Thursday, 22 May 2025
พรรคก้าวไกล

‘สนธิญา’ ร้อง กกต. สอบคุณสมบัติ ‘พิธา’ ปมถือหุ้นสื่อ ชี้!! หากผิดจริง อาจพาผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกลเป็นโมฆะไปด้วย

(12 พ.ค. 66) ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง ​(กกต.)​ นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ หลังถูกตรวจสอบแล้วพบว่า ยังถือครองหุ้นในบริษัทสื่อสารมวลชน อาจเข้าข่ายขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ​(พ.ร.ป.)​ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

นายสนธิญา กล่าวว่า​ การถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา​หากตรวจสอบแล้วพบว่า นายพิธามีความผิดจริงจะส่งผลให้จำนวน ส.ส.ไม่ถึง 90% และจะทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากนายพิธาเป็นหัวหน้าพรรคที่ต้องรับรองคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล แต่เมื่อนายพิธาขาดคุณสมบัติเสียเอง ก็จะส่งผลทำให้การรับรองคุณสมบัติของผู้สมัครพรรคก้าวไกลทุกคนเป็นโมฆะ

นายสนธิยา ยังกล่าวว่า ตนได้เปิดแฟนเพจเพื่อรับเรื่องร้องทุกข์แจ้งเหตุการณ์ทุจริตการเลือกตั้งซึ่งพบว่ามีหลายคนส่งข้อความมาแจ้งเรื่องของการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง มีหัวคะแนนของพรรคการเมืองและผู้สมัครตระเวนเก็บบัตรประชาชนและจดรายชื่อของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยสัญญาว่าจะให้เงิน ซื้อเสียง แต่จนถึงตอนนี้ใกล้วันเลือกตั้งแล้วหัวคะแนนยังไม่ยอมมาจ่ายเงินตามที่สัญญาไว้จึงอยากให้กรรมการการเลือกตั้งส่งผู้ตรวจการเลือกตั้งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร โดยได้นำหลักฐาน เป็นภาพและเบอร์ของผู้สมัครพร้อมทั้งข้อความการพูดคุยผ่านทางเมสเซนเจอร์แฟนเพจมายื่นให้กับกกต.ประกอบการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

‘วิษณุ’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ เสียงทะลุ 300 มั่นคงแล้ว แนะ ใช้ไมตรีแลกเสียงโหวต เชื่อ จัดตั้ง รบ.ได้

(18 พ.ค. 66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ห่วงจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ว่า ไม่ทราบ ตนตามเรื่องเท่าที่สื่อมวลชนเสนอ ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น ตอนนี้รอดูว่าจะรวบรวมเสียงเป็นปึกเป็นแผ่นได้หรือไม่ เท่าที่ทราบปัจจุบันรวบรวม 313 เสียง มันก็มั่นคงถาวรแล้ว ซึ่งเสียงเกิน 250 ถือว่ามั่นคงแล้ว รัฐบาลที่แล้วตนยังบอกว่าเรือเหล็กเลย แต่ครั้งนี้ยิ่งกว่าเหล็กอีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงอย่างไรต้องอาศัยเสียง ส.ว.อีก 60 กว่าเสียง นายวิษณุ กล่าวว่า อาศัยในช่วงของการโหวตนายกฯ และอาจจะต้องอาศัยอีกในตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ตนถึงได้พูดไปก่อนหน้านี้ว่า เชื่อเถอะว่าปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง ตนยังยืนยันแบบนี้อยู่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันไป ยังมีเวลาอีกตั้ง 60 วัน กว่าจะประกาศรายชื่อ ส.ส. และกว่าจะถึงเวลาเลือกนายกฯ บวกเข้าไปอีกร่วม 30 วัน รวมแล้ว 3 เดือน ต้องใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปด่าทอกัน หรือประชดประชันกัน มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ เพราะต่างก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรัฐสภา มันไม่ใช่แค่ทำงานฉาบฉวย สำหรับการเลือกนายกฯ อาจจะไม่ใช่ภารกิจยุ่งยากเท่าไหร่ แต่การผ่านกฎหมาย การอะไรต่ออะไรยังมีมากกว่านี้ และหลายคนใน 6-7 พรรคนี้ก็พยายามประสาน เพราะเขามีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ ฉะนั้น ใช้เวลาตอนนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าลงมือด่าทอตบตีกันตั้งแต่วันแรก

เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวมกับพรรคอื่นได้ 8 พรรคแล้ว นายวิษณุ กล่าวว่า กี่พรรคก็ช่าง แต่ตนเห็นว่ามันมั่นคงแล้ว เมื่อถามว่า ไม่เยอะเกินไปใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า แล้วแต่แกนนำรัฐบาลจะไปคิดกัน เราจะไปวิจารณ์เขาได้อย่างไรว่าเยอะไป ถ้าเขาได้ 500 ยิ่งดีใหญ่

เมื่อถามว่า มีคนประเมินว่าในรัฐสภาจะไม่สามารถเลือกนายกฯได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนไม่ได้ประเมิน เมื่อถามว่า ในทางกฎหมาย หากโหวตชื่อแคนดิเดตนายกฯ คนใดคนหนึ่งไปแล้ว แต่ไม่ผ่าน จะสามารถนำชื่อเดิมกลับมาโหวตอีกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ได้ โหวตมันทุกวันน่ะแหละ ชื่อเดิมก็ได้”

เมื่อถามว่า พรรคอันดับ 2 จะสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นไปก็ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ทุกอย่าง มันต้องอาศัยเสียงกึ่งหนึ่งในรอบแรก เพราะว่ามาตรา 272 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ต้องมีความเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภาฯ ที่มีอยู่ ซึ่งคือ 376 เสียง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็โหวตอีก โหวตไปโหวตมาจนกระทั่งในที่สุดจะเปลี่ยนไปใช้มาตรา 272 วรรคสองก็แล้วแต่ หรือจะโหวตซ้ำมาตรา 272 วรรคหนึ่งก็ได้ ไม่เป็นไร เพราะมันอาจจะมีเหตุผลใหม่ๆ ดีๆ และมีคนเปลี่ยนใจเพิ่มขึ้นก็ได้ สำคัญคือ วันแรก ด่านแรก ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

ต่อข้อถามว่า มาตรา 272 วรรคสอง ที่จะใช้ได้คืออะไร นายวิษณุ กล่าวว่า แปลว่าเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว หาบุคคลอื่น แม้กระนั้นพอจะใช้วรรคสองที่ระบุว่า ทั้งนี้ อาจจะเสนอรายชื่อบุคคลที่อยู่ในรายชื่อนายกฯที่แต่ละพรรคเสนอได้ ซึ่งมันก็กลับมาใช้ได้อีก เห็นไหมล่ะ ขนาดใช้วรรคสองยังกลับมาใช้ชื่อเดิมได้อีก แล้วนับประสาอะไรกับแค่วรรคหนึ่ง รอบแรกไม่ผ่าน แล้ววันหลัง อาทิตย์หน้ามาใหม่ๆ ก็เสนอรายชื่อเดิมได้

เมื่อถามอีกว่า แบบนี้แสดงว่ามีสิทธิที่จะใช้นายกฯ นอกบัญชีได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ก็ได้ทั้งนั้น แต่อันนี้เป็นกรณีของวรรคสอง ซึ่งยาก เพราะกว่าจะได้วรรคสองมันต้องใช้เสียงถึง 2 ใน 3 ซึ่งมันยาก มันไม่เกิดได้ง่ายๆ หรอก แล้วเดี๋ยวพวกคุณก็ไปลงข่าวว่าผมชี้ช่องอีก เอาแค่วรรคหนึ่งให้มันจบและผมก็เชื่อว่าจบด้วย”

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ามั่นใจว่าจะตั้งรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ผมไม่มั่นใจ แต่ผมเชื่อ”

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการใช้กระแสโซเชียลมีเดียมากดดันให้โหวตนายกฯ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่อง ไม่ทราบเลย เมื่อถามว่า จะทำให้มีปัญหาตามมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวย้ำว่า ไม่ทราบ

‘พิธา’ สร้างตำนานใหม่!! ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มาแถลงข่าว ด้านแกนนำ 8 พรรค ตบเท้าเข้าร่วมงานแถลงจัดตั้งรัฐบาล

(18 พ.ค. 66) แถลงข่าวพรรคร่วมรัฐบาลก้าวไกลทั้ง 8 พรรค ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ โดยประกอบไปด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคเพื่อไทย, พรรคไทยสร้างไทย, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคสังคมใหม่, พรรคเพื่อไทยรวมพลัง, พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม

โดยช่วงเวลาประมาณ 09.30 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ได้นั่งวินจักรยานยนต์รับจ้างมาที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เพื่อทำการแถลงข่าวการหารือจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 8 พรรค ถือเป็นการสร้างตำนานบทใหม่กับชาวด้อมส้ม

‘สุวัจน์’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ ได้ 313 เสียง ถือว่ามีเสถียรภาพมาก ด้าน ‘ชพก.’ ได้ 2 เสียง พร้อมเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน

(18 พ.ค. 66) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมงานฉลองครบรอบ 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยมี นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมพิธีด้วย โดยก่อนเริ่มพิธี นายสุวัจน์ได้เข้ากราบสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ ‘เจ้าคุณธงชัย’ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ที่เดินทางมาเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกเหรียญ 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

นายสุวัจน์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ว่า บรรยากาศตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่หลายพรรคการเมืองแสดงสปิริตทางการเมือง ในการเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 1 เป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการในการจัดตั้งรัฐบาล แต่หลังจากนี้ไปก็คงต้องรอการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเป็นทางการจาก กกต.ก่อน ซึ่งจะต้องรับรองผล 95% ภายใน 60 วัน ก่อนที่จะมีการเลือกประธานรัฐสภา และนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคชาติพัฒนากล้า ถือว่าครั้งนี้ได้ ส.ส.เพียง 2 คนไม่สามารถทำอะไรได้มาก พร้อมที่จะเป็นได้ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อทาบทามมาที่พรรคชาติพัฒนากล้าแต่อย่างใด

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ที่พรรคก้าวไกลสามารถรวมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้ถึง 313 เสียง ถ้าพูดถึงเฉพาะระบบรัฐสภา ก็ถือว่ามีเสถียรภาพมาก เพราะตนเองก็พูดมาโดยตลอดในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า รัฐบาลที่มีเสถียรภาพต้องมีอย่างน้อย 300 เสียงขึ้นไป แต่ด้วยกติกาครั้งนี้ที่มีบทเฉพาะกาล ซึ่งจะต้องอาศัยเสียงของ ส.ว.250 เสียง เข้ามาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีกับ ส.ส.500 เสียงด้วย เพื่อให้ได้เสียงเกิน 375 เสียง จึงทำให้ต้องมารอลุ้นเสียงของ ส.ว.ด้วยว่าการตัดสินใจของ ส.ว.จะออกมาเช่นไร

“การเมืองวันนี้ต้องหันหน้าเข้าหากันพูดคุยกัน อะไรที่ไม่เข้าใจกัน เพราะหลังเลือกตั้งแล้วเป็นเรื่องของบ้านเมือง ก่อนเลือกตั้งเป็นเรื่องการเมือง วันนี้ถ้าพูดคุยกันได้บางที ความเข้าใจผิดหรืออะไรต่างๆ มันก็จะคลี่คลายไป อันนี้ก็เป็นวิธีการที่ฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลต้องไปดําเนินการ ว่าทําอย่างไรที่จะได้เสียงจากวุฒิสมาชิก มาสนับสนุนให้เพียงพอ” นายสุวัจน์ กล่าว

‘จตุพร’ ฟันธง!! ‘ก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ชี้ การเมืองถึงทางตัน แต่ขออย่าลงถนน หวั่นเจอรัฐประหาร

‘จตุพร’ วิเคราะห์การเมือง เชื่อ!! ไม่ว่าอย่างไร ‘ก้าวไกล’ ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและฝ่าด่าน ส.ว.ได้ ถือเป็นทางตันทางการเมือง ที่สำคัญยังอยู่ในช่วง 2 เดือนอันตรายที่ กกต. – ศาลชี้เป็นตาย เตือนอย่าลงถนนปลุกรัฐประหาร

(18 พ.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชนเปิดเผยว่า วันนี้ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด แม้จะมีความไม่เห็นไม่ตรงกับนายทักษิน ชินวัตร ในการหาเสียงที่ผ่านมา โดยได้วิจารณ์ทุกฝ่ายทำหน้าที่ฐานะประชาชนหาทางออกให้บ้านเมือง เคยบอกให้ทุกฝ่ายต้องหลอมรวมกันต้องคุยกันไม่งั้นเราจะมาเจอกับด่าน ส.ว.ด่านรัฐธรรมนูญ กับดักมากมาย ให้ทำสัญญาประชาคมร่วมกันทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านจะมีทางออกร่วมกัน จนกระทั่งมีโอกาสที่จะลงเดินท้องถนนกันใหม่ ก็ไม่อยากจะเห็น ไม่ต้องการวีรชนเพิ่ม

นายจตุพรยังวิเคราะห์ถึงการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลว่า ต้องยอมรับความเป็นจริงการจัดตั้งรัฐบาล จะ 6 พรรคหรือ 8 พรรค 313 เสียงก็ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะว่ารัฐธรรมนูญบัญญัติในช่วงระยะเวลา 5 ปี ต้องใช้ เสียงเกินครึ่งของรัฐสภา คือ 375 + 1 หรือ 376 แม้ว่าจะมี ส.ว. บางคนรวมด้วยแล้วจะมีตัวเลขถึงจำนวนดังกล่าว ความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลแทบจะเป็นศูนย์ ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่ากลไกลักษณะนี้ ถ้าต้องการจัดตั้งรัฐบาล ต้องรอจน ส.ว.หมดอายุ ในเดือน พ.ค. 2567 ณ วันนี้เราเดินมาถึงทางตันของการเมือง ส.ว.โดยส่วนใหญ่ได้แสดงเจตนาที่จะไม่โหวตให้ใคร ทำให้ไม่สามารถมีเสียงถึงจำนวนที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้นี่คือทางตันทางการเมือง แม้จะมีความคิดวิธีอื่น แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ทำยากมากที่สุด คือพรรคร่วมในจำนวน 8 พรรค ไปจับมือกับอีกฟากหนึ่ง แล้วจะถูกประณามทั้งแผ่นดิน

“วันนี้ภาวะประเทศถึงทางตันต้องยอมรับความเป็นจริงว่าไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้หวังไว้แต่มองหาความสำเร็จไม่เจอ หนำซ้ำในช่วง 2 เดือนนี้ยังไม่รู้ว่า กกต.จะลงมือตามคำร้องอย่างไร ไม่ว่าเรื่องคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เรื่องการยุบพรรค 5 พรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรคที่ได้คะแนนเป็นหลักกันทั้งสิ้นยังไม่นับใบแดง เหลือง ส้ม ที่จะมีการแจกกันอีก ดังนั้นจุดชี้ขาดการเมืองตอนนี้อยู่ที่ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ”

เมื่อถามว่าหากพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลแทนได้หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะซื่อสัตย์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ ถ้าพรรคเพื่อไทยซื่อสัตย์จับมือก็จะได้ 313 เสียง วันนี้ที่ ส.ว.พยายามจะส่งเสียงก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ บอกว่าถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยก็พอรับกันได้ แต่ถึงเวลาก็รวมไม่ได้อยู่ดี แต่พรรคร่วมจะ 6 หรือ 8 พรรคต้องมีความซื่อสัตย์ให้กัน จึงได้บอกนายพิธาว่า วันนี้ให้ลงสัตยาบันกันเสีย ว่าจะไม่ทิ้งไม่แยกจากกัน เพราะยังไม่ได้ลงนามอย่างเป็นทางการ เพียงแค่จับมือ ก็รอสะบัดมือกันได้ตลอดเวลา พวกเก๋าเกมการเมืองบอกว่านี่คือละครฉากแรกเท่านั้น ถึงไม่ทรยศต่อกันก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ใช่ว่าข้ามฝากและทรยศหมู่มิตร โดยอ้างว่าเป็นการทำเพื่อหาทางออกให้ประเทศแต่ความจริงก็เป็นการหาทางออกให้กับตนเอง ไม่ต้องการคำว่าเสียสัตย์เพื่อชาติเกิดขึ้นอีก
.
ไม่เชื่อว่าพรรคที่ได้เสียงข้างน้อยในปัจจุบันจะกล้าจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะจะเป็นการท้าทายประชาชน ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างยืนอยู่ 3 จุดแบบนี้และจัดการไม่ได้บีบกันไปเรื่อยๆ แต่ยังมีจุดชี้ของสถานการณ์ ก็คือ กกต.ในห้วงระยะเวลา 2 เดือนนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนมากมาย

“มีโอกาสสูงที่จะเกิดการลงถนนหลังจากนี้ ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการเคลื่อนไหวให้มากและอย่าปล่อยให้เกิดช่องว่างหรือสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การรัฐประหารได้ อะไรควรทำไม่ควรทำก็ขอให้ระลึกเอาไว้ทุกฝ่าย” นายจตุพร กล่าว

‘อลงกรณ์’ ยืนยัน ข่าวดีล ร่วมรัฐบาลก้าวไกล ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวลือ เพื่อดิสเครดิต พรรคประชาธิปัตย์

นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าววันนี้ ( 19 พ.ค. ) ว่า ตามที่มีสื่อมวลชนบางส่วนอ้างรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า”มีความเคลื่อนไหวของว่าที่ ส.ส. พรรค ปชป. ในกลุ่มของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค พยายามติดต่อไปยังพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย เพื่อขอเข้าร่วมรัฐบาล

โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง ว่าที่ ส.ส. สงขลา และนายชัยชนะ เดชเดโช ว่าที่ ส.ส. นครศรีธรรมราช เป็นคีย์แมนหลักในการเดินเกม นั้น ขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง ขอให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอโดยเฉพาะการอ้างแหล่งข่าวที่ไม่ระบุตัวตนเพราะอาจตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์โดยไม่รู้ตัว

นายอลงกรณ์ยังบอกด้วยว่า ทันทีที่เห็นข่าวดังกล่าวได้สอบถามไปยังนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และได้รับการยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง

และตนยังยืนยันข้อเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์โหวตหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อสนับสนุนหลักการเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรต้องได้เป็นรัฐบาล ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลพรรคก้าวไกล และยืนยันจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 และประมวลกฎหมายอาญา ม.112

‘ชาติพัฒนากล้า’ ตัดสินใจร่วม ‘รัฐบาลก้าวไกล’ เป็นพรรคที่ 10 รวมเสียงได้ 316 เสียง พร้อมหนุน ‘พิธา’ นั่งนายกฯ คนที่ 30

(19 พ.ค. 66) ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ล่าสุดมีรายงานว่า พรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และมีนายกรณ์ จาติกวณิช เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า มีว่าที่ ส.ส.จำนวน 2 เสียง ได้ตัดสินใจเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลแล้ว โดยเป็นพรรคลำดับที่ 10 หลังจากก่อนหน้านี้ ‘พรรคใหม่’ เพิ่งประกาศตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ มีพรรคร่วม 10 พรรค รวบรวมเสียงได้ 316 เสียง ในการสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการแถลงข่าวเข้าร่วมรัฐบาลในเร็ววันนี้

เกมการเมืองอาจมีพลิก ‘เพื่อไทย’ อาจกลายเป็นพระเอก

เปลว สีเงิน สื่อมวลชนอาวุโส นักเขียนคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้เขียนบทความลงใน Thaipost เกี่ยวกับการจะเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ว่ายังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะแนวคิดที่จะแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 อาจจะทำให้พรรคอื่นๆที่จะเข้าร่วมรัฐบาลนั้น มีความลำบากใจ และ MOU ที่จะเป็นข้อตกลงร่วมกันนั้น ก็ยังมีความกำกวม โดยเปลว สีเงิน ได้เขียนไว้มีใจความว่า

กลับลำยากซะแล้วละ...พิธา!

เมื่อ เงื่อนไขสำคัญเรื่อง "มาตรา ๑๑๒" กำกวมอยู่ใน MOU คือไม่ชัดเจนว่า "จะเลิก" หรือ "จะแก้ไข"?

ทำให้ "อย่างน้อย" ๒ พรรคใน ๘ เริ่มคิดหนัก!

ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมตั้งรัฐบาลกับก้าวไกล?

เห็น "พรรคเพื่อไทย" ๑๔๑ เสียง ออกอาการขมวดคิ้ว บ่งบอกความอึดอัด

คุณหญิงสุดารัตน์ "ไทยสร้างไทย" ๖ เสียงเปรยเบาๆ

ดิฉันได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)

และ "เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๔ จตุตถจุลจอมเกล้า (จ.จ.)

อันเป็นเครื่องหมายของขุนน้ำ-ขุนนาง-ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี

ดังนั้น เมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับสถาบันและความมั่นคง ดิฉันต้องขอพิจารณาดูก่อนค่ะ"

เห็นมั้ยพิธา..........

ผมอาบน้ำเย็นมาก่อน บอกแล้วไม่เชื่อ ว่าอย่าเพิ่งโก่งคอขัน "แต่หัววันว่าผมคือนายกฯ คนที่ ๓๐ ของคนไทยทั้งประเทศ"

เกิด "ผิดล็อก-ผิดร่อง" ขึ้นมา มันจะอายเค้า!

เพราะก้าวไกล จะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่นั้น มันไม่ได้อยู่ที่ ๑๕๒ เสียงก้าวไกลหรอก

แต่มันอยู่ที่ ๑๔๑ เสียงของ "เพื่อไทย" ตะหาก!

แค่เพื่อไทยส่ายหน้า บอก.........

พรรคผม "ไม่แตะ" เรื่องสถาบัน ๑๕๒ เสียงจบเลย

และคำว่า "พรรคผม" ไม่แตะเรื่องสถาบัน" นั้น

มันจะสร้าง "ความชอบธรรม" ให้ "เพื่อไทย" เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับเป็นการ "สลายทุกเงื่อนไข" ในการที่ใครจะไม่สนับสนุน

รวมทั้ง ส.ว. "ชัวร์ ๑๐๐%!"

เพราะการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันและกองทัพสุดขั้วของก้าวไกล ถึงขั้นจะเข้าไปล้างบางกองทัพ

แถมหยามราชนาวีไทย ถึงขั้น จะเอาเรือประมงมาแทนเรือรบ นั้น

มันร้ายที่สุดของเลวร้าย

จนทำให้ "เพื่อไทย" กลายเป็นพระเอกที่ประชาชนยอมรับได้จากซีกผู้ร้ายขึ้นมาทันที!

ผมถึงบอก พิธาน่ะ คุณมัน yesterday boy

ยิ่งเมื่อเทียบกับทักษิณ เขา "แพลมตาหนู" ก่อนพิธาจะเกิดด้วยซ้ำ

ฉะนั้น มีแค่ ๑๕๒ เสียง ใน ๕๐๐ เสียง แถมยังต้องพึ่งเสียง ส.ว.อีกเกือบ ๑๐๐ เสียง แล้วโก่งคอขัน นั่นน่ะ

ทักษิณขำกลิ้ง......

เห็นสั่งเด็กต้มน้ำร้อนไว้รอ เด็กมันถาม นาย..นาย จะอาบน้ำร้อนหรือไง ทักษิณเบิ๊ดกระบาล แล้วบอก

"ไอ้โง่....ต้มไว้ กูจะลวก "ถลกหนัง" ไก่อ่อนโว้ย!"

และไม่ได้ยินหรือพิธา....

ที่หลวงพี่โทนี่ วิสัชนาหน้าคลับเฮาส์ถี่ๆ ๒ วันติด....

"จุดยืนของพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตร คือเราเคารพรักสถาบัน ใครจะว่าอย่างไงผมช่วยไม่ได้

ผมเป็นของผมอย่างงี้ และยินดีต้อนรับว่า คนจะวิจารณ์ว่า เพราะผมไม่ได้สู้เพื่อไปทำอะไรไม่ดีกับสถาบัน ไม่มี ผมสู้เพื่อเอาชนะทางการเมืองเท่านั้นเอง

สถาบันนี่ ผมถือว่าผมจงรักภักดี ครอบครัวผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

รู้มั้ยว่า ผมกับคุณหญิงนี่ สมรสพระราชทานนะครับ ผมอาจจะไม่ได้มีพิธีเหมือนสมัยนี้ แต่พิธีของผมคือสมรสพระราชทาน ฉะนั้นเรื่องความสำนึกอะไรพวกนี้ มันมีอยู่นะครับ มันมีอยู่ จะให้ผมไม่มีมันเป็นไปไม่ได้เลย นะครับ"

จบมั้้ย...

เมื่อ พรรคอันดับ ๑ "ก้าวไกล" ท้าทายสังคม ด้วยการทุบสถาบันลงไปเหยียบ

ขณะเดียวกัน พรรคอันดับ ๒ "เพื่อไทย" ด้วยเสียงไล่เลี่ย เจ็บปวดร่วมสังคม แล้วยกสถาบันที่คุณเหยียบขึ้นไปเทิด

ตื่นจากฝัน "นายกฯ คนที่ ๓๐" เถอะ

หรือจะรอให้เพื่อไทยหลอกเอาตำแหน่ง "ประธานสภา" ไปซะก่อน ถึงจะตื่น?

รู้มั้ย...พิธา ตำแหน่งนายกฯ น่ะ มัน "น้ำบ่อหน้า"

ถ้าพรรคคุณไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา เท่ากับว่า "น้ำบ่อหน้า....บ่มี" สำหรับคุณ

พิมพ์ MOU ของก้าวไกล ที่จะให้ ๘ พรรคเขาเซ็นน่ะ

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่อง "แก้..เลิก, เลิก-แก้ ๑๑๒" ที่คนพรรคคุณ ตวัดลิ้นพันกันไปมา

เอาแค่ระบุ จะเข้าไป "ล้างกองทัพ" กับ "เลือกตั้งผู้ว่าฯ"

แค่นั้น มันก็ฉิบ....แล้ว!

๗ พรรค เขาอาจยอม แต่อภิมหาประชาชนเขาไม่ยอมหรอก ผมจะบอกให้

เพราะอะไรน่ะหรือ?

เพราะ แค่อ้าปากก็เห็นทะลุถึงดากไงล่ะ

เรื่องกองทัพ กับเรื่องเลือกผู้ว่าฯ มันคือ "เสาเข็ม" ของโครงสร้างสังคมชาติ เป็นเรื่อง "ความมั่นคง" โดยตรง

"รื้อกองทัพ" จุดมุ่งหมายคืออะไร ก็ แถไถ อ้างไปร้อยแปด

แต่ไส้ในของเจตนา ก็อยู่ที่ "สถาบันพระมหากษัตริย์"

กองทัพคือ "ด่านหน้า"

ก้าวไกลทลายด่านหน้าสำเร็จ

เท่ากับ "ล้มสถาบัน" สำเร็จ!

แล้วยกอำนาจประเทศไปบรรณาการ "ขบวนการอำนาจเดียวครองโลก = CFR" ให้เข้ามาใช้ประเทศเป็นสมรภูมิได้เลย

ในเวลาเดียว เมื่อยึดกองทัพ-ล้มสถาบันได้แล้ว

แผน "ครองประเทศ-ครองโลก" ก็จะไปบรรจบกับ "ด่านสุดท้าย" คือเปลี่ยนประเทศไทย จากราชอาณาจักรไทย ไปเป็น "สาธารณรัฐไทย" แทน

แทนยังไง?

ก็ที่ก้าวไกลจะไปนั่งมหาดไทย เพื่อปฏิรูประบบปกครองนั่นแหละ

การ "เลือกตั้งผู้ว่าฯ" คือกลวิธี "ยึดประเทศ" ทั้ง ๗๗ จังหวัด แล้วจัดหมวดหมู่ "แยกเป็นรัฐๆ" แบ่งกันไปปกครอง ในรูปแบบสาธารณรัฐ

แค่นี้ ก็เท่ากับแอบอิงคำว่าปฏิรูปใต้นิยาม "ขุดรากถอนโคน" ยึดประเทศไทยได้ทั้งประเทศแบบเนียนๆ

จาก "ราชอาณาจักรไทยอันแบ่งแยกมิได้"

กลายเป็น "สาธารณรัฐไทย" ซอยแผ่นดินประเทศแบ่งกันไปครอง แล้วให้คุณพ่อ "ยุโรป-สหรัฐ" เข้ามาชี้นิ้วสั่ง

ตั้งฐานทัพเสร็จสรรพ!

นี่คือการใช้คำ "ปฏิรูปกองทัพ" เป็นผ้าขาวห่อศพ

และคำว่า "ปฏิรูปการปกครอง"

เป็นมีดตัดเค้กคือแผ่นดินไทยแบ่งใส่จานแจกกัน!

ผมพูดนี่ หัวเราะ ว่านิยายตลกใช่มั้ย?

คุณอย่าจำคำผม แต่อยากให้จำคำทักษิณ ตอนตั้งพรรคไทยรักไทย เลือกตั้ง ปี ๒๕๔๔ ทักษิณบอกเสนาะ

คนไทยน่ะพวก "ตาบอดไม่กลัวเสือ"!

นั่นคืออะไร....

หมายถึง คนโง่ คนโลภ คนเห็นแก่ผลได้เฉพาะหน้ามันมีเยอะ ด้วยนิยามนี้

ให้ผู้ว่าฯ มาจากเลือกตั้งเหมือนเลือก ส.ส.น่ะเรอะ

ใช้จังหวัดละ ๒,๐๐๐ ล้าน-๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ยึด = ซื้อประเทศได้เบ็ดเสร็จ!

พวกตู้ห่าว พวกหลงจู๊ พวกบ่อน พวกซ่อง พวกพนันออนไลน์ พวกค้ายา-ค้าของเถื่อน พวกโกงกิน

"พรึ่บ.....ดำกินแดง, กินส้ม, กินหมดทุกสี เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ ขึ้นเป็นเสนาบดีครองทุกจังหวัด ครบทั้งประเทศ!

นี่แหละ มันเป็นอย่างนี้แหละ พี่น้องเอ๋ย

ปลา ไม่รู้จักบุญคุณน้ำ, นก ไม่รู้จักบุญคุณอากาศ

นั่นเพราะเป็นสัตว์

แต่พวกเรา "เป็นคน-เป็นมนุษย์" มนุษย์แปลว่าผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ แล้วเราจะไม่สำนึกคุณในชาติ ในแผ่นดิน

คือ "ชาติ, ศาสน์, สถาบันพระมหากษัตริย์" เลยเชียวหรือ?

ส่วนมาตรา ๑๑๒ นั้น...........

จะแก้-จะเลิก หรือไม่แตะต้องเลย เห็นกลิ้งเป็นลิงปอกกล้วย แผล็บไป-แผล็บมา

แต่ที่ได้ยินคาหู จาก "ช่อ-พรรณิการ์" เขาหาเสียง ว่า

"ใครอยากเลิก ม.๑๑๒ มากองกันตรงนี้ค่ะ"

"หากคนอยู่ต่างจังหวัดไปม็อบไม่ได้ ไม่ต้องกังวลค่ะ

เพราะคณะก้าวหน้าและคณะราษฎร์เพจจัดให้

คุณสามารถลงชื่อยกเลิก ม.๑๑๒ ผ่านทางออนไลน์ได้ ทุกคนทำได้ ใครเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็มาร่วมลงชื่อได้หมด"

นี่คือ ช่อ.........

มาดูพิธาบ้าง บนเวทีปราศรัยหาเสียง แบม-ตะวัน เขียนป้ายทำโพล "คุณคิดว่ายกเลิกม.๑๑๒ หรือ สมควรแก้ไข ให้ติดสติกเกอร์ในช่องนั้นๆ

แล้วพิธา-ว่าที่นายกฯ คนที่ ๓๐ ก็หยิบสติกเกอร์สีแดง ติดหมับลงไปที่ช่อง "ยกเลิก ม.๑๑๒"

"นัตถิ อการิยัง ปาปัง มุสาวาทิสสะ ชันตุโน"

คนมักโกหก ที่จะไม่ทำชั่ว นั้นไม่มี

‘จตุพร’ แนะ ‘พิธา’ คิดทบทวน  ‘เรืองไกร’ ได้ข้อมูลหุ้นไอทีวี มาจากไหน ระวัง พรรคใกล้ตัว

20 พ.ค. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ไม่น่าไว้ใจ?" ช่วงหนึ่งว่า เบื้องต้นต้องยอมรับความจริงก่อนว่า นักการเมืองและประชาชนมีความมุ่งหวังต่างกัน โดยการเมืองในครั้งหนึ่ง พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ชนะเลือกตั้งปี 2526 (ได้ 110 เสียงจากทั้งหมด 324) ต้องได้เป็นนายกฯ แต่เจอข้อมูลใหม่จึงกลายเป็นฝ่ายค้านแทน

ถัดมา การเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นับคะแนนปัดเศษ จึงกลายเป็นฝ่ายค้าน อีกทั้งในช่วงนั้น พรรคเพื่อไทยเล่นการเมืองสองหน้า ไปเลือกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) เป็นแคนดิเดตนายกฯ ชิงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอเป็นนายกฯ

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนั้น นายธนาธร ถูกคดีถือครองหุ้นสื่อมวลชน และพรรคเพื่อไทยรู้ว่า จะพบจุดจบทางการเมืองอยู่แล้ว จึงเชิดชูคนรุ่นใหม่เพื่อได้สร้างลักษณ์ที่ดีทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันยังเป็นการหักหน้าคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย (ขณะนั้น)

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้น พปชร. ไปรวบรวมพรรคมาตั้งรัฐบาล โดยพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอให้นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาผู้แทนฯ และกำหนดเงื่อนไขแก้ รธน. 2560 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยอม จึงเท่ากับแต่งตัวให้ ปชป. เข้าไปร่วมรัฐบาลทั้งที่หัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศหาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค

ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในปี 2562 ได้ประกาศไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเช่นกัน แต่ยอมเข้าร่วมรัฐบาล เมื่อรับแบ่งให้ดูแลกระทรวงเกรดเอ ดังนั้น การโหวตเลือกนายกฯ ปี 2562 จึงผ่านฉลุยด้วยเสียง สว.เลือก พล.อ.ประยุทธ์ ถึง 249 เสียงจาก 500 เสียง เท่ากับเป็นเอกฉันท์ร้อยเปอร์เซ็นต์

เมื่อมาถึงการเลือกตั้งปี 2566 นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้งไม่แตกต่างจากปี 2562 โดยวันนี้ไม่มีรู้ว่าใคร พรรคใดเหน็บมีดไว้ข้างหลัง โดยระหว่างการหาเสียงพรรคเพื่อไทยให้เลือกตัวเองเป็นยุทธศาสตร์โค่น 3 ป. เลือกอย่างไม่มีพี่ ไม่มีน้อง แต่ผลต้องแพ้พรรคก้าวไกลที่ผู้สมัครมีแต่คนรุ่นใหม่ ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยจึงม่ใช่ยุทธศาสตร์ของประชาชน....

นายจตุพร ย้ำว่า สถานการณ์ของพรรคก้าวไกลในขณะนี้ มีความรู้สึกไม่แตกต่างจากนายธนาธรโดนคดีหุ้นสื่อมวลชน ถัดจากนั้นนำไปสู่การยุบพรรค (อนาคตใหม่) ดังนั้น วันนี้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ ควรคิดกันให้ดี ๆ ด้วย

“นายพิธา ควรคิดทบทวน ว่า ไอทีวีเป็นของใคร รายละเอียดของหุ้นไอทีวีหลุดมาจากไหน ผมไม่เชื่อว่านายเรืองไกร (นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ออกจากเพื่อไทยไปเป็นปาร์ตี้ลิสต์ พปชร.) จะล้วงไปได้ง่ายๆ แต่หลุดไปถึงมือเรืองไกรได้อย่างไร ถ้านายพิธา ตีโจทย์นี้แตกจะเข้าใจว่า มีดดาบมาจากไหน เหมือนกับกรณีจูเลียส ซีซาร์ถูกบรูตัสคนใกล้ชิดชักมีดแทงจนตาย ดังนั้น กระดานการเมืองจึงมีมีดดาบซ่อนไว้มากมายในทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคใกล้ตัว”

นายจตุพร เชื่อว่า ในความเป็นจริงตามกระดานการเมืองขณะนี้ การจับมือ 310 เสียงตั้ง รัฐบาลไม่ได้แล้ว เนื่องจากพรรคอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ร่วมใน 310 เสียงนั้นมีท่าทีไม่โหวตให้ ต้องการขึงพืดพรรคก้าวไกล อีกอย่างการปิดสวิตซ์ ส.ว. ก็เกิดขึ้นแล้ว โดย ส.ว.ปิดตัวเอง ประกาศไม่โหวตเลือกนายกฯ สิ่งนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่ยากมากในการตั้งรัฐบาลสำเร็จ

“ถ้านายพิธา มีอันเป็นไป (ในคดีถูกร้องถือหุ้นสื่อสารมวลชน) พรรคก้าวไกลก็เสนอแคนดิเดตนายกฯ คนเดียว ดังนั้นแคนดิเดตนายกฯ จะไปถึงอันดับรองถัดไปในพรรค 310 เสียง ซึ่งเห็นชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งคนที่แสดงสปิริตยกให้นายพิธา เป็นนายกฯ ให้พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาล นั่นละตัวดี เพราะทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ง่าย นายพิธา ไม่รอดอยู่แล้ว เป็นกลเกมซ้ำรอยนายธนาธรถูกกระทำมาแล้ว”

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร มั่นใจว่า ถ้าแคนดิเดตนายกฯ ลำดับถัดไปก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ง่ายอยู่ดี แม้จะมีพรรคก้าวไกลร่วมด้วยหรือไม่ร่วมกลุ่มเดิม 310 เสียงก็ตาม แต่ยกเว้นเกิดการข้ามขั้วไปอีกฝ่าย ดังนั้น คนคิดเรื่องนี้เป้นเกมต้องหน้าด้านที่สุดชนิดเลิกมองกระจกไปเลย อาจอายหน้าตัวเอง

“แล้วสูตรที่คนสงสัยมาแต่ต้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ แม้วันนี้จะยังไม่เกิด แต่มีร่องรอยจะเกิดขึ้น ดังนั้น กระดานการเมืองขณะนี้ จึงต้องดูกันนานๆ ดูกันอย่างมีความอดทนจะได้พบการเมืองแบบเขี้ยว เสือ สิงห์ กระทิง แรด ผสมปนเปเป็นพันธุ์การเมืองที่ดำรงอยู่มาต่อเนื่องมา 90 ปีและเด่นชัดหลัง 14 ตุลาคมถึงปัจจุบัน”

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกล เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ดังนั้น 310 เสียงจึงอยู่ผิดที่จน ส.ว. 250 ไม่โหวตเลือกนายกฯให้ ดังนั้นการจัดตั้งรัฐบาลของนายพิธา จึงยากจะเกิดขึ้นได้เลย เพราะเข้าสู่สภาวะ “เด็ดล็อก” แล้ว ยกเว้นมีบางพรรคที่จะงดใช้กระจกส่องหน้าตัวเองชั่วคราว แล้วแหกข้ามมาอีกขั้วหนึ่ง แม้วันนี้ยังไม่เกิดก็ตาม แต่ต้องอดทนรอดูกัน

คำคม จาก ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของไทย

“ห้ามทำตัวกร่าง ห้ามเจ้ายศเจ้าอย่าง และท่องจำประโยคเหล่านี้ไว้ให้ดีๆ

ใหญ่กว่าเรา คือพรรค ใหญ่กว่าพรรค คือความคาดหวังประชาชน”

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  หัวหน้าพรรคก้าวไกล

กล่าวในการจัดประชุม ส.ส. (19 พ.ค. 2566)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top