‘แพขยะในมหาสมุทรแปซิฟิก’ เพิ่มขึ้น 10 เท่าในแต่ละทศวรรษ ขยะส่วนใหญ่กว่า 50% มาจากบนแผ่นดินในอเมริกาเหนือและเอเชีย
(The Great Pacific garbage patch : GPGP)
The Great Pacific garbage patch หรือที่เรียกว่า วงแหวนขยะในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นแพขยะขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นจุดที่มีกระแสน้ำวนของเศษขยะในทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง พิกัดอยู่ที่ประมาณ 135 ° W ถึง 155 ° W และ 35 ° N ถึง 42 ° N แหล่งรวมพลาสติกและถังขยะลอยน้ำซึ่งมีต้นกำเนิดจาก Pacific Rim รวมถึงประเทศต่าง ๆ ในเอเชียอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ แบ่งออกเป็นสองพื้นที่คือ "Eastern Garbage Patch" ระหว่างฮาวายและแคลิฟอร์เนีย และ "Western Garbage Patch" ซึ่งทอดตัวไปทางตะวันออก จากญี่ปุ่นไปยังฮาวาย
ขยะในทะเลเป้นอันตรายต่อระบบนิเวศน์ทางทะเลมาก ซากเต่าในภาพกินขยะทะเลจนตาย
แม้จะเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนทั่วไปเกี่ยวกับแพขยะขนาดใหญ่ที่มีอยู่ว่าเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีขยะลอยอยู่ แต่ความหนาแน่นต่ำมาก (4 อนุภาคต่อลูกบาศก์เมตร) ซึ่งสามารถป้องกันการตรวจจับด้วยภาพถ่ายดาวเทียม หรือแม้กระทั่งโดยชาวเรือหรือนักดำน้ำทั่วไป เนื่องจากแพขยะดังกล่าวเป็นบริเวณซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วย "พลาสติกขนาดเท่าเล็บมือหรือชิ้นเล็กกว่า" และมีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง โดยมักเป็นอนุภาคขนาดเล็กด้านบนของน้ำที่เรียกว่า "ไมโครพลาสติก" นักวิจัยจากโครงการ The Ocean Cleanup อ้างว่า แพขยะนี้ครอบคลุมพื้นที่ 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร พลาสติกบางส่วนในแพขยะมีอายุมากกว่า 50 ปีและรวมถึงสิ่งของต่างๆ (และเศษชิ้นส่วน) เช่น "ไฟแช็คพลาสติก แปรงสีฟัน ขวดน้ำ ปากกา ขวดนม โทรศัพท์มือถือ ถุงพลาสติก และหมอนรองศีรษะ" เส้นใยขนาดเล็กของเยื่อไม้ที่พบทั่วทั้งไป "เชื่อกันว่า มีต้นกำเนิดมาจากกระดาษชำระหลายพันตันที่ถูกทิ้งลงในมหาสมุทรทุก ๆ วัน"
วงแหวนขยะในมหาสมุทรทั่วโลก
การวิจัยบ่งชี้ว่า แพขยะกำลังสะสมอย่างรวดเร็ว เชื่อกันว่า แพขยะจะเพิ่มขนาดขึ้น "10 เท่าในแต่ละทศวรรษ" ตั้งแต่ปี 1945 (พ.ศ. 2488) พบเศษพลาสติกลอยน้ำคล้าย ๆ กันในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเรียกว่า กองขยะแอตแลนติกเหนือ แพขยะที่กำลังเติบโตนี้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ต่อระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตที่มีสายพันธุ์ทางทะเล พื้นที่ของอนุภาคพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอยู่ใน วงแหวน North Pacific ซึ่งเป็นหนึ่งในวงแหวนมหาสมุทรที่สำคัญ 5 แห่ง มีบทความเมื่อ ปี 1988 อธิบายเกี่ยวกับแพขยะซึ่งจัดพิมพ์โดย National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) การอธิบายนี้มาจากการวิจัยของนักวิจัยจากอะแลสกาหลายคนในปี 1988 ซึ่งวัดพลาสติก neustonic (รวบรวมสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วและขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บนหรือใต้พื้นผิวน้ำ) ในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ นักวิจัยพบว่า ขยะทะเลสะสมในพื้นที่ที่มีกระแสน้ำในมหาสมุทรค่อนข้างสูง จากการค้นพบในทะเลญี่ปุ่นนักวิจัยตั้งสมมติฐานว่า สภาวะที่คล้ายคลึงกันนี้จะเกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งกระแสน้ำที่ไหลผ่านเป็นประโยชน์ต่อการสร้างวงแหวนขยะที่ค่อนข้างเสถียร พวกเขาระบุเฉพาะพิกัด วงแหวนขยะในแปซิฟิกเหนือ
มิถุนายน 2019 Ocean Voyages Institute ซึ่งเป็นองค์กรเดียวกับที่อยู่เบื้องหลังการสำรวจปี 2009, 2010 และ 2012 ได้ดำเนินการทำความสะอาดวงแหวนขยะ และโดยนำอวนโพลีเมอร์และขยะพลาสติกจากการบริโภคกว่า 84,000 ปอนด์ออกจากมหาสมุทร ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2020 สถาบัน Ocean Voyages ได้ดำเนินการสำรวจและทำความสะอาดวงแหวนขยะ ซึ่งนำพลาสติกจากการสำหรับบริโภคและอวนกว่า 170 ตัน (340,000 ปอนด์) ออกจากมหาสมุทร โดยใช้เครื่องติดตามด้วยสัญญาณดาวเทียม GPS ที่ออกแบบเอง ซึ่งติดตั้งในเรือ โอกาสที่สถาบัน Ocean Voyages สามารถติดตามและส่งเรือล้างทำความสะอาดเพื่อกำจัดอวนได้อย่างแม่นยำ เทคโนโลยีติดตามด้วย GPS ถูกรวมเข้ากับภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อเพิ่มความสามารถในการค้นหาขยะพลาสติกและอวนแบบเรียลไทม์ผ่านภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพในการล้างทำความสะอาดแพขยะด้วย
แหล่งที่มาของขยะพลาสติก ในปี 2015 การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science พยายามค้นหาว่าขยะทั้งหมดนี้มาจากไหน จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าพลาสติกที่ทิ้งแล้วและเศษขยะอื่น ๆ ลอยไปทางตะวันออกจากประเทศต่าง ๆ ในเอเชียจากแหล่งที่มาหลัก 6 แหล่ง ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ศรีลังกา และไทย ในความเป็นจริง Ocean Conservancy รายงานว่า จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ทิ้งพลาสติกในทะเลมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน เฉพาะจีนเท่านั้นที่ทิ้งขยะถึง 30% ของขยะมลพิษในมหาสมุทรพลาสติกทั่วโลก ความพยายามในการชะลอการสร้างเศษขยะบนบก และเกิดการสะสมของขยะในทะเลตามมาถูกดำเนินการโดย โครงการการอนุรักษ์ชายฝั่ง วันคุ้มครองโลก และวันทำความสะอาดโลก จากข้อมูลของ National Geographic "ประมาณ 54 % ของเศษขยะใน Great Pacific Garbage Patch มาจากขยะบนแผ่นดินในอเมริกาเหนือและเอเชีย เศษขยะที่เหลืออีก 20 % ใน Great Pacific Garbage Patch มาจากชาวเรือ แท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง และเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ที่ทิ้งปล่อยเศษขยะลงในน้ำโดยตรง เศษขยะส่วนใหญ่ประมาณ 705,000 ตันคืออวนจับปลา"
ในเดือนกันยายน 2019 เมื่อการวิจัยเปิดเผยว่า มลพิษจากพลาสติกในมหาสมุทรจำนวนมากมาจากเรือบรรทุกสินค้าของจีน โฆษกของ Ocean Cleanup กล่าวว่า: "ทุกคนพูดถึงการช่วยมหาสมุทรด้วยการหยุดใช้ถุงพลาสติกขุ่น และบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวเป้นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อขยะในมหาสมุทรนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราพบเสมอไป ขนาด แพขยะ Great Pacific ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น อันเป็นผลมาจากมลพิษทางทะเลซึ่งรวมตัวกันด้วยกระแสน้ำในมหาสมุทร วงแหวนขยะอยู่ในบริเวณที่น้ำค่อนข้างนิ่งกลางมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือล้อมรอบด้วยวงแหวนแปซิฟิกเหนือในละติจูด Horse (ละติจูดม้า หรือ ฮอร์สละติจูด : แถบหรือบริเวณในละติจูดระหว่าง 30° องศาเหนือและ 30° องศาใต้ที่เป็นบริเวณที่มีลมฟ้าอากาศค่อนข้างสงบ) รูปแบบการหมุนของวงแหวนขยะประกอบด้วยวัสดุเหลือใช้จากทั่วแปซิฟิกเหนือโดยผสมผสานกันจากน่านน้ำชายฝั่งนอกอเมริกาเหนือและญี่ปุ่น เมื่อวัสดุถูกกระแสน้ำและกระแสพื้นผิวที่ถูกพัดด้วยลมจะค่อย ๆ พัดย้ายเอาเศษเล็กเศษน้อยไปยังศูนย์กลางทำให้ขยะจับและก่อตัว
ในการศึกษาในปี 2014 นักวิจัยได้สุ่มตัวอย่างจากพิกัด 1,571 แห่งจากมหาสมุทรทั่วโลก และระบุว่า อุปกรณ์จับปลาที่ถูกทิ้งเช่น ทุ่น สายเบ็ด และอวน คิดเป็นมากกว่า 60% ของเศษพลาสติกในทะเล ตามรายงานของ EPA ประจำปี 2011 "แหล่งที่มาหลักของขยะทะเลคือ การกำจัดขยะหรือการจัดการขยะและผลิตภัณฑ์จากการผลิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงพลาสติก (เช่นการขนและทิ้งขยะอย่างผิดกฎหมาย) เศษขยะจากพื้นแผ่นดินตาม ท่าเรือริมแม่น้ำ ท่าเทียบเรือริมทะเล และท่อระบายน้ำ และเศษซากจากพายุต่าง ๆ เศษขยะถูกสร้างขึ้นในทะเลจากเรือประมง แท่นขุดเจาะ และเรือบรรทุกสินค้า" ซึ่งมีมากมายหลายขนาดตั้งแต่ อวนจับปลาที่ถูกทิ้งร้างยาวหลายไมล์ ไปจนถึงเม็ดพลาสติกขนาดเล็กที่ใช้ในเครื่องสำอาง และสารกัดกร่อน น้ำยาทำความสะอาด การศึกษาจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่า เศษชิ้นส่วน(ที่สมมุติขึ้น)จากชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯจะมุ่งหน้าไปยังเอเชียและกลับมายังสหรัฐฯในหกปี เศษซากจากชายฝั่งตะวันออกของเอเชียจะไปถึงสหรัฐฯในหนึ่งปีหรือน้อยกว่านั้น ในขณะที่ไมโครพลาสติกคิดเป็น 94% ของชิ้นส่วนพลาสติกประมาณ 1.8 ล้านล้านชิ้น แต่มีปริมาณขยะพลาสติกเพียง 8% จาก 79,000 เมตริกตัน ขยะที่เหลือส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมการประมง ผลการศึกษาในปี 2017 สรุปได้ว่า พลาสติกจำนวน 9.1 พันล้านตันที่ผลิตตั้งแต่ปี 1950 เกือบ 7 พันล้านตัน ซึ่งไม่ถูกใช้งานอีกต่อไป ผู้เขียนประเมินว่า 9% ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ 12% ถูกเผา และอีก 5.5 พันล้านตันที่เหลือยังคงอยู่ในมหาสมุทรและบนบก
บ้านเราติดอันดับที่ 6 ของประเทศที่ปล่อยขยะลงสู่ทะเลมากที่สุดในโลก มากถึง 1 ล้านตันต่อปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้ว่า ขยะในทะเลส่วนใหญ่มาจากแหล่งท่องเที่ยว เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว โฟม เป็นต้น ถัดมาคือขยะจากการทำการประมง เช่น อวน เชือก เป็นต้น ยังไม่รวมขยะอื่น ๆ ที่พบได้ในทะเล เช่น ถุงพลาสติก ฝาน้ำ และเศษบุหรี่ไม่เฉพาะแค่การท่องเที่ยว แต่รวมไปถึงขยะที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นจากบุคคล ครัวเรือน อุตสาหกรรม ขยะเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะถูกปล่อยลงแหล่งน้ำต่างๆ จากลำคลอง สู่แม่น้ำ ท้ายที่สุดแล้วก็จะมีขยะส่วนหนึ่งลงสู่ท้องทะเล ปัจจุบันเรามีการลดการใช้ขยะอย่างจริงจัง เช่น การห้ามใช้ถุงพลาสติก หรือ การเพิ่มภาษีของบริษัทผู้ผลิตพลาสติก เป็นต้น แต่ยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในการลงทุนเพื่อการจัดการขยะอย่างถูกวิธีนวัตกรรมที่จะนำไปสู่การลดขยะยังไม่แพร่หลาย เช่น การออกแบบเพื่อใช้บรรจุภัณฑ์ให้น้อยที่สุด หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้จริง โดยไม่มีส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต แต่ท้ายที่สุดแล้วทางแก้ที่ยั่งยืนของปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งการแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ ไปจนถึงการเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในระดับบุคคล เช่น มีการจัดการขยะที่ดี การออกแบบที่ใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด หรือแม้แต่การที่สาธารณชนมีความตระหนักในการบริโภค ลดและเลิกใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทาง เพราะการจัดการที่ปลายเหตุหลังจากขยะเกิดขึ้นแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อัตราการเกิดขยะของบ้านเราอยู่ที่คนละราวหนึ่งกิโลเศษต่อวัน หรือวันละกว่าเจ็ดสิบล้านกิโล หรือ 70,000 ตัน หรือปีละ 25.55ล้านตัน ดังนั้นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ต่างก็ต้องให้ความร่วมมือกันในการจัดการขยะเช่น คัดแยกขยะ และใช้กระบวนการ 3 R : Reduce Reuse และ Recycle ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลายก็ต้องมีวิธี และมาตรการที่เอื้อต่อการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องด้วย จิตสำนึกรับผิดชอบในการจัดการขยะของคนไทยเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง และมีผลอย่างมากที่สุดต่อการจัดการขยะทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้นแล้ววันหนึ่งคนไทยจะได้เห็นวงแหวนขยะเกิดขึ้นในอ่าวไทย หรือในทะเลอันดามันอย่างแน่นอน
