Tuesday, 20 May 2025
ประวัติศาสตร์รีวิว

‘รัฐประหารในกาตาร์’ ปี 1996 ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพียงเพราะทหารรับจ้างลืมแผนที่ - หาพระราชวังไม่เจอ

กาตาร์หรือรัฐกาตาร์ เป็นประเทศในเอเชียตะวันตก ตั้งอยู่ในคาบสมุทรกาตาร์บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรอาหรับ มีพรมแดนทางบกติดกับซาอุดีอาระเบียทางทิศใต้ และดินแดนส่วนที่เหลือล้อมรอบด้วยอ่าวเปอร์เซียและอ่าวบาห์เรน โดยมีอ่าวเปอร์เซียแบ่งกาตาร์ออกจากบาห์เรนที่อยู่ติดกัน เมืองหลวงคือกรุงโดฮาซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 80% ของประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่ของกาตาร์เป็นที่ราบลุ่มทะเลทราย

กาตาร์ปกครองโดยราชวงศ์ Al Thani ในฐานะรัฐราชาธิปไตยด้วยการสืบทอดสายเลือดตั้งแต่ Mohammed bin Thani ได้ลงนามในข้อตกลงกับอังกฤษในปี 1868 หลังจากการปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน กาตาร์กลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ ในปี 1916 และได้รับเอกราชในปี 1971 Emir (เจ้าผู้ครองรัฐ) คนปัจจุบันคือ ชีค Tamim bin Hamad Al Thani ซึ่งดำรงตำแหน่งทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการเกือบทั้งหมด (ตั้งแต่ปี 2013) ด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของกาตาร์ โดยแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี สภาที่ปรึกษาที่ได้รับการเลือกตั้งบางส่วน และสามารถขัดขวางกฎหมายและมีอำนาจในการปลดรัฐมนตรี

ในช่วงต้นปี 2017 ประชากรของกาตาร์อยู่ที่ 2.6 ล้านคน แม้ว่าจะมีเพียง 313,000 คนเท่านั้นที่เป็นพลเมืองกาตาร์ โดย 2.3 ล้านคนเป็นชาวต่างชาติและแรงงานข้ามชาติ มีศาสนาอิสลามเป็นประจำชาติ มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวสูงเป็นอันดับสี่ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 42 ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ซึ่งเป็น HDI ที่สูงเป็นอันดับสามของโลกอาหรับ เศรษฐกิจที่มั่งคั่งมาจากแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติและน้ำมันสำรองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก กาตาร์เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

กาตาร์ในขณะที่ปกครองโดย ชีค Hamad bin Khalifa Al Thani ผู้ซึ่งเผชิญกับความพยายามก่อรัฐประหารที่แปลกประหลาดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่การโค่นล้มแบบทั่ว ๆ ไปที่มีทั้งการระเบิดและคำปราศรัยที่ดราม่า แต่เป็นเรื่องราวของการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว ซึ่งหน่วยข่าวกรองกาตาร์เรียกความพยายามก่อรัฐประหารในครั้งนั้นว่า "ปฏิบัติการอาบู อาลี (Abu Ali Operation)" ไม่ใช่เพราะการทรยศหรือขาดกำลังอาวุธ แต่เพราะทหารรับจ้างที่รับงานรัฐประหารมานั้นไม่สามารถหาที่ตั้งของพระราชวังเจอ ข้อมูลเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์ในปี 1995 มีดังนี้

ในปี 1995 กาตาร์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชีค Khalifa bin Hamad Al Thani (1972-1995) ในขณะที่ทรงพักผ่อนในสวิตเซอร์แลนด์ โดยเวลาเดียวกัน ชีค Hamad bin Khalifa Al Thani พระโอรสของพระองค์ ทรงตัดสินใจว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว ด้วยการสนับสนุนจากสมาชิกพระองค์อื่น ๆ ในราชวงศ์ Al Thani ชีค Hamad จึงทรงทำรัฐประหารโดยไม่นองเลือด และทรงยึดบัลลังก์พระบิดาของพระองค์ในขณะที่ไม่อยู่ โดยไม่มีการต่อสู้ เป็นการยึดอำนาจรัฐที่ราบรื่น แต่ ชีค Khalifa พระบิดาทรงไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ หนึ่งปีต่อมา ชีค Khalifa พระบิดาทรงตัดสินใจทวงบัลลังก์คืน พระองค์ทรงวางแผนไว้ว่าจะทรงจ้างทหารรับจ้างเพื่อบุกพระราชวัง และยึดอำนาจกลับคืนมาด้วยแผนการที่ฟังดูง่าย แต่ไม่ใช่เลย เมื่อทหารรับจ้างของพระองค์กลับมีฝีมือลายมือเหมือนกับผู้ร้ายสองคนใน Home Alone มากกว่าพระเอกใน Mission Impossible 

ความพยายามในการทำรัฐประหารที่ล้มเหลวอยู่ภายใต้การนำของ Hamad bin Jassim bin Hamad Al Thani อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรอาหรับดั้งเดิมของกาตาร์หลายชาติได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และอียิปต์ โดย ซาอุดีอาระเบีย และอียิปต์ ให้การสนับสนุนด้านการข่าว และได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จาก บาห์เรน และอียิปต์ สืบเนื่องจากสมาชิกระดับสูงหลายคนของราชวงศ์ Al Thani ซึ่งยังคงเป็นพันธมิตรกับชีค Khalifa อดีต Emir ที่ถูกรัฐประหารได้ร่วมกันก่อรัฐประหารเพื่อโค่นล้มชีค Hamad กาตาร์อ้างว่ารัฐประหารครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์และบาห์เรน บทความของ New York Times ในปี 1997 ระบุว่า นักการทูตตะวันตกที่ไม่ได้เปิดเผยชื่อหลายคนเชื่อว่า “รัฐประหารครั้งนี้สามารถวางแผนได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แล้วเท่านั้น”

ความพยายามก่อรัฐประหารที่กลายเป็นเรื่องตลกที่เกิดจากความผิดพลาด เกิดขึ้นในคืนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1996 ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากชีค Hamad ครองอำนาจ แผนการเบื้องต้นของชีค Khalifa ดูเหมือนจะไร้ข้อผิดพลาด จนกระทั่งมันกลายเป็นจริงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 1 : การจ้างทหารรับจ้าง ชีค Khalifa ได้ทรงจ้างทหารรับจ้างหลายสัญชาติจำนวนหนึ่ง (ตอนแรกทรงตั้งพระทัยจะจ้างทหารรับจ้างชาวแอฟริกาใต้ ต่อมาเป็นชาวฝรั่งเศส แต่รัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยินยอม) เพื่อดำเนินแผนการของพระองค์ พวกเขาไม่ใช่ทหารรับจ้างธรรมดาแต่กลับกลายเป็นนักรบที่ติดการใช้ชีวิตหรูอยู่สบาย เริ่มด้วยการพักในโรงแรมระดับห้าดาวเมื่อเดินทางมาถึงกรุงโดฮา ด้วยเพราะกลุ่มทหารรับจ้างเหล่านั้นคิดว่าทำไมถึงต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากด้วยในเมื่อพวกเขากำลังจะโค่นล้มรัฐบาลอยู่แล้ว

ขั้นตอนที่ 2 : การบุกพระราชวัง ภารกิจแรกของทหารรับจ้างคือ การบุกพระราชวัง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกเขาหาไม่พบพระราชวัง ชาวกาต้าร์บอกว่าเห็นพวกเขาเดินเตร่ไปทั่วกรุงโดฮาแล้วเที่ยวถามว่า "พระราชวังอยู่ที่ไหน" ราวกับการบุกประเทศหนึ่งด้วยหน่วยรบชั้นยอด แต่กลับลืมนำแผนที่มาด้วย

ขั้นตอนที่ 3 : หลังจากที่ได้ข้อสรุปในที่สุดว่า “พระราชวังตั้งอยู่ที่ไหน” กลุ่มทหารรับจ้างก็ต้องเผชิญกับปัญหาอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเขาไม่มีเรือที่จะข้ามแม่น้ำไปยังพระราชวัง เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการบุกพระราชวังด้วยการเดินเท้า หรือกลับไปพักผ่อนยังโรงแรมสุดหรู พวกเขาเลือกเอาอย่างหลัง และเพียงชั่วพริบตา ความพยายามก่อรัฐประหารก็จบลงด้วยกลุ่มทหารรับจ้างเดินกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนแทน ทำให้ในเวลาต่อมาทางการกาต้าร์ได้เริ่มปฏิบัติการต่อต้าน กวาดล้าง และปราบปรามการรัฐประหารดังกล่าวได้สำเร็จ

ในปี 2018 หนึ่งปีหลังจากวิกฤตการทูตกาตาร์เริ่มต้นขึ้น Al Jazeera ได้รายงานรายละเอียดใหม่ที่ชัดเจนในสารคดีเกี่ยวกับปฏิบัติการซึ่งกล่าวหาว่า ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน อียิปต์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) วางแผนโค่นล้มชีค Hamad สารคดีระบุถึงประเด็นสำคัญในปฏิบัติการคือการที่กลุ่มชายติดอาวุธจะกักบริเวณชีค Hamad ไว้ในพระราชวังซึ่งอยู่ติดกับถนน Al Rayyan เดิมทีมีกำหนดจะกักบริเวณในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1996 ซึ่งเป็นวันที่ 27 ของเทศกาลถือศีลอด ทำให้มีกำลังทหารของกองทัพกาต้าร์ที่เตรียมพร้อมอยู่เพียง 20% แต่ได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์เพื่อลดโอกาสที่จะถูกค้นพบ ตามข้อมูลข่าวกรองของกาตาร์การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นคำสั่งของ Mohamed bin Zayed Al Nahyan (ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์คนปัจจุบัน) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ เอกสารข่าวกรองของกาตาร์ยังอ้างว่า หลังจากผู้วางแผนเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังทหารของกาตาร์อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ผู้วางแผนจะส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากกองกำลังติดอาวุธในซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม ในที่สุด การรัฐประหารก็ถูกค้นพบและขัดขวางได้ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ 

ตามรายงานของ Al Jazeera ระบุว่า Paul Barril อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของฝรั่งเศสได้รับมอบหมายให้จัดหาอาวุธให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อดำเนินการก่อรัฐประหารในกาตาร์ ซึ่ง Anwar Gargash รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตอบโต้สารคดีดังกล่าว โดยระบุว่า Paul Barril เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของชีค Khalifa ซึ่งเดินทางเยือนนครอาบูดาบี และไม่มีความสัมพันธ์กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกล่าวว่า สารคดีดังกล่าวเป็นความพยายามโกหกเพื่อพาดพิงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าเกี่ยวข้องกับความพยายามในการก่อรัฐประหารในกาต้าร์ 1996

แม้ว่าความพยายามก่อรัฐประหารในปี 1995 จะเป็นเพียงบันทึกเล็ก ๆ ในประวัติศาสตร์ของกาตาร์ แต่ประเทศและราชวงศ์ที่ปกครองอยู่ก็มีความน่าสนใจในแบบของตัวเอง นี่คือข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางส่วน :
1. ราชวงศ์ Al Thani ปกครองกาตาร์มาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องความรู้ด้านการทูตและความสามารถในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคที่มักเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
2. ความมั่งคั่งของกาตาร์ กาตาร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เนื่องจากมีก๊าซธรรมชาติสำรองอยู่เป็นจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของประเทศเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อหัวที่สูงที่สุดในระดับโลก และยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่หรูหราที่สุด ห้างสรรพสินค้า และสถาปัตยกรรมล้ำสมัยอีกด้วย

3. เกาะเพิร์ล-กาตาร์ เป็นเกาะเทียมของกาตาร์ซึ่งมีรูปร่างเหมือนสร้อยไข่มุก เกาะแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของการใช้ชีวิตที่หรูหรา มีร้านบูติกระดับไฮเอนด์ ร้านอาหาร และท่าจอดเรือ
4. ฟุตบอลโลก 2022 กาตาร์สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022 กลายเป็นประเทศตะวันออกกลางประเทศแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพ แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกาตาร์ในการจัดการแข่งขันระดับโลก แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากชุมชนนานาชาติ

5. ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ข้อดีอย่างหนึ่งของการอาศัยอยู่ในกาตาร์คือไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ถูกต้องแล้ว ประชาชนสามารถเก็บรายได้ทั้งหมดไว้ได้ ซึ่งเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้ดึงดูดชาวต่างชาติได้มาก

ความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์เมื่อปี 1995 เป็นการเตือนใจว่าแม้แต่แผนการที่วางไว้อย่างดีที่สุดก็อาจผิดพลาดอย่างน่าขบขันได้ ไม่ว่าจะเป็นการลืมนำแผนที่มาด้วยหรือการจองโรงแรมระดับห้าดาวให้กับทหารรับจ้าง บางครั้งความจริงก็แปลกประหลาดกว่านิยาย กลายเป็นประวัติศาสตร์ของความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไร้เหตุผล ประหลาด และโง่เขลา อย่างแท้จริง และบางครั้งล้มเหลวเพราะการวางแผนที่ไม่ดี ในขณะที่บางครั้งล้มเหลวเพราะผู้นำลืมรายละเอียดพื้นฐาน เช่น แผนที่ GPS ฯลฯ ดังนั้น ครั้งต่อไปที่มีการวางแผนทำการรัฐประหาร โปรดจำไว้ว่า ต้องแผนที่หรือ GPS ติดตัวไปด้วยเสมอ ตรวจสอบข้อมูลให้ดี และหลีกเลี่ยงการพักในโรงแรมระดับห้าดาวก็ได้ และถ้าทุกอย่างล้มเหลว ให้จำคำพูดของชีค Khalifa ที่ว่า "บ้าเอ๊ย น่าจะจ้างพวก Wagner มากกว่า" 

หลังจากลี้ภัยในต่างประเทศอยู่หลายปี ในที่สุด Hamad bin Jassim bin Hamad Al Thani ลูกพี่ลูกน้องของชีค Hamad อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและหัวหน้าตำรวจ ผู้วางแผนในการทำรัฐประหารก็ถูกจับกุมในเดือนกรกฎาคม 1999 และถูกนำตัวขึ้นศาลในเดือนกุมภาพันธ์ 2000 โดย Hamad bin Jassim รวมถึงผู้ร่วมก่อการอีก 32 คน ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาวางแผนรัฐประหาร มีผู้ต้องหาอีก 85 คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร บางคนถูกพิจารณาคดีลับหลัง ซึ่งจำเลยทั้งหมดที่เข้าร่วมให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารรับจ้างต่างชาติที่รับงานนี้มาหลังเหตุการณ์

ผลพวงจากความพยายามก่อรัฐประหารในกาตาร์ปี 1996 น่าสนใจไม่แพ้การก่อรัฐประหารเลยทีเดียว แม้ว่าการก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวโดยกลุ่มทหารรับจ้างจะถือเป็นหายนะที่น่าขบขัน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของกาตาร์ไปมากนัก และกลับทำให้ตำแหน่งของชีค Hamad bin Khalifa Al Thani ในฐานะ Emir แห่งกาตาร์แข็งแกร่งขึ้น และปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศให้กลายเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ :

1. การรวมอำนาจของชีค Hamad หลังจากความพยายามในการทำรัฐประหารโดยพระบิดาของพระองค์ล้มเหลว ชีค Hamad ได้ทรงกระชับอำนาจของพระองค์ให้มั่นคงขึ้น พระองค์ยังทรงปกครองกาตาร์โดยเน้นที่การปรับปรุงให้ทันสมัยและการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การครองราชย์ของพระองค์ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตของกาตาร์ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก ด้วยแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลและนโยบายการทูตเชิงยุทธศาสตร์
2. การเปลี่ยนแปลงของกาตาร์ภายใต้การนำของชีค Hamad (1995–2013) ซึ่งมักถูกเรียกว่า “ยุคทองของกาตาร์” ต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงสำคัญบางส่วนที่พระองค์ทรงดำเนินการ :
- การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ชีค Hamad ทรงลงทุนในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของกาตาร์อย่างมากมาย จนทำให้กาตาร์กลายเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ความมั่งคั่งดังกล่าวทำให้กาตาร์สามารถระดมทุนสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การปฏิรูปการศึกษา และโครงการทางสังคมได้

- สื่อและการศึกษา ชีค Hamad ทรงก่อตั้งสำนักข่าวนานาชาติ Al Jazeera ที่มีชื่อเสียง ในปี 1996 โดย Al Jazeera ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการกำหนดความคิดเห็นของสาธารณชนในโลกอาหรับและที่อื่น ๆ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงลงทุนในด้านการศึกษาด้วยการก่อตั้งมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น Education City ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง
- สิทธิสตรีและการปฏิรูปสังคม ภายใต้การนำของชีค Hamad กาตาร์ได้ก้าวหน้าอย่างมากในด้านสิทธิสตรี รวมถึงให้สิทธิสตรีในการลงคะแนนเสียงและลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1999 นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสนับสนุนให้สตรีมีส่วนร่วมมากขึ้นในกำลังแรงงานและชีวิตสาธารณะอีกด้วย
- อิทธิพลระดับโลก ชีค Hamad ทรงวางตำแหน่งให้กาตาร์เป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในภูมิภาคและเป็นศูนย์กลางการทูตระหว่างประเทศ ด้วยการเป็นเจ้าภาพการเจรจาสันติภาพ ลงทุนในกีฬาระดับโลก (เช่น ฟุตบอลโลก 2022) และกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของมหาอำนาจตะวันตก

ชะตากรรมของชีค Khalifa bin Hamad Al Thani หลังจากความพยายามก่อรัฐประหารล้มเหลว พระองค์ยังทรงต้องลี้ภัยไปยังฝรั่งเศส นครอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อยู่หลายปี ในที่สุดก็สามารถเสด็จกลับมายังกาตาร์ในปี 2004 หลังจากทรงคืนดีกับพระโอรส โดยชีค Hamad ได้พระราชทานอภัยโทษอย่างเป็นทางการแก่พระองค์ และชีค Khalifa ทรงใช้ชีวิตในกาตาร์จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี 2016 การคืนดีครั้งนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพภายในราชวงศ์ A Thani ซึ่งยังคงครองอำนาจอย่างมั่นคงจนกระทั่งทุกวันนี้

ชีค Tamim bin Hamad Al Thani ทรงรับช่วงจากพระบิดาต่อในปี 2013 โดยชีค Hamad ทรงสละราชบัลลังก์โดยสมัครใจเพื่อให้ชีค Tamim bin Hamad Al Thani พระโอรสของพระองค์ขึ้นเป็น Emir แทน การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันตินี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในภูมิภาคนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของผู้นำกาตาร์ ชีค Tamim ยังทรงดำเนินตามนโยบายของพระบิดา โดยเน้นที่การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ การทูตระดับโลก และการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติที่สำคัญ เช่น ฟุตบอลโลก 2022

มรดกจากการรัฐประหารปี 1995 และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง มักถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของกาตาร์ แม้ว่าความพยายามการทำรัฐประหารจะล้มเหลวอย่างน่าตลก แต่ก็ตอกย้ำถึงความอดทนของผู้นำของชีค Hamad วิสัยทัศน์และการปฏิรูปของพระองค์ทำให้กาตาร์เปลี่ยนจากรัฐอ่าวเปอร์เซียเล็ก ๆ มาเป็นประเทศที่มีอิทธิพลระดับโลก มีมาตรฐานการครองชีพสูง เศรษฐกิจแข็งแกร่ง และมีสถานะที่แข็งแกร่งในระดับนานาชาติ เรื่องราวนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถในการปรับตัวและความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แม้ว่าความพยายามก่อรัฐประหารจะเป็นความผิดพลาด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาพิสูจน์ให้เห็นว่ากาตาร์มีความสามารถในการเอาชนะความท้าทายและเจริญรุ่งเรืองได้ แม้จะกาต้าร์จะต้องเผชิญกับความยากลำบากมาแล้วก็ตาม

เส้นขอบฟ้าที่ทันสมัยของกาตาร์ สัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดที่สุดอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงของกาตาร์คือเส้นขอบฟ้าอันล้ำยุคในกรุงโดฮา นครแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม เช่น Torch Doha พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม และ Pearl-Qatar โดยสถานที่สำคัญเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความมั่งคั่งของประเทศ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของชีค Hamad bin Khalifa Al Thani

หมายเหตุ ชาวอาหรับไม่มีนามสกุล จึงใช้ชื่อของบิดาต่อท้าย เช่น Tamim bin Hamad bin Khalifa Al Thani หมายถึง Tamim บุตรชายของ Hamad ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของ Khalifa แห่งราชวงศ์ Al Thani

ไม่พลาด!!!
ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงครามอินโดจีน 30 เมษายน 2568

รู้จัก 'คริสเตียนวิทยาศาสตร์' (Christian Science) ศาสนาที่ดาราฮอลลีวูดและคนดังศรัทธา

การเสียชีวิตของ Val Edward Kilmer พระเอก Batman Forever เมื่อ 1 เมษายนที่ผ่านมา โดยที่เขาเป็นคริสต์ศาสนิกชนภายใต้นิกายคริสเตียนวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ในช่วงแรก Kilmer จึงลังเลใจที่จะเข้ารับการรักษาทางการแพทย์เนื่องจากความเชื่อในคริสเตียนวิทยาศาสตร์ แต่สุดท้ายเขาก็เข้ารับการทำเคมีบำบัดและผ่าตัดเปิดคอสองครั้ง ในปี 2020 Kilmer ระบุว่า เขาหายจากอาการป่วยเป็นมะเร็งมาเป็นเวลาสี่ปีแล้ว แต่ยังคงต้องเข้ารับการบำบัดทางการแพทย์ รวมถึงการรับอาหารทางสาย

ทั้งนี้คริสต์ศาสนามีนิกายหลัก ๆ อยู่ 3 นิกายคือ (1)นิกายคาทอลิก (Catholicism) เป็นนิกายสายอนุรักษนิยมและสายปฏิรูปด้านความเป็นสากล (2)นิกายออร์ทอดอกซ์ (Orthodoxy) เป็นนิกายสายอนุรักษนิยมด้านจารีตดั้งเดิมในศาสนาคริสต์ตะวันออก และ(3) นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestantism) เป็นนิกายสายเสรีนิยม ซึ่งทั้ง 3 นิกายยังมีนิกายแยกย่อยไปอีกเป็นจำนวนมาก โดยคริสเตียนวิทยาศาสตร์จะอยู่ในร่มใหญ่ของนิกายโปรเตสแตนต์ 

คริสเตียนวิทยาศาสตร์ก่อตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี 1879 โดย Mary Baker Eddy (1821–1910) ผู้เขียนหนังสือที่มีคำชี้แจงที่ชัดเจนเกี่ยวกับคำสอนของนิกายนี้ ชื่อว่า Science and Health with Key to the Scriptures (1875) Mary Baker Eddy (Eddy เป็นชื่องสามีคนที่สามของเธอ) เติบโตในบ้านที่เคร่งครัดของคริสตจักร Congregationalism* ในชนบทของมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ 
*คริสตจักร Congregationalism* ซึ่งเป็นคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ที่ได้รับการปฏิรูป ซึ่งคริสตจักรใช้การปกครองแบบ 'คริสตจักรคองเกรเกชันนัล' โดยชุมชนแต่ละแห่งดำเนินการกิจการของตนเองอย่างอิสระ หลักการเหล่านี้ได้รับการบรรจุอยู่ใน Cambridge Platform (1648) และ Savoy Declaration (1658) ถือเป็นความต่อเนื่องของประเพณีทางเทววิทยาที่ยึดถือโดยพวก Puritans (ชาวอังกฤษโปรเตสแตนต์ในศตวรรษที่ 16 และ 17 ที่ต้องการกำจัดสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการ ปฏิบัติ แบบโรมันคาธอลิก ออกไปจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ โดยยืนกรานว่า คริสตจักรแห่งอังกฤษยังไม่ได้รับการปฏิรูปอย่างสมบูรณ์ และควรจะเปลี่ยนมาเป็นโปรเตสแตนต์มากขึ้น พวก Puritans มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ และอเมริกายุคแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตปกครองตนเองในบริเตนใหญ่ และการตั้งถิ่นฐานในอเมริกานช่วงแรกแถบนิวอิงแลนด์)

Eddy มีความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างไปจากบิดาของเธอ แต่เธอยังคงยึดมั่นในความศรัทธาที่เน้นพระคัมภีร์เป็นหลัก  ความโชคร้ายส่วนตัวและปัญหาสุขภาพเป็นปัจจัยที่ Eddy หมกมุ่นอยู่กับคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบของพระเจ้าต่อความทุกข์ของมนุษย์ การแสวงทางแก้ไขปัญหาสุขภาพของทำให้เธอได้ทดลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกต่าง ๆ รวมถึงโฮมีโอพาธี (อ่านได้ที่ “โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)” ศาสตร์การแพทย์ทางเลือก https://thestatestimes.com/post/2021071006) การบำบัดด้วยน้ำ และเทคนิคการบำบัดของ Phineas Parkhurst Quimby นักบำบัดพื้นบ้าน นักอ่านใจ และนักสะกดจิต จากมลรัฐเมน ซึ่งผลงานของเขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นรากฐานของกระแสความคิดใหม่ (New Thought) ความสัมพันธ์ของ Eddy กับเขาตั้งแต่ปี 1862 ถึง 1865 ทำให้เธอมีความเชื่อมากขึ้น ซึ่งได้รับจากการทดลองโฮมีโอพาธีเกี่ยวกับธรรมชาติทางจิตของโรค นอกจากนี้ยังเป็นแรงผลักดันให้เธอแสวงหาความหมายของเรื่องราวการรักษาโรคในพันธสัญญาใหม่

จากแนวคิดริเริ่มใหม่ของ Eddy โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณและสุขภาพ ได้รับแรงบันดาลใจจากการบำบัดรักษาสุขภาพในปี 1866 ซึ่งเธอได้ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการวิจัยรักษาหลากหลายวิธี ผลที่ได้จากการสรุปของเธอก็คือวิธีการรักษาที่เธอขนานนามว่า “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ในปี 1879 หนังสือของเธอ ชื่อ “วิทยาศาสตร์และสุขภาพกับกุญแจไขพระคัมภีร์” ได้เปิดมุมมองความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์กันของร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ เธอลงมือก่อตั้งวิทยาลัย คริสตจักร ธุรกิจสำนักพิมพ์ และหนังสือพิมพ์ที่ชื่อ “จับตามองคริสเตียนวิทยาศาสตร์” เพราะความคล้ายคลึงกับกลุ่มอื่น ๆ ทำให้หลายคนเชื่อว่า “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” เป็นเพียงลัทธิที่ไม่ใช่นิกายของคริสเตียน

การที่ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” สอนว่าพระเจ้า บิดามารดาของทุกคนนั้น ดีพร้อม และอยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ และกล่าวว่า สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมด รวมถึงลักษณะนิสัยแท้จริงของทุกคน เหมือนพระเจ้าด้านจิตวิญญาณที่ดีพร้อม เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นสิ่งที่ดี ความชั่วร้ายเช่นโรคภัย ความตายและความบาปไม่สามารถมีส่วนในสัจธรรมพื้นฐาน แต่ ความชั่วร้ายเหล่านี้เป็นผลมาจากการมีชีวิตที่ออกห่างจากพระเจ้า การอธิษฐานเป็นทางสายกลางที่เข้าใกล้ชิดพระเจ้าและรักษาความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างจากพระคัมภีร์ ที่สอนว่าคนเกิดมาในความบาปที่สืบสายมาจากอาดัมที่ล้มลงในความและสอนว่าความบาปแยกเราขาดจากพระเจ้า ถ้าไม่มีพระคุณแห่งความรอดของพระเจ้าโดยการพลีพระชนม์ของพระคริสต์บนกางเขน เราจะไม่มีวันได้รับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บขั้นสูงสุดคือความบาป

ดังนั้นชาว “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ส่วนใหญ่จึงถือเอาการบำบัดด้านจิตวิญญาณเป็นตัวเลือกอันดับแรกและทำให้พวกเขายึดเอา “พลังแห่งการอธิษฐานแทนการรักษาทางการแพทย์” อย่างไรก็ตาม คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ไม่มีนโยบายจัดการด้านบริการสุขภาพแก่สมาชิกแต่อย่างใด “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ไม่มีนักเทศน์ผู้รับใช้ โดย พระคัมภีร์ และหนังสือวิทยาศาสตร์และสุขภาพ ทำหน้าที่เป็นบาทหลวงและนักเทศน์ โดยมีผู้ที่ศึกษาบทเรียนพระคัมภีร์ประจำวันและอ่านออกเสียงดังในวันอาทิตย์ซึ่งคัดเลือกจากสมาชิกสองคนในคริสตจักร คริสเตียนวิทยาศาสตร์ ท้องถิ่นแต่ละแห่ง โบสถ์ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ยังมีการประชุมเป็นพยานทุกสัปดาห์ เป็นที่ซึ่งสมาชิกคริสตจักรจะมาบอกเล่าประสบการณ์ของการบำบัดรักษาและการฟื้นฟูใหม่

กล่าวกันว่า ในบรรดาหลักความเชื่อ “คริสเตียน” ที่มีอยู่นั้น “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” น่าจะเป็นชื่อที่เรียกอย่างไม่ถูกต้องมากที่สุด ทั้งนี้เพราะ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ไม่เป็นมีความเป็นทั้ง “คริสเตียน” หรือ “มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์” เลย เพราะ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ปฏิเสธแก่นความจริงของทุกสิ่งที่เป็นระบบ “คริสเตียน” ที่แท้จริง “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ และมุ่งไปที่ด้านจิตวิญญาณยุคใหม่ที่ลึกลับ ว่าเป็นแนวทางสำหรับการรักษาฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ถูกมองว่าเป็นที่มาของการพัฒนาของลัทธิสตรีนิยมในโลกแห่งศาสนา แม้ว่าจะไม่ใช่ “นักสตรีนิยม” แต่ Eddy ก็ได้ “ทำการปลดปล่อย” อย่างชัดเจน โดยมอบหมายให้ผู้หญิงที่เข้มแข็งดำรงตำแหน่งผู้นำที่สำคัญ และสอนว่าความเท่าเทียมกันทางจิตวิญญาณระหว่างผู้ชายและผู้หญิงจะต้องมีผลทางการเมืองและสังคม เธอเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างมาก แต่บรรดานักวิชาการตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมาได้ท้าทายการรับรู้เชิงลบของนักวิจารณ์และนักเขียนชีวประวัติในยุคแรก ๆ ได้สำเร็จ

ในช่วง 20 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Eddy ในปี 1910 จำนวนคริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” เพิ่มขึ้นจาก 1,213 เป็น 2,400 แห่ง จากรายงานของสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกาในปี 1936 ระบุว่า มีสมาชิกคริสตจักรแม่ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 269,000 ราย หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่ปรับระดับลงในช่วงทศวรรษที่ 1930 และ 1940 และลดลงอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้นเป็นต้นมา ยกเว้นในบางพื้นที่ (โดยเฉพาะบางประเทศในโลกที่สาม) ที่สมาชิกเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 เพื่อกระตุ้นสภาวะที่ซบเซา คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” จึงพยายามฟื้นฟูการเคลื่อนไหวนี้ ในปี 1972 ศูนย์กลางคริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ได้เปิดทำการในนครบอสตันและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ Christian Science Monitor ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันระดับนานาชาติที่คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” จัดพิมพ์ในนครบอสตันประสบความสำเร็จอย่างมาก และในช่วงทศวรรษที่ 1980 คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” พยายามขยายการเข้าถึงผ่านวิทยุและโทรทัศน์ แต่ในที่สุดการพบว่า การนำเสนอทางโทรทัศน์มีค่าใช้จ่ายสูงเกินไปและถูกยกเลิกไปท่ามกลางข้อโต้แย้งภายใน ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 คริสตจักร “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” อ้างว่ามีคริสตจักรภายใต้ “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” มากกว่า 1,700 แห่งใน 80 ประเทศ และคาดว่าสมาชิกจะอยู่ระหว่าง 100,000 ถึง 400,000 รายทั่วโลก

อย่างไรก็ดี “คริสเตียนวิทยาศาสตร์” ก็มีผู้นับถือศรัทธาที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย โดยเฉพาะในวงการภาพยนตร์ อาทิ Carol Channing และ Jean Stapleton, Colleen Dewhurst, Joan Crawford, Doris Day, George Hamilton, Mary Pickford, Ginger Rogers, Mickey Rooney, Horton Foote, King Vidor, Robert Duvall และ Val Kilmer ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ศรัทธาใน 'คริสเตียนวิทยาศาสตร์' นอกจากนั้นยังมี  Helmuth James Graf von Moltke นักกฎหมายผู้มีชื่อเสียง Daniel Ellsberg นักวิเคราะห์ทางทหาร Ellen รวมทั้งดาราดังในอดีต เช่น DeGeneres, Henry Fonda, Audrey Hepburn,  James Hetfield, Marilyn Monroe, Robin Williams, Elizabeth Taylor และ Victor Cazalet นักการเมืองชาวอังกฤษ พ่อทูนหัวของ Taylor อีกด้วย

ไม่พลาด!!!
ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงครามอินโดจีน 30 เมษายน พ.ศ. 2568

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#15 ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุด ในสงครามเวียตนาม

การรุกตรุษญวน (Tet Offensive) เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสงครามเวียตนาม เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 1968 โดยกองกำลังเวียตกง (VC) และกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) กับกองกำลังเวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร เป็นการรบแบบการจู่โจมต่อที่ตั้งของกองบัญชาการทหารและพลเรือน ตลอดจนศูนย์ควบคุมและสั่งการทั่วประเทศเวียตนามใต้ การรุกนี้ได้ชื่อจากวันหยุดตรุษญวน (Tết) ด้วยกำลังผสมของกองกำลังเวียตกงและกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือประมาณ 5 แสนนาย เปิดฉากการบุกโจมตีพร้อมกันหลาย ๆ จุดในหลาย ๆ เมืองของเวียตนามใต้ จนเป็นการสู้รบที่ดุเดือดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนไปจนถึงวันที่ 23 กันยายน 1968

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้มีการตระเตรียมกำลังพลถึง 1 ใน 3 (กว่าสี่แสนนาย) ของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และระดมกำลังพลของเวียตกงอีกประมาณ 70,000 คน โดยผู้บัญชาการทหารของฝ่ายเวียตนามเหนือ พลเอกโวเหงียนเกี๊ยบได้เลือกเอาวันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นวันปีใหม่ในปฏิทินจันทรคติของชาวเวียตนามเป็นการเปิดฉากจู่โจมในครั้งดังกล่าว โดยพลเอกเกี๊ยบได้วาดหวังผลทางยุทธศาสตร์เอาไว้ว่า การบุกจู่โจมดังกล่าวจะสามารถพิชิตกองทัพของฝ่ายเวียตนามใต้ (ARVN : Army of the Republic of Vietnam) ลงได้ ทั้งยังจะสามารถสร้างความวุ่นวายและปลุกปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลเวียตนามใต้ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องการที่จะกระตุ้นตอกย้ำรอยร้าวของความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงระหว่างรัฐบาลเวียตนามใต้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ หาทางเจรจาและต้องถอนกำลังทหารออกไปจากเวียตนามใต้

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ทำการโจมตีเป็นระลอกในกลางดึกของวันที่ 30 มกราคมในเขตยุทธวิธีที่ 1 และที่ 2 ของกองทัพเวียตนามใต้ การโจมตีช่วงแรกนี้ไม่นำไปสู่มาตรการป้องกันอย่างกว้างขวาง เมื่อปฏิบัติการหลักของคอมมิวนิสต์เริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น การรุกก็ลามไปทั่วประเทศและมีการประสานงานอย่างดี จนสุดท้ายมีกำลังคอมมิวนิสต์กว่า 80,000 นายเปิดฉากโจมตีเมืองต่าง ๆ กว่า 100 แห่ง ซึ่งรวมเมืองหลักของ 36 จาก 44 จังหวัด เขตปกครองตนเอง 5 จาก 6 แห่ง เมืองรอง 72 จาก 245 แห่ง และกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียตนามใต้ ในเวลานั้น การโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการทางทหารใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่าย การโจมตีในระยะแรกทำให้กองทัพสหรัฐฯ และเวียตนามใต้สับสนจนเสียการควบคุมในหลายเมือไปชั่วคราว แต่ที่สุดก็สามารถจัดกำลังใหม่จนสามารถต่อต้านการโจมตีและตีโต้จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยกลับไป 

แผนการบุกจู่โจมของฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้นตรงตามที่ได้มีการวางวางแผนไว้ ในกรุงไซง่อนซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเวียตนาม ที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลเวียตนามใต้ เช่น สถานทูตสหรัฐฯ ถูกก่อวินาศกรรมโดยหน่วยกล้าตายเวียตกงประมาณ 19 นาย หน่วยจู่โจมดังกล่าวปะทะกับทหารเวียตนามใต้และสหรัฐฯ และสามารถยึดที่มั่นสำคัญของฝ่ายเวียตนามใต้แห่งนี้ได้นานถึง 6 ชั่วโมง ก่อนที่จะถูกกราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายเวียตนามใต้และสหรัฐฯ จนเสียชีวิตหมด หน่วยกล้าตายเวียตกงอีกหน่วยสามารถบุกไปยังทำเนียบประธานาธิบดี สถานีวิทยุ ศูนย์กลางกองทัพเรือ กองพลทหารพลร่ม ศูนย์กลางตำรวจ รวมถึงคลังน้ำมันที่ 4, 5. 6, 7, 8 ในกรุงไซง่อน ความสำเร็จในการบุกจู่โจมกรุงไซง่อนของเวียตกงได้แสดงให้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของสงครามว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำอย่างที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เคยบอกตลอดมา นอกจากนี้ความจริงดังกล่าวยังเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของทหารอเมริกัน ในวันเดียวกันของการเริ่มปฏิบัติการที่เมืองเว้ ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถบุกยึดเมืองดังกล่าวได้สำเร็จ และปล่อยนักโทษที่ถูกฝ่ายตรงข้ามคุมขังให้เป็นอิสระได้ถึง 2,000 คน

ในกรุงไซง่อนการขับไล่กองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ของทหารเวียตนามใต้และอเมริกันเป็นไปด้วยความยากลำบาก หน่วยจู่โจมฝ่ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่ทั่วกรุงไซง่อนมาหลายสัปดาห์แล้ว อาศัยเสบียงที่พอจะประทังชีวิตได้ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ กองทัพอเมริกันได้โต้กลับด้วยวิธีการที่รุนแรงด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดและปืนใหญ่เข้าทำลายพื้นที่ทั้งหมดในทั้งกรุงไซง่อนและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีกำลังของฝ่ายคอมมิวนิสต์อยู่ ระหว่างยุทธการที่เมืองเว้มีการสู้รบอย่างดุเดือดกินเวลาถึงหนึ่งเดือน ทำให้กองกำลังสหรัฐต้องทำลายเมืองเว้จนเสียหายอย่างหนัก และระหว่างการยึดครองเมืองเว้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ประหารชีวิตประชาชนหลายพันคน (เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองเว้) 

ขณะเดียวกัน ยังมีการสู้รบบริเวณรอบ ๆ ฐานทัพสหรัฐฯ ที่เคซานต่อมาอีกสองเดือน แม้ว่าปฏิบัติการจู่โจมดังกล่าวจะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องสูญเสียกำลังพลมหาศาล และถือเป็นความพ่ายแพ้ทางทหารสำหรับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะทำให้สาธารณชนชาวอเมริกันต้องตกตะลึงจากความเชื่อซึ่งถูกผู้นำทางการเมืองและการทหารบอกว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์กำลังปราชัย และไม่สามารถดำเนินความพยายามขนาดมโหฬารเช่นนี้ได้ การสนับสนุนสงครามของสาธารณชนชาวอเมริกันจึงลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดสหรัฐฯ ต้องแสวงหาการเจรจาเพื่อยุติสงคราม

การรุกในวันตรุษญวนทำให้ทหารของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และเวียตกง (VC) เสียชีวิตกว่า 1 แสนนาย ทหารของกองทัพสหรัฐฯ เวียตนามใต้ และพันธมิตรเสียชีวิตกว่า 10,000 นาย เหตุการณ์นี้กองกำลังทหารไทยในเวียตนามใต้ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบด้วย แม้ว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่การรุกในวันตรุษญวนส่งผลในทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก โดยเป็นการแสดงศักยภาพด้านการทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการจุดกระแสต่อต้านสงครามเวียตนามในสหรัฐฯ จนติด และนำไปสู่การถอนทหารสหรัฐฯ จากเวียตนามใต้ และที่สุดนำไปการล่มสลายของเวียตนามใต้ (สาธารณรัฐเวียตนาม) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#16 ‘พลอากาศโท Pham Tuân’ เสืออากาศแห่งกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ

สหรัฐฯ ถือเป็นผู้ครองอากาศทั้งหมดทั้งมวลเหนือดินแดนเวียตนามทั้งเหนือและใต้ในระหว่างสงคราม และแทบจะไม่มีปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพอากาศเวียตนามเหนือในดินแดนเวียตนามใต้เลย และการปฏิบัติบนน่านฟ้าเวียตนามเหนือเป็นเพียงการต่อสู้กับเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ซึ่งมาจากกองทัพอากาศ กองทัพเรือ และกองกำลังนาวิกโยธิน แต่กระนั้นแล้ว กองทัพอากาศเวียตนามเหนือก็ยังมีนักบินขับไล่ซึ่งสามารถยิงเครื่องบินรบสหรัฐฯ ตกตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไปกลายเป็นเสืออากาศถึง 19 นาย ส่วนกองทัพสหรัฐฯ มีนักบินขับไล่ที่เป็นเสืออากาศในสงครามเวียตนาม 5 นาย

พลอากาศโท Pham Tuân เป็นหนึ่งในเสืออากาศอันดับต้น ๆ ของกองทัพอากาศเวียตนามเหนือ ด้วยผลงานยิงเครื่องบินของศัตรูตกไป 8 ลำ (อันดับหนึ่งมีสถิติ 9 ลำ) แต่เป็นนักบินขับไล่กองทัพอากาศเวียตนามเหนือคนแรกที่ยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ของสหรัฐฯ ตก และต่อมาเขาเป็นชาวเวียตนามคนแรกและเป็นคนแรกของภูมิภาค ASEAN ที่ได้เดินทางไปในอวกาศ

พล.อ.ท. Pạm Tuân เกิดที่เมือง Kiến Xương จังหวัด Thái Bình ทางตอนเหนือของเวียตนาม เข้าร่วม VPAF หรือกองทัพอากาศเวียตนาม (กองทัพอากาศเวียตนามเหนือ) ในปี 1965 เริ่มต้นจากนักเรียนช่างเรดาร์ จากนั้นก็ได้รับเลือกให้เข้ารับการฝึกเป็นนายทหารนักบินชั้นสัญญาบัตร เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนการบิน Krasnodar ในสหภาพโซเวียต เป็นนักบิน MiG-17 ในปี 1967 จากนั้นจึงย้ายไปฝึกบิน MiG-21 และได้รับมอบหมายให้ประจำหน่วยฝึกบิน VPAF 910 ระหว่างปี 1968-69 เขามีส่วนร่วมในการพัฒนาเทคนิคการสกัดกั้นในเวลากลางคืนเพื่อต่อต้านการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ จากนั้นจึงย้ายมาประจำกรมการบินที่ 932 ระหว่างปี 1969-1970 และสุดท้ายประจำกรมการบินที่ 921 ระหว่างปี 1970-1973

ระหว่างคืนวันที่ 18-27 ธันวาคม 1972 ในปฏิบัติการ Linebacker II (the Christmas Bombing) นาวาอากาศตรี Pham Tuân ได้นำเครื่องบินขับไล่แบบ MiG-21 ติดขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบแสวงความร้อนเข้าต่อสู้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 Stratofortress ของสหรัฐฯ ไม่ต่ำกว่า 12 ครั้ง วันที่ 27 เขาบิน MiG-21MF (หมายเลข 5121) ด้วยความเร็วเหนือเสียง และสามารถเจาะเข้าไปในขบวนบินของ B-52 ยิงขีปนาวุธ 2 ลูกในระยะน้อยกว่า 4 กม. ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาแล้วรายงานว่า ขีปนาวุธของเขายิงถูก B-52D จนตกเหนือเขตติดต่อของจังหวัด Hoa Binh กับ Vinh Phuc การอ้างชัยชนะนี้ ทำให้ B-52 ลำนี้เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดเพียงลำเดียวที่ถูกยิงตกในการสู้รบทางอากาศ แต่กลับถูกโต้แย้งโดยบันทึกของสหรัฐฯ ซึ่งอ้างว่า B-52 ลำนี้ถูกยิงโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศเช่นเดียวกับ B-52 ลำอื่น ๆ ที่ถูกยิงระหว่างสงคราม ในหนังสือชื่อ "Hà Nội - Điện Bien Phủ trên không" (ฮานอย - ยุทธการเดียนเบียนฟูในอากาศ) โดย Nguyễn Minh Tâm จัดพิมพ์โดย Nhà xuất bản Quân đội Nhân dân Việt Nam (Viet Publishing House's) ผู้เขียนยืนยันว่า นต. Pham Tuân ยิง B-52 ด้วยขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบ K-13 สองลูกภายในระยะ 4 กิโลเมตร

นต. Pham Tuân เล่าว่า “เมื่อผมตรวจพบเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินของผมอยู่ห่างจากเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ประมาณ 10 กม. ผมจึงทิ้งถังเชื้อเพลิงภายนอก และขอคำสั่งโจมตีทันที แม้ว่าผมจะเข้าใกล้เครื่องบินทิ้งระเบิดแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก โชคดีที่ฝูงบินคุ้มกัน F-4 ของศัตรูก็ไม่มองเห็นผม แต่เพื่อความแน่ใจ ผมยังคงบินเข้าใกล้ต่อไปจนเหลือระยะ 3 กม. แล้วถึงได้ปล่อยขีปนาวุธ ในขณะที่ผมกำลังหลบหนี ผมก็เห็นตอนที่ขีปนาวุธทั้งสองพุ่งชนเข้ากับ B-52 แล้วระเบิด ซึ่งตอนนั้นไฟกำลังลุกไหม้ B-52 และมีเครื่อง F-4 พยายามไล่ตามผมมา แต่ตอนนี้ผมก็รอดแล้ว" Tuân เล่าว่า เนื่องจาก B-52 ติดตั้งอุปกรณ์ลวงอินฟราเรดจำนวนมาก เขาจึงต้องเข้าใกล้เป้าหมาย (ในระยะ 2-3 กิโลเมตร) เพื่อให้แน่ใจว่า จรวดจะไม่พลาด แม้ว่าระยะปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับการยิงขีปนาวุธคืออย่างน้อย 8 กิโลเมตร การอ้างชัยชนะทางอากาศโดยนักบิน MiG ของ VPAF ต่อเครื่องบินรบของสหรัฐฯ มักได้รับการโต้แย้งว่าเป็นการสูญเสีย B-52 มาจากขีปนาวุธพื้นสู่อากาศหรือปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เนื่องจากถือว่า "น่าอับอายน้อยกว่า" การที่ถูกนักบินฝ่ายศัตรูยิงตก ปฏิบัติการ Linebacker II มีนักบินและลูกเรือเสียชีวิต 33 นาย โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 Stratofortress จำนวน 15 ลำถูกยิงตก และจนทุกวันนี้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็ยังไม่ยืนยันว่า Tuân เป็นผู้ยิง B-52 ตกระหว่างปฏิบัติการ Linebacker II

Tuân ได้รับรางวัลและคำชื่นชมในการปฏิบัติงานที่มีความโดดเด่นมากมาย ในปี 1973 Tuân ได้รับตำแหน่ง "วีรบุรุษแห่งกองทัพประชาชน" ของเวียตนามเหนือ รวมทั้ง Ho Chi Minh Order นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัล Order of Lenin และได้รับเกียรติอันหาได้ยากด้วยการเป็นหนึ่งในชาวต่างชาติไม่กี่คนที่ได้รับ "Hero of the Soviet Union" จากภารกิจในอวกาศ Interkosmos program โดยทำหน้าที่เป็นนักบินผู้บังคับยานอวกาศในเที่ยวบิน Soyuz 37 ซึ่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 23  กรกฎาคม 1980 ไปยังสถานีอวกาศ Salyut 6 และกลับสู่เพื่อโลกเมื่อ 31 กรกฎาคม 1980 รวมเวลาที่เขาอยู่ในอวกาศ 7 วัน 20 ชั่วโมง 42 นาที Tuân นำสิ่งของหลายอย่างติดตัวไปด้วยในเที่ยวบิน Soyuz 37 ซึ่งรวมถึงรูปภาพของอดีตประธานาธิบดี Hồ Chí Minh, Lê Duân เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียตนาม, ประกาศเจตจำนงของ Hồ Chí Minh, ธงชาติเวียตนาม โดยเขาได้นำสิ่งของทั้งหมดเอาไปไว้บนสถานีอวกาศแล้วนำพวกมันกลับมายังโลก ในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้รับรางวัล "วีรบุรุษแรงงานแห่งเวียดนาม"  ต่อมาในปี 1989 เขาได้รับตำแหน่ง "รองผู้บัญชาการ" กองทัพอากาศเวียดนาม ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลอากาศโทในปี 1999 และดำรงตำแหน่ง "อธิบดีกรมอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ" ในปี 2000 และเกษียณจากตำแหน่งในปลายปี 2007 ปัจจุบัน พลอากาศโท Pham Tuân ยังคงมีชีวิตอยู่ และใช้ชีวิตกับภรรยาอย่างมีความสุข

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#17 สหรัฐฯ ถอนทหารออกจาก เวียตนามใต้

หลังจากให้ความช่วยเหลือทางการทหารทางอ้อมโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเวลาสองทศวรรษ ในปี 1961 ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี แห่งสหรัฐฯ ได้ตัดสินส่งกำลังทหารสหรัฐฯ จำนวนมากชุดแรกในฐานะ “ที่ปรึกษาทางทหาร” ไปสนับสนุนระบอบเผด็จการที่ไร้ประสิทธิภาพของเวียตนามใต้ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์เหนือ สามปีต่อมา เมื่อรัฐบาลเวียตนามใต้ล่มสลาย ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสันจึงสั่งโจมตีเวียตนามเหนือด้วยการทิ้งระเบิดในจำนวนจำกัด หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติการใช้กำลังทหารโดย “มติอ่าวตังเกี๋ย” ในปี 1965 การรุกคืบของเวียตนามเหนือทำให้ประธานาธิบดีจอห์นสันต้องเลือกระหว่างเพิ่มจำนวนทหารสหรัฐฯ หรือถอนทัพ ประธานาธิบดีจอห์นสันตัดสินใจเลือกสั่งอย่างแรก และในไม่ช้าจำนวนกำลังทหารสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 300,000 นาย แล้วกองทัพอากาศสหรัฐฯ เริ่มต้นปฏิบัติการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ในช่วงไม่กี่ปีต่อมา สงครามเวียตนามที่ยาวนาน ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และการเปิดเผยการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในอาชญากรรมสงคราม เช่น การสังหารหมู่ที่หมู่บ้านไมไล จึงทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาประท้วงต่อต้านสงครามเวียตนาม กอปรกับการรุกช่วงเทศกาลตรุษญวนของฝ่านคอมมิวนิสต์ในปี 1968 ทำลายความหวังของสหรัฐฯ ที่จะยุติความขัดแย้งโดยเร็ววัน และกระตุ้นให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต่อต้านสงคราม คะแนนนิยมของประธานาธิบดีจอห์นสันลดลงจาก 48% เหลือเพียง 36% เพื่อเป็นการตอบสนองมติมหาชน ประธานาธิบดีจอห์นสันได้ประกาศในเดือนมีนาคม 1968 ว่าเขาจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีก โดยอ้างถึงสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาในการสร้างความแตกแยกในระดับชาติอันน่ากลัวเกี่ยวกับเวียตนาม นอกจากนี้ เขายังอนุมัติให้เริ่มการเจรจาสันติภาพอีกด้วย 

ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1969 ขณะที่การประท้วงต่อต้านสงครามทวีความรุนแรงขึ้นในสหรัฐฯ กำลังทหารของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามแห่งนี้ถึงจุดสูงสุดที่เกือบ 550,000 นาย ริชาร์ด นิกสันประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จึงเริ่มสั่งให้มีการถอนทหาร และ “ทำให้เวียตนามเป็นเวียตนาม”  ในความพยายามทำสงครามในปีนั้น แต่เขากลับเพิ่มการทิ้งระเบิด การถอนทหารจำนวนมากของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เมื่อประธานาธิบดีนิกสันขยายการปฏิบัติการทางอากาศและทางบกเข้าไปในกัมพูชาและลาวเพื่อพยายามปิดกั้นเส้นทางส่งกำลังบำรุงของคอมมิวนิสต์ตามแนวชายแดนเวียตนาม การขยายสงครามครั้งนี้ให้ผลเชิงบวกเพียงเล็กน้อย แต่กลับนำไปสู่การประท้วงระลอกใหม่ในสหรัฐอเมริกาและที่อื่น ๆ

ในที่สุด ในเดือนมกราคม 1973 ผู้แทนของสหรัฐฯ เวียตนามใต้ เวียตนามเหนือ และเวียตกงได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีส ยุติการมีส่วนร่วมทางทหารโดยตรงของสหรัฐฯ ในสงครามเวียตนาม สานะสำคัญ ได้แก่ การหยุดยิงทั่วทั้งเวียตนาม การถอนกำลังทหารของสหรัฐฯ การปล่อยเชลยศึก และการรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกันโดยสันติวิธี รัฐบาลเวียตนามใต้จะคงอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ และกองกำลังของเวียตนามเหนือในเวียตนามใต้จะต้องไม่รุกคืบต่อไปหรือได้รับการเสริมกำลังอีก การยุติสงครามทำให้สหรัฐฯ สามารถถอนตัวออกจากสงคราม และนำเชลยศึกชาวอเมริกันกลับบ้าน ประธานาธิบดีนิกสันได้รับรับรองว่าจะให้การสนับสนุนเวียตนามใต้ข้อตกลงผ่านจดหมายทางการทูตหลายฉบับในกรณีที่เวียตนามเหนือละเมิดข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงท่าทีเพื่อรักษาน้ำใจของรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้น ก่อนที่กองทหารสหรัฐฯ ชุดสุดท้ายจะออกเดินทางในวันที่ 29 มีนาคม ฝ่ายเวียตนามทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว โดยเวียตนามเหนือได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจึงทำให้สงครามยังคงดำเนินต่อไป และในช่วงต้นปี 1974 สงครามเต็มรูปแบบก็ได้กลับมาปะทุอีกครั้ง ช่วงปลายปี 1974 ทางการเวียตนามใต้รายงานว่าทหารและพลเรือนของตนเสียชีวิตจากการสู้รบถึง 80,000 นาย ทำให้เป็นปีที่สูญเสียมากที่สุดในสงครามเวียตนาม

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 1973 หน่วยทหาร สหรัฐฯ ชุดสุดท้าย ออกจากเวียตนามเมื่อถึงเวลานั้น ฝ่ายคอมมิวนิสต์และเวียตนามใต้ได้เปิดฉากสงครามที่นักข่าวเรียกกันว่า "สงครามหลังสงคราม" โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพอย่างต่อเนื่องสหรัฐฯ ยังคงดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เวียตนามใต้อย่างเต็มที่ แต่ความสามารถในการมีบทบาทต่อเหตุการณ์ในเวียตนามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกจำกัดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่สถานะส่วนตัวของประธานาธิบดีนิกสันพังทลายลงจากการเปิดเผยกรณี “วอเตอร์เกต” ทำให้รัฐสภาสหรัฐฯ เคลื่อนไหวเพื่อขัดขวางความเป็นไปได้ใด ๆ ของการดำเนินการทางทหารเพิ่มเติมในเวียตนาม ในช่วงฤดูร้อนของปี 1973 รัฐสภาฯ ได้ผ่านมาตรการห้ามปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ในหรือเหนืออินโดจีนหลังจากวันที่ 15 สิงหาคม รัฐสภาฯ ได้ดำเนินการอีกขั้นในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1973 เมื่อเพิกถอนการยับยั้งของประธานาธิบดีนิกสันในการผ่านรัฐบัญญัติอำนาจสงคราม ซึ่งตามทฤษฎีแล้วกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ประธานาธิบดีต้องหารือกับรัฐสภาก่อนที่จะส่งกองกำลังสหรัฐฯ ไปประจำการนอกสหรัฐฯ

วันที่ 30 เมษายน 1975 ชาวอเมริกันกลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่ในเวียตนามใต้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากประเทศโดยเฮลิคอปเตอร์ในขณะที่กรุงไซง่อนถูกกองกำลังคอมมิวนิสต์ยึดครองได้สำเร็จ พันเอกบุ้ยตินแห่งเวียตนามเหนือ ซึ่งยอมรับการยอมแพ้ของเวียตนามใต้ในเวลาต่อมา กล่าวว่า “คุณไม่ต้องกลัวอะไรเลย ระหว่างเวียตนามไม่มีผู้ชนะและพ่ายแพ้ มีแต่ชาวอเมริกันเท่านั้นที่พ่ายแพ้” สงครามเวียตนามเป็นสงครามต่างประเทศที่ยาวนานที่สุดและไม่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิต 58,000 ราย ทหารและพลเรือนเวียตนามทั้งเหนือและใต้เสียชีวิตมากถึง 2 ล้านคน

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#18 ‘ซวนล็อก’ สมรภูมิสุดท้ายของ ‘กองทัพเวียตนามใต้’

เมื่อสงครามเวียตนามใกล้จะสิ้นสุดมีการรบที่ดุเดือดที่สุด แต่แทบจะไม่มีการกล่าวถึงเลย ด้วยหลังจากการรบครั้งนั้น 9 วัน เวียตนามใต้ก็ล่มสลายเมื่อกองกำลังเวียตนามเหนือและเวียตกงเข้ายึดครองกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จ “สมรภูมิซวนล็อก (Battle of Xuân Lộc)” เป็นการสู้รบใหญ่ครั้งสุดท้ายในสงครามเวียตนาม โดยตั้งแต่ต้นปี 1975 กองทัพประชาชนเวียตนาม (PAVN) ได้ปฏิบัติการกวาดล้างกองกำลังเวียตนามใต้ (Army of the Republic of Vietnam : ARVN) ในจังหวัดทางตอนเหนือของเวียตนามใต้บริเวณที่ราบสูงตอนกลาง ทำให้กองพลที่ 2 ของกองทัพบกเวียตนามใต้ถูกทำลายอย่างย่อยยับในขณะที่พยายามเคลื่อนพลไปยังพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง การรบที่เมืองเว้และดานัง กองกำลังเวียตนามใต้นั้นละลายโดยแทบจะไม่มีการต่อต้าน ความพ่ายแพ้อย่างหนักของกองทัพบกแห่งสาธารณรัฐเวียดนาม (ARVN) ทำให้สมัชชาแห่งชาติเวียดนามใต้ตั้งกระทู้ถามกับประธานาธิบดีเหงียนวันเทียวถึงกรณีดังกล่าวจนทำให้ประธานาธิบดีเหงียนวันเทียวต้องลาออกจากตำแหน่ง

หลังจากการล่มสลายของกองพลที่ 1 และ 2 ของกองทัพบกเวียตนามใต้ กองทัพปลดปล่อยเวียตนาได้เคลื่อนพลเข้าสู่กรุงไซง่อน โดยมีกองพลทหารราบที่ได้รับการเสริมกำลังอย่างหนักจำนวน 15 กองพล โดยกองพล 3 กองพลได้เข้าโจมตีเมือง “ซวนล็อก” ซึ่งอยู่ห่างจากไซง่อนไปทางตะวันออกเฉียงเหนือบนทางหลวงหมายเลข 1 ประมาณ 30 ไมล์ กองกำลังเวียตนามใต้เคลื่อนกำลังที่เหลือเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกองพลทหารราบที่ 18 ภายใต้พลจัตวา Lê Minh Đảo เพื่อป้องกันเมือง "ซวนล็อก" อันเป็นสี่แยกยุทธศาสตร์ ด้วยหวังที่จะชะลอการบุกของกองทัพประชาชนเวียตนาม การสู้รบครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9 ถึง 21 เมษายน 1975 และจบลงเมื่อกองทัพประชาชนเวียตนามสามารถยึดครองเมืองนี้ โดยกำลังพลจากกองทัพน้อยที่ 4 นำโดยพลตรี Hoàng Cầm เมือง "ซวนล็อก" ถือเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้ายของกองทัพภาคที่ 3 ของเวียตนามใต้ให้การคุ้มกันแนวรบทางตะวันออกของกรุงไซ่ง่อนเมืองหลวงของเวียตนามใต้ ด้วยเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อเมือง Bình Dương ฐานทัพอากาศ Bien Hoa, เมือง VũngTàu, เมือง Long An และ เมือง lynchpin อันมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง "ซวนล็อก" ซึ่งกำลังทหารเวียตนามใต้ได้ร่วมกันในความพยายามทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายเพื่อป้องกันกรุงไซ่ง่อนและปกป้องเวียดนามใต้ ประธานาธิบดีเหงียนวันเทียวได้สั่งให้กองพลทหารราบที่ 18 รักษาเมือง "ซวนล็อก" ให้ได้ด้วยทุกวิธี 

กองกำลังเวียตนามใต้ทำการป้องกันกรุงไซ่ง่อน โดยครอบคลุมถนนสายหลักทั้ง 5 ที่นำไปสู่กรุงไซ่ง่อน ทางตอนเหนือของไซ่ง่อน กองพลที่ 5 ป้องกันการโจมตีของศัตรูบนทางหลวงหมายเลข 13 ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง กองพลที่ 18 ป้องกันเมือง "ซวนล็อก" ครอบคลุมทางหลวงหมายเลข 1 และเมือง Bình Dương และฐานทัพอากาศ Bien Hoa ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงไซ่ง่อน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบินและกองกำลังจู่โจม (ซึ่งทั้งหมดมีศักยภาพในการรบเหลือประมาณ 50 %) และทางหลวงหมายเลข 15 ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงไซ่ง่อน กองพลที่ 22 ป้องกันทางหลวงหมายเลข 4 เส้นทางหลักจากสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงไปยังกรุงไซ่ง่อนและตะวันตกเฉียงเหนือ กองพลที่ 25 ป้องกันเส้นทางหมายเลข 1 ระหว่างเมือง Tay Ninh และกรุงไซ่ง่อน

กองทัพน้อยที่ 4 ของกองทัพประชาชนเวียตนามได้รับคำสั่งให้ยึด "ซวนล็อก" เพื่อเปิดประตูสู่กรุงไซ่ง่อน ในช่วงเริ่มต้นของการรบกองพลทหารราบที่ 18 สามารถเอาชนะกองทัพน้อยที่ 4 ของกองทัพประชาชนเวียตนามได้ ทหารเวียตนามใต้ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญท่ามกลางอุปสรรคมากมาย กองทัพอากาศของเวียตนามใต้ให้การสนับสนุนด้วยเฮลิคอปเตอร์และการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ และระเบิด "เดซี่คัตเตอร์" และระเบิดเพลิงอบบ CBU-55B ซึ่งเป็นระเบิดเพลิงอากาศแบบแรกที่ใช้ในการสู้รบ จนทำให้ทหารของกองทัพประชาชนเวียตนามหนึ่งกองพลต้องล่าถอยด้วยความสูญเสียอย่างหนัก เพื่อยึดครองเมือง "ซวนล็อก" ให้สำเร็จ ผู้บัญชาการกองทัพน้อยที่ 4 จึงได้เปลี่ยนแผนการรบ แต่แล้วในวันที่ 19 เมษายน 1975 กองกำลังของพลจัตวา Đảo ได้รับคำสั่งให้ถอนตัวหลังจากเมือง "ซวนล็อก" ถูกโดดเดี่ยวเกือบทั้งหมด โดยหน่วยของเวียตนามใต้ที่เหลือทั้งหมดถูกทำลายอย่างย่อยยับ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นจุดสิ้นสุดของอาชีพทางการเมืองของประธานาธิบดีเหงียนวันเทียว โดยที่เขาลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 เมษายน 1975 ด้วยประโยคที่ว่า "ผมขอลาออก แต่ผมจะไม่หนี" แล้ว 5 วันต่อมา เขาก็ขึ้นเครื่องบินลำเลียง C-118 หนีไปไต้หวันพร้อมด้วยกระเป๋าที่หนักอึ้งเป็นจำนวนมาก

ทหารฝ่ายป้องกันของเวียดนามใต้ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญท่ามกลางอุปสรรคมากมาย Xuan Loc ได้รับการปกป้องโดยกองพลที่ 18 ของเวียดนามใต้ ซึ่งประกอบด้วยกรมทหารราบ 3 กรม ได้แก่ กรมที่ 43 กรมที่ 48 และกรมที่ 52 นอกจากนี้ยังมีกองพลยานเกราะอีก 5 กองพัน กองกำลังภูมิภาคอีก 4 กองพัน (กองพันที่ 340 กองพันที่ 342 กองพันที่ 343 และกองพันที่ 367) หน่วยปืนใหญ่ 2 หน่วย (กองพันปืนใหญ่ที่ 181 และ 182) พร้อมปืนใหญ่ 42 กระบอก และกองกำลังป้องกันตนเองของประชาชนอีก 2 กองร้อย  ในวันที่ 12 เมษายน ยังได้รับการเสริมกำลังด้วยกองพลทหารราบทางอากาศที่ 1 กองพลยานเกราะ 3 กองพล (กองพลยานเกราะที่ 315, 318 และ 322) กองกำลังเฉพาะกิจที่ 8 จากกองพลที่ 5 และกองพันทหารพรานที่ 33 การสนับสนุนทางอากาศมาในรูปแบบของกองพลอากาศโยธินอีก 2 กองพล ได้แก่ กองพลอากาศโยธินที่ 5 ประจำการที่ฐานทัพอากาศเบียนฮัว และอากาศโยธินที่ 3 ฐานทัพอากาศเตินเซินเญิ้ต นอกจากนี้ยังมีกองทัพอากาศของเวียดนามใต้ให้การสนับสนุนทางเฮลิคอปเตอร์และการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ขนาดใหญ่และระเบิด "เดซี่คัตเตอร์" และระเบิดเชื้อเพลิงอากาศ CBU-55B ซึ่งเป็นระเบิดเชื้อเพลิงอากาศลูกแรกที่เคยใช้ในการสู้รบ เนื่องจากกองกำลังเวียตนามใต้ที่ทำหน้าที่ป้องกันสูญเสียกำลังพลไป 30% 

วันที่ 23 เมษายน 1975 กองพลที่ 18 ได้เคลื่อนพลถอยไปยังกรุงไซง่อนบนทางหลวงหมายเลข 2 โดยที่หน่วยสนับสนุนและปืนใหญ่ยังคงอยู่ครบถ้วน ทำให้เมือง “ซวนล็อก” ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังคอมมิวนิสต์ในวันเดียวกัน แม้ว่าครั้งหนึ่ง กองทัพสหรัฐฯ จะไม่ให้การยอมรับทหารกองพลที่ 18 แต่ภายใต้การนำของพลจัตวา Lê Minh Đảo กองพลนี้ได้กลายเป็นหน่วยที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันกรุงไซง่อน สมรภูมิ "ซวนล็อก" สิ้นสุดลงลงในวันที่ 21 เมษายน 1975 โดยกองทัพน้อยที่ 4 ของเวียตนามเหนือสามารถเอาชนะกำลังผสมชุดสุดท้ายของกองทัพภาคที่ 3 ของเวียตนามใต้ แล้วอีก 9 วันต่อมาเมื่อรถถัง T-54 ของกองทัพประชาชนเวียตนามชนผ่านประตูทำเนียบประธานาธิบดีเวียตนามใต้ในวันที่ 30 เมษายน 1975 จึงเป็นการสิ้นสุดสงครามเวียตนามอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#19 'Saigon, the Last Day' 30 เมษายน 1975 วันสุดท้าย 'กรุงไซ่ง่อนและสาธารณรัฐเวียตนาม'

วันนี้ ย้อนหลังไป 50 ปีก่อนเป็นวันล่มสลายของสาธารณรัฐเวียตนามหรือเวียตนามใต้ รำลึกนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยบทความที่แปลจากบันทึกของคุณ Loren Jenkins อดีตบรรณาธิการอาวุโสฝ่ายต่างประเทศของสำนักข่าว NPR ขณะเป็นนักข่าวของ Newsweek ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ขณะกรุงไซ่ง่อนล่มสลายจากการยึดครองของกองทัพเวียตนามเหนือ และกองกำลังเวียตกงในปลายเดือนเมษายน 1975 เขาเล่าให้ฟังถึงชั่วโมงสุดท้ายที่สุดวุ่นวายในสถานเอกอัครรัฐทูตสหรัฐฯ ซึ่งเขาเขียนและเผยแพร่ในขณะที่ยังเป็นบรรณาธิการอาวุโสฝ่ายต่างประเทศของสำนักข่าว NPR

สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับวันสุดท้ายในเวียตนาม ผมตื่นขึ้นมาก่อนรุ่งสางจากเสียงและแรงระเบิด ในช่วงครึ่งหลับครึ่งเคลิ้มผมกลิ้งไปบนพื้น ดึงที่นอนที่อยู่ด้านบนแล้วนอนหลับต่อ ปฏิกิริยานั้นเป็นสัญชาตญาณ Pavlovian Reflex เพื่อหลีกเลี่ยงเศษกระจกที่แตกกระจายหากมีการระเบิดใกล้ ๆ แต่แล้วผมก็ตื่นขึ้น และตระหนักว่า การระเบิดนั้นเป็นการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ไปยังสนามบิน Ton Son Nhut กองกำลังเวียตนามเหนือเคลื่อนที่ไปทางใต้เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว โดยก่อนหน้านั้นคลื่นขนาดยักษ์ของผู้ลี้ภัย ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็มาถึงกรุงไซ่ง่อน หลังจากเวลาผ่านไปสิบปีสงครามก็กำลังจะสิ้นสุดลง

เมื่อฝ่ายเวียตนามเหนือกำลังเข้ายังมีนักข่าวมากมายที่พูดคุยกันไม่หยุดหย่อนในลานของโรงแรม Continental Palace ซึ่งเป็นที่พักของนักข่าวต่างประเทศ เราควรจะอยู่เพื่อบันทึกการเข้ายึดครองกรุงไซ่ง่อนที่เราอยู่มานานของกองทัพเวียตนามเหนือเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหรือไม่? หรือเราควรปฏิบัติตามแผนการของสถานทูตสหรัฐฯ ที่จะส่งรถบัสมารับไปยังสนามบิน Ton Son Nhut เพื่อขึ้นเครื่องบินอพยพไปยังเกาะกวมซึ่งบินมารอแล้วหลายสัปดาห์หรือไม่? แผนการอพยพของสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนการผจญภัยในสหรัฐอเมริกา แต่เกิดขึ้นในเวียตนาม เมื่อมีการตัดสินใจที่จะดึงปลั๊กปฏิบัติการในเวียตนามใต้เป็นครั้งสุดท้าย เพลง "White Christmas" จะถูกเปิดโดยสถานีวิทยุของกองทัพสหรัฐฯ นั่นจะเป็นสัญญาณให้คนอเมริกันหลายพันคนที่ยังคงอยู่ในกรุงไซ่ง่อนรีบเดินทางไปยังสถานที่ที่ได้รับการเตรียมการทั่วเมืองเพื่อรอรถบัสที่จะมารับและพาไปยังสนามบิน Ton Son Nhut

แต่ในฐานะผู้สื่อข่าวของ Newsweek ซึ่งติดตามปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของอเมริกาในเวียตนาม การไปสนามบินเป็นความคิดที่ตัดทิ้งไปเลย ขณะที่กรุงไซ่ง่อนล่มสลายสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำ เมื่อประธานาธิบดี ฟอร์ดสั่งให้การอพยพของชาวอเมริกันในกรุงไซ่ง่อนเริ่มต้น เนื่องจากการโจมตีสนามบินผมเลือกที่จะบันทึกนาทีสุดท้ายของปฏิบัติการของสหรัฐฯในเวียตนามที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงไซ่ง่อนแทน สถานทูตฯ ล้อมรอบด้วยกำแพงคอนกรีตสีขาวยาว 15 ฟุต เสริมด้วยขดลวดหนาม อาคารสถานทูตหกชั้นเป็นป้อมปราการที่ทันสมัยตั้งตระหง่านอยู่เหนืออาคารทรงเตี้ยที่ล้อมรอบ ที่นั่นนโยบายของสหรัฐฯ ถูกนำมาปฏิบัติมายาวนาน และที่นี่ในที่สุด Graham Martin เอกอัครรัฐทูตประจำสาธารณรัฐเวียตนาม ผู้ซึ่งต้องปฏิบัติตามนโยบายฯ เป็นคนสุดท้าย

ผมจำได้ว่า เมื่อเช้านั้นได้พบกับ David Greenway แห่ง The Washington Post ที่แผนกต้อนรับของ Continental Palace เขาค่อย ๆ ควักเงินเวียตนามที่กำลังจะหมดค่าออกมาจ่ายค่าโรงแรม โดยพูดว่า ไม่มีสุภาพบุรุษคนไหนออกจากโรงแรมโดยไม่จ่ายบิล และเราขับรถไปที่สถานทูตฯ ด้วยรถยนต์โตโยต้าของ The Washington Post ไปตามถนนที่ไม่มีการจราจรซึ่งผิดปกติ บนถนนเกลื่อนไปด้วยเครื่องแบบและรองเท้าบู๊ทของทหารเวียตนามใต้ถอดทิ้งเอาไว้ เมื่อเรามาถึงสถานทูตฯ ประตูปิดอยู่ และนาวิกโยธินติดอาวุธยืนเฝ้าอยู่เหนือกำแพงคอนกรีต เมื่อชาวเวียตนามนับพันเริ่มร้องขอให้นำอพยพออกมาพร้อมกับชาวอเมริกัน เราทั้งผลักทั้งดันกลุ่มคนเวียตนาม แสดงหนังสือเดินทางของสหรัฐฯ และกดบัตรที่ประตู แล้วมีคนมาเปิดและให้พวกเราเข้าไปในสถานทูตฯ

ภายในมีความวุ่นวาย ไร้ระเบียบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนาวิกโยธิน เจ้าหน้าที่ซีไอเอ และอาสาสมัครของกระทรวงการต่างประเทศเดินไปมาทั่วบริเวณ และจัดวางกำลังพร้อมอาวุธหลากหลายประเภท ตั้งแต่ปืนกลมือทอมสันโบราณไปจนถึงมีดล่าสัตว์ติดกับเข็มขัด ชาวเวียตนามหลายพันคนที่กำลังสิ้นหวัง กรีดร้อง และกำลังพยายามปีนกำแพง และมุดผ่านขดลวดหนาม ซึ่งก็ถูกผลักกลับเข้าไปในถนนด้วยปืน M16 อย่างไร้ความปราณี ต้นมะขามขนาดใหญ่ที่บังเงาให้รถของเอกอัครรัฐทูตพึ่งถูกตัดและลากไปไว้ด้านข้างเพื่อเปลี่ยนลานจอดรถให้เป็นจุดลงจอดของเฮลิคอปเตอร์ ยิ่งไปกว่านั้นมีคนหลายร้อยถูกปล่อยให้เข้ามา เพราะทำงานร่วมกับชาวอเมริกันรวมตัวกันอยู่กลางกองกระเป๋าเดินทาง กล่องกระดาษแข็งและเสื้อผ้า มีนายพลเวียตนามใต้อย่างน้อยสามคนในชุดเครื่องแบบกับครอบครัว นักการเมืองเวียตนามใต้ อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไซ่ง่อน หัวหน้าหน่วยดับเพลิงและคนของเขาอีกสิบคนยังคงสวมหมวกเหล็ก ชาวเวียตนามคนอื่น ๆ บุกเข้าไปในโรงอาหารของสถานทูตเพื่อค้นหาเครื่องดื่ม และอาหารเท่าที่พวกเขาสามารถหาได้

ชั้นบนสุดของอาคารซึ่งจัดเก็บเอกสารลับสุดยอดไว้ เอกสารที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ เรียงซ้อน และทิ้งออกนอกหน้าต่างออก มีควันจากสำนักงานบางแห่งที่มีการเผาเอกสารอื่น ๆ และจนถึงจุดหนึ่งเจ้าหน้าที่ซีไอเอสามคนในเสื้อแจ็กเก็ตเลื่อนรถเข็นที่เต็มไปด้วยธนบัตรร้อยดอลลาร์จากตู้เซฟ และทิ้งลงในเตาเผาขยะด้านนอก จากนั้นก็มีเสียงของใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่บินลงมาจากท้องฟ้าสีคราม เฮลิคอปเตอร์ CH-46 ขนาดใหญ่บินจากเรือรบของกองเรือที่ 7 แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ลอยลำอยู่ในทะเลจีนใต้ ความวุ่นวายเป็นกิจวัตรเช่นนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน เฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาและบินจากไป ในที่สุดเวลา 18 ชั่วโมงหลังจากการอพยพเริ่มขึ้น ประธานาธิบดีฟอร์ดได้สั่งให้ยุติการอพยพโดยทีมเฮลิคอปเตอร์ 80 ลำที่บินแล้วจนหมดแรงแล้ว 495 เที่ยว มีการบอกกล่าวอย่างเงียบ ๆ กระจายออกไปว่าจะมีเพียงชาวอเมริกันที่เหลือเท่านั้นที่จะได้รับการอพยพ ทหารนาวิกโยธินบนกำแพงถอยกลับเข้าไปในอาคารสถานทูตฯ ประตูถูกปิดและพวกเราข้างในก็ขยับขึ้นไปบนหลังคา

ในที่สุดประมาณตี 4 ทูต Graham Martin ปรากฏตัวเงียบ ๆ พร้อมกับทีมงานบนหลังคาอาคารอย่างเงียบ ๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอิดโรย มีธงชาติสหรัฐฯ ของสถานทูตฯ ที่พับแล้วอยู่ใต้วงแขนของเขา ผมเข้าไปร่วมกับเลขานุการส่วนตัวของเขาและ Nitnoy สุนัขพุดเดิ้ลสีดำสัตว์เลี้ยงของเขา (น่าจะเป็นชื่อไทยว่า “นิดหน่อย” ด้วยตัวทูต Graham Martin เคยเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย) ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ CH-46 ลำหนึ่งบนหลังคา ในขณะที่เฮลิคอปเตอร์ CH-46 ยกตัวออกมา มุมมองสุดท้ายต่อประเทศที่เขาเป็นดั่งอุปราชอเมริกันคือ ภาพของพลุดอกไม้ไฟขนาดยักษ์ที่เกิดจากบรรดากระสุนที่ทิ้งไว้ในค่าย Bien Hoa ทางทิศเหนือเกิดระเบิดขึ้น และแสงไฟจากรถบรรทุกที่ยาวเหยียดไกลสุดสายตา ซึ่งสามารถเห็นได้ว่า ขบวนรถของกองทัพเวียตนามเหนือมุ่งลงไปทางใต้เพื่อชัยชนะ

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#20 'ทำไมสหรัฐฯ จึงไม่ชนะในสงครามอินโดจีน'

สงครามอินโดจีนที่สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมคงต้องใช้คำว่า “ไม่ชนะ” แทนคำว่า “พ่ายแพ้” เพราะอันที่จริงแล้วศักยภาพของกองทัพอเมริกันและพันธมิตรสามารถเอาชนะสงครามอินโดจีนได้ หากเป็นการรบตามแบบ และไม่คำนึงถึงปัญหาอุปสรรคอันเกิดจากข้อจำกัดต่าง ๆ ตลอดจนการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศของสหรัฐฯ เอง รวมทั้งการไม่สามารถเอาชนะทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และจิตวิทยาภายในเวียตนามทั้งเหนือและใต้อีกด้วย สงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ผ่านการบริหารประเทศโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึง 5 คน ได้แก่ Truman, Eisenhower, Kennedy, Johnson และ Nixon

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วย OSS (ต้นกำเนิดของ CIA ในปัจจุบัน) ได้ขบวนการเวียตมินห์ (ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นกองทัพประชาชนเวียตนาม) ซึ่งโฮจินมินห์เป็นผู้ก่อตั้งเป็นพันธมิตรในการสู้รบกับญี่ปุ่น ด้วยการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อให้เวียตมินห์ช่วยเหลือนักบินอเมริกันที่ถูกยิงตกและหาข่าวให้กับ OSS หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงในปี 1945 ความผิดพลาดของสหรัฐฯ ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1946 เมื่อประธานาธิบดี Truman ได้ปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือของโฮจิมินห์ในการขับไล่ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม โดยเลือกที่จะสนับสนุนฝรั่งเศสแทน ทั้ง ๆ ที่ตัวโฮจิมินห์เองรู้สึกขอบคุณและชื่นชมสหรัฐฯ ที่ช่วยขบวนการเวียตมินห์จนสามารถขับไล่ญี่ปุ่นจากการยึดครองเวียตนามต่อจากฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิม อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สหรัฐฯไม่สามารถเอาชนะทั้ง “จิตใจและแนวคิด” ของชาวเวียตนามได้ ซ้ำร้ายผลจากสงครามเย็นทำให้สังคมอเมริกันโดยรวมถูกกระแสต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าครอบงำ จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับเวียตนามเหนือไม่เป็นไปด้วยดีตาม แล้วก็เข้าสู่สงครามในที่สุด

ประธานาธิบดี Harry S. Truman จึงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ทำให้สหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในปี 1945 เขาได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศด้านกิจการเอเชีย ภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt (ผู้ซึ่งต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมหรือการล่าอาณานิคม) ซึ่งเสียชีวิตในตำแหน่ง ว่า การกลับมาปกครองเวียตนามของฝรั่งเศสจะนำไปสู่ "การนองเลือดและความไม่สงบ" แต่ประธานาธิบดี Truman กลับยอมรับต่อการกลับเข้าปกครองอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสอีกครั้ง ด้วยหวังว่า เรื่องดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเกื้อหนุนเศรษฐกิจและเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับฝรั่งเศส (ซึ่งพ่ายแพ้ต่อเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหมดรูป) อีกครั้งหนึ่ง ไม่ช้าฝรั่งเศสก็กลับมาปกครองเวียตนามพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์จากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และเปิดฉากสู้รบกับกองทัพประชาชนเวียตนามหรือเวียตมินห์ของของโฮจิมินห์ในทันที โดยแรก ๆ นั้น สหรัฐอเมริกายังคงดำรงความเป็นกลางอย่างเป็นทางการ หลีกเลี่ยงการติดต่อใด ๆ กับโฮจิมินห์ อย่างไรก็ตามต่อมาในปี 1947 ประธานาธิบดี Truman ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ คือการช่วยเหลือประเทศที่ยืนหยัดต่อการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ สงครามเกาหลีในปี 1950 รวมถึงความช่วยเหลือจากจีนและสหภาพโซเวียตต่อเวียตหมินห์ทำให้ประธานาธิบดี Truman กลับมาพิจารณาและให้จัดเวียตนามเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการทำสงครามเย็น ด้วยความกลัวว่า ที่สุดเวียตนามจะกลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ เขาได้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมกับที่ปรึกษาทางทหารจำนวน 35 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ มอบให้แก่ฝรั่งเศส และยิ่งถลำลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปลายสมัยที่สองของประธานาธิบดี Truman สหรัฐฯ ได้ทุ่มงบมากกว่าหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายในการทำสงครามในเวียตนามให้กับฝรั่งเศส และในที่สุดได้เพิ่มจำนวนเงินงบประมาณเป็นประมาณ 80% ของค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม

ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 2 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในปี 1954 ฝรั่งเศสประสบความพ่ายแพ้ชนิดหมดรูปที่เดียนเบียนฟู ทำให้ความพยามในการครอบครองอาณานิคมของพวกเขาสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนได้เสนอให้ทำการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อรักษาสถานภาพของฝรั่งเศส แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ปฏิเสธ เพราะสงครามเกาหลีพึ่งจะสงบลงได้ไม่นานนัก ประธานาธิบดี Eisenhower ได้เขียนไว้ในบันทึกของเขา ว่า “ผมเชื่อมั่นว่าจะไม่มีชัยชนะทางทหารเกิดขึ้นเหมือนอดีตอีกแล้ว” แต่ด้วยเขาเป็นผู้ที่เชื่อใน "ทฤษฎีโดมิโน" ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า หากประเทศใดประเทศหนึ่งพ่ายแพ้ต่อลัทธิคอมมิวนิสต์แล้ว จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามมา จึงปฏิเสธที่ปล่อยเวียตนามโดยสิ้นเชิง ที่สุดเวียตนามถูกแบ่งเป็นสองประเทศโดยมีโฮจินมินห์เป็นผู้นำเวียตนามเหนือ และ Ngo Dinh Diem ผู้ซึ่งเป็นพวกนิยมชาติตะวันตกได้รับการสนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดีของเวียตนามใต้ แต่เขาเป็นชาวเวียตนามเชื้อสายจีนจากตระกูลที่มั่งคั่ง ซ้ำยังเป็นแคทอลิก ในขณะที่ชาวเวียตนามใต้ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธและมีฐานะยากจน การเลือกตั้งซึ่งควรจะเกิดขึ้นเพื่อรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน แต่ถูกประธานาธิบดี Diem หยุดไว้ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ด้วยเกรงว่า โฮจินมินห์จะชนะการเลือกตั้งและมีความชอบธรรมที่จะรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน

แม้ว่า ประธานาธิบดี Diem จะถูกขุดคุ้ยตรวจสอบและประจักษ์ชัดว่า เป็นพวกเผด็จการและทุจริตโกงกิน แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ก็เรียกเขาว่า "รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" และ "ตัวอย่างของผู้คนที่เกลียดชังทรราชและรักเสรีภาพ" ที่สำคัญกว่านั้นเขายังได้จัดหาเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ ประธานาธิบดี Diem โดยมอบเงินช่วยเหลือจำนวนมากในระหว่างปี 1955 ถึง 1960 และเพิ่มจำนวนที่ปรึกษาทางทหารเพิ่มเป็น 1,000 นาย เมื่อประธานาธิบดี Eisenhower หมดวาระการดำรงตำแหน่ง การสู้รบอย่างเปิดเผยระหว่างกองกำลังทหารของประธานาธิบดี Diem กับเวียตกง ในเวียตนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียตนามเหนือก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 3 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี John F. Kennedy หลังจากไปเยือนเวียตนามในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 1951 เขาได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อสาธารณชนที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือแก่ฝรั่งเศสในเวียตนาม โดยเขากล่าวว่า การกระทำนั้น “เป็นการท้าทายความเป็นชาตินิยมโดยรู้ล่วงหน้าว่าจะล้มเหลวอยู่แล้ว” และอีก 3 ปีต่อมาเขาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ผมเชื่อในความเชื่อที่ว่า ไม่มีความช่วยเหลือทางทหารของอเมริกันจำนวนมาก…จะสามารถพิชิตศัตรูได้ทุกที่ในเวลาเดียวกัน” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1960 ด้วยความกังวลว่า จะถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี Kennedy ได้จัดหาเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินลำเลียง เรือลาดตระเวนลำน้ำ และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ให้กับเวียตนามใต้ นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ใช้ Napalm และ สารพิษ เช่น ฝนเหลือง (Agent Orange) และเพิ่มที่ปรึกษาทางทหารเป็น 16,000 คน บางนายมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการรบอย่างลับ ๆ ต่อมาประธานาธิบดี Diem ผู้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนถูกรัฐประหารและสังหารในปี 1963 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดี Kennedy จะถูกลอบสังหาร โดยก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน เขาเคยบอกกับคณะทำงานของเขาว่า เขาอาจจะถอนกำลังและการสนับสนุนออกจากเวียตนามภายหลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า เขาจะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่

ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 4 ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม หลังการลอบสังหารของประธานาธิบดี Kennedy การมีส่วนร่วมในสงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ยังค่อนข้างจำกัด แต่สิ่งนั้นได้เปลี่ยนไปในเดือนสิงหาคม 1964 “เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย” ทำให้รัฐสภาอเมริกันมอบอำนาจในการทำสงครามอย่างไม่จำกัดให้กับประธานาธิบดี Johnson ผู้ซึ่งพึ่งเข้าดำรงตำแหน่ง เพราะตระหนักว่า รัฐบาลและกองทัพเวียตนามใต้กำลังจะล่มสลาย ประธานาธิบดี Johnson ได้ส่งกำลังรบสหรัฐเข้าสู่สนามรบในเวียตนามเป็นครั้งแรกในต้นปี 1965 และให้มีการทิ้งระเบิดขนานใหญ่ในชื่อรหัสว่า Operation Rolling Thunder ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวดำเนินต่อเนื่องมาอีกหลายปี ในไม่ช้าร่างรัฐบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสงครามเวียตนามใต้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย พร้อมกับการต่อต้านร่างกฎหมายเหล่านั้น ในปี 1967 มีทหารอเมริกันราว 500,000 นายในเวียตนามใต้ และในปีเดียวกันนั้นมีก็การประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต่างยืนยันกับประธานาธิบดี Johnson ว่า ชัยชนะกำลังใกล้เข้ามา แต่ต่อมาเมื่อเอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถูกเปิดเผยในภายหลังกลายเป็นว่า ความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เข้าใจผิดอย่างมากมาย ในความเป็นจริงแล้วการสู้รบในเวียตนามใต้นั้นได้กลายเป็นหลุมใหญ่และลึกไปเสียแล้ว สงครามเวียตนามกลายเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก และประธานาธิบดี Johnson ก็กลายเป็นพวกกระหายสงคราม ในที่สุดประธานาธิบดี Johnson ก็ตัดสินใจที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1968

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 5 คนสุดท้ายที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี Richard Nixon ในการรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Nixon สัญญาว่า จะยุติสงครามเวียตนาม อย่างไรก็ตามภายหลังปรากฏว่า มีพยายามขัดขวางการเจรจาสันติภาพเพื่อทำให้คะแนนเสียงของเขาดีขึ้น ในฐานะประธานาธิบดี ประธานาธิบดี Nixon ค่อยๆ ทยอยถอนทหารอเมริกันออกจากเวียตนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Vietnamization” แต่เขาก็เพิ่มความขัดแย้งในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การอนุมัติการโจมตีทางอากาศอย่างลับ ๆ ในกัมพูชาในปี 1969 ต่อมาส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปยังกัมพูชาในปี 1970 และอนุมัติการบุกลาวในปี 1971 ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์อย่างยิ่งในการทำลายเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยกองกำลังเวียตกง นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดี Nixon ยังสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงที่สุดในสงคราม ซึ่งส่งผลเวียตนามเหนือถูกทิ้งระเบิดถึง 36,000 ตัน ในช่วงปลายปี 1972 ในเดือนมกราคมปี 1973 เมื่อกรณีอื้อฉาว Watergate ถูกเปิดเผย ประธานาธิบดี Nixon จึงยุติบทบาทการมีส่วนร่วมโดยตรงของสหรัฐฯ ในเวียตนาม โดยกล่าวว่า ปฏิบัติการ "สันติภาพอย่างมีเกียรติ" ประสบความสำเร็จ แม้จะปรากฏว่า การสู้รบในเวียตนามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1975 กระทั่งกองกำลังทหารเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกงสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อ 30 เมษายน 1975 เมืองหลวงของเวียตนามใต้ และรวมประเทศเข้าด้วยกันภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์เวียตนาม

สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในอินโดจีนด้วยเหตุผลคือ การป้องกันการแผ่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต และสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ โดยยอมละเลยอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยของตนด้วยการสนับสนุนให้กองทัพที่เป็นพวกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนและยอมทำตามสหรัฐฯ ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นี้คือ อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ พ่ายแพ้ในภูมิภาคนี้ด้วยผู้นำทางทหารเหล่านั้นเมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้วแทนที่จะพัฒนาชาติบ้านเมือง กลับกลายเป็นเผด็จการทรราชทำการทุจริตโกงกินคอร์รัปชันกันอย่างมากมายมหาศาล เมื่อนายทหารใหญ่ ๆ กลายเป็นเผด็จการทรราชทุจริตโกงกินแล้ว คุณภาพของกองทัพก็ลดลงทั้งวินัย ขวัญกำลังใจ และความสามารถในการรบ อุดมการณ์รักชาติกลายเป็นอุดมกินแสวงหาผลประโยชน์เงินทองในหมู่ทหารทุกระดับชั้น เมื่อมีความสุขสบาย ความรักตัวกลัวตายจึงเกิด อีกทั้งความช่วยเหลือที่ได้รับจากสหรัฐฯ นั้นมากมายมหาศาล ในขณะที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยังคงยึดถืออุดมการณ์รักชาติ เพื่อชาติ อยู่เช่นเดิม

เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโดจีนถูกเผยแพร่ตีแผ่ในสื่อต่าง ๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะโทรทัศน์ ชาวอเมริกันได้เห็นปฏิบัติการรบ ทำให้ส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจจึงการเกิดการประท้วงต่อต้านสงครามอยู่ตามมหาวิทยาลัยและตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ เด็กหนุ่มอเมริกันซึ่งแต่เดิมสหรัฐฯ ใช้ระบบการเกณฑ์ทหารต่างก็หวาดกลัวจึงพากันต่อต้านและอพยพหลบหนีออกจากประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบในเวียตนาม ความเบื่อหน่ายต่อสงครามซึ่งสหรัฐฯ เข้าร่วมตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองต่อเนื่องมา ทั้งอเมริกันชนไม่เห็นประโยชน์ในการทำสงครามเวียตนาม ทั้งสูญเสียชีวิตทหารอเมริกันเกือบหกหมื่นนาย รัฐบาลสหรัฐฯ จึงยอมเจรจาสงบศึกและทยอยถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกจากเวียตนามในปี 1973 แต่ยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลเวียตนามใต้ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล โดยหวังว่า กองทัพเวียตนามใต้จะนำประชาชนจับอาวุธต่อสู้กับกองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกง ด้วยความผิดพลาดจากการทำให้กองทัพเวียตนามใต้เสพติดการทุจริตคอร์รัปชันโกงกิน ใช้อำนาจในการรังแกประชาชนจนขาดความยกย่อง นับถือ และเชื่อมั่น จึงไม่มีใครร่วมที่จะต่อสู้เลย ซ้ำร้ายทหารเวียตนามใต้เองเมื่อขาดวินัย ขวัญกำลังใจต่ำมาก ๆ จึงพากันถอดเครื่องแบบหนีทัพ ที่สุดแล้วอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายมหาศาลเหล่านั้นก็ตกอยู่มือของกองทัพเวียตนามเหนือ (กองทัพเวียดนามในปัจจุบัน) แม้จะสูญเสียไปในการรบกับจีนในสงครามจีนสั่งสอนเวียตนาม สงครามในกัมพูชา รบกับกองทัพไทย ไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมากและบางส่วนยังไม่เคยได้นำออกมาใช้งานเลย

การที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเอาชนะในสงครามครั้งนั้นได้ ด้วยเพราะการบริหารที่ผิดพลาดทั้งการทหารและการเมือง เมื่อบริหารร่วมกันในการทำสงครามเวียตนามแล้วยิ่งผิดพลาดจนไปกันใหญ่ แม้จนปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ จะยังคงเป็นกองทัพอันดับหนึ่งของโลกก็ตาม หากแต่พิจารณาถึงสงครามที่สงครามต่าง ๆ ในระยะหลังที่กองทัพสหรัฐฯ เข้าไปมีบทบาทนั้น กองทัพสหรัฐฯ จะถูกมองในบทบาทของผู้รุกรานมากกว่าบทบาทของผู้ช่วยเหลือหรือผู้ปลดปล่อย ภาพปรากฏจึงกลายเป็นศัตรูมากกว่ามิตร เปรียบเหมือนกับกองทัพสหรัฐฯ นั้นใช้พระเดช (อำนาจ) มากกว่าพระคุณ (ไมตรีจิต-มิตรภาพ-จริงใจ-ช่วยเหลือ-ห่วงใย-ใส่ใจ) ความสำเร็จในการทำสงครามในมุมมองของผู้เขียนคือ การบริหารพระเดชและพระคุณให้เกิดความเหมาะสมสมดุล ไม่ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยจนเกินไป แต่ใช้ทั้งสองอย่างให้เหมาะสม ตามแต่บริบทของพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ๆ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) คือ สัจธรรมที่มนุษยชาติต้องประสบพบเจอ ไม่เว้นแม้แต่ สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งเราท่านน่าจะมีโอกาสได้เห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นในเวลาต่อไป

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

‘The Mandela Rules’ เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ สำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ส่งผลอย่างมาก!! ต่อนโยบาย และแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

องค์การสหประชาชาติ (UN) ให้ความสำคัญกับความทุกข์ยากของนักโทษและความรับผิดชอบที่ซับซ้อนของเจ้าหน้าที่เรือนจำมาโดยตลอด ดังนั้นในปี 1955 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติจึงได้นำกฎเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners: SMRs) มาใช้ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งแรกว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการจัดการสถานที่ในเรือนจำและการปฏิบัติต่อนักโทษมาเป็นเวลากว่า 60 ปี กฎเกณฑ์เหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนากฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรือนจำทั่วโลก

เมื่อกฎหมายระหว่างประเทศและความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางอาญาและสิทธิมนุษยชนได้รับการพัฒนา ประเทศสมาชิกสหประชาชาติก็ตระหนักว่ามาตรฐานการลงโทษจะได้รับประโยชน์จากการทบทวน ในปี 2011 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้จัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลขึ้นเพื่อปรับปรุงมาตรฐานการลงโทษให้เหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 โดยไม่ลดมาตรฐานที่มีอยู่ใด ๆ ตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปี 2015 ประเทศสมาชิกได้หารือเกี่ยวกับลักษณะและขอบเขตของการแก้ไขโดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยังได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมด้วย

หลังจากวิเคราะห์ความก้าวหน้าของกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับการลงโทษ และแนวทางปฏิบัติด้านการบริหารจัดการเรือนจำที่ดีตั้งแต่ปี 1955 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้เสนอให้แก้ไขกฎเกณฑ์เดิมมากกว่าหนึ่งในสามในเก้าประเด็นหลัก ได้แก่ ศักดิ์ศรีของนักโทษในฐานะมนุษย์ กลุ่มนักโทษที่เปราะบาง บริการด้านการดูแลสุขภาพ ข้อจำกัด วินัย และการลงโทษ การสืบสวนการเสียชีวิตและการทรมานในระหว่างการควบคุมตัว การเข้าถึงตัวแทนทางกฎหมายของนักโทษ การร้องเรียนและการตรวจสอบ การอบรมเจ้าหน้าที่เรือนจำ และคำศัพท์ที่ต้องปรับปรุง ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติที่แก้ไขใหม่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ โดยเกณฑ์ดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า 'The Mandela Rules' เพื่อเป็นเกียรติแก่ 'Nelson Mandela' อดีตประธานาธิบดีแห่งแอฟริกาใต้ ซึ่งเคยถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปีเนื่องจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

'The Mandela Rules' เป็น 'Soft law (กฎหมายอ่อน)' ซึ่งหมายความว่าข้อกำหนดนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย กฎหมายของประเทศมีอำนาจเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อกำหนดเหล่านี้ไม่มีความสำคัญ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนระหว่างประเทศได้นำข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ตกลงกันโดยสากล ประเทศสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากได้นำบทบัญญัติของข้อกำหนดเหล่านี้มาใช้ในกฎหมายในประเทศของตนหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ ฝ่ายตุลาการในประเทศนั้น ๆ อาจใช้ข้อกำหนดเหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลรองเมื่อตัดสินว่าแนวทางปฏิบัติในเรือนจำของประเทศนั้นถูกต้องตามธรรมนูญดังกล่าวหรือไม่

“The Mandela Rules” เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2015 หลังจากผ่านกระบวนการแก้ไขเป็นเวลา 5 ปี ประกอบด้วย "ข้อกำหนด" 122 ข้อ ซึ่งไม่ใช่ข้อกำหนดทั้งหมด บางข้อเป็นหลักการ เช่น ความเท่าเทียมกันในสถาบันและปรัชญาของการกักขัง ข้อกำหนดดังกล่าวได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1955 ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดจัดขึ้นที่เจนีวาและได้รับการอนุมัติโดยคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาติในมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1957 และ 13 พฤษภาคม 1977

ตั้งแต่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมได้รับรองเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners : SMR) ในปี 1957 เป็นต้นมา เกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ แม้ว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่มีข้อผูกมัดทางข้อกำหนดหมาย แต่เกณฑ์ดังกล่าวก็มีความสำคัญทั่วโลกในฐานะแหล่งข้อมูลสำหรับข้อกำหนดหมายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการบริหารจัดการเรือนจำตามกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศสำหรับพลเมืองที่ถูกคุมขังในเรือนจำและการควบคุมตัวในรูปแบบอื่น ๆ หลักการพื้นฐานที่อธิบายไว้ในมาตรฐานดังกล่าวคือ "จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่น ๆ ชาติกำเนิดหรือสังคม ทรัพย์สิน การเกิดหรือสถานะอื่น ๆ"

ภาคที่ 1 ประกอบด้วยเกณฑ์การใช้ทั่วไป ประกอบด้วยมาตรฐานที่กำหนดว่าอะไรเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติต่อนักโทษและการจัดการสถาบันเรือนจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ: มาตรฐานขั้นต่ำของที่พัก (ข้อกำหนดข้อที่ 12 ถึง 17); สุขอนามัย ส่วนบุคคล (18); เครื่องแบบและเครื่องนอน* (19 ถึง 21); อาหาร (22); การออกกำลังกาย (23); บริการทางการแพทย์ (24 ถึง 35); วินัยและการลงโทษ (36 ถึง 46); การใช้เครื่องมือควบคุม (47 ถึง 49); การร้องเรียน (54 ถึง 57); การติดต่อกับโลกภายนอก (58 ถึง 63); ความพร้อมของหนังสือ (64); ศาสนา (65 และ 66); การยึดทรัพย์สินของนักโทษ (67); การแจ้งการเสียชีวิต การเจ็บป่วย การย้าย (68 ถึง 70); การเคลื่อนย้ายนักโทษ (73); คุณภาพและการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่เรือนจำ (74 ถึง 82); และการตรวจสอบเรือนจำ (83 ถึง 85)

*เครื่องแบบนักโทษคือชุดเสื้อผ้ามาตรฐานที่นักโทษสวมใส่ โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเสื้อผ้าที่มองเห็นได้ชัดเจนเพื่อบ่งบอกว่าผู้สวมใส่เป็นนักโทษ โดยแตกต่างจากเสื้อผ้าของทางการอย่างชัดเจน เนื่องจากได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ระบุตัวนักโทษได้ทันที จำกัดความเสี่ยงผ่านวัตถุที่ซ่อนอยู่ และป้องกันการบาดเจ็บผ่านวัตถุที่สวมบนเสื้อผ้าที่ไม่ได้ระบุตัวตน เครื่องแบบนักโทษยังสามารถทำลายความพยายามหลบหนีได้ เพราะเครื่องแบบนักโทษโดยทั่วไปใช้การออกแบบและรูปแบบสีที่สังเกตเห็นและระบุได้ง่ายแม้จะอยู่ห่างไกลออกไป การสวมเครื่องแบบนักโทษมักจะทำอย่างไม่เต็มใจและมักถูกมองว่าเป็นการตีตราและละเมิดอำนาจการตัดสินใจของตนเอง โดยในกฎข้อที่ 19 กำหนดว่า 
- ผู้ต้องขังทุกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเอง จะต้องได้รับชุดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและเพียงพอที่จะรักษาสุขภาพที่ดี เสื้อผ้าดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือทำให้ผู้อื่นอับอายแต่อย่างใด
- เสื้อผ้าทั้งหมดต้องสะอาดและอยู่ในสภาพที่เหมาะสม เสื้อผ้าชั้นในจะต้องเปลี่ยนและซักบ่อยเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาสุขอนามัย
- ในสถานการณ์พิเศษ เมื่อใดก็ตามที่นักโทษถูกนำตัวออกไปนอกเรือนจำเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต นักโทษจะได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตนเองหรือเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาอื่น ๆ

ภาคที่ 2 ประกอบด้วยเกณฑ์ที่บังคับใช้กับนักโทษประเภทต่างๆ รวมถึงนักโทษที่ถูกพิพากษาโทษ มีหลักเกณฑ์หลายประการ (ข้อกำหนดข้อที่ 86 ถึง 90) การปฏิบัติ (การฟื้นฟู) นักโทษ (91 และ 92) การจำแนกประเภทและการทำให้เป็นรายบุคคล (93 และ 94) สิทธิพิเศษ (95) การทำงาน[ 4 ] (96 ถึง 103) การศึกษาและการพักผ่อนหย่อนใจ (104 และ 105) ความสัมพันธ์ทางสังคมและการดูแลภายหลัง (106 ถึง 108) ภาคที่ 2 ยังมีเกณฑ์สำหรับนักโทษที่ถูกจับกุมหรืออยู่ระหว่างรอการพิจารณาคดี (โดยทั่วไปเรียกว่า "การพิจารณาคดีระหว่างพิจารณาคดี") เกณฑ์สำหรับนักโทษทางแพ่ง (สำหรับประเทศที่ข้อกำหนดหมายท้องถิ่นอนุญาตให้จำคุกเนื่องจากหนี้สิน หรือตามคำสั่งศาลสำหรับกระบวนการที่ไม่ใช่ทางอาญาอื่นๆ) และเกณฑ์สำหรับบุคคลที่ถูกจับกุมหรือคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

ในปี 2010 สมัชชาใหญ่ได้ขอให้คณะกรรมาธิการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลที่เปิดกว้างเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขเกณฑ์มาตรฐานเพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านเรือนจำและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ใด ๆ จะไม่ส่งผลให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง สมัชชาใหญ่ยังได้เน้นย้ำถึงหลักการหลายประการที่ควรเป็นแนวทางสำหรับกระบวนการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง รวมถึง (ก) การเปลี่ยนแปลงเกณฑ์มาตรฐานใดๆ ไม่ควรทำให้มาตรฐานที่มีอยู่ลดลง แต่ควรปรับปรุงเกณฑ์เพื่อให้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านการบริหารขัดการเรือนจำ และแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย ความมั่นคง และสภาพความเป็นมนุษย์ของนักโทษ และ (ข) กระบวนการแก้ไขควรคงขอบเขตการใช้เกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่สำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ และยังคงคำนึงถึงความแตกต่างทางสังคม ข้อกำหนดหมาย และวัฒนธรรม ตลอดจนภาระผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิก

ในเดือนธันวาคม 2015 สมัชชาใหญ่ได้มีมติเห็นชอบมติ 70/175 เรื่อง "ข้อกำหนดขั้นต่ำมาตรฐานของสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อนักโทษ (“The Mandela Rules”) การอ้างอิงนี้ไม่เพียงแต่เพื่อรับทราบถึงการสนับสนุนอย่างสำคัญของแอฟริกาใต้ต่อกระบวนการแก้ไขเท่านั้น แต่ยังเพื่อเป็นเกียรติแก่“Nelson Mandela” ผู้ซึ่งใช้เวลา 27 ปีในเรือนจำระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ ดังนั้น สมัชชาใหญ่จึงได้ตัดสินใจขยายขอบเขตของ “วัน Nelson Mandela สากล” (18 กรกฎาคม) เพื่อใช้เพื่อส่งเสริมสภาพการจำคุกในเรือนจำอย่างมีมนุษยธรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ว่านักโทษเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเพื่อให้เห็นคุณค่าของการทำงานของเจ้าหน้าที่เรือนจำในฐานะบริการสังคมที่มีความสำคัญ

รู้จัก ‘Muhammad Mahmood Alam’ ผู้ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทียิงเครื่องบินรบอินเดียตก 5 ลำ

ข่าวการสู้รบระหว่างอินเดียและปากีสถานในขณะนี้เป็นที่จับตามองของชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทั้ง 2 ชาติต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ผลจากการปะทะในครั้งนี้อินเดียต้องสูญเสียเครื่องบินรบสมรรถนะสูงไปถึง 5 ลำ โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 กองทัพอากาศอินเดียได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale พร้อมขีปนาวุธ SCALP และระเบิด AASM Hammer ออกปฏิบัติการในช่วงเช้าตรู่เพื่อโจมตีค่ายก่อการร้ายหลายแห่งในปากีสถาน ซึ่งปากีสถานระบุว่าได้ยิงเครื่องบินอินเดียตก 5 ลำที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale จำนวน 3 ลำ ก่อนหน้านี้ ปากีสถานได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สามารถต่อต้านระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ของอินเดียได้สำเร็จ ตามรายงานของ CNN เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้ยืนยันถึงการสูญเสียเครื่องบิน Rafale 1 ลำ และกำลังสืบสวนการสูญเสียในการรบเพิ่มเติม โดยปรากฏภาพของชิ้นส่วนเครื่องบิน Rafale หมายเลขประจำเครื่อง BS001 ของกองทัพอากาศอินเดียบนโซเชียลมีเดีย ปากีสถานระบุว่า เครื่องบินรบของอินเดียถูกยิงตกโดยขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาห์ (อากาศสู่อากาศ) แบบ PL-15Es จากเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE (ซึ่งทั้งคู่ผลิตโดยจีน) ในเวลาต่อมา สำนักข่าวรอยเตอร์ได้อ้างว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่เปิดเผยชื่อได้ยืนยันการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกอย่างน้อย 2 ลำ (รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale) โดยเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE ของปากีสถาน

อันที่จริงแล้ว กองทัพอากาศปากีสถานมีขีดความสามารถในการรบทางอากาศเหนือกว่ากองทัพอากาศอินเดียมานานแล้ว ตั้งแต่การรบทางอากาศในสงครามระหว่างอินเดียและปากีสถานในปี 1965 โดยสงครามครั้งนั้น กองทัพอากาศอินเดียสูญเสียเครื่องบินรบในราว 60-75 ลำ ขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานสูญเสียเครื่องบินรบในราว 19-20 ลำ คิดเป็นอัตราส่วนความสูญเสียของอินเดีย-ปากีสถานที่ 3-3.5 ต่อ 1 ในยุคนั้นกองทัพอากาศอินเดียประจำการด้วยเครื่องบินรบจากอังกฤษ อดีตเจ้าอาณานิคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานใช้เครื่องบินรบส่วนใหญ่จากสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre และ F-104

หนึ่งในเสืออากาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของกองทัพอากาศปากีสถาน ได้แก่ นาวาอากาศเอก(พิเศษ) Muhammad Mahmood Alam (6 กรกฎาคม 1935 – 18 มีนาคม 2013) เป็นที่รู้จักในชื่อ M.M. Alam หรือ มังกรน้อย (Little dragon) หรือ M.M. Sabre เป็นนักบินขับไล่และวีรบุรุษสงครามแห่งปากีสถาน เขาเป็นเสืออากาศที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากกองทัพอากาศปากีสถานว่าสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของอินเดียตกได้ 5 ลำในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาทีในสงครามอินเดีย-ปากีสถานในปี 1965 M.M. Alam เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1935 ในครอบครัวชาวเบงกอลมุสลิม เขาเกิดและเติบโตในนครกัลกัตตา เบงกอล จักรวรรดิอินเดียของอังกฤษในขณะนั้น เขาพูดภาษาเบงกอลได้คล่องเนื่องจากเป็นภาษาแม่ ด้วยมารดามีเชื้อสายเบงกอลและบิดามีเชื้อสายบิฮารี โดยอพยพมาจากปัตนาและต่อมาตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดเบงกอล ต่อมาครอบครัวของเขาอพยพมาอพยพต่อไปยังดินแดนเบงกอลตะวันออก (ซึ่งต่อมากลายเป็นปากีสถานตะวันออกและบังกลาเทศในปัจจุบัน) หลังจากก่อตั้งปากีสถานในปี 1947 เขาจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในปากีสถานตะวันออก โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐบาลในเมืองธากาในปี 1951 เขาเข้าร่วมกองทัพอากาศปากีสถานในปี 1952 โดยเข้าประจำการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1953 เนื่องจากเป็นพี่คนโตในบรรดาพี่น้อง 11 คน เขาจึงไม่ได้แต่งงานเนื่องจากต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดูครอบครัว น้องชายของเขาเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในทางวิชาการที่หลากหลาย อาทิ M. Shaheed Alam นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น บอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และ M. Sajjad Alam นักฟิสิกส์อนุภาคแห่งมหาวิทยาลัยออลบานี (SUNY) มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

วันที่ 7 กันยายน 1965 ในช่วงสงครามอินเดีย-ปากีสถาน M.M. Alam ประจำการอยู่กับฝูงบินที่ 11 ฐานทัพอากาศ Sargodha และทำการบินด้วยเครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre เขาประสบความสำเร็จในภารกิจสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์การรบทางอากาศ โดยสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของกองทัพอากาศอินเดียตกเพียงลำพังได้ถึง 5 ลำภายในเวลาไม่ถึงสองนาที โดย 4 ลำใช้เวลาเพียง 30 วินาทีเท่านั้น โดยมีการกล่าวอ้างว่า ครั้งนั้นเขาสามารถยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกถึง 7 ลำ แต่ 2 ลำในจำนวนนี้ถูกจัดว่า "น่าจะ" ถูกยิงตก (ซึ่งไม่มีการยืนยัน) โดยเขาเล่าว่าในขณะนั้น เขาได้บิน "หมุนตัว 270 องศาด้วยความเร็วประมาณ 12 องศาต่อวินาที และยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกไป 4 ลำรวด และต่อมาอีก 1 ลำ" ผลงานอันน่าทึ่งนี้ทำให้เขาได้รับการยอมรับทั่วโลกและได้รับเกียรติอันหายากในการเป็น 'สุดยอดเสืออากาศในหนึ่งวัน' ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มอบให้กับนักบินขับไล่ที่สามารถยิงเครื่องบินของศัตรูตกได้ตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไปในหนึ่งวัน ผลงานของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ทักษะ ความแม่นยำ และความกล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้ภายใต้การโจมตี ตำนานของ M.M. Alam ยังคงสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากมายให้กับชาวปากีสถาน และชื่อของเขายังได้รับการจารึกไว้ในปากีสถานผ่านเกียรติยศต่างๆ เช่น ถนน M. M. Alam ซึ่งเป็นถนนสายหลักในเมืองลาฮอร์ รัฐปัญจาบ ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา ในสงครามปากีสถาน-อินเดียปี 1965 ในการสู้รบทางอากาศ เขาสามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกได้ทั้งหมด 9 ลำ (และน่าจะยิงตกอีก 2 ลำ)

M.M. Alam เป็นนักบินขับไล่คนแรกของกองทัพอากาศปากีสถานที่ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อหอเกียรติยศ (Hall of Fame) ของพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศปากีสถาน ในนครการาจี และได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติของปากีสถาน รางวัล 'Sitara-e-Jurat' และเหรียญ BAR อีกด้วย ในปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการฝูงเครื่องบินขับไล่แบบ Dassault Mirage III ฝูงบินแรกที่กองทัพอากาศปากีสถานจัดหา ในปี 1982 เขาเกษียณอายุราชการและย้ายไปอยู่ที่นครการาจี เขาปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดในช่วงบั้นปลายชีวิต ในบางครั้ง เขาจะรับเชิญให้ไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในปากีสถาน เขาสะสมหนังสือเป็นจำนวนมาก และอ่านหนังสือพิมพ์วันละหลายฉบับเพื่อติดตามข่าวสาร หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของปากีสถานระบุว่า "M.M. Alam เป็นชายที่เคารพตัวเองมาก เขาใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและนับถือตัวเองอย่างที่สุด เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นกันเองกับเพื่อนที่เขาไว้ใจ" M.M. Alam เข้ารับการรักษาปัญหาทางเดินหายใจเป็นเวลา 18 เดือนที่โรงพยาบาล PNS Shifa ของฐานทัพเรือปากีสถานในนครการาจี และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2013 สิริอายุ 77 ปี มีการสวดภาวนาเพื่อไว้อาลัย ณ ฐานทัพอากาศ PAF Masroor ซึ่งเป็นที่ที่เขาประจำการใช้ในช่วงหลายปีที่สำคัญในอาชีพทหาร เขาถูกฝังที่สุสาน Shuhuda (ผู้พลีชีพ) ซึ่งตั้งอยู่ภายในฐานทัพอากาศ Masroor


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top