Monday, 29 April 2024
ค้ามนุษย์

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดอบรมเสริมความรู้คดีค้ามนุษย์กับพนักงานสอบสวนและทีมสหวิชาชีพ

วันนี้ (15 ส.ค. 65) เมื่อเวลา 11.00 น. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8 , พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท. พนักงานสอบสวนและทีมสหวิชาชีพ ร่วมพิธีเปิดการโครงการอบรมสัมมนา พนักงานสอบสวนและทีมงานสหวิชาชีพจากกระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคุ้มครองแรงงานแก่คนต่างด้าวและป้องกันการละเมิดสิทธิตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์ รุ่นที่ 2 ระยะที่ 2  ณ โรงแรมเครปพันวา จ.ภูเก็ต

การอบรมสัมมนาในครั้งนี้เป็นนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย อยู่ในระดับมาตรฐานสากล หลังจากประเทศไทยได้รับการปรับระดับในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์  (TIP) ประจำปี 2022  เมื่อวันที่ 19 ก.ค.65 จากระดับ “เทียร์ 2 ที่ต้องถูกจับตามอง (Tier 2 Watch List) ขึ้นมาเป็น เทียร์ 2 (Tier 2) ส่งผลให้เศรษฐกิจในภาคประมงและแรงงานของไทยเป็นไปอย่างยั่งยืน

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดฝึกอบรมให้ความรู้การสืบสวนทางเทคโนโลยี ในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ให้กับเจ้าหน้าที่ TICAC

วันนี้ (24 ส.ค.65) เวลา 08.30 น. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เดินทางไปเป็นประธานเปิดการฝึกอบรมในโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการสืบสวนเชิงนิติวิทยาศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์ของชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต สำนักงานตำรวแห่งชาติ (TICAC) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 26 ส.ค.65 ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในชุดปฏิบัติการ พนักงานสอบสวน รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ในทีมสหวิชาชีพ ร่วมเข้ารับการฝึกอบรมในโครงการดังกล่าว

โดยจุดประสงค์ของการจัดการฝึกอบรมในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาความรู้ความเข้าใจในการสืบสวนทางเทคโนโลยีที่มีความจำเป็นในการปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชนทางอินเตอร์เน็ต  ซึ่งในปัจจุบันอาชญากรรมในรูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในหลายพื้นที่และทวีความรุนแรงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ ปัญหาดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากความซับซ้อนภายใต้การพัฒนาที่ก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากสังคมยุคใหม่ได้ก้าวไปสู่ยุคข้อมูลดิจิทัลเต็มตัว จึงส่งผลให้คนร้ายพัฒนารูปแบบและวิธีการก่อเหตุโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรมที่เป็นการล่อลวงและประทุษร้ายทางเพศต่อเด็กและเยาวชน

สื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวันของคนในสังคมมากขึ้นและการเข้าถึงอย่างง่ายดายบนแพลตฟอร์มที่หลากหลาย ทั้งทางโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ปัจจุบันคนร้ายมักเลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งแอพพลิเคชั่น Line Facebook และ Twitter ในการกระทำความผิดต่อเด็กและเยาวชนในหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการคุกคามทางเพศ การเผยแพร่สื่อลามกอนาจาร การข่มขู่หลอกลวงต่างๆ ซึ่งการกระทำผิดผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตนั้น การนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษเป็นเรื่องที่ยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการสืบค้นหาตัวผู้กระทำผิดมีความสลับซับซ้อน ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการเพิ่มพูนความรู้และทักษะด้านการสืบสวนเชิงนิติวิทยาศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์ (Computer Forensic Investigation) เพื่อนำมาประยุกต์ร่วมกับเทคนิคการสืบสวนพื้นฐาน ซึ่งจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อการควบคุมปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งสามารถรักษาความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานที่นำไปพิสูจน์การกระทำความผิดในชั้นศาลได้

แฉ 'ลุงวี' ขอทานหลังโก่ง เป็นคนกัมพูชาหนีเข้าเมือง เคยโดนจับมาแล้ว ทำงานเป็นทีม รายได้อู้ฟู้เดือนเป็นแสน แถมพาเด็ก 10 เดือนขอทานด้วย เตรียมส่งกลับประเทศ

4 กันยายน 2565 หลังจากโลกออนไลน์แชร์คลิปวิดีโอ ชายหลังโก่งตระเวนขอทานในตลาดวัดศรีอมตะนคร อ.พานทอง จ.ชลบุรี สภาพร่างกายดูน่าสงสารเพราะหลังโก่ง เวลาเดินหัวจะพับมาถึงขา ซึ่งมีผู้แชร์จำนวนมาก ต่อมาเพจ กัน จอมพลัง ได้โพสต์ข้อความด้วยว่า ได้ประสานกับ พม.จ.ชลบุรี เข้าไปช่วยเหลือชายคนดังกล่าว ทราบว่า ชื่อลุงวี และมีการนำสิ่งของเข้าไปช่วยเหลือ 

จากนั้น เพจ กัน จอมพลัง โพสต์ข้อความเพิ่มเติมว่า "ไอ้ลุงวี สรุปผมถูกหลอก ลุงวี หลังโก่ง คือ แก๊งขอทานข้ามชาติ ที่หนีเข้าประเทศไทยตามตะเข็บชายแดน เคยถูกส่งกลับมา 3 ครั้ง มีรายได้เดือนนึงกว่า 100,000 บาท ในแก๊งมีหลายคนมีพฤติกรรมเข้าข่ายค้ามนุษย์มี การเอาเด็กอายุ 10 เดือนมานั่งขอทานด้วยเรื่องนี้แดงขึ้นมาเพราะผมประสานพัฒนาสังคมเข้าไปช่วยเหลือ แต่เค้าจำได้ว่าเคยส่งแก๊งนี้กลับประเทศหลายครั้ง และด้วยความที่เวรกรรมติดจรวด หลังจากเอาความน่าสงสารมาหลอกผมน้องเอกบางแสน และคนไทยผู้ใจดี ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัวแก๊งที่ทุกคน และพาไปควบคุมตัวไว้ที่ ตม. ตอนนี้ผมรู้สึกอิหยังวะ ช่วยคนมาเยอะสุดท้ายตกเป็นเหยื่อเพราะความใจดีของตัวเอง"

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะผู้แทนไทย ร่วมประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชา ร่วมแก้ปัญหาการเยียวยาเหยื่อค้ามนุษย์ ส่งต่อข้อมูลการคัดแยกเหยื่อ อย่างไร้รอยต่อ

(18 ม.ค. 66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้ร่วมกับคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมทวิภาคีไทย-กัมพูชา เพื่อหารือการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมสำหรับการดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 ม.ค.66 โดยมีผู้แทนจากหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม โดยมีนายประวิทย์ ร้อยแก้ว รองอธิบดีอัยการ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กรมการปกครอง กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งผู้แทนจากมูลนิธิต่างๆ อีกจำนวนมาก โดยมีองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เป็นเจ้าภาพในการประสานงาน และมีท่านโช บุน เฮือง ปลัดกระทรวงมหาดไทย/รองประธานคณะกรรมการต่อต้านการค้ามนุษย์ เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชา

ในการประชุมนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีโอกาสในการนำเสนอผลงานการดำเนินคดีค้ามนุษย์ของประเทศไทยซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจกำกับติดตามและช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นประธานอนุกรรมการดังกล่าว ทำหน้าที่ในการติดตามการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและเหมาะสม นอกจากนี้ยังได้กล่าวขอบคุณทางการกัมพูชา ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้มีการประสานความร่วมมือกันในการช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับมาได้มากกว่า 1,105 คน 

คณะผู้แทนไทย หารือ สหรัฐ แจง แนวทางแก้ปัญหาค้ามนุษย์ หรือ TIP Report ขณะที่สหรัฐ สนใจปัญหา หลอกลวงออนไลน์ ย้ำการคัดแยก เยียวยาเหยื่อ ทำได้ดีขึ้น รอง ผบช. มั่นใจ หากรักษาแนวทางนี้ได้ ปีหน้าไทยมีโอกาสได้เทียร์ 1

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 66 คณะผู้แทนประเทศไทย นำโดย นายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธ์ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เดินทางเข้าพบหารือกับ น.ส.ซินดี ดายเออร์ ผู้อำนวยการแผนกต่อต้านการค้ามนุษย์ ที่กระทรวงการต่างประเทศ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เพื่อสรุปกรอบการดำเนินการในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ ในการจัดทำ TP Report ปี 2566 หลังจาก ปีที่แล้ว ไทยได้รับการปรับระดับ จาก 2.5 เป็น 2 

นอกจากความคืบหน้าด้านการปราบปรามแล้ว ในครั้งนี้ ศพดส .ตร . ยังได้นำเสนอความก้าวหน้าในการคัดแยกเหยื่อ และการเยียวยาผู้เสียหาย โดยให้ผู้เสียหายเข้ามามีส่วนร่วมมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โดยระบุว่าในปี พ.ศ.2565 มีคดีค้ามนุษย์ทั้งสิ้น 250 คดี มีผู้เสียหายในคดีค้ามนุษย์ทั้งสิ้น 569 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาแล้ว 322 คน คิดเป็น 62.04% นี่ทำให้สหรัฐอเมริกา ชื่นชมถึงความตั้งใจจริงของประเทศไทยในการแก้ปัญหา

ค้ามนุษย์หมดไป!! ‘บิ๊กป้อม’ สั่งยกระดับกวาดล้าง ‘ค้ามนุษย์’ ทุกรูปแบบ ขยายครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมตั้งเป้าดันไทยขึ้นเทียร์ 1

( 9 มี.ค. 66 ) ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์(ปคม.) และคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์(ปกค.) 

โดยที่ประชุมเห็นชอบ ร่างรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Progress Report) และกรอบเวลาการจัดทำรายงานฯ เพื่อจัดส่งให้สหรัฐฯเพิ่มเติม เพื่อใช้ประเมินและจัดอันดับในทิปรีพอร์ต ในปีถัดไป และเห็นชอบการติดตาม ผลการขับเคลื่อนการดำเนินงาน NRM ในจังหวัดนำร่อง ซึ่งคณะทำงานฯ ได้กำหนดไว้ 10 จังหวัด ได้แก่กาญจนบุรี,สระแก้ว,ตราด,สงขลา,สตูล,เชียงราย,ระนอง,ขอนแก่น,หนองคาย และอุบลราชธานี โดยมีการติดตามการดำเนินงาน ในช่วงเดือนพ.ย.65 - มี.ค.66 โดยพล.อ.ประวิตร มอบให้กระทรวงมหาดไทย พิจารณางบประมาณของจังหวัดดำเนินการฯ และให้สำนักงบฯ จัดสรรงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนฯ ให้เป็นรูปธรรม และยั่งยืน โดยมีเป้าหมายให้ครอบคลุมทุกจังหวัด เพื่อให้ประเทศไทยปลอดจากการค้ามนุษย์โดยเร็วที่สุด และมีโอกาสยกระดับขึ้นเป็นเทียร์ 1 ได้ ในปีถัดไป

ทั้งนี้ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์คัดแยกผู้เสียหาย(ดอนเมือง) เพื่อเตรียมรองรับการดำเนินงานตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM)ของทุกหน่วยงานต่อไป และรับทราบรายงานการพัฒนาระบบฐานข้อมูลของประเทศไทย ด้านการดำเนินคดี และการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (E-AHT) รวมทั้ง รับทราบการจัดทำแผนขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก(Child Safe Friendly Tourism Project) และการจัดทำแผนปฏิบัติการ ด้านการป้องกันและแก้ไขการค้ามนุษย์ ปี 66-70 ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจาก พม.แล้ว ขณะนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการกลั่นกรองของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อนเสนอ ครม. ต่อไป

ก.แรงงาน เปิดเวทีทบทวนมาตรฐานการตรวจคัดกรองแรงงานระดับชาติ คุ้มครองผู้เสียหาย ขันน็อตค้ามนุษย์ มุ่งไทยสู่เทียร์ 1

(23 มี.ค.66) นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการทบทวนมาตรฐานการปฏิบัติงาน (SOP) และประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติ การบริหารจัดการคดี และการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ พ.ศ. 2565 โดยมี นางสาวอภิรดี เทียนทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และเจ้าหน้าที่สำนักงานแรงงานจังหวัด 76 จังหวัด เข้าร่วมด้วย ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 

นายบุญชอบ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานสำคัญและเป็นหน่วยงานหลักในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 20 ปี ด้านความมั่นคง โดยรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกันการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ในการยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองดูแลและป้องกันไม่ให้แรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำหนดนโยบายกระทรวงแรงงาน “MOL พลิกโฉมตลาดแรงงานไทย” ได้กำหนดให้ “เร่งรัดการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและป้องกันการค้ามนุษย์ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Tier 1” และได้มอบหมายให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคนำมาตรฐานการปฏิบัติงาน (SOP) ในการคัดกรองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการบังคับใช้แรงงาน และการนำแผนปฏิบัติการว่าด้วยกลไกการส่งต่อระดับชาติฯ (NRM) นำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบังคับใช้แรงงานหรือบริการและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อยกระดับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าตรวจเยี่ยมกระบวนการ NRM หลังริเริ่มใช้งานจริง ดูแลเหยื่อจากการค้ามนุษย์ทั้งครบกระบวนการ

วันนี้ (28 มี.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมการดำเนินการตามกระบวนการกลไกส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) ซึ่งวันนี้ได้มีการเข้าตรวจเยี่ยมจำนวน 2 จุด ได้แก่ ภ.จว.ชุมพร และ สภ.จุฬาภรณ์ ภ.จว.นครศรีธรรมราช โดยมีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ อาทิ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ,สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด , แรงงานจังหวัด , ประมงจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด ยุติธรรมจังหวัด และป้องกันจังหวัด ร่วมประชุมชี้แจงความคืบหน้าในคดี การเยียวยา ดูแลผู้ถูกคัดกรอง โดยในส่วนของ ภ.จว.ชุมพรนั้น ได้มีการรับดำเนินการตามกระบวนการ NRM จากกรณีเมื่อวันที่ 23 มี.ค.66 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล. ได้จับกุมผู้ต้องหาชาวไทยจำนวน 2 ราย ลักลอบขนบุคคลต่างด้าวจำนวน 77 คนเข้ามาในราชอาณาจักร คดีอยู่ในความรับผิดชอบของ สภ.หลังสวน ภ.จว.ชุมพร และอีกคดีหนึ่งเป็นกรณีเมื่อวันที่ 16 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จุฬาภรณ์ ภ.จว.นครศรีธรรมราช ได้จับกุมบุคคลต่างด้าวถูกทิ้งไว้ขณะหลบหนีเข้าเมืองจำนวน 42 คน รายละเอียดตามที่สื่อมวลชนได้เคยนำเสนอไปแล้วนั้น

โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์​ ฯ​ได้ติดตามความคืบหน้าของคดีทั้งสองราย โดยให้ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบเส้นทางการเงิน ขยายผลผู้ต้องหาในขบวนเพิ่มเติม สำหรับ สภ.ปากน้ำชุมพรนั้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ราย ซึ่งทำหน้าที่ขับรถนำ และขับรถขนคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

‘ตร.สืบสวน’ รวบ ‘นวพร’ หัวหน้าใหญ่ ‘อุ้มบุญ-สวมบัตร’ แก๊งจีนเทา พบเอี่ยวค้ามนุษย์ทั้งในจีน-ไทย-กัมพูชา เผย ได้ค่าจ้างหัวละ 5 แสน!!

กรณีเมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีชายชาวจีนสวมบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) และเข้าตรวจค้นอาคาร 5 ชั้นย่านถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. พื้นที่รับผิดชอบของ สน.บางรัก พบบุคคลต่างด้าวจำนวน 7 ราย และตรวจพบว่าสภาพภายในมีการแบ่งซอยเป็นห้องพัก และมีอุปกรณ์ไว้สำหรับดูแลหญิงไทยที่รับอุ้มบุญให้กับชาวจีน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปนั้น

ล่าสุด วันที่ 11 เม.ย. 66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวน ขยายผลให้ทราบถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวมบัตรชมพู และกรณีการอุ้มบุญดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่า ชื่อเจ้าของสถานที่ ดังกล่าวคือ น.ส.นวพร อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่นำรายชื่อบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ภายในบ้านเลขที่ดังกล่าว

โดยใช้วิธีการแจ้งเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นญาติของตน และสำแดงเอกสารเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ย้ายชื่อบุคคลดังกล่าวเข้ามาในทะเบียนบ้าน และออกบัตรชมพูให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับ น.ส.นวพรดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และร่วมกันปลอมและใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา การเดินทางระหว่างประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม น.ส.นวพร ได้เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบว่า น.ส.นวพร เป็นบุคคลสัญชาติจีนที่ได้รับสัญชาติไทยจากการแต่งงานกับคนไทย จากนั้นหย่าร้าง และมีสามีใหม่เป็นคนสัญชาติจีน ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 3 คน โดยบุตรทุกคนได้รับสัญชาติไทยตามแม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยในการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้ตามปกติ

น.ส.นวพร เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงคนจีนมาลงทุนทำธุรกิจ ความเสียหายมากกว่า 700 ล้านบาท ถูกดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ นอกจากนี้ จากการประสานข้อมูลกับทางการจีนพบว่า น.ส.นวพรมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทั้งในจีน ไทย และกัมพูชา เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี และมีทรัพย์สินในครอบครองเป็นบริษัทหลายแห่ง ซึ่งมีชื่อของญาติและลูกของ น.ส.นวพร เป็นกรรมการบริหาร รวมทั้งที่ดินและรถหรูอีกจำนวนมาก ทั้งยังทำหน้าที่เป็นคนประสานงานอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับกลุ่มทุนจีนสีเทาอีกด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทามาเป็นเวลานาน ทำให้ทราบว่าเครือข่ายทุนจีนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยมีเครือข่ายของ น.ส.นวพรในการอำนวยความสะดวกช่วยเหลือคนจีนเหล่านี้ ในการสวมบัตรและอุ้มบุญ เพื่อให้ทุนจีนสีเทาเหล่านี้สามารถประกอบธุรกิจหรือทำธุรกรรมต่างๆ เสมือนเป็นคนไทยคนหนึ่ง และเข้ามากระทำผิดในราชอาณาจักรไทย

และทราบว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตแห่งหนึ่ง ออกบัตรสีชมพูต่างด้าวไว้ให้ พบว่ามีน.ส.นวพรที่มาแต่งกับคนไทย เพื่อให้ได้สัญชาติก่อนเลิกรา แล้วไปอยู่กินกับคนจีน ซึ่ง น.ส.นวพรเป็นตัวการสำคัญในการอุ้มบุญ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 เรื่องอุ้มบุญจีนในไทย

“น.ส.นวพรมีการถ่ายภาพกับผู้ใหญ่ในประเทศไทย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือคนจีนและร่วมมือกับอาหม่า ซึ่งอดีตเลขาฯปปง.รู้จักดี จากการตรวจค้นพบว่ามีการแบ่งห้อง และมีเตียงจำนวนมาก และพฤติการณ์มีการทุจริตกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในการออกบัตรสีชมพู วันนี้จะขอออกหมายจับเจ้าหน้าที่เขต และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งการชุด TICAC เข้าจับกุมผับพื้นที่เชียงใหม่ พบแสวงหาผลโยชน์ทางเพศเด็กและใช้แรงงานต่างด้าว

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ OUR ได้ให้เบาะแสสถานบริการในพื้นที่ สภ.ช้างเผือก ภ.จว.เชียงใหม่ พบมีการนำเอาเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้ามาทำงานเป็นพนักงานบริการภายในร้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศต่อเด็ก จึงได้แจ้งเบาะแสให้กับชุดปฏิบัติการ TICAC ทราบ จึงได้นำเรียนผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น


จากเบาะแสดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) จึงได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ TICAC ร่วมกับ ภ.จว.เชียงใหม่, บก.ตม.5 และ สภ.ช้างเผือก พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่องค์กร OUR ให้เข้าตรวจสอบและวางแผนจับกุมสถานบริการดังกล่าว จากการตรวจสอบช้อมูลเบื้องต้นพบว่า ร้านดังกล่าวคือ ร้านมังกี้ ทอยซ์ คลับ หรือ มังกี้ ทีซี เชียงใหม่ บริเวณทางคู่ขนานถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ลักษณะเป็นร้านแบบบาร์โฮส มีพนักงานทำงานภายในร้านมากกว่า 100 คน โดยจะสลับกันมาทำงานวันละ 30-50 คน โดยให้พนักงานบริการเครื่องดื่มโดยลูกค้าสามารถเรียกมานั่งบริการได้ คิดราคา 259 บาทต่อ 1 ดริ๊งค์ ต่อเวลานั่ง 1 ชั่วโมง ภายในร้านยังมีเวทีโดยให้พนักงานขึ้นไปเต้นโชว์ชั่วโมงละ 1 รอบ และมีชั้นใต้ดินเป็นห้องคาราโอเกะไว้ให้บริการ


ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 เวลา 01.00 น. หลังจากตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว เจ้าหน้าที่ชุด TICAC พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จึงได้บูรณาการร่วมกันเข้าตรวจสอบที่ร้านมังกี้ ทอยซ์ คลับ พบพนักงานร้านเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 3 ราย และยังพบว่ามีการนำเอาบุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงานที่ร้านโดยผิดกฎหมายอีกจำนวน 15 ราย จึงได้จับกุมเจ้าของร้านและผู้ดูแลร้านจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย
1. น.ส.วรษา (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี (เจ้าของร้าน)
2. นายเกริก (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี (ผู้ดูแลพนักงาน)
3. นายธวัชชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี (ผู้ดูแลพนักงาน)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top