Wednesday, 1 May 2024
ทักษิณชินวัตร

‘วราวุธ’ เชื่อ ไม่เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง แม้ ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน ชี้!! ไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรือโรงพยาบาล รัฐบาลก็ยังทำงานกันตามปกติ

(17 ก.พ. 67) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ ถูกมองว่าอาจส่งผลต่อสถานการณ์การเมือง ว่า เบื้องต้นตนต้องขอแสดงความยินดีกับครอบครัวชินวัตร ที่ได้บุคคลอันเป็นที่รักกลับมาสู่อ้อมกอด ถือเป็นเรื่องปกติที่ตนเชื่อว่า ครอบครัวใดเมื่อได้บุคคลอันเป็นที่รัก กลับมาสู่ครอบครัวและอ้อมกอดของทุกคน ได้คงมีความดีใจจึงต้องขอแสดงความดีใจในเบื้องต้น

นายวราวุธ กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่กันว่าจะมีแรงกระเพื่อมทางการเมืองนั้น ตนคิดว่า คงไม่ได้ต่างอะไรกันมาก อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนได้เห็นแล้วว่าทางรัฐบาลก็ทำงานไปตามปกติ และเท่าที่ตนเห็นก็ไม่ได้มีการเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่อย่างใดในการที่รัฐบาลทำงานอยู่ ดังนั้นเมื่อนายทักษิณย้ายจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่ที่บ้านคงไม่มีเหตุการณ์อะไรมาก รัฐบาลก็ยังคงทำงานเช่นเดิม ยังมีปัญหาของประเทศชาติก็ยังมีเหมือนเดิม ปัญหายังอยู่เราก็ต้องแก้ปัญหากันต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงทิศทางทางการเมือง ที่อาจมีการเขย่าและปรับ ครม. ตามที่ยังมีกระแสข่าว นายวราวุธ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ ที่รัฐบาลอยู่กันมา 5-6 เดือนแล้ว แต่คงต้องดูพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลว่าจะมีนโยบายอย่างไร เพราะพรรคชาติไทยพัฒนาเรามีเพียง 10 คน เราก็ติดตามสถานการณ์ไป แต่จะทำอะไรอย่างไรตนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงส่งข่าวกันมาก่อน แต่ขณะนี้ยังไม่มีวี่แวว ยังไม่มีการส่งสัญญาณมาว่าจะปรับ ครม.

‘แกนนำ คปท.’ เชื่อ ‘ทักษิณ’ ไม่ได้ป่วยหนักมาตลอด 180 วัน ชี้!! ภาพกลับบ้านคือหลักฐาน จี้หาตัวผู้ร่วมกันโกหกต้องรับผิดชอบ

(18 ก.พ. 67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเป็นรูป นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั่งรถออกจากโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมระบุว่า…

“หลักฐานบุคคล นี่ยืนยันชัดเจนว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ป่วยหนักวิกฤตตลอด 180 วัน ตามที่กล่าวอ้าง กรมราชทัณฑ์ คณะแพทย์ รมต.ยุติธรรม นายกรัฐมนตรี พวกคุณจะรับผิดชอบอย่างไรกับการป่วยทิพย์ครั้งนี้

พวกคุณสมคบคิดกัน ร่วมกันโกหกสังคม ร่วมกันทำลายกระบวนการยุติธรรมมาตลอด 180 วัน วันนี้มันชัดเจนว่า พวกคุณรับใช้ทักษิณมากกว่าความถูกต้องของนิติรัฐไทย หลักฐานวันนี้ จะนำพวกคุณเข้าคุกแทนทักษิณ”

‘วันชัย’ สวมบทโหร ชี้!! ‘ทักษิณ’ กลับบ้านเป็นฤกษ์จันทร์มหาอุจจ์ เชื่อ ความนิยมจะหวนคืนอีกครั้ง พร้อมแนะจับตาทิศทาง ครม.

(18 ก.พ. 67) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้โพสต์ข้อความเรื่อง​ ‘เมื่อจันทร์ส่องหล้า’ โดยระบุว่า…

ระยะนี้ดาวจันทร์กับดวงเมืองและผู้มีอำนาจทางการเมืองมีความสัมพันธ์และสำคัญมาก เพราะตั้งแต่วันศุกร์ที่ 16 ก.พ. 67 ดาวจันทร์ย้ายจากราศีเมษเข้าสู่ราศีพฤษภในตำแหน่งมหาอุจจ์ อันหมายถึงมหาเสน่ห์ที่จะเกิดขึ้นกับปวงชน อำนาจวาสนาและบารมีจะแน่นปึ้ก! พลังแห่งความยิ่งใหญ่จากจันทร์ดับที่อับแสง จะกลายเป็นจันทร์ส่องหล้าที่สว่างไสว รัฐบาลและผู้มีอำนาจจะสร้างผลงานให้ปรากฏ ดับข้อขัดแย้งและความติดขัดทั้งมวลให้กระจ่างแจ้ง ทั้งในสภาและนอกสภาจะปลอดโปร่งโล่งไสว

“คุณทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอำนาจตัวจริงเสียงจริงออกมาแล้ว ระยะเวลาแห่งความเป็นรัฐบาลกับที่อยู่ในเรือนจำเท่ากัน เห็นปัญหาต่างๆ มากมาย แต่ก็คงมีข้อจำกัดทำให้ขยับกับอำนาจไม่เต็มที่ วันนี้เมื่อจันทร์ส่องหล้าแล้ว คงจะทำให้การบริหารจัดการทางการเมือง และการทำงานของคุณเศรษฐา และคณะรัฐมนตรีให้มีพลังที่เป็นเอกภาพ มีการขับเคลื่อนผลงานออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นที่นิยมชมชอบของประชาชนได้ เพราะคุณทักษิณ คือ ‘ศูนย์รวมแห่งอำนาจตัวจริง’

คุณเศรษฐาแม้จะแสดงบทบาทมาแล้ว 6 เดือน ใครก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง พลังขับเคลื่อนจึงยังไปไม่เต็มสูบ

วันนี้ เวลานี้ ถ้าปล่อยให้เหมือน 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อไทยและรัฐบาลก็จะหมดมนต์ขลัง หมดพลังแห่งความนิยมชมชอบ แต่วันนี้ดาวจันทร์เป็นมหาอุจจ์ ทั้งมหาอุจจ์ตัวจริงก็ออกมาแล้ว ทั้งเสน่ห์ ทั้งความนิยมชมชอบ บริวารว่านเครือจะมาดำรงคงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่ในอดีตอีกครั้ง ที่ออกจากเรือนจำในช่วงเช้าของวันที่ 18 ก.พ. เป็นฤกษ์แห่งจันทร์เสน่ห์ จันทร์มหาอุจจ์ มุ่งไปสู่จันทร์ส่องหล้า ทางการเมืองอาจปรับ ครม.อาจปรับเปลี่ยนกระทรวง หรือวิธีการทำงาน อันจะทำให้เศรษฐกิจและสังคม กลับมาเฟื่องฟูเข้มแข็งก็ด้วยจันทร์มหาอุจจ์นี่แหละ”

นายวันชัย ระบุอีกว่า แม้จันทร์จะส่องหล้า ถ้ามากราบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชค วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน ยิ่งจะเพิ่มมนต์ขลังมนต์เสน่ห์ มหาอุจจ์มหานิยมที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลนาน

‘ก้าวไกล’ ประกาศจุดยืนปม ‘ทักษิณพักโทษ’ ส่งเสริมอภิสิทธิ์ชนหรือไม่ หลังขาดความโปร่งใสเรื่องอาการป่วย ยัน!! ต้องไม่ตอกย้ำสองมาตรฐาน

(18 ก.พ. 67) เพจพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางออกจาก รพ.ตำรวจ กลับไปยังบ้านพักจันทร์ส่องหล้า เพื่อเข้ารับการพักโทษตามเงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์ หลังถูกจองจำนอกเรือนจำครบ 180 วัน เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา โดยระบุว่า…

จุดยืนพรรคก้าวไกล ต่อกรณีคุณทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษ

แม้รัฐบาลและนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มักย้ำในหลายเวทีถึงความสำคัญของการสร้างหลักนิติรัฐที่เข้มแข็ง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์และกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณทักษิณ ชินวัตร ตลอด 180 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะการได้รับสิทธิรักษาตัวนอกโรงพยาบาลที่เรือนจำเป็นกรณีพิเศษโดยขาดความโปร่งใสเรื่องอาการป่วยของคุณทักษิณ ต่อเนื่องมาจนได้รับสิทธิพักโทษเพื่อปล่อยตัวกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านนั้น กลับเพิ่มคำถามที่มีในใจของประชาชนจำนวนมาก ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน สอดคล้องกับหลักการบังคับใช้กฎหมายกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่

แน่นอนว่าหากมองไปที่อดีต ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหาร ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณทักษิณเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางวิถีประชาธิปไตย จนทำให้ประชาชนจำนวนมากตั้งคำถามต่อความเป็นธรรมของคดีความ กระบวนการทางกฎหมาย และบทลงโทษที่มีต่อคุณทักษิณ

แต่หากมองมาที่ปัจจุบัน เมื่อคุณทักษิณตัดสินใจนำตนเองกลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศ ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า คำชี้แจงของรัฐบาลต่อคำถามสำคัญทั้งเรื่องสุขภาพของคุณทักษิณที่ผ่านมา หรือเกณฑ์ที่ใช้ในการอนุมัติให้คุณทักษิณได้รับการพักโทษ ไม่สามารถทำให้สังคมหยุดตั้งคำถามได้ถึงความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย และการปฏิบัติเมื่อเปรียบเทียบกับนักโทษและผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองคนอื่นๆ

พรรคก้าวไกลยืนยันว่า สังคมไทยต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมเพื่อทุกคน ปราศจากระบบสองมาตรฐานหรือนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน

ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการจะอำนวยความยุติธรรมให้แก่คุณทักษิณ ในฐานะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง หรือการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง แนวทางในการดำเนินการ ต้องไม่ใช่การตอกย้ำระบบสองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมในประเทศ หรือส่งเสริมให้ใครคนใดคนหนึ่งได้รับอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นในทางกฎหมาย แต่รัฐบาลต้องยึดแนวทางที่อำนวยความยุติธรรม ให้แก่ทุกคนอย่างทัดเทียมกัน

‘เจี๊ยบ’ โพสต์จิก ‘ทักษิณ’ ใส่ปลอกคอกลับบ้านจันทร์ส่องหล้า พ้อ!! เจ็บปวดกับอภิสิทธิ์ชน หวังคนอื่นๆ ได้รับความยุติธรรมบ้าง

(18 ก.พ.67) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟสบุ๊ก และ X ต่อเนื่องจากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ออกจากโรงพยาบาลตำรวจ กลับบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว ดังนี้…

“ดิฉันน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดกับข่าวอภิสิทธิ์ชนของสังคมนี้ เมื่อไหร่ #อานนท์ และคนอื่น ๆ ที่แค่คิดต่างจะได้กลับบ้าน #ยุติธรรมไม่มีสามัคคีไม่เกิด #ทักษิณ”

“พี่น้องครับ ถ้าเสียงปืนแตกนัดแรกเมื่อไร ผมจะกลับมานำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพเอง… กูรู้สึกโดนหลอกมาชั่วชีวิต”

ต่อมาเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า “ปลอกคอปลอกแขนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์? #ทักษิณกลับบ้าน”

‘วราวุธ’ ไม่สน!! ใครจะวิจารณ์มี ‘นายกฯ’ 2 คน เชื่อ!! ศักยภาพการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียว

(19 ก.พ. 67) ที่กระทรวงพม. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ และปล่อยตัวกลับบ้าน ทำให้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อ่อนกำลังลง ว่า เรื่องนี้หากใครจะมองว่าเกี่ยว ก็เกี่ยวได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วตนคิดว่าการทำงานของรัฐบาลตลอด 5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้เดินหน้าไปมากพอสมควร ซึ่งตนพูดในนามของกระทรวงอื่นไม่ได้ แต่พูดในนามของกระทรวงพม. ที่ตนในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอยู่นั้น ก็ได้ดำเนินการไปหลายเรื่องอย่างมาก ดังนั้นศักยภาพในการทำงานของรัฐบาลคงไม่น่าขึ้นอยู่กับบุคคลเพียงบุคคลเดียวไม่ว่าจะอยู่โรงพยาบาล อยู่ที่บ้าน หรืออยู่ที่ใด ตนคิดว่าศักยภาพในการทำงาน ของรัฐบาลขึ้นอยู่กับตัวนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คนมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า บางคนมองว่าจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ นายวราวุธ กล่าวว่า อันนี้ตนเห็นต่าง เพราะการทำงานของครม. ตามที่ตนเคยได้พูดไปแล้วคือปัญหาของประชาชนมีอยู่ทุกวัน ดังนั้นบทบาทภารกิจการทำงานของทุกกระทรวงย่อมเดินหน้าเต็มที่เหมือนเดิม อย่างเช่นกระทรวงพม. ที่พรรคชาติไทยพัฒนาดูแลอยู่ ถึงจะอย่างไรก็แล้วแต่ เราทำงานกันจนนาทีสุดท้าย เพื่อการแก้ไขปัญหาสังคมที่มีอยู่มากมาย

เมื่อถามถึงกรณีเสียงวิจารณ์ที่ระบุว่าขณะนี้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี 2 คน หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า หากจะบอกว่ามี 3 หรือ 4 คน หรือ 5 คน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบางครั้งนายกรัฐมนตรีจะต้องมีทีมที่ปรึกษาคอยให้คำปรึกษา หรือแม้แต่รัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงก็ยังมีที่ปรึกษา เช่นตนก็มี น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา เป็นที่ปรึษา รวมถึงคณะที่ปรึกษาอีกหลายคน จึงไม่น่าแปลกใจที่นายกรัฐมนตรีจะมีที่ปรึกษา ส่วนนายกฯ จะปรึกษาใคร ก็เป็นสิ่งที่ท่านพึงใช้วิจารณญาณของตนเอง แต่การที่จะมีนายกรัฐมนตรีหลายคน ตนก็ยังเห็นต่างอยู่ว่า มีคนเดียวอยู่เช่นเดิม 

เมื่อถามว่าเสียงวิจารณ์ต่างๆ เหล่านี้จะทำให้คณะรัฐมนตรีบั่นทอนในการทำงานหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่สำหรับตนไม่บั่นทอนแน่นอน เพราะปัญหาของประเทศชาติปัญหาของพี่น้องประชาชนคือกำลังที่จะทำให้ตนสามารถเดินไปข้างหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนๆ ข้าราชการในกระทรวงพม.ในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทยทุกคน

‘อาจารย์อุ๋ย’ เตือน!! ‘นักการเมือง’ พยายามจะเข้าเยี่ยม ‘ทักษิณ’ ชี้!! ขัดประมวลจริยธรรม ซ้ำ!! ‘พักโทษ’ ไม่ได้แปลว่า ‘บริสุทธิ์’

เมื่อวานนี้ (18 ก.พ.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย โพสต์เฟสบุ๊กแสดงความเห็นว่า…

“เห็นมีกระแสข่าวว่านักการเมืองบางคนโดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือจะไปเข้าเยี่ยม/ขอคำปรึกษาจากคุณทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้ากันใหญ่ ซึ่งผมเห็นแล้วไม่สบายใจอย่างมาก 

ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 ข้อ 10 (9) กำหนดว่า ข้าราชการการเมืองจะต้องไม่คบหาหรือให้การสนับสนุนแก่ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ผู้มีอิทธิพล หรือผู้มีความประพฤติ หรือมีชื่อในทางเสื่อมเสีย อันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน

ในพระราชหัตถเลขาอภัยโทษ กล่าวไว้ชัดแจ้งว่าคุณทักษิณยอมรับว่าได้กระทำความผิดฐานทุจริตจริงตามคำพิพากษา และได้สำนึกผิดแล้ว ประเด็นที่ว่าคุณทักษิณผิดจริงหรือไม่จึงยุติโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องโต้แย้งกันอีกว่าเป็นเพราะรัฐประหารหรือถูกกลั่นแกล้ง และการได้รับการอภัยโทษหรือพักโทษ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณทักษิณจะกลายเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของรับโทษทัณฑ์ สิ่งที่คุณทักษิณทำไปนั้นผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดแจ้ง ซึ่งต่างจากการนิรโทษกรรมที่จะทำให้สิ่งที่กระทำกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความผิด

ดังนั้นจึงต้องถือว่าคุณทักษิณเป็น ‘ผู้ประพฤติผิดกฎหมาย’ และเป็น ‘ผู้มีชื่อในทางเสื่อมเสีย’ อันอาจกระทบต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน ซึ่งหากข้าราชการการเมืองคนใดไปคบหาหรือให้การสนับสนุน ก็จะต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดประมวลจริยธรรมข้างต้น และอาจเป็นสารตั้งต้นในการถูกดำเนินคดีทางจริยธรรมต่อไป

ผมจึงอยากฝากให้นักการเมืองทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งแห่งหน ว่าคิดจะทำอะไร หัดเกรงอกเกรงใจประชาชนด้วยครับ

ด้วยความปรารถนาดี”

‘ก๊อง-ปรเมษฐ์’ ชี้!! ประเทศไทยกำลังมีปัญหากับคำว่า ‘วิกฤต’ เศรษฐกิจไม่วิกฤต ‘บอกวิกฤต’ ทักษิณนั่งวีลแชร์ ‘บอกวิกฤต’

(20 ก.พ. 67) นายปรเมษฐ์ ภู่โต อดีตผู้ดำเนินรายการ ‘คุยถึงแก่น’ ช่อง NBT2HD โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ประเทศไทยกำลังมีปัญหากับคำว่า ‘วิกฤต’

1.รัฐบาลอยากให้ทุกฝ่ายยอมรับว่า ‘เศรษฐกิจวิกฤต’ จะได้ออก พ.ร.บ.กู้เงินมาแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งที่แบงก์ชาติ สภาพัฒน์ฯ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่บอกยังไม่วิกฤต

2.ข้าราชการ และหมอบางคน ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการทำให้ทักษิณได้กลับบ้านโดยไม่ติดคุกเลย ก็บอกว่า ทักษิณ ป่วยเข้าขั้นวิกฤต

ล่าสุด...อธิบดีอัยการฯ บอกทักษิณ ‘ป่วยวิกฤต’ นั่งวีลแชร์ สวมที่ดามคอ พูดไม่มีเสียง

‘สว.คำนูณ’ ชวนจับตา!! ‘เส้นเขตผ่ากลางเกาะกูด-แหล่งปิโตรเลียม' หลัง ‘พี่น้องสองแผ่นดิน’ ได้พบปะกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

(23 ก.พ.67) นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง พี่น้องสองแผ่นดิน มีเนื้อหาดังนี้

สมเด็จฯ ฮุนเซนมาเยี่ยมพี่ชายที่คบกันมา 32 ปีนับแต่ยุค IBC Cambodia เมื่อวานซืนนี้ถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า มีข้อดีอยู่อย่างตรงที่ทำให้สังคมไทยหันมาสนใจแผนที่อ่าวไทยลักษณะประมาณนี้อีกครั้ง แล้วเกิดการถามไถ่วิพากษ์วิจารณ์กันตามสมควร

หนึ่งในประเด็นสำคัญคือเกาะกูด!

กัมพูชามาลากเส้นเขตแดนทะเล (เส้นเขตไหล่ทวีป) ผ่ากลางเกาะกูดของไทยมาตั้งแต่ปี 2515 (ค.ศ. 1972) และยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน

คำถามคือเกิดขึ้นได้อย่างไร จะมีผลกระทบต่อสิทธิอธิปไตยของไทยแค่ไหน และเกี่ยวข้องกับการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในทรัพยากรปิโตรเลียม (หรือที่นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันเรียกใหม่ว่าไฮโดรคาร์บอน) มูลค่า 20 ล้านล้านบาทอย่างไร

เพราะเกาะกูดเป็นของไทยอย่างชัดเจนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง โดยสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ข้อ 2

เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่กัมพูชาสมัยนายพลลอนนอล

จู่ ๆ ก็ประกาศกฤษฎีกากำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2515 โดยลากออกมาจากแผ่นดินบริเวณหลักเขตแดนไทยกัมพูชาที่ 73 บริเวณบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ตรงลงทะเลมาทางทิศตะวันตกผ่ากลางเกาะกูดตรงไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แล้ววกลงใต้ขนานกับแผ่นดินกัมพูชา

พูดตรง ๆ เป็น ‘เส้นฮุบปิโตรเลียม’ โดยแท้!

ภูมิหลังของเรื่องคือไทยกับกัมพูชามีการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลและผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในอ่าวไทยมาตั้งแต่ปี 2513 ซึ่งเป็นช่วงที่สองประเทศเริ่มดำเนินการให้สัมปทานบริษัทต่างชาติผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยมาหมาด ๆ ขณะที่การเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควรในยุคสมเด็จนโรดม สีหนุ ก็พอดีเกิดการรัฐประหารเปลี่ยนแปลงใหญ่ในกัมพูชา นายพลลอนนอลขึ้นมามีอำนาจตั้งตนเป็นประธานาธิบดีได้ 2 ปีก็ประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปทันที

เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร บุคคลในประวัติศาสตร์ของไทยท่านหนึ่งทั้งเขียนและเล่าไว้อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ

พล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มายาวนาน เขียนบทความเรื่อง ‘การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน’ เผยแพร่ในเว็บไซต์โครงการจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล และนำความทำนองเดียวกันมาเล่าด้วยวาจาในเวทีสัมมนาสาธารณะของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา จัดที่สยามสมาคมเมื่อวันพุธที่ 28 กันยายน 2554 ว่า จอมพลประภาส จารุเสถียรเคยเล่าให้ท่านฟังว่านายพลลอนนอลผู้นำกัมพูชาขณะนั้นบอกท่านว่า เส้นเขตไหล่ทวีปนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและบริษัทเอกชนตะวันตกที่ขอรับสัมปทานแสวงประโยชน์จากปิโตรเลี่ยมในเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเสนอขึ้นมาให้ โดยตัวนายพลลอนนอลและกัมพูชาไม่มีความมุ่งประสงค์ใด ๆ ทั้งสิ้นต่อเกาะกูดของไทย พร้อมที่จะแก้ไข แต่ขอให้ไทยเห็นใจหน่อยว่าการเมืองภายในกัมพูชามีความเปราะบาง หากรัฐบาลทำการใดทำให้ประชาชนไม่พอใจอาจพังได้ ก็เลยไม่มีการแก้ไขใด ๆ ที่ตอบสนองฝ่ายไทยได้

เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ประกาศออกมาสร้างความตะลึงและไม่สบายใจให้กับรัฐบาลไทยและคนไทยในช่วงนั้นมาก

เพราะเป็นห่วงเกาะกูด!

ทำอย่างไรจะให้กัมพูชายกเลิกเส้นเขตไหล่ทวีปนี้ให้ได้ เป็นโจทย์ใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไทย

คุณูปการของจอมพลประภาส จารุเสถียรคือท่านลงมากำกับการเจรจาเอง และคุยตรงไปตรงมากับนายพลลอนนอล เพราะเป็นทหารด้วยกัน เดินตามยุทธศาสตร์อเมริกันเหมือนกัน ที่สุดเมื่อคุยไม่เป็นผล ท่านก็รักษาสิทธิของไทยโดยการออกประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเส้นไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและกฎหมายระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 90 ตอน 60 หน้า 1-2 วันที่ 1 มิถุนายน 2516

เป็นเส้นที่ลากจากหลักเขตที่ 73 ลงทะเลตรงจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของกัมพูชา

นอกจากประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปแล้ว รัฐบาลไทยสมัยนั้นสั่งการให้กองทัพเรือเข้าดูแลรักษาสิทธิในน่านน้ำอ่าวไทยเขตไหล่ทวีปของไทยตามประกาศทันที

นั่นเป็นเหตุการณ์แค่เพียง 5 เดือนก่อนจอมพลประภาส จารุเสถียรพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

การเจรจาระหว่าง 2 ประเทศไม่คืบหน้า

เพราะกัมพูชาตกอยู่ในสภาวะสงครามหลายรูปแบบอยู่ยาวนานจึงค่อยฟื้นคืนสู่สันติภาพ

กว่าจะมาเริ่มเจรจากันจริงจังอีกครั้งก็ปี 2538

ไม่คืบเช่นเคย!

กัมพูชาไม่พยายามจะพูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีป หรือเรื่องแบ่งเขตแดนทางทะเล จะพูดแต่เฉพาะเรื่องการแบ่งปันปิโตรเลียมใต้ทะเลเท่านั้น ขณะที่ไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศพยายามพูดทั้ง 2 เรื่อง

ในที่สุด MOU 2544 ก็ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544

ลงนามในยุคที่พี่น้อง 2 แผ่นดินต่างขึ้นครองอำนาจทางการเมืองในแผ่นดินของตน

เกิดเป็นกรอบแนวทางการเจรจาตามภาพกราฟิกที่นำมาแสดง

ดูเหมือนการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในปิโตรเลียมจะคืบหน้าไปมาก จนมีตัวแบบและตัวเลขแบ่งผลประโยชน์ออกมา ขณะที่การเจรจาแบ่งเขตแดนแม้จะถูกจำกัดตามกรอบ MOU 2544 ให้ทำเฉพาะส่วนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือเท่านั้นก็ยังคงไม่คืบหน้าเช่นเดิม

หลังผู้พี่ตกจากบัลลังก์อำนาจฝั่งไทยเมื่อปี 2549 การเจรจาสะดุดไป เพราะมีปัญหาเขตแดนทางบกบริเวณปราสาทพระวิหารเข้ามาแทรกเสียร่วม 10 ปี

วันนี้เมื่อผู้พี่กลับเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าอีกครั้ง และหัวหน้าคณะรัฐบาลที่มีพรรคของลูกสาวเป็นแกนนำประกาศนโยบายพลังงานว่าจะพยายามนำปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ให้ ‘เร็วที่สุด’ โดยบอกว่าจะ ‘แยก’ จากเรื่องเขตแดน แม้ผู้น้องจะเพียงมาเยี่ยมไข้ผู้พี่และถือโอกาสเชิญหลานสาวคนเล็กไปเยือนกัมพูชาเดือนหน้า ไม่ได้คุยเรื่องการเมืองใด ๆ ก็ตาม

แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ปรากฏการณ์พบกันของพี่น้องสองแผ่นดินคู่นี้จะต้องเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งอยู่ดี

เส้นฮุบปิโตรเลียมจะยังอยู่หรือไม่ ?

สองประเทศจะแบ่งผลประโยชน์จากขุมทรัพย์ 20 ล้านล้านบาทกันได้สำเร็จหรือไม่ตลอดอายุรัฐบาลไทยชุดนี้ และจะมีผลกระทบต่อเขตแดนทางทะเลในอนาคตของไทยหรือไม่อย่างไร ??

ล้วนเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

‘พายัพ’ ซัด ‘ชัยธวัช’ อย่าคิดฝันหวาน จะล้มรัฐบาล เย้ย ‘ก้าวไกล’ เหมาะสมแล้วที่เป็นฝ่ายค้าน ขอให้ทำต่อไปนานๆ 

(3 มี.ค.67) นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.ของพรรคหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าจะมีนายกฯ 2 คน ว่า เป็นเจตนาหวังผลทางการเมือง ต้องการทำให้เกิดความสับสนหวาดระแวงขึ้นในรัฐบาลและพี่น้องประชาชน จึงขอให้หัวหน้าพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ลงทุนตอกลิ่มหวังผลให้รัฐบาลสั่นคลอน

“ขอให้ตื่นกันได้แล้ว อย่าฝันหวานเรื่องการสั่นคลอนรัฐบาลเลย เพราะนายเศรษฐาเป็นคนตั้งใจทำงาน การคิดเช่นนั้นเหมือนฝันกลางแดด พรรคก้าวไกลเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็ขอให้ทำต่อไปนานๆ จนครบวาระ 4 ปี”

นายพายัพ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากมีเวลาว่างก็ควรเอาเวลาเตรียมข้อมูลข้อกฎหมายไว้ต่อสู้คดีล้มล้างการปกครอง อย่าไปห่วงรัฐบาลหรือนายกฯ เลย เพราะพรรคเพื่อไทยต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน พัฒนาประเทศไทย นำพาพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากจน และก้าวไปข้างหน้าเทียบเท่านานาอารยประเทศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top