจะลาออกไหมครับถ้าไม่ยกเลิก”

นายธนาธร ยังได้แก้ต่างอีกว่า “เขาไม่ได้พูดในเวทีสาธารณะเลยว่าจะยกเลิก ส่วนการติดสติกเกอร์เป็นความเห็นส่วนตัว”

ซึ่งพิธีกรฝีปากกล้าอย่าง พุทธ อภิวรรณ ได้ตั้งคำถามว่า “มันแยกได้เหรอครับ เขาเป็นหัวหน้าพรรค กับส่วนตัว เขาคือแคนดิเดตนายกฯ เลยนะ”

นายธนาธร ตอบกลับว่า “ลองกลับไปอ่านสิ่งที่คุณพิธาพูดนะครับ ว่าคุณพิธาพูดถึงเรื่องนี้ว่ายังไง การเสนอแก้ไขเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าเสนอแก้ไขเพื่อให้พูดจากันได้ยังทำไม่ได้ ก็ต้องอาจเสนอยกเลิก นี่คือสิ่งที่เขาพูด ไปลองฟังดูสิครับ”

พุทธ ได้ถามย้ำอีกว่า “เริ่มจากแก้ แต่การที่ไปติดสติกเกอร์ยกเลิกนี่กำลังจะหมายความว่าอย่างไร”

นายธนาธร ตอบกลับว่า “มันเรื่องส่วนตัวของเขา เขาจะไปติดอะไรก็ค่อยว่ากัน”

นายอภิสิทธิ์ ได้ตั้งคำถามอีกว่า “บังเอิญอันนี้ไม่ใช่ว่าคุณพิธาไปเดินอยู่แล้วมีคนมาให้ติดสติ๊กเกอร์โดยที่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันอยู่บนเวทีเลย และเขาเองก็พูดด้วย ซึ่งผมเองไม่ได้ติดใจอะไรนะถ้าคุณพิธามาบอกว่าเปลี่ยนแปลงแล้วนี่คือนโยบาย”

‘ดร.เอ้’ นำทัพ ‘ปชป.’ หาเสียงข้าม 2 จังหวัด แปดริ้วยาวถึงพัทยา ขอคะแนน ปชช.ให้โอกาสคนรุ่นใหม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจตะวันออก

(3 พ.ค. 66) ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัคร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลุยขอคะแนนหาเสียงวานนี้ (2 พ.ค.) ให้กับผู้สมัคร ส.ส.ภาคตะวันออก 2 จังหวัด ตั้งแต่แปดริ้ว บางแสน ศรีราชา พัทยา โดยร่วมกับนายประโยชน์ โสรัจจกิจ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 1 เบอร์ 4  นายศรุต วัฒนสมบูรณ์ ชลบุรี เขต 1 เบอร์ 8 นายสุขสันต์ มิสสาจันทร์ ชลบุรี เขต 7 เบอร์ 5 ว่าที่ ร.ต.ประกฤต กลิ่นวิชิต ชลบุรี เขต 9 เบอร์ 1 และมีผู้สมัครจากเขตอื่นมาร่วมกันเดินขอคะแนนในครั้งนี้ด้วย

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ได้กล่าวถึงปัญหาน้ำทะเลหนุนของแม่น้ำบางปะกง เพื่อจะได้ช่วยหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกับนายประโยชน์ โสรัจจกิจ ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 1 เบอร์ 4 จากปัญหานี้ ทำให้พี่น้องฉะเชิงเทราได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก น้ำทะเลหนุนจนน้ำประปาเค็มจัด ผู้ที่ไม่มีน้ำประปาใช้สุดลำบาก จึงมีแนวคิด ‘สูบน้ำกลับอ่างสียัด’ เพื่อให้ชาวแปดริ้วในพื้นที่ฝั่งซ้ายใช้น้ำจากอ่างสียัด ส่วนพื้นที่ฝั่งขวา ใช้น้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา และปล่อยน้ำจากแม่น้ำบางปะกงให้ไหลลงทะเล

อ่างสียัดมีศักยภาพบรรจุน้ำได้ 455 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันเก็บน้ำเพียง 250 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อปี แสดงว่ายังสามารถบรรจุได้อีก 250 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อปี จึงหาทางแก้ปัญหานี้ คือการสูบน้ำกลับอ่างสียัด เพื่อให้ได้ประโยชน์อื่น เพื่อชะลอการรุกตัวของน้ำเค็ม เพื่อมีน้ำให้ชาวนา ชาวสวน ชาวประมง และสำคัญมีน้ำดิบผลิตน้ำประปาเพียงพอตลอดทั้งปี แนวคิดนี้เป็นความคิดจากผู้สมัครเขต 1 ฉะเชิงเทรา ที่มุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ มุ่งหน้าต่อเข้าบางแสน ศรีราชา พัทยา จ.ชลบุรี ได้พบกลุ่มคนทุกอาชีพ ทั้งโซนโรงงาน โซนธุรกิจกลางคืน ผู้ประกอบอาชีพค้าขายทั่วไป โดยเสนอย้ำนโยบาย ‘ตรวจสุขภาพ ฟรี รักษา ฟรี บัตรประชาชนใบเดียว’ ให้กับกลุ่มโซนโรงงาน เป็นมาตรการเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการ รักษาพยาบาล และสร้างแรงจูงใจในการได้รับสวัสดิการที่พึงได้รับโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

‘ทีมเศรษฐกิจ ปชป.’ เปิดนโยบายแก้หนี้-พัฒนาระบบการเงิน ชู ‘หาดใหญ่’ เชื่อมต่อ ‘มาเลเซีย-อินโดนีเซีย’ สู่ฮับนานาชาติ

ปชป. เปิดนโยบายพัฒนาระบบการเงิน ผุดธนาคารท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นถือหุ้น ไม่พึ่งเงินรัฐ แก้หนี้ครัวเรือนให้ระบบเข้มแข็ง พร้อมแก้หนี้เกษตรกร ให้ธกส. เป็นเจ้าหนี้ฟื้นฟู จี้รัฐชำระหนี้ธกส. 8 แสนล้านโดยเร็ว ลั่น ทั้งปชป. ทำได้ หากได้เป็นรัฐบาล

(3 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ทีมเศรษฐกิจประชาธิปัตย์กับวาระประเทศไทย ครั้งที่ 5 แถลง“ปชป. กับนโยบายแก้หนี้ประชาชนและการพัฒนาระบบการเงิน” โดยนายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบายและทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การพัฒนาระบบการเงิน เรื่องที่ 1 การลงทุนพัฒนาหาดใหญ่ จ.สงขลา ให้หาดใหญ่เชื่อมต่อมาเลเซีย อินโดนีเซียด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง และสนามบินที่อาจจะมีการขยายเพิ่มเติมจากปัจจุบันเป็นสนามบินนานาชาติ และให้เป็นศูนย์กลางของภาคใต้ โดยประชาธิปัตย์จะประกาศนโยบายพัฒนาหาดใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติในภูมิภาค ด้วยศักยภาพของหาดใหญ่ หากกระตุ้นให้หาดใหญ่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนโยบายความรุ่งเรืองก็จะกลับมา หากประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นรัฐบาลเราจะทุ่มเทในเรื่องนี้เพราะภาคใต้เรามีส.ส.มากที่สุด และผู้ใหญ่ในพรรคฯก็ยินดีทำเรื่องนี้ และจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายเช่นเรื่องภาษีอากร จะต้องไม่ด้อยไปกว่าสิงคโปร์

นายพิสิฐ กล่าวว่า เรื่องที่ 2 การพัฒนาให้มีธนาคารท้องถิ่น เราจะส่งเสริมให้มีธนาคารพัฒนาท้องถิ่นเกิดขึ้นเพราะท้องถิ่นทั่วประเทศมีเงินเก็บมากมาย เพราะแต่ละที่ถูกกฎหมาย ระเบียบการคลังบังคับว่า จะต้องทำงบประมาณแบบเกินดุล แล้วเอาเงินไปฝากธนาคารพาณิชย์โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรวันดีคืนดีผู้บริหารท้องถิ่นก็เอาเงินไปซื้อโคมไฟเสาไฟฟ้ากินรี แต่เราจะมีการจัดตั้งธนาคารท้องถิ่นโดยให้ท้องถิ่นต่างๆ เป็นผู้ถือหุ้น และบริหารธนาคารท้องถิ่นเอง ระดมเงินในการพัฒนาเพื่อการลงทุนระยะยาวทั้งประปา ถนน โรงเรียนอนุบาล โดยรัฐบาลไม่ต้องใส่เงินเข้าไป ซึ่งในต่างประเทศ รัฐบาลท้องถิ่น องค์การปกครองท้องถิ่น สามารถออกพันธบัตรท้องถิ่นได้ แต่บ้านเราไม่มีใครทำ ไปกระจุกที่กระทรวงการคลัง แล้วกระทรวงการคลังก็ยังกระกั๊กให้รัฐบาลกลางเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องเปิดทางให้ธนาคารท้องถิ่นได้มีโอกาสระดมเงินออกพันธบัตร ซึ่งจะทำให้เงินที่อยู่ในตลาดทุนที่มีมากมายมหาศาลได้มีโอกาสมาใช้ประโยชน์เพื่อให้ท้องถิ่นเจริญ และประเทศไทยก็มีฐานะที่ดีขึ้น ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องให้มีธนาคารเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นเกิดขึ้น เหมือนธนาคารเอสเอ็มอี ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) 

นายพิสิฐ กล่าวต่อว่า และเรื่องที่ 3 ธนาคารสหกรณ์ เงินที่สหกรณ์มีอยู่รวมแล้วไม่น้อยไปว่าธนาคารออมสิน คือ 3.3 ล้านล้านบาท หรือเทียบกับธนาคารเอสเอ็มอี สหกรณ์มีเงินในรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ มากกว่าธนาคารเอสเอ็มอี ปัจจุบันเงินเหล่านี้ไม่มีการบริหารจัดการมาตรฐานสากล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการให้ธนาคารสหกรณ์เกิดขึ้น โดยการออกกฎหมาย เพราะสหกรณ์ต่างๆ มีเกือบ 200 แห่ง เพราะสหกรณ์มีเงินอยู่แล้ว เพียงแต่เรายกฐานะขึ้นมาเป็นธนาคาร โดยที่ไม่ต้องใช้เงินของรัฐ ไม่มีการเกิดหนี้สาธารณะ เพื่อให้มีการรวมศูนย์และเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริง  

นายพิสิฐ กล่าวต่อว่า เรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มีความพยายามยามที่จะหาทางแก้ไข หลายพรรคการเมืองมีการประกาศเช่น จะพักหนี้ 3 ปี 5 ปี ไม่เอาเครดิตบูโรมาทำใช้ ซึ่งเป็นการแทรกแซงการทำงานของภาคธุรกิจการเงิน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เดินตามนั้น เราจะเดินตามแนวของวิธีการที่จะทำให้ระบบเข้มแข็งขึ้นไม่ให้อ่อนแอลง และไม่เสียประวัติในเรื่องเหล่านี้ ที่ผ่านมา 3 ปีประชาชนมีปัญหาเรื่องการเงินจากสถานการณ์โควิด-19 หนี้ครัวเรือนกระโดดจาก 80 % เป็น 90% ถึงตอนนี้ลดลงมาเหลือ 86% ดังนั้นเรามีเป้าหมายลดหนี้ครัวเรือนลงไปให้ต่ำกว่า 80% ของจีดีพีให้ได้ในระยะสั้นๆ และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของผู้ที่มีเงินเดือน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก กบข. สหกรณ์ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จึงต้องปลดล็อกกฎหมาย 3 ฉบับแก้เป็น 1 มาตรา คือกฎหมายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายสกรณ์ และกฎหมายกบข. และอัดฉีดเงินผ่านธนาคารหมู่บ้าน/ชุมชน ละ 2 ล้านบาท การเพิ่มเอสเอ็มอี โดยกองทุนเอสเอ็มอี ทำให้เกิดมีรายได้ จีดีพีขยายตัวเกิน 5% จากโครงการต่างๆ 

‘สามารถ’ จับมือทีม ‘ศก.’ ชูนโยบายระบบรางทั่วประเทศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์-รถไฟทางคู่ 7 สายในปี 70- รถไฟไฮสปีด

ปชป.ชูนโยบายพัฒนาระบบรางทั่วไทย กระจายความเจริญทั่วทุกภาค ลดต้นทุนโลจิสติกส์ แก้ระบบประมูลต้องเปิดกว้าง ดันสร้างรถไฟทางคู่ 7 สายภายในปี 70 เร่งสร้างรถไฟความเร็วสูง ‘หนองคาย-โคราช’

(3 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงนโยบายผลักดันระบบรางทั่วไทย ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และปิดประตูการประมูลเอื้อเอกชน ว่าประเทศไทยมีทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคนี้ แต่กลับมีต้นทุนระบบการขนส่งโลจิสติกส์ต่อจีดีพีสูงมาก อยู่ที่ประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประเทศอื่นๆ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศที่มีระบบรางที่ดีจะมีต้นทุนดังกล่าวประมาณ 8-9 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุที่ประเทศไทยยังมีต้นทุนระบบโลจิสติกส์สูงเป็นเพราะเราพึ่งพารถยนต์เป็นหลัก ขณะนี้จึงถึงเวลาแล้วที่ประเทศเราต้องขับเคลื่อนประเทศด้วยระบบราง ให้รถไฟเป็นทางเลือกในการขนส่งของไทย

นายสามารถ กล่าวอีกว่า ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายด้านการพัฒนาระบบราง ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 620,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 4-6 ปี แบ่งเป็นเงินลงทุนจากภาครัฐ 510,000 ล้านบาท คิดเป็น 82 เปอร์เซ็นต์ และเงินลงทุนจากภาคเอกชน 110,000 ล้านบาท คิดเป็น 18 เปอร์เซ็นต์ โดยการพัฒนาระบบราง มีดังนี้ 1.เร่งรัดแผนการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 สาย ในช่วง 4 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2570 รวมเป็นระยะทาง 1,483 กิโลเมตร (กม.) วงเงินประมาณ 270,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. ปากน้ำโพ-เด่นชัย 2. เด่นชัย-เชียงใหม่ 3. ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี 4. ขอนแก่น-หนองคาย 5. ชุมพร-สุราษฎร์ธานี 6. สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา และ 7. หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ โดยหลังจากก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 สายนี้เสร็จสิ้น จะทำให้ระยะทางของรถไฟทางคู่ในประเทศ เพิ่มเป็น 3,404 กม. ส่วนรถไฟทางเดี่ยวเหลืออยู่ 1,211 กม. ขณะที่ทางสามยังมีเท่าเดิม คือ 107 กม. และเมื่อรวมทั้งหมดนี้แล้ว จะทำให้ในปี 2570 ประเทศไทยมีโครงข่ายเส้นทางรถไฟรวมเป็น 4,722 กม. ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทย จาก 14 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 12 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแนวทางการประมูลรถไฟทางคู่ เราจะเปิดกว้างให้มีผู้รับเหมาทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางเข้ามาแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าก่อสร้างได้ และทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น

“ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ดูแลกระทรวงคมนาคม การประมูลรถไฟทางคู่ที่เคยสร้างความประหลาดใจในส่วนของเส้นทางสายเหนือ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายอีสาน ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เนื่องจาก ราคาที่ได้จากการประมูลต่ำกว่าราคากลาง แค่ 0.08 เปอร์เซ็นต์เท่ากันทุกสัญญา จะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน” นายสามารถ กล่าว

นายสามารถ กล่าวว่า สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง จากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทำแผนแม่บทรถไฟความเร็วสูงขึ้นเมื่อปี 2553 เราจะสานต่อการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย โดยจะเร่งก่อสร้างเส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา ระยะทาง 355 กม. วงเงินประมาณ 230,000 ล้านบาท ซึ่งจะเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูง จีน-ลาว เพื่อรองรับผู้โดยสารจากประเทศจีนและลาวที่เข้ามาในประเทศไทย ช่วยสร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ และถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ดูแลกระทรวงคมนาคม ประชาชนจะได้ใช้รถไฟความเร็วสูง ช่วงหนองคาย-นครราชสีมา ภายในเวลาไม่เกิน 6 ปี โดยจะเร่งแก้ปัญหาการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซึ่งมีปัญหาการเวนคืนที่ดิน การขอใช้พื้นที่หน่วยงานของรัฐ และปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ต้องปรับรูปแบบการก่อสร้าง

นายสามารถ กล่าวว่า พรรคฯยังมีนโยบายเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชนในเมืองมหานคร เพื่อกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่หัวเมืองหลักในภาคต่างๆ โดยเราจะสนับสนุนการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบา ในจ.เชียงใหม่ ระยะที่ 1 วงเงิน 27,200 ล้านบาท, ที่จ.ขอนแก่น วงเงิน 22,000 ล้านบาท ที่จ.นครราชสีมา ระยะที่ 1 วงเงิน 18,400 ล้านบาท และที่จ.ภูเก็ต ระยะที่ 1 วงเงิน 30,200 ล้านบาท อีกทั้งจะสนับสนุนการก่อสร้างรถรางล้อยาง (Auto Tram) ที่จ.พิษณุโลก วงเงิน 760 ล้านบาท รวมทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) ระยะที่ 1 ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วงเงิน 16,200 ล้านบาท รวมวงเงินจากโครงการเหล่านี้เป็นเงินเกือบ 120,000 ล้านบาท โดยจะเป็นโครงการที่ช่วยให้ประชาชนลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ลดมลพิษ และจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

‘ชวน’ นำทีม ‘ปชป.’ ลุยหาเสียง อ้อนขอคะแนนชาวปัตตานี ย้ำ!! ช่วยสนับสนุนพรรคการเมืองสุจริต อย่าเลือกเพราะเงิน

‘ชวน’ นำทีมประชาธิปัตย์ บุกขอคะแนนชาวปัตตานี วอนอย่าเลือกเพราะเงิน ลั่นปชป. จะขึ้นหรือลงก็อยู่พรรคนี้ ย้ำยึดหลักปชต.สุจริต แซะหัวหน้าบางพรรค ถูกสอบทุจริต

(3 พ.ค. 66) ที่ จ.ปัตตานี นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. และนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. ขึ้นรถแห่รอบพื้นที่เขตเทศบาลเมืองปัตตานี ช่วยหาเสียงให้นายสนิท นาแว ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 8 และเข้าสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ศาลเจ้าเล่งจูเกียง ปัตตานี ก่อนเดินทางไปตลาดปาลัส อ.ปะนาเระ และเทศบาลเมืองตะลุบัน อ.สายบุรี หาเสียงให้ นายยูนัยดี วาบา ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 เบอร์ 6

นายชวน กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีหลักการประชาธิปไตยสุจริต ไม่มีหัวหน้าพรรคคนไหนที่ถูกคดีทุจริต ไม่เหมือนบางพรรค ที่มีหัวหน้าพรรคมาไม่กี่คนก็ถูกสอบทุจริต ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ริเริ่มการให้เบี้ยผู้สูงอายุ วันนี้เราจะเพิ่มให้อีกมากกว่า 1,000 บาทตามสภาพเศรษฐกิจ แม้หลายพรรคจะแข่งกันเสนอตัวเลขว่าจะให้มากกว่า แต่สุดท้ายต้องดูความเป็นไปได้ เพราะแจกเงินก็ได้ผลแค่ช่วงแจก แต่ไม่ยั่งยืน ระยะยาวเป็นภาระหนี้สินของประเทศ แต่พรรคทำนโยบายที่ยั่งยืน เช่น นมโรงเรียน โครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อให้เด็กไทยมีโอกาสในการศึกษา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top