Tuesday, 14 May 2024
ชัชชาติ

‘ปรเมษฐ์’ มองภาพ ‘ชัชชาติ’ และ ‘พิธา’ จากคนไร้ผลงาน สู่ความหวังของหมู่บ้าน ที่ประชาชนต่างพากันเทคะแนนให้ .

(23 พ.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ คุยถึงแก่น สถานีโทรทัศน์ NBT โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวิเคราะห์ความแตกต่าง ระหว่างนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยระบุว่า…

‘ชัชชาติ’ กับ ‘พิธา’ ความเหมือน และ ความต่าง...!!

ทั้งสองคนนี้ล้วนแล้วแต่ผ่านการชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ท่วมท้นทั้งคู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชัยชนะของทั้งสองคน ล้วนเป็นผลมาจากความสำเร็จ จากการทำการตลาดการเมือง ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งการเมืองคนอื่นๆ ประสิทธิภาพดังกล่าว สามารถสร้างให้คนที่ ‘ไม่เคยมีผลงานระดับชาติ’ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน กลายมาเป็นคนที่ป๊อปปูล่า เป็น ‘ความหวังของหมู่บ้าน’ ที่ใครก็ตามที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงต้องเลือก

ขณะเดียวกันทั้งสองคน (รวมถึงทีมที่วางกลยุทธเบื้องหลัง) ได้สร้างภาพให้คู่แข่ง กลายเป็น ‘สิ่งเก่า’ ที่ชำรุด ไม่เหมาะที่จะใช้งานอีกต่อไป

สำหรับชัชชาตินั้น แม้จะเคยมีประสบการณ์เมื่อ เป็นรัฐมนตรีคมนาคมในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์  แต่ก็ไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่นชนิดที่หยิบขึ้นมาอวดอ้างได้ มิหนำซ้ำปัญหาบางเรื่อง นอกจากจะอวดไม่ได้แล้ว เขายังต้องออกตัวว่า “ผมไม่เกี่ยว” อย่างเช่น เรื่องที่องค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ติดธงแดงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศ อย่างมาก และเป็นปัญหาใหญ่ให้ คสช.ต้องเข้ามาสะสาง แต่ด้วยกระบวนการทำการตลาดการเมืองที่เหนือชั้น ทำให้ อดีต รมว.คมนาคม ที่ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลายมาเป็น ‘บุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แบบถล่มทลาย ได้คะแนนจากคนกรุงเทพฯ ไป 1.3 ล้านคะแนน ผ่านมาเกือบ 1 ปี ในตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. ผลงานประทับใจแค่ไหน ก็เห็นๆ กันอยู่

ส่วนพิธา ผู้ที่สถาปนาตัวเองตั้งแต่ไก่โห่ว่าเขาคือ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30’ หากดูโปรไฟล์เขาตามเนื้อผ้า นอกเหนือจากดีกรีนักเรียนนอกจบจากสถาบันมีชื่อเสียง ก็มีประสบการณ์แค่เป็นส.ส.สมัยแรก ที่ถูกพูดถึงเพราะการอภิปรายในสภาที่โดดเด่น และก้าวสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ และธนาธร หัวหน้าขบวนการตัวจริงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ส่วนประสบการณ์ในการบริหารองค์กรธุรกิจครอบครัว หรือ การทำงานกับภาคเอกชนอื่นๆ พูดแบบกลางๆ ก็ไม่ถึงขนาดเปรี้ยงปร้าง โดดเด่นอะไร แต่ด้วยกระบวนการที่ทรงพลังของพรรคก้าวไกล บวกและหรือ การประสานพลังกับขบวนการ ที่มุ่งหมายในการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมไทยแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ที่สามารถยึดครองพื้นที่ในโซเชียลมีเดียได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหนือกว่าพรรคการเมืองคู่แข่งทุกพรรคหลายช่วงตัว (ขบวนการนี้ใหญ่โตกว่าขบวนการสร้างชัชชาติให้ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มาก) ได้สร้างให้พิธาให้กลายมา ‘ตัวชูโรง’ เป็นฮีโร่ของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนผู้ที่หวังเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย บรรดานักอุดมคติ NGO สื่อ อินฟลูเอนเซอร์ ศิลปิน ฯลฯ

ผู้คนในหลายวงการเหล่านี้ ต่างพร้อมใจกันมองข้าม เรื่องส่วนตัวด้านลบของพิธา ไม่ว่าจะเป็นการพูดกลับไปกลับมาเรื่องงานศพพ่อ เรื่องชีวิตครอบครัวในอดีต ล้วนแต่ไม่มีผลในการสั่นคลอนคะแนนนิยมเขาแม้แต่น้อย และพาพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ชนิดที่คนไปเลือกไม่สนใจด้วยซ้ำว่า ผู้สมัครของพรรคเป็นใคร และผู้คนจำนวนมาก ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีบ้างก็ขึ้นสเตตัสอย่างปิติว่านี่คือ ‘สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ทุกๆ การเลือกล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย เพียงแต่จะคุ้มหรือไม่คุ้มเท่านั้น!! ดังเช่นคน กทม. กว่า 1.3 ล้านคน มอบให้กับชัชชาติ และ 1 ปีที่ผ่านมาคือคำตอบ

ส่วนกรณีของพิธานั้น เพิ่งจะเริ่มต้น คงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ว่าผลของการเลือกนั้นจะคุ้มกับราคาที่คนไทยต้องจ่ายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ราคาที่คนไทยต้องจ่ายสำหรับพิธานั้น ‘แพงกว่า’ ราคาที่คน กทม.จ่ายให้ชัชชาติหลายเท่านัก!!

‘4 รองผู้ว่า กทม.’ เผย ความในใจถึง ‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ หลังร่วมงานเพื่อเดินหน้าพัฒนากรุงเทพฯ ครบ 1 ปี

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 66 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงผลงาน ‘365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ตามนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการทำงาน

โดยนายชัชชาติ กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้เป็นการแถลงผลงานตนเอง แต่เป็นการแถลงผลงานของทีม กทม. ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งข้าราชการ บุคลากร และ ส.ก. โดยหลักการทำงานในปีแรกจะเป็นปีของการนำนโยบายมาทำ Sandbox หรือต้นแบบ โดยเริ่มต้นจากการทำต้นแบบเล็กๆ นำแนวคิดนโยบายมาทดสอบ เมื่อประสบความสำเร็จ จะเป็นการต่อยอด และขยายผลนโยบายไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการแถลง ได้มีการถามความใจในของท่านรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 ท่าน กับการทำงานร่วมกับท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยท่านแรก รองศาสตราจารย์วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ตอบว่า…

“จริงๆ แล้ว ผมค่อนข้างคุ้นชินกับสไตล์ารทำงานของท่านอาจารย์ชัชชาติอยู่แล้ว เพราะผมเคยช่วยงานท่านมาก่อน หากถามว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องหงุดหงิดอะไร ก็คงจะเป็นเรื่องของระบบภายในที่มีความล่าช้า และยังไม่รวดเร็วทันใจมากพอ เพราะในหลายๆ เรื่อง ผมคิดว่าเราน่าจะทำได้เร็วกว่านี้ แต่เนื่องจากติดขัดในส่วนของกระบวนการต่างๆ ทำให้การดำเนินการต่างๆ ยังไม่คล่องตัวมากเท่าที่ควรจะเป็น 1 ปีผ่านไปเร็วมากครับ นึกว่าเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน เพราะท่านผู้ว่าฯ ก็ลงพื้นที่ตลอด และมีโจทย์ใหม่ๆ มาให้ทำ มีปัญหามาให้แก้ไขกันอยู่ทุกวัน คอยตามจัดการสะสางงานที่ได้รับคำสั่งการมาครับ”

ท่านต่อมา รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“เวลาทำงานลงพื้นที่ ท่านผู้ว่าฯ จะชอบถามคำถามว่า “ว่ายังสนุกอยู่หรือเปล่า?” ก็ขอตอบว่า สนุกค่ะ ยังอยากทำอยู่ และยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากทำ ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง เคยมีความเชื่อว่าตัวเองมีความรู้เกี่ยวกับ กทม.อยู่พอสมควร แต่เมื่อเข้ามาและเจอนโยบายที่ท่านผู้ว่าฯ อยากให้ทำ มันเหมือนกับว่าเราต้องเรียนรู้ใหม่เกือบทั้งหมดเลย เพราะว่ารายละเอียดต่างๆ มันเยอะมาก และถนนในกรุงเทพฯ ที่เคยคิดว่ามันมีความกว้างเพียงพอ ไม่ได้เล็กอะไร เมื่อลงพื้นที่ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าถนนหนทางดูเล็กลงไปมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบมาก คือ ผู้ว่าฯ จะลงพื้นที่ไปดูงานให้ เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้บริหารคนไหน คอยลงพื้นที่ติดตามงานให้มาก่อน ตรวจเช็กความเรียบร้อย เป็นเหมือนกระบวนการตรวจสอบให้ด้วย ซึ่งตรงนี้ช่วยให้งานของรองผู้ว่าทั้ง 4 คนนั้น ลดลงไปมากพอสมควร และยังให้คำแนะนำในส่วนที่เรายังมีความบกพร่อง ว่าควรแก้ไขตรงจุดไหนเพิ่มเติม มีความท้าทายใหม่ๆ ทุกวัน ตอน 6 โมงเช้าจะมีงานใหม่ๆ ส่งมาให้ทุกวัน ก็รู้สึกดีค่ะ มีพลังงานในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม”

ท่านต่อมา นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“นอกจากการทำงานที่เราทุกคนจะมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ลักษณะของผู้บริหารที่มาจากการแต่งตั้ง และมาจากการเลือกตั้ง ย่อมมีความแตกต่างกัน ลักษณะการเข้าถึงประชาชน การใกล้ชิดกับประชาชน การยึดโยงประชาชนเป็นส่วนรวม ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น การทำงานก็ย่อมไม่เหมือนกันด้วย การทำงานในตอนนี้ให้ความเป็นอิสระในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกัน เราทุกคนก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทุกคนที่เลือกตั้งท่านผู้ว่าฯ มา”
.
และต่อมา ท่านสุดท้าย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“สนุกมากครับ เหมือนเป็นงานในฝันที่เราอยากทำ ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมาทำงานทุกวัน และมีความตั้งใจที่อยากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่านี้ยิ่งๆ ขึ้นไปในทุกวัน และรู้สึกว่า ถ้าพวกเรามีเวลามากกว่านี้ หรือได้ทำให้ละเอียดมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าภาพรวมจะออกมาดีกว่านี้”

นอกจากนี้ ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังได้กล่าวความในใจของตัวเองทิ้งท้ายไว้อีกด้วย “พวกเราทำงานร่วมกันเป็นทีม ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายที่รวมแรงรวมใจกัน ตั้งแต่ท่านปลัด พี่ๆ เพื่อนๆ ตลอดจนถึงถึงเจ้าหน้าที่ กทม.ทุกท่าน ผมคิดว่าเราไม่มีดีไปกว่าทีมงานของเราได้ ต่อให้นโยบายที่เราคิดกันมาจะดีแค่ไหนก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ซึ่งเปรียบเหมือนโซ่ข้อสุดท้ายที่เชื่อมเรากับประชาชน ถ้าหากเขาไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทุกอย่างๆ ก็คงไม่มีทางออกมาดีได้ และผมต้องขอกราบเรียนตรงนี้เลยว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผลงานของชัชชาติ แต่เป็นผลงานของทีม กทม.ทุกคน และงานในหลายๆ เรื่องก็ไม่ใช่งานที่ทำให้สมัยนี้ด้วย เป็นงานที่ต่อเนื่องกันมานานแล้ว จึงขอถือว่าเวลาแถลงก็แถลงในนาม กทม.”

‘ชัชชาติ’ เชื่อ คานก่อสร้างทางยกระดับถล่ม ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จี้!! ผอ.เขตลาดกระบังเร่งสอบสวนสาเหตุ เพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 66 นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวระหว่างลงพื้นที่เกิดเหตุคานโครงการก่อสร้างทางยกระดับถนนอ่อนนุช-ลาดกระบังถล่ม ว่า ช่วงระหว่างก่อสร้างคือจุดอ่อนที่อันตรายที่สุด เนื่องจากคอนกรีตยังไม่แข็งตัว องค์ประกอบแต่ละส่วนของโครงสร้างยังไม่เชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะต้องร้อยชิ้นส่วนซึ่งเป็นคอนกรีตมาประกอบกัน เชื่อว่าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ตามหลักการ เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น อาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างก่อสร้าง เพราะฐานรากมีการลงเสาเข็มลึกถึงชั้นทราย

สำหรับ Launcher คือคาน 1 คาน เคลื่อนไหวได้ ประกอบด้วย ชิ้นส่วนคอนกรีต 20 ชิ้น ต้องใช้ลวดสลิงดึงส่วนประกอบแต่ละชิ้นมาต่อกัน เบื้องต้นสันนิษฐานว่า เกิดจากความไม่เสถียรระหว่างก่อสร้าง ส่วนจุดที่เสาขาด คาดว่ารับน้ำหนักมากเกินไป

นายชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ เพราะมีการก่อสร้างลักษณะนี้มากมายในกรุงเทพมหานครโดยไม่ต้องปิดพื้นที่ และไม่เคยเกิดปัญหาลักษณะนี้ ต่อไปต้องคัดเลือกผู้รับเหมาที่มีคุณภาพ เบื้องต้นอาจต้องปิดพื้นที่บริเวณเกิดเหตุ 3-4 วัน และคาดว่าจะรู้สาเหตุภายในคืนนี้ สำหรับผู้บาดเจ็บ ณ เวลานี้ ได้รับแจ้ง 8 คน เสียชีวิต 1 คน ยังไม่มีรายงานผู้สูญหาย ปัจจุบัน ได้แต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานเขตลาดกระบัง เป็นผู้บัญชาการเหตุ

เปิดข้อเท็จจริงอีกด้าน ทางยกระดับลาดกระบังถล่ม เชื่อเป็นความประมาทและละเลยมาตรฐานทางวิศวกรรม

(11 ก.ค.66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ดำรงค์ นาวิกไพบูลย์’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีสะพานข้ามแยก ย่านลาดกระบัง ถล่ม โดยระบุว่า…

ส่วนที่มีการโจมตีว่า เพราะทีมชัชชาติไปสั่งแก้แบบ เลยทำให้สะพานถล่ม
อันนี้ ผมเองก็เป็นวิศวกร และผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก
ชัชชาติเคยลงพื้นที่ตรงนั้นเมื่อหลายเดือนก่อนจริง
แต่ที่แกสั่งคือ เร่งรัดการก่อสร้าง เพราะผู้รับเหมา (ผรม.) ทำงานช้ากว่ากำหนด แถมทำพื้นที่ส่วนรวมเลอะเทอะ ชาวบ้านเดือดร้อน

ส่วนแบบที่ กทม. เสนอแก้อ่ะ คือจากแบบเดิมที่ ‘หล่อหน้างาน’ (girder box segment) มาเป็นแบบ ‘หล่อจากโรงงาน’ (precast box segment) แล้วยกมาประกอบหน้างาน

โครงการสะพานใหญ่ ๆ ในบ้านเรา ใช้เทคนิค precast กันก็เยอะ โครงการรถไฟฟ้าก็ใช้

Precast มันดีตรงที่หล่อในโรงงาน จึงควบคุมคุณภาพได้แม่นยำกว่าแบบหล่อหน้างาน แต่ข้อเสียคือขนส่งลำบาก มึงต้องมีรถนำขบวน แถมต้องขนตอนดึก เวลาที่คนนอนกันหมดแล้ว

แต่จะเปลี่ยนเทคนิคกันยังไงก็ช่าง
แบบก่อสร้าง ต้องมีวิศวกรระดับสามัญ - วุฒิวิศวกรเซ็นรับรอง ซึ่งกว่ามึงจะได้ใบอนุญาตมานะ เลือดตาแทบกระเด็น 

ระดับสามัญ อย่างเร็วคือ 7 ปี แต่บางคนทำมาเป็น 10 ปียังสอบไม่ได้เลย
แถมพลาดมา ติดคุก คำเดียว
ทำงานช้าแค่โดนด่า แต่ทำงานพลาดมึงติดคุก
อาชีพวิศวกรที่มีใบอนุญาตฯ มันเป็นแบบนี้

ที่สำคัญนะ
งานก่อสร้างอ่ะ ที่แบบไม่ค่อยพลาดกันหรอก
มันมีคู่มือให้เดินตาม มีมาตรฐานประกบหมด โอกาสพลาดต่ำมาก

ส่วนใหญ่จะพลาดกันที่การก่อสร้าง ทำงานไม่ได้มาตรฐาน
อันนี้ มึงไปดูโพสต์พี่เอ้ สุชัชวีร์ อดีตศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรม
แกเคยเตือนเอาไว้เมื่อปีที่แล้วว่าไซต์นี้เสี่ยง เนื่องจากทำงานไม่ได้มาตรฐานทางวิศวกรรม
ซึ่งมาตรฐานทางวิศวกรรมที่ว่า แกหมายถึงมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติงานวิศวกรรมนั่นแหละ

เรื่องนี้ ทีมชัชชาติไม่เกี่ยว
ส่วนตัวผมคิดว่า เป็นความประมาท และละเลยมาตรฐานทางวิศวกรรมเสียมากกว่า

‘แจ็คสัน’ ประกบคู่ ‘ชัชชาติ’ ลงเรือเก็บขยะคลองลาดพร้าว  ในงาน Recycle for Good แฟนคลับสุดเอ็นดู ได้ใจเต็มๆ!!

(25 ก.ค. 66) เรียกได้ว่าศิลปินหนุ่มคนนี้ คือขวัญใจแฟนคลับชาวไทยตลอดกาล อย่างหนุ่ม ‘แจ็คสัน หวัง’ (Jackson Wang) สมาชิกวง Got 7 ศิลปินระดับโลก หรือที่พวกเรามักจะเรียกว่า ‘พี่แจ็ค’ เพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะมาประเทศไทยอีกกี่ครั้ง ก็มีแฟนคลับคอยรอต้อนรับอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ แจ็คสัน หวัง ได้เดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย โดยร่วมงานอีเวนต์ของสินค้าหลากหลายแบรนด์ และในวันนี้ แจ็คสัน ก็ได้มีกิจกรรมดี ๆ กลางกรุงเทพมหานคร กับงาน Recycle for Good with Jackson ซึ่งกิจกรรมนี้จัด ณ คลองลาดพร้าว ร่วมกับน้ำดื่มแบรนด์ C2 โดยงานนี้เป็นงานไพรเวทและมีหน่วยงาน กทม. เข้าร่วมด้วย

เพราะกิจกรรมในวันนี้นั้นสอดคล้องและสนับสนุนกับนโยบาย ไม่เทรวม ที่ทางหน่วยงาน กทม. ได้วางแผนไว้ โดยเป็นการนำร่องขอความร่วมมือประชาชนในการ ‘แยกขยะเศษอาหาร’ และ กทม.จัดเก็บแบบ ‘ไม่เทรวม’ โดยเริ่มดำเนินนโยบายที่เส้นทางทดลอง ของเขตนำร่อง 3 เขตก่อนในเบื้องต้น ได้แก่ เขตหนองแขม เขตปทุมวัน และเขตพญาไท

ซึ่งระหว่างการทำกิจกรรม แจ็คสัน หวัง นั้นได้เต็มที่กับการคัดแยกเศษขยะในคลองลาดพร้าวมากๆ โดยเจ้าตัวก็สวมอุปกรณ์อย่างถุงมือ และมีอาวุธคู่กายเป็นที่ตัก และตะกร้าขนาดใหญ่ โดย แจ็คสัน หวัง ได้เดินลงพื้นที่เก็บขยะอย่างมุ่งมั่น และตั้งใจโดยไม่ถือตัวว่าตนเองนั้นเป็นไอดอลหรือศิลปินระดับโลกแม้แต่น้อย

‘ชัชชาติ’ ชม ‘แจ็คสัน หวัง’ หลังลุยเก็บขยะคลองลาดพร้าวกว่า 3 ตัน ชี้!! ความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ ต้องขยัน-อดทน จึงไปถึงระดับโลกได้

เมื่อไม่นานนี้ ศิลปินหนุ่มขวัญใจแฟนคลับชาวไทยตลอดกาลอย่าง ‘แจ็คสัน หวัง’ ได้ร่วมกิจกรรมดี ๆ กลางกรุงเทพมหานคร ในงาน ‘Recycle for Good with Jackson’ ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้น ณ คลองลาดพร้าว ร่วมกับน้ำดื่มแบรนด์ C2 โดยงานนี้เป็นงานไพรเวทและมีหน่วยงาน กทม. เข้าร่วมด้วย

ซึ่งกิจกรรมนี้สอดคล้องและสนับสนุนกับนโยบาย ‘ไม่เทรวม’ ที่ทางหน่วยงาน กทม. ได้วางแผนไว้ โดยเป็นการนำร่องขอความร่วมมือประชาชนในการ ‘แยกขยะเศษอาหาร’ และ กทม.จัดเก็บแบบ ‘ไม่เทรวม’ โดยเริ่มดำเนินนโยบายที่เส้นทางทดลองของเขตนำร่อง 3 เขตก่อนในเบื้องต้น ได้แก่ เขตหนองแขม เขตปทุมวัน และเขตพญาไท

โดยในระหว่างการทำกิจกรรมหนุ่มแจ็คสัน หวัง นั้นได้เต็มที่กับการคัดแยกเศษขยะในคลองลาดพร้าวมากๆ โดยเจ้าตัวได้สวมอุปกรณ์อย่างครบครัน ทั้งถุงมือและที่ตัก ที่ถือเป็นอาวุธคู่กาย และยังมีตะกร้าขนาดใหญ่ อีกทั้ง แจ็คสัน หวัง นั้นก็ได้เดินลงพื้นที่เก็บขยะอย่างมุ่งมั่น และตั้งใจโดยไม่ถือตัวว่าตนเองนั้นเป็นไอดอลหรือศิลปินระดับโลกแม้แต่น้อย จนนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังเอ่ยปากชื่นชมในความขยัน อดทน และความมุ่งมั่นของหนุ่มแจ็คสัน หวัง โดยระบุว่า…

“เมื่อวานนี้เป็นวันที่ตักขยะหนักที่สุดเลย เพราะคุณแจ็คสันเขาไม่ยอมเลิกตัก แล้วเหมือนเขาจะรู้ว่าคุณแจ็คสัน หวัง จะมาร่วมกิจกรรมมั้ง เขากลัวไม่มีขยะให้เก็บ เขาก็เลยไม่เก็บขยะเลย 3 วัน ไป 3 วัน มันก็เป็นขยะที่รวมกันได้ประมาณ 3 ตัน แล้วขยะที่ผ่านมาแล้วกว่า 3 วัน มันก็มีความเน่าเสีย โอ้โห!! แต่ว่าผมก็ต้องขอชื่นชมนะ เพราะถือเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ สําหรับเยาวชนเลยนะว่า คุณจะประสบความสําเร็จระดับโลกได้ขนาดนี้ มันไม่ได้มาง่ายๆ มันต้องมาจากความอดทน และต้องมีความมุ่งมั่นจริงๆ ผมไม่เคยตักขยะที่ไหนแล้วเจอคนแบบเขาที่ดูมีความมุ่งมั่นขนาดนี้”

“เราเอาเข่งมาใส่ขยะประมาณ 60 เข่งนะ คือในตอนแรกเราก็เข้าใจว่าน่าจะประมาณสัก 20 เข่งก็คงจะพอแหละมั้ง แต่ละเข่งก็ใส่ขยะได้ประมาณห้าสิบกิโลก็ตันนึง ตักไปไม่หมด ก็เอาเข่งมาเพิ่ม สุดท้ายตักไปหกสิบเข่งอะ เข่งละ 50 กิโล ทั้งหมดก็ประมาณ 3 ตัน เราตักขยะกันจากเที่ยวละ 20 นาที จนตักไป 2 ชั่วโมงกว่า แต่ก็ดี คุณแจ็คสันเขาแข็งแรงนะ แล้วเราก็เหมือนได้ออกกําลังกายไปในตัวด้วย แล้วเขาทําคนเดียวแบบไม่ขอเปลี่ยนคนเลย”

“ผมว่าเป็นตัวอย่างที่ดีมาก คุณจะไปถึงระดับโลกได้ ไม่ใช่ว่าไปได้แบบฟลุคๆ นะ ไปได้ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจริงๆ เขาเป็นคนที่ตั้งใจ และอัธยาศัยดีมาก ตอนแรกผมก็เกร็งๆ เพราะผมไม่รู้ว่าเขามีกฎห้ามทํา หรือไม่ห้ามทําอะไรไหม แต่เขาก็ดีมาก มาโอบหลังโอบไหล่คุยกันตลอด ก็นับว่านี่เป็นกิจกรรมที่ดี และเป็นการเผยแพร่แนวคิดของการแยกขยะ ไม่เทรวม และแยกขยะ เพราะว่าขยะถือว่าเป็นปัญหาหลัก วันนี้สะอาดเลย วันนี้ขยะเอี้ยงเกลี้ยงเลย”

สภาพ 'คลองผดุงฯ' วันนี้ กลับมาเน่าเหมือนเดิม หวัง!! ผู้ว่าฯ แก้ปัญหาคลองด้วยระบบหมุนเวียนน้ำ

เมื่อวานนี้ (31 ก.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า...

คลองผดุงกรุงเกษม กลับมาเน่าเหมือนเดิม...จากคลองสวย แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ กลางกรุงเทพฯ ฝากผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แก้ปัญหาคลองเน่า ด้วยการหมุนเวียนน้ำ (Flushing) วันนี้ขอมาพูดถึงเรื่องการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย ในคลองของกรุงเทพหน่อยครับ

ล่าสุดมีลูกเพจส่งภาพ คลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งน้ำในคลองมีสีดำ สภาพเน่าเสีย!! กลับไปสู่สภาพก่อนมีการปรับปรุงอีกครั้ง!! ซึ่งผมไปมาเองกับตัว ชัดเจนว่าน้ำนิ่งไม่มีการไหลเวียน กลิ่นน้ำเน่า ค่อนข้างแรง พร้อมกับ ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นก็คอนเฟิร์มว่า บางวันน้ำเป็นสีดำสนิท

ผมเลยอยากฝากถึงการวางแผนการหมุนเวียนน้ำในคลอง (Flushing) ตามระบบเดิมที่เคยออกแบบไว้ เพื่อให้น้ำในคลองมีความสะอาด และไม่เน่าเสีย

รายละเอียดการปรับปรุงคุณภาพน้ำในคลองผดุงกรุงเกษม
https://www.thethaipress.com/2020/12240

ระบบการหมุนเวียนน้ำ (Flushing) ในคลองผดุงกรุงเกษม สำคัญอย่างไร???

***ความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม
น้ำเสีย สามารถบริหารจัดการ และลดค่าความเน่าของน้ำ (BOD) ด้วยจากการเจือจาง คู่ขนานกับการหมุนเวียนน้ำเพื่อเพิ่ม ออกซิเจน ลงสู่น้ำเพื่อให้ แบคทีเรียใช้อากาศ (แบคทีเรียดี) มีออกซิเจนเพียงพอในการย่อยสลายความเน่าเสียที่รั่วไหลลงสู่คลอง

ตัวอย่างแผนการแก้ปัญหาน้ำเสียในคลองช่องนนทรี ซึ่งมีการหมุนเวียนน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำเสีย https://fb.watch/a4Skoj_2xI/ ในคลองผดุงกรุงเกษม เป็นโครงข่ายคลองกรุงเทพชั้นใน ซึ่งเชื่อมต่อกับคลองแสนแสบ บริเวณโบ๊เบ๊ โดยคลองเป็นระบบเปิด มีประตูน้ำ และปั๊มสูบน้ำ ขนาดใหญ่ทั้ง ประตูน้ำเทเวศร์ และ ประตูน้ำกรุงเกษม นอกจากนั้นฝั่งประตูน้ำกรุงเกษมยังมีโรงบำบัดน้ำเสียสี่พระยา ที่สามารถบำบัดน้ำลงแม่น้ำเจ้าพระยาได้กว่า 30,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

การทำงานของโรงบำบัดน้ำเสียสี่พระยา https://youtu.be/vOvVO1EHZmA ซึ่งคลองผดุงกรุงเกษมได้มีการปรับปรุง โดยการขุดลองตะกอนน้ำเสีย และปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมคลองไปแล้ว

จากนั้นก็มีการบริหารจัดการป้องกันน้ำเน่าเสีย โดยการหมุนเวียนน้ำ ให้เกิดการไหลของน้ำ โดยมีการผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้ามาจากทางฝั่งเทเวศร์ และฝั่งกรุงเกษม ตามจังหวะน้ำขึ้น-น้ำลง และจะมีการสูบน้ำจากฝั่งประตูน้ำฝั่งตรงข้าม ซึ่งถ้ามีการวางระบบการหมุนเวียนน้ำได้อย่างสมบูรณ์ สามารถเปลี่ยนทางไหลของน้ำเสีย หลังจากการบำบัดจากโรงบำบัดน้ำเสียสี่พระยา มาช่วยสร้างการหมุนเวียนได้อีกด้วยเช่นกัน

ซึ่งจากแผนเดิม จะมีการทำท่อรองรับน้ำเสีย ในคลองผดุงกรุงเกษม และคลองแสนแสบ เพื่อจะลดการรั่วไหลของน้ำเสียลงสู่คลอง

ก็หวังว่าจะได้เดินงานหน้าโครงการระบบรวบรวมน้ำเสียส่วนเกิน เพื่อจะแก้ปัญหาน้ำเสียในคลองได้อย่างยั่งยืน

'ผู้ว่าฯ ชัชชาติ-จนท.' เคลียร์พื้นที่ชุมชนทิ้งเศษซากขยะ หลังภาพรถไฟญี่ปุ่นวิ่งกลางขยะ จนเป็นไวรัลสนั่นโซเชียล

(1 ส.ค.66) หลังจากที่โลกโซเชียลมีการแชร์คลิป รถไฟขบวน KIHA 183 ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้บริจาคให้การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมมีการระบุข้อความไว้ว่า "นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาดูรถไฟ KIHA 183 ที่บริจาคให้ไทย พอมาเห็นนางก็เป็นช็อก แล้วยิงคำถามว่า จะให้รถไฟเขาวิ่งในสภาพเศษแก้ว เศษขยะแบบนี้อีกนานมั้ย? ขอร้องให้หน่วยงานไทยจัดการให้หน่อย ฟีลสงสารรถไฟตัวเอง แต่ดูสภาพเป็นใครก็ต้องสงสาร แถมเสียดาย"

ล่าสุด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ทันทีบริเวณชุมชนแดงบุหงา ชุมชนบุญร่มไทรและชุมชนโค้งรถไฟยมราช เขตราชเทวี แขวงทุ่งพญาไท กทม. บริเวณสถานีพญาไท โดยพบว่าจุดนี้ชาวบ้านเพิ่งมีการรื้อถอนบ้านเรือนออกไปโดยได้ทิ้งเศษซากขยะไว้ หลังจากที่ภาพกลายเป็นกระแสข่าว เจ้าหน้าที่กทม.จึงเข้ามาเร่งเก็บทำความสะอาดขยะบางส่วนออกไป

‘ชัชชาติ’ นำทัพผู้บริหารกทม. เข้าพบ ‘อนุทิน’ เพื่อแสดงความยินดี พร้อมรับมอบนโยบายต่อ

(19 ก.ย.66) ที่กระทรวงมหาดไทย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นำคณะผู้บริหารกทม. เดินทางเข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสรับตำแหน่ง โดยนำพวงมาลัยดอกไม้ มาแสดงความยินดีกับนายอนุทิน ในโอกาสรับตำแหน่งรมว.มหาดไทย พร้อมรายงานการทำงานของ กทม.และรับมอบนโยบายการโดยมีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารกระทรวง ร่วมหารือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการพบกันเป็นไปอย่างชื่นมื่น เป็นกันเอง โดยนายอนุทิน ได้ทักทายนายชัชชาติ พร้อมกล่าวหยอกล้อและหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ว่า "เมื่อวานนายชัชชาติ เข้าพบกับนายกฯ เป็นแบบพี่น้องกัน แต่วันนี้มาพบแบบเป็นเพื่อนกัน เพราะเป็นเพื่อนเรียนกันมา จากนั้นทั้งคู่จะชนหมัด ก่อนที่นายชัชชาติ บอกว่าจับมือดีกว่า เดี๋ยวจะไปเหมือนกับนายกรัฐมนตรี จึงได้เปลี่ยนมาจับมือแสดงความยินดีแทน โดยนายอนุทิน ได้มอบพระพุทธรูปปางลีลา เป็นที่ระลึกให้แก่นายชัชชาติ

จากนั้น นายอนุทิน ได้แนะนำคณะทำงาน อาทิ นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ที่ย้ายมารับตำแหน่งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทำให้นายชัชชาติ ระบุว่า ดีเลย จะได้ประสานทำงานกันอย่างเข้มข้น และที่ผ่านมากทม.ก็ประสานการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นอย่างดี จากนี้จะได้เดินหน้าทำงานต่อไป ทั้งนี้ใช้เวลาหารือ ประมาณ 30 นาที 

‘ชัชชาติ’ ชี้ สังคมปัจจุบันแข่งขันสูง ทำคนเครียดสะสม แนะ!! ควรแก้ที่ต้นเหตุ จ่อเพิ่มนักจิตวิทยาให้บริการปชช.

(5 ต.ค.66) ที่ห้องประชุมชั้น 8 อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 10/2566

นายชัชชาติเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า จากเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เกิดในพื้นที่กรุงเทพฯ ผอ.เขตในพื้นที่เกิดเหตุจะต้องเป็นผู้อำนวยการเหตุ แม้ว่าเรื่องที่เกิดจะไม่เกี่ยวข้องกับ กทม.โดยตรง จะต้องรับทราบเรื่อง ประสานงานกับ สน.ในท้องที่ และรายงานให้ผู้บริหาร กทม.รับทราบด้วย

นายชัชชาติกล่าวว่า ต่อมาระบบเตือนภัยที่อยู่ในอำนาจของ กทม.ผ่านระบบ Line Alert ให้เพิ่มฟีเจอร์นอกจากการเตือนภัยธรรมชาติ เช่น ฝุ่น PM2.5 ซึ่งจะพูดคุยให้มีการเพิ่มการแจ้งเตือนน้ำท่วม หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ จะนำแพลตฟอร์มทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) สื่อสารข้อมูลให้มากขึ้น โดยให้ผู้พัฒนาทำระบบแจ้งเหตุต่างๆ กับผู้ใช้งาน ต่อมาคือระบบเตือนภัยใหญ่ ต้องมีการประสานงานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งจะมีการส่ง SMS แจ้งเตือนกับคนที่อยู่ใกล้กับพื้นที่เกิดเหตุ

“การแจ้งเหตุก็มีความละเอียดอ่อน ในแง่ของความถูกต้องของข้อมูลที่ต้องสื่อสารไปอาจมีผลต่อการควบคุมการเกิดเหตุด้วย ผู้ควบคุมสถานการณ์จะให้มีการแจ้งเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันให้ดี” นายชัชชาติกล่าว

ด้าน น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ปภ.มีการทำงบประมาณระบบการแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนภัยธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นการเตือนภัยอื่นๆ ต้องประสานกับหน่วยงานความมั่นคง เช่น ตำรวจ หรือหน่วยงานที่มีพื้นที่สำคัญ ให้เข้าร่วมตรงนี้ด้วย ส่วน กสทช.มีการพูดคุยว่าถ้าเกิดเหตุในพื้นที่อื่นให้มีการแจ้งมายังระบบของ กทม.ด้วย ซึ่งมีการนัดคุยในสัปดาห์หน้า

ขณะที่นายชัชชาติกล่าวอีกว่า สุขภาพจิตของเด็กและประชาชนมีปัญหาค่อนข้างมาก เป็นต้นเหตุของปัญหา กทม.คงต้องมีการปรับในการดูแลสุขภาพจิต ปัจจุบันมีทรัพยากรอย่างจำกัด มีอัตราจิตแพทย์ค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันผู้ป่วยก็ไม่อยากเข้ามาที่โรงพยาบาล ดังนั้น การให้คำแนะนำต่างๆ อาจต้องกระจายลงไปยังศูนย์บริการสาธารณสุข หรือให้ความรู้แก่อาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) ให้มากขึ้น รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจแก่โรงเรียนด้วย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่รอให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น

“การนำประชาสังคมมาร่วม การใช้แอพพ์ที่คุ้นเคย หรือสิ่งที่เราทำอยู่ อย่างสวน 15 นาที ดนตรีในสวน เปิดพื้นที่ให้คนแสดงออกก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดความเครียด ต้องเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่เน้นเรื่องแจ้งเหตุ

“สังคมปัจจุบันมีการแข่งขันสูง ในแง่ความคาดหวังจากพ่อแม่ การแข่งขันสภาพเศรษฐกิจ สุดท้ายก็มาลงที่เด็ก พ่อแม่เครียดจากการทำงาน ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย เด็กก็ต้องรับไป คงเป็นเรื่องที่รุนแรงมากขึ้น การหาคำแนะนำที่ถูกต้องไม่ได้หาได้ง่าย จิตแพทย์ สำนักการแพทย์มีแค่ 23 คน สำนักอนามัยมีเพียง 1 คน แผนระยะยาวต้องปรับอัตราให้เหมาะสม รวมถึงเพิ่มนักจิตวิทยา หรือคนที่ให้คำแนะนำต่างๆ ในโรงเรียนด้วย” นายชัชชาติกล่าว

ด้าน นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ปัญหาเรื่องสุขภาพจิตก็เป็นปัญหาที่คนรุ่นใหม่เผชิญอยู่ สำนักการศึกษาเคยนำแอปพลิเคชันตัวหนึ่งเข้าไปที่โรงเรียน กทม.พบว่าพอเป็นการส่งข้อมูลจากคุณครูจะไม่มีความเชื่อมั่น เชื่อใจ แต่จะเชื่อเพื่อนและเชื่อเครือข่ายมากกว่า เราจะต้องเชื่อมโยงเครือข่ายทั้งหมด โดยวันอาทิตย์นี้จะมีการจัดเสวนา มีเครือข่ายด้านสุขภาพจิตมาร่วมด้วยพูดคุย หลังจากนี้คงต้องดูว่าภาครัฐจะช่วยเสริมภาคประชาสังคมที่เข้ามาช่วยได้อย่างไรเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างยั่งยืน

นายศานนท์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการประเมินผลการเรียนของนักเรียนนั้นคาดว่าจะมีการปรับรูปแบบในการประเมินด้วย ไม่ใช่แค่วัดเกี่ยวกับผลการเรียนดีอย่างเดียว อาจมีการประเมินเรื่องทักษะอื่นเสริมเข้าไปด้วยก็จะทำให้เด็กรู้สึกมีชัยชนะเป็นของตัวเองและไม่มีการเปรียบเทียบด้วย

ทั้งนี้ ในวันที่ 8 ตุลาคม กทม.ร่วมกับ Sati APP และ Thailand Institute for Mental Health Sustainability (TIMS) จัดงาน Better Mind Better Bangkok 2023 ขึ้น ณ สามย่าน มิตรทาวน์ โดยมีวิทยากรผู้เปี่ยมประสบการณ์และเป็นแรงบันดาลใจในแวดวงสุขภาพจิตมาร่วมพูดคุย อาทิ น.ส.ทวิดา, นายศานนท์, เขื่อน ภัทรดนัย, อแมนด้า ออบดัม, รัศมีแข


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top