Wednesday, 1 May 2024
ทักษิณชินวัตร

‘บิ๊กตู่’ ปัด ‘ทักษิณ’ ติดต่อกลับไทย 10 ส.ค.นี้  บอกแค่ได้ยินจากข่าว ส่ายหน้า!! เตรียมแผนรับ

(26 ก.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 8/2566 โดยผู้สื่อข่าวสอบถามว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมาแล้วใช่หรือไม่ว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 10 ส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ยิ้ม พร้อมกล่าวว่า “ติดต่อใคร”

จากนั้นผู้สื่อข่าวสอบถามว่าตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวของนายทักษิณ ได้โพสต์ข้อความว่าจะเดินทางกลับในวันที่ 10 ส.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามย้ำว่า “ติดต่อใครหรือ ไม่ทราบ เห็นแต่เพียงข่าวเฉยๆ”

ผู้สื่อข่าวสอบถามอีกว่าอย่างนี้ต้องมีการเตรียมแผนในการรับอย่างไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ส่ายหน้า ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าวก่อนจะขึ้นไปประชุมด้านบนทันที

‘จาตุรนต์’ ตื่นเต้น หลังรู้ ‘โทนี่’ จะกลับบ้าน  ยัน!! ไม่มีใครใน ‘เพื่อไทย’ ทราบมาก่อน 

(26 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ว่า ยังไม่ทราบข้อมูลเรื่องดังกล่าว พึ่งรู้จากสื่อเหมือนกัน จึงยังแสดงความเห็นไม่ถูก ในพรรคฯ เองก็ไม่มีใครทราบ แต่เท่าที่ทราบนายทักษิณเคยพูดไว้ว่า จะไม่มีอะไรมาเกี่ยวกับพรรคการเมือง ส่วนจะกลับเมื่อไหร่และอย่างไร เราไม่ทราบมาก่อน

เมื่อถามว่า ในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยวันนี้ (26 ก.ค.) จะมีการคุยเรื่องดังกล่าวกันหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นการเตรียมตัวสำหรับการประชุมสภา จึงยังไม่ทราบ แต่อาจจะมีคนสอบถามแลกเปลี่ยนกันบ้าง

เมื่อถามว่า ตื่นเต้นหรือไม่ที่นายทักษิณจะกลับไทย นายจาตุรนต์ กล่าวว่า “ก็ตื่นเต้น” 
เมื่อถามอีกว่า จะมีการไปรอต้อนรับหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทย มีการพูดคุยเรื่องการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ แล้วหรือยัง นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเหมือนจะมีการสรุปกันแล้ว แต่เข้าใจว่ายังไม่เป็นทางการ หลังจากนั้นก็ไม่เห็นมีการประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งตนก็ตามข่าวไปพร้อม ๆ กับประชาชนทั่วไป

‘ยิ่งลักษณ์’ อวยพร ‘ทักษิณ’ อายุครบ 74 ปี  ขอให้มีความสุข สมหวัง สุขภาพแข็งแรง 

(26 ก.ค. 66) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Yingluck Shinawatra’ ระบุว่า…

วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 74 ปี และเป็นปีที่พิเศษของพี่ น้องขอให้พี่มีแต่ความสุข สมหวัง ประสบความโชคดีตามที่พี่ปรารถนา น้องหวังว่าพี่จะมีความสุขในชีวิต และประสบความสำเร็จ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองให้พี่มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวตามที่พี่รอคอยมานาน และอยู่กับลูกหลานที่พี่คิดถึง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า เวลาที่พวกเราเฝ้ารอคอยมาถึงแล้วค่ะ น้องรักพี่และขอบอกว่า ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่พี่ดูแลน้อง ตั้งแต่น้องจากประเทศไทยมา ถ้าน้องไม่มีพี่ น้องคงไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้อย่างเข้มแข็งแบบนี้ พี่ยังคงเป็นพี่ชายสุดที่รัก เป็นพี่ที่น้องเคารพ และเป็นบุคคลต้นแบบของน้องตลอดไปนะคะ อยากจะบอกว่าน้อง รักพี่ที่สุดค่ะ สุขสันต์วันเกิดค่ะพี่ Thaksin Shinawatra

‘วิษณุ’ ย้ำราชทัณฑ์ 3 เรื่องดูแล ‘ทักษิณ’ กลับไทย ชี้!! ขออภัยโทษยื่นได้ตั้งแต่วันแรกที่ถูกคุมขัง

(27 ก.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการ รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เปิดเผยกำหนดการการเดินทางกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ในวันที่ 10 ส.ค.นี้  ว่า นายทักษิณ ก็ทวีตข้อความเรื่องนี้ สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อได้รับรู้แล้ว ก็ต้องเตรียมการแต่ยังเร็วไปที่จะบอกว่าเตรียมการไว้อย่างไร โดยจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานมาก่อน เพราะทั้งหมดก็เพิ่งรู้พร้อมกันเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะกลับวันที่ 10 ส.ค. นี้ ทีแรกนึกว่าจะกลับมาในวันเกิดคือวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ด้วยซ้ำไป และก่อนหน้านั้นก็มีข่าวลือว่าจะเป็นวันที่ 31 ก.ค. ตนก็เชื่อไปแล้ว แต่เมื่อมาได้ยินจากปากนายทักษิณ ก็เป็นไปตามนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายทักษิณกลับมา จะทำให้การเมืองคึกคักขึ้นหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่รู้อย่างเดียวว่าต้องปรับการเตรียมตัว เพราะวันเปลี่ยนแปลงไป และกลัวว่าจะกลับมาวันที่ 31 ก.ค. ซึ่งเป็นวันหยุด ก็จะยุ่งยากในการปฏิบัติภารกิจหลายอย่าง เนื่องจากศาลปิดทำการ

ผู้สื่อข่าวถามว่าครอบครัวนายทักษิณ มีความเป็นห่วงเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย นายวิษณุ กล่าวว่า ได้กำชับกรมราชทัณฑ์ให้ดูแลใน 3 เรื่องเป็นพิเศษ คือ 
1.ความปลอดภัย ซึ่งตรงนี้จะทำให้นายทักษิณได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากคนอื่น เพราะนักโทษอื่น ไม่มีปัจจัยเสี่ยงตอนนี้ 

2.ให้มีความสะดวกตามสมควร แต่ไม่สะดวกมากจนเป็นอภิสิทธิ์ เนื่องจากจะมีคนเข้าเยี่ยม โดยคาดว่าจะมีองค์การระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน และแฟนคลับ มวลชน จำนวนมาก

3.ให้มีความสบายตามสมควร เพราะอายุเกิน 70 ปี และป่วย ก็คงไม่เหมือนกับคนที่อายุ 25 หรือ 30 ปี

เมื่อถามว่าเมื่อนายทักษิณกลับมา แล้วมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะมีผลอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องถามนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะได้เห็นภาพนายทักษิณ ที่เดินทางมาถึงแล้วปรากฏตัวกับสื่อมวลชนหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ขอเวลาให้ตนได้ตั้งตัวก่อน ตอนนี้ยังไม่รู้

เมื่อถามว่าหลังจากนายทักษิณเดินทางกลับมาแล้ว มีโอกาสจะขอพระราชทานอภัยโทษได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นสิทธิของผู้ต้องขังทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่มีเงื่อนไขคือต้องเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการรับโทษต้องถูกคุมขัง ทั้งนี้เมื่อเดินทางมาถึงแล้ว ก็ต้องไปรับหมายขังที่ศาลฎีกา แต่ไม่ใช่เป็นการไปฟังคำพิพากษาเพราะคดีจบไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าคดีที่เหลือจะเป็นอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นไปตามขั้นตอน ส่วนคดีที่เหลือนั้น ตนไม่ทราบว่ามีกี่คดี แต่คดีที่ต้องคำพิพากษาไปแล้วนั้นมี 3 คดีที่ถึงที่สุด โดยคดี 1 จำคุก 2 ปี คดีที่ 2 จำคุก 3 ปี และคดีที่ 3 จำคุก 5 ปี รวมทั้งหมดจำคุก 10 ปี ส่วนที่เหลือมีคดีที่หมดอายุความไปแล้ว และมีคดีที่ยังไม่ฟ้อง แต่เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น หลบหนีออกนอกประเทศแล้วถูกฟ้อง ก็เป็นอีกข้อหาหนึ่ง แต่อาจจะฟ้องหรือไม่ฟ้องก็ได้ ถ้าจะฟ้องต้องฟ้องตอนที่ได้ตัวมา

เมื่อถามว่าการที่นายทักษิณอายุ 74 ปี มีสิทธิพิเศษมากกว่านักโทษทั่วไปหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มี โดยเกณฑ์ที่กำหนดคือ 1. ผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป 2.คนป่วย จะมีสิทธิโอกาสพิเศษบางอย่าง ซึ่งตรงนี้มีเสมอเท่ากันหมด ส่วนที่มีคำถามว่าอายุ 70 ปีขึ้นไปแล้ว จะให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แทนนั้น เรื่องนี้แล้วแต่กรมราชทัณฑ์ ที่ปฏิบัติกับนักโทษมาเยอะแล้วคงไม่ยุ่งยากอะไร

เมื่อถามย้ำว่าคนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปจะมีอะไรพิเศษกว่าจากนักโทษทั่วไป เช่น การอยู่ห้องพิเศษ หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มีโอกาสได้ทั้งนั้น แต่ขอให้ฝ่ายราชทัณฑ์ได้เตรียมการและรายงานมาอีกครั้ง แต่จะไปกักอยู่บ้านไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าเรือนจำ

ต่อข้อถามว่าในเรือนจำมีห้องพิเศษแยกเดี่ยวด้วยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า มี สมัยนายราเกซ สักเสนา และนายวิโรจน์ นวลแข ก็มีหลายคน แต่ไม่ยืนยันว่าในห้องพิเศษนั้นมีเครื่องปรับอากาศด้วยหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่านอนห้องไหน เบอร์อะไร ทั้งนี้นักโทษทั่วไปก็สามารถไปอยู่ในห้องแอร์ได้โดยเข้าไปทำงานในห้องแอร์ ไม่ใช่นอนในห้องแอร์

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกำหนดเวลาหรือไม่ว่าต้องถูกคุมขังเป็นจำนวนกี่วัน จึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ใน 24 ชั่วโมง ก็ทำได้ แต่ไม่ทราบว่าเขาจะขอหรือไม่ จะไปพูดแทนไม่ได้

เมื่อถามว่าขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษต้องเริ่มต้นอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อเดินทางกลับมาเรียบร้อยแล้ว เข้าสู่ระบบ และเมื่อเขาพร้อม ก็ต้องเขียนฎีกาอธิบายค่อนข้างยืดยาว เพราะเมื่อยื่นไปแล้ว แต่ถ้าไม่มีโปรดเกล้าฯ ลงมา จะยื่นอีกไม่ได้ภายใน 2 ปี

เมื่อถามว่ามีเกณฑ์กำหนดหรือไม่ว่าต้องถูกคุมขังกี่วัน แล้วแฟนคลับจึงจะเข้าไปเยี่ยมในเรือนจำได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ปกติเยี่ยมได้อยู่แล้ว โดยคนในครอบครัวสามารถเยี่ยมได้ตั้งแต่วันแรก ส่วนการจะไปรับจากสนามบินนั้น ไม่ใช่แค่คนในครอบครัว แต่สื่อมวลชนก็ไปรับได้ และเชื่อว่า สื่อมวลชนแฟนคลับ และมวลชน ก็มีเป็นธรรมดา แต่จะไปรับได้ถึงขนาดไหนนั้นไม่รู้ และไม่รู้ว่าอะไรทักษิณจะมาโดยสายการบินอะไร ลงที่ไหน รู้แค่ว่าเป็นสนามบินดอนเมือง แต่ในสนามบินดอนเมืองก็ยังมีท่าอากาศยานกองบิน 6 (บน.6) รวมถึงยังมีสายการบินพาณิชย์และเอ็มเจ็ต อย่างน้อยก็ตัดสนามบินสุวรรณภูมิออกไป 

‘ราเมศ’ ยัน!! พรรคไม่เคยมีมติดีล ‘ทักษิณ’ เพื่อร่วมรัฐบาล ย้ำ!! ปชป.มีหลักการพรรค คนใดคนหนึ่งจะตัดสินใจเองไม่ได้

(28 ก.ค. 66) นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายเดชอิสม์ขาวทอง ได้เดินทางไปฮ่องกง เพื่อพบกับนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อเจรจาถึงการร่วมรัฐบาลของประชาธิปัตย์ ว่า…

ในเรื่องนี้ตนยืนยันได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยส่งใครไปเจรจากับนายทักษิณ เพราะตามหลักการของพรรคโดยเฉพาะเรื่องการร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล ไม่ได้เป็นอำนาจการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพราะการร่วมรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องมีการปรึกษาหารือกันในพรรคอย่างละเอียดรอบคอบ อีกทั้งพรรคมีข้อบังคับที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อมีประเด็นการที่จะร่วมรัฐบาลหรือไม่ จะต้องมีการประชุมร่วมกันระหว่าง กก.บห. และ สส. ของพรรคชุดปัจจุบันที่จะต้องร่วมกันพิจารณา แล้วจึงจะมีมติพรรคออกมาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

ส่วนที่จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคทันต่อการพิจารณาเรื่องร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น นายราเมศกล่าวว่ากก.บห. ชุดปัจจุบันซึ่งทำหน้าที่รักษาการอยู่ ก็มีอำนาจในการร่วมพิจารณา ไม่ใช่เฉพาะกรณีร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลแต่สามารถร่วมพิจารณาได้ในทุกๆ เรื่อง สำหรับการที่มีรายงานข่าวกรณีของนายเดชอิสม์นั้น อยากให้ไปสอบถามเจ้าตัวจะดีกว่า

‘จตุพร’ หยัน!! ‘เพื่อไทย’ หมดสภาพและไม่เชื่อ ‘ทักษิณ’ จะกลับไทย  ชี้!! พรรคอันดับ 3 ผงาด!! แต่นายกฯ อาจมาจากพรรคอันดับ 4

‘จตุพร’ สงสาร ‘ทักษิณ’ เลื่อนกลับไทย ถามเป็นอะไรหรือเปล่า ฉะตรรกะ “เราไม่ได้ข้ามไปหา แต่เขาข้ามมาเอง” สะท้อน ‘เพื่อไทย’ หมดสภาพ อยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด สูญสิ้นอำนาจต่อรอง ถูกไล่ต้อนให้เป็น ‘พรรคสมุน’ ของพรรคอันดับ 3 คาด นายกฯ อาจมาจากพรรคอันดับ 4

(6 ส.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ดูท่า… ว่าจะ?” เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 66 ระบุว่า…

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ไม่ควรประกาศซ้ำสองกรณีเลื่อนกลับไทยอีก 2 สัปดาห์ เพราะฟังดูยิ่งน่าเห็นใจ เป็นห่วง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นให้คิดปล่อยจิตว่าง ทำตามที่สบายใจ จะกลับมาวันไหนก็ติดคุกอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวว่า การไม่กลับไทยตามเวลานัด 10 ส.ค. ของนายทักษิณ เป็นไปตามที่ตนประเมินไว้ทุกประการ อีกทั้งได้แนะเหตุผลให้อ้างป่วยก็ตรง และยังทำตาม ส่วนการเลื่อนกลับไทยไปอีก 2 สัปดาห์ ยังต้องฟังหูไว้หู เพราะแม้มนุษย์เราไม่มีใครอยากผิดคำพูด แต่แสดงถึงใจยังไม่ปล่อยวางกับการตัดสินใจมาติดคุกโดยดุษฎี จึงได้แต่ฟังคำพูดคนอื่น ทั้งที่ทางปฏิบัติแล้วไม่เคยมีอยู่จริงที่ไม่ต้องติดคุก ความจริงคนระดับอดีตนายกฯแล้ว นายทักษิณไม่จำเป็นต้องประกาศกลับบ้านเป็นครั้งที่สอง เพราะขาดความน่าเชื่อถือ เมื่อประกาศครั้งเดียวก็ให้มาเลย อย่างไรก็ตามขอให้ตัดใจปล่อยวางการติดคุกให้ได้ ตนเสนอให้เอาตามสบายใจ จะมาวันไหนก็มา แต่ต้องติดคุกอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่นายทักษิณระบุจะกลับไทยในวันใดวันหนึ่งนั้น โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 10-24 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงการเจรจาลับตั้งรัฐบาลอย่างเข้มข้น และต้องยกมือไหว้ สว.ในทางแจ้งเพื่อให้ช่วยตั้งรัฐบาลข้ามขั้วอีก จึงเป็นสถานการณ์ที่ชุลมุนในทางการเมืองอย่างหนัก รวมทั้งคาดว่าสถานการณ์จริงทางการเมืองไทยจะเริ่มในวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดสั่งคำร้องข้อบังคับการประชุมรัฐสภาขัดรัฐธรรมนูญ (รธน.) หรือไม่ ดังนั้นวันที่ 17 ส.ค.จะโหวตนายกฯ เมื่อได้นายกฯ จะมีเวลาตั้งรัฐบาลอีกเพียง 7 วัน และนายทักษิณจะกลับไทยตามคำประกาศครั้งสอง จึงเป็นไปไม่ได้เพราะกระชั้นชิดมาก และคงต้องเลื่อนอีกครั้งค่อนข้างแน่นอน

“ขอแนะนำอีกว่าหลังจากตรวจร่างกายตามแพทย์บอกแล้ว หมอต้องสั่งห้ามเดินทางเด็ดขาด อีกทั้งระยะเวลาทางการเมืองและการตั้งรัฐบาลยังไม่สอดคล้องกัน จึงเป็นไปไม่ได้จะกลับมาช่วงนั้น เพราะเป็นช่วงชุลมุนตามข้อตกลงตั้งรัฐบาล แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ การโหวตนายกฯ นายเศรษฐา ทวีสิน คงไม่ได้เป็นนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวถึง ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่า เคยยืนกรานว่านายทักษิณกลับไทยตามวันเวลาเดิม แล้วเมื่อเลื่อนกลับ จะมีการทวงหาคำพูดจากนายภูมิธรรมบ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในช่วงนี้คำพูดทางการเมืองแสดงถึงการพูดไม่จริงระหว่างกันทั้งสิ้น โดยหลายคนอธิบายเหตุผลนายทักษิณกลับไทยต้องเชื่อว่าเป็นจริง เพราะ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร’ ลูกสาว เป็นคนประกาศด้วยตัวเอง ดังนั้น นายทักษิณ คงไม่ยอมทำให้ลูกเสียหายได้ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิดที่สุด

“ถ้าลูกรู้ว่า พ่อเข้ามาแล้วติดคุก จะมีลูกคนไหนบอกพ่อให้กลับมาเพื่อช่วยรักษาหน้าตาของลูก ซึ่งในโลกความจริงไม่มีลูกคนไหนยอมให้พ่อมาติดคุกหรอก เพราะพ่อติดคุกเท่ากับครอบครัวต้องติดคุกไปด้วย ดังนั้น สัญชาตญาณของลูกที่รักพ่อ ย่อมทนเห็นพ่อติดคุกไม่ได้”

นายจตุพร ระบุว่า ตนไม่เข้าใจนายทักษิณ พูดเลื่อนกลับไทยอีกทำไม ถ้าไม่ติดใจอะไรแล้ว จะกลับก็มาเลย แต่การประกาศแบบปลายเปิดลักษณะนี้มันน่าสงสารว่า เป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะช่วงเวลาทางการเมืองนั้นมันเป็นเรื่องยากที่สุด ควรต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย เนื่องจากการขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเป็นเรื่องยากมาก

นายจตุพร กล่าวถึงการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ว่า จากนี้ไปอำนาจต่อรองของเพื่อไทยได้สูญหายไปตามลำดับ และประชาชนที่สนับสนุนจะหดหายไป คงเหลืออีกไม่สักเท่าไร นอกจากนี้แกนนำบางคนให้เหตุผลการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วว่า เราไม่ได้ข้ามขั้ว แต่เขาข้ามมาหาเราเอง แสดงถึงการจนปัญญา หมดหนทางอธิบาย เพราะแถมาทุกทิศทางแล้ว จนสีข้างถลอกหมดจึงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

นายจตุพร ประเมินว่า หากเพื่อไทยตั้งรัฐบาลไม่ได้ คงเกิดจากเงื่อนไขไม่มีพรรคสองลุงมาร่วมด้วย ดังนั้น การโหวตนายกฯ ก็จะถูกคว่ำทันที อีกรณีหนึ่งคือ เพื่อไทยอาจไม่ส่งแคนดิเดตนายกฯ ให้สภาฯ โหวต แล้วมอบให้พรรคอันดับ 3 เป็นผู้รวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลและเสนอแคนดิเดตนายกฯ ให้สภาโหวตเห็นชอบ

“การให้พรรคอันดับ 3 มาจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคถูกชวนเข้าร่วมด้วย แต่พรรคที่ 3 อาจส่งมอบนายกฯ ให้พรรคอันดับ 4 ก็ได้ ซึ่งพร้อมรออยู่ ดังนั้นไม่ว่าอธิบายมุมใดที่เพื่อไทยถูกเชิญมาร่วมรัฐบาลนั้น ก็จะกลายเป็นเพียงพรรคสมุนของพรรคอันดับสามและสี่ไปทันที”

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ถูกตรวจสอบกรณีเลี่ยงภาษีที่ดิน ว่า เมื่อการกล่าวหามีน้ำหนักทางการเมือง โดยเน้นการตรวจสอบคุณสมบัติทางจริยธรรมของบุคคลจะเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองต้องมีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นในกรณีนายเศรษฐา จึงเสี่ยงกับตำแหน่งนายกฯ เพราะมีแต่เสียกับเสีย และพร้อมเกิดแรงเหวี่ยงกระทบกับชีวตในอนาคตด้วย

“เผลอๆ ไม่กี่วันนี้ คุณเศรษฐา อาจคิดโยนผ้าไม่เป็นนายกฯ หรือจะมีคนอื่นจัดการไม่ส่งก็ได้ เพราะกรณีตรวจสอบจริยธรรมการเลี่ยงภาษีที่ดินจะส่งผลกระทบในวงกว้างมาก ดังนั้นถัดจากนี้ไป คุณเศรษฐา คงต้องกำหนดท่าทีและจุดยืนทางการเมืองว่า จะเอาอย่างไร”

นายจตุพร เชื่อว่า การโหวตนายกฯอาจต้องขยายเวลาออกไปอีก แต่จะออกแบบกันอย่างไรก็จะนำพาสู่วิกฤตใหญ่ เพราะการอธิบายอะไรก็ตามทำให้ผิดเป็นถูก ย่อมเป็นตรรกะที่ยากมากที่สุด เช่น การอธิบายว่า ไม่ได้ข้ามไปหาเขา แต่เขาข้ามมาหาเอง ซึ่งเป็นตรรกะที่วิบัติอย่างยิ่ง การใช้ตรรกะ “เขามาเอง” มาอธิบายการข้ามขั้วนั้น ไม่แตกต่างจากคำพูดหาเสียงประกาศแก้ ม.112 แต่เมื่อจะตั้งรัฐบาลก็บอกไม่แก้แล้ว ม.112 แล้วเหลือแยกทางจากก้าวไกล คิดจะไปตั้งรัฐบาลแบบหมูๆ แต่กลับไม่ง่ายตามหวังหลังจากแยกทางก้าวไกล เพราะอำนาจต่อรองเปลี่ยนไป การเจรจาตกเป็นรองพรรคอื่น และที่สำคัญทำให้ประชาชนเสียไปด้วย

“ดังนั้น อะไรก็ตามที่ท้าทายความรู้สึกคน เอาการร่วมเป็นร่วมตายมาละเลงเล่นดูเสมือนประชาชนไม่มีความรู้สึก คิดว่าทำอะไรก็ได้ จึงเป็นการคิดผิดอย่างมาก อีกทั้งเกิดภาพยกมือไหว้ สว.กลางห้องประชุมสภา เพื่อขอปิดสวิตช์ตัวเอง เป็นการกระทำที่ผิดวิสัย ซึ่งไม่น่าได้เห็น แต่ก็เห็นจนได้ จึงเป็นพฤติกรรมแบบหมดสภาพของพรรคอันดับสอง” นายจตุพร กล่าว

‘ทักษิณ’ เดินทางถึงประเทศไทยตามนัดหมาย จนท.เข้าควบคุมตัวทันทีหลังเครื่องบินลงจอด

(22 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย โพสต์ในไอจีสตอรี่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และคุณพ่อ จะเดินทางกลับประเทศไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัว โดยเดินทางมาลงเครื่องบินบริเวณอาคารจอดเครื่องบินส่วนบุคคล (M-JETS) ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยมีครอบครัวรอรับ

ต่อมาเวลา 07.00 น. เครื่องบินส่วนตัวได้พานายทักษิณ เดินทางออกจากประเทศสิงคโปร์แล้ว โดยมุ่งหน้ากลับมายังประเทศไทย และเตรียมลงที่สนามบินจอดเครื่องบินส่วนบุคคล (M-JETS) ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยมีน.ส.ยิ่งลักษณ์ มาส่งนายทักษิณที่สนามบินในประเทศสิงคโปร์

จากนั้นเวลา 09.00 น. เครื่องบินส่วนตัวของที่นายทักษิณ เดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์ ได้ลงจอดที่อาคารจอดเครื่องบินส่วนบุคคล (M-JETS) ท่าอากาศยานดอนเมืองแล้ว ท่ามกลางนักการเมืองและประชาชนที่มารอต้อนรับจำนวนมาก

ต่อมาเวลา 09.09 น. นายทักษิณ ได้ลงจากเครื่องบินส่วนตัว โดยมีเจ้าหน้าที่เชิญตัวมาลงบันทึกการควบคุมตัวขึ้นรถที่เตรียมรอไว้ หลังเดินทางกลับมารับโทษใน 3 คดี ซึ่งมีครอบครัวและคนใกล้ชิดรอเข้าพบที่อาคารจอดเครื่องบินส่วนบุคคล

พร้อมทั้งยังได้ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

ศาลฎีกาฯ นักการเมืองพิพากษา ‘ทักษิณ’ ‘เอ็กซิมแบงก์-หุ้นชินคอร์ปฯ รวมโทษจำคุก 8 ปี

(22 ส.ค. 66) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง พ.ต.อ.คมวุฒิ จองบุญวัฒนา ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานกรุงเทพ (บก.ตม.2, บช.สตม.) ได้นำตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีบุคคลตามหมายจับขึ้นรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีดำ จากสนามบินดอนเมืองโดยมีขบวนรถตำรวจคุ้มกันมาส่งศาลฎีกา โดยผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งสามคดียืนยันว่า บุคคลที่อยู่ต่อหน้าศาลเป็นจำเลยหรือจำเลยที่ 1 ในคดีทั้งสามคดี โดยจำเลยหรือจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นจำเลยในคดีทั้งสาม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตรวจสอบบุคคลที่อยู่ต่อหน้าศาลแล้ว เป็นจำเลยหรือจำเลยที่ 1 ในคดีทั้งสามคดี ดังนี้…

(1) คดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ระหว่าง คณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย หรือคดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์

(2) คดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552 ระหว่าง คณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ พ.ต.ท.ทักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร ที่ 1 กับพวกรวม 47 คน จำเลย หรือคดีหวยบนดิน

(3) คดีหมายเลขดำที่ อม. 4/2551คดีหมายเลขแดงที่ อม. 5/2551 ของศาลนี้ ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ พ.ต.ท.ทักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย คดีแก้ไขสัมปทานเอื้อประโยชน์ให้บริษัท ชินคอร์ป

จึงรับตัวจำเลยหรือจำเลยที่ 1 ในคดีทั้งสามคดีดังกล่าวไว้

ศาลได้แจ้งให้จำเลยหรือจำเลยที่ 1 ทราบคำพิพากษาแล้ว โดยคดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ลงโทษจำคุก 3 ปี คดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 10 /2552 ลงโทษจำคุก 2 ปี และคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 5/2551ลงโทษจำคุกรวม 5 ปี นับโทษจำคุกของจำเลยต่อ จากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552 ศาลออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในแต่ละคดีแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยสรุปรวมแล้ว นายทักษิณ ต้องรับโทษ รวม 8 ปี จากคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์โทษจำคุก 3 ปี และคดีหมายเลขดำที่ อม. 9/2551หุ้นชินคอร์ปฯ จำคุก 5 ปี รวมโทษจำคุกนายทักษิณทั้งสิ้น3 คดี รวม 8 ปี เนื่องจากคดีหวยบนดิน หมายเลขแดงที่ อม. 10/2552 ที่ศาลสั่งจำคุกนายทักษิณ 2 ปีนั้น ศาลไม่ได้สั่งให้นับโทษต่อ เพราะเป็นการนับโทษซ้อนกันกับคดี ปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ ซึ่งศาลสั่งจำคุก 3 ปี

ต่อมาเมื่อเสร็จสิ้นการพิจารณา คณะเจ้าหน้าที่ ได้นำตัวนายทักษิณ ขึ้นรถไปส่งที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อรับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ต่อไป

สรุป 20 ไทม์ไลน์ 'ทักษิณ ชินวัตร' ประกาศกลับประเทศไทย

“กลับแน่ๆ กลับจริง กลับในปีนี้แหละ” 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศได้รับรู้เจตนาของ ‘นายทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ ที่สื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ว่า “อยากกลับบ้าน” เต็มทน แต่หลายครั้งก็ไม่ได้กลับมาจริง ๆ แต่วันนี้…22 ส.ค. 66 นายทักษิณ ได้เดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งเป็นการกลับบ้านในรอบ 17 ปี หลังอาศัยอยู่ในต่างประเทศเนิ่นนานหลายปี

วันนี้ THE STATES TIMES ได้สรุปไทม์ไลน์ที่นายทักษิณเคยประกาศกลับบ้านเกิด มาดูกันว่าเกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง…

'ดร.สุวินัย' เชื่อ!! 3 สิ่งตลอด 15 ปี ทำ 'ทักษิณ' ต้องปล่อยวาง มองโอกาสทองนี้เป็นโอกาสกลับตัว ร่วมภารกิจสลายขั้วขัดแย้ง

(22 ส.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ว่า...

โอกาสกลับตัวของทักษิณ โอกาสทองของทักษิณ

ขนาดประชาชนอย่างพวกเราอย่างมองออก มีหรือที่คนมีหัวพ่อค้ามาทั้งชีวิตอย่างคุณทักษิณจะมองไม่ออกว่า ...

นี่คือ ‘โอกาสทองครั้งสุดท้าย’ ในชีวิตของเขา ที่จะชนะแบบวิน-วิน แถมยังกวาดเรียบทั้งกระดาน รวมทั้งยังสร้างหลักประกันที่ยั่งยืนทางการเมืองให้แก่ตระกูลชินวัตรหลังจากนี้ด้วย

‘ทางเลือก’ ของคุณทักษิณจึงอ่านไม่ยาก

ถ้าดูในเชิงสัญลักษณ์ การกลับมาครั้งนี้ คุณทักษิณเลือกกราบสิ่งใดก่อนเป็นอย่างแรก…การกระทำเชิงสัญลักษณ์นั้นแหละ ที่บ่งบอกชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ

ที่น่าสังเกตอีกอย่าง คือสีหน้าและแววตาของคุณทักษิณครั้งนี้ ปราศจากร่องรอย ‘ความกระหยิ่มทะนง’ บนสีหน้า ซึ่งจากครั้งก่อนคราวที่เขาเลือกก้มลงกราบแผ่นดินเกิดอย่างเห็นได้ชัด

- สรุปบทเรียนความผิดพลาดล้มเหลวของตัวเองในอดีต
- เอาอนาคตของตระกูลเป็นตัวตั้งมากกว่าชีวิตที่เหลือน้อยลงแล้วของตัวเอง
- คืนเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมาได้หลังจากเข้าจำคุกพอเป็นพิธี

3 สิ่งนี้คือสิ่งที่คุณทักษิณต้องใช้เวลาเรียนรู้ถึง 15 ปีเต็ม ในการสอนใจตนเอง กว่าจะยอมรับได้ และตัดสินใจเลือก ‘ย้ายประเทศ’ กลับเมืองไทย เพื่อมาขอตายในบ้านเกิด

คุณทักษิณเปลี่ยนไปกว่า 15 ปีที่แล้วไม่น้อยเลย ... อย่างน้อยก็เป็นคุณทักษิณที่มีวุฒิภาวะทางจิตใจมากกว่าเมื่อ 15 ปีก่อน

อย่างว่าแหละ คนอายุ 75 ปี กับคนอายุ 60 ปี ย่อมมีความต่างกันในเรื่องความยึดติดและการปล่อยวาง

ขอให้คุณทักษิณได้คิดจริง ๆ และร่วมผลักดันการสลายขั้วขัดแย้งระหว่างเหลือง-แดงจนสำเร็จจริง ๆ เถิด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top