Monday, 19 May 2025
ก้าวไกล

‘เจ๊จุก’ ลั่น!! โชคดีของประเทศไทย หลัง ‘ตัวตึง 3 นิ้ว’ ตกรอบเลือก สว.

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.67) มีผู้สมัคร สว. ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่การเลือกระดับประเทศ ทยอยเดินทางมาเพื่อเข้ารายงานตัวนั้น มีผู้สมัคร สว. ชายรายหนึ่ง เดินเข้ามาถึงจุดที่มีสื่อมวลชนรอเก็บภาพ ได้ชูมือขึ้นเหนือหัว แสดงสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ซึ่งกรณีดังกล่าว นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การชู 3 นิ้วโดยหลักแล้วไม่มีอะไรห้าม แต่เราไม่อยากให้ทำอะไรที่ทำให้เกิดคำถาม เราถ่ายรูปก็ชอบทำท่านั้น ท่านี้ อยู่แล้ว ซึ่งตนคิดว่า เป็นเรื่องปกติ

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ชายที่ชู 3 นิ้ว นั้น คือผู้สมัครหมายเลข 48 กลุ่มที่ 17 นายธัชพงศ์ แกดำ จากจังหวัดปทุมธานี

ล่าสุด ‘เจ๊จุก คลองสาม’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “ชัดขนาดนี้ ปั๊ดโธ่ คิดว่าคนจะแXก ส้ม ทั้งประเทศเหรอคะ”

ต่อมาได้โพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า…

“โชคดีของประเทศไทย ที่เราไม่ได้คนที่เคยชูนิ้วกลางใส่ สว. และโดนคดี 112 ไปเป็นผู้ทรงเกียรติในสภา ชาวบ้านเขาคงรู้กำพืดแหละคะ เขาถึงไม่เลือกมัน ซึ่งแม้กระทั่งส้มด้วยกันเองก็ยังยี้เลย”

ศาลยกฟ้อง 13 ผู้ปกครอง ปมค้าน 'ครูทิว' เอาหนังสือลวงโลกสอนเด็ก ชี้!! ไม่มีถ้อยคำดูหมิ่นแต่อย่างใด เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต

เมื่อวานนี้ (1 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ทุกคนคะ กรณีว่าที่ร้อยตรีธนวรรธน์ หรือ ครูทิว ครู 3 นิ้ว สมาชิกพรรคก้าวไกล ฟ้องปิดปากผู้ปกครองและประชาชน เนื่องจากได้ คอมเมนต์ไม่ต้องการให้ครูทิวนำหนังสือขุนศึกศักดินาพญาอินทรีเป็นแนวการสอนแก่นักเรียน”

“วันนี้ศาลอาญาพระโขนงตัดสินยกฟ้อง 13 รายรวด เนื่องจากไม่มีถ้อยคำดูหมิ่นครูทิวแต่อย่างใด และเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต”

“ถือเป็นชัยชนะของประชาชนที่โดนครูสามนิ้วทำนิติสงคราม ใช้กฎหมายฟ้องปิดปากประชาชนอย่างแท้ทรู”

ทั้งนี้เพจเฟซบุ๊ก วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า…

“ที่ฮาคือ อีกคดีจะเอาเด็กนักศึกษาปี 1 มาเป็นพยานว่าทั้ง 13 คอมเม้นคนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจว่าด่าทิว ศาลบอกเอามาทำไม เป็นผู้เชี่ยวชาญเหรอ แล้วศาลก็บอกเด็กว่าไปอ่านเรื่องพยานมานะ ก่อนจะมาขึ้นศาลว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร จริง ๆ คาดว่า ศาลหลอกด่าทนายมันแหละ ศาลบอกไม่ต้องให้ปากคำเสียเวลา 5555”

ต่อมามีบรรดาชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนให้ผู้ปกครองฟ้องกลับ ขณะที่บางส่วนเห็นว่าเป็นการใช้นิติสงครามเสียเอง เป็นห่วงอนาคตของเด็กที่มีครูแบบนี้

สำหรับ หนังสือขุนศึกศักดินาพญาอินทรี เขียนโดยนายณัฐพล ใจจริง อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ซึ่งเนื้อหายกมาจากวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นายณัฐพลเขียนในเรื่อง ‘การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)’ แต่ต่อมาถูก ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการตรวจสอบ และพบว่าเนื้อหาในหลายประเด็นมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์และผู้เกี่ยวข้องกับการเมืองไทยในอดีตเสียหาย จนได้รับฉายาว่าวิทยานิพนธ์ลวงโลก แต่ครูทิว หรือ นายธนวรรธน์ สุวรรณปาล ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา โรงเรียนราชดำริ กลับจะนำไปสอนเด็กนักเรียน

'ลุงสุทิน' ซัด!! 'ก้าวไกล' หลังบินดูงานรับผู้ลี้ภัยที่โปแลนด์  ลั่น!! ดูงานครั้งนี้ผลาญภาษี เพราะบริบทสงครามต่างกัน

(4 ก.ค.67) จากกรณี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร นำคณะกมธ.เดินทางไปดูงานแนวทางการรับมือผู้ลี้ภัยที่ประเทศโปแลนด์

นายสุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Sutin Wannabovorn’ ระบุว่า…

“ก้าวไกลคงอยากให้ไทยเหมือนโปแลนด์ที่ต้องรับผู้อพยพจากยูเครนหลายล้านคน นอกจากนั้นยังเป็นด่านหน้านาโตที่ส่งอาวุธมาพักไว้ก่อนส่งต่อให้เซเลนสกี แต่หากวางกระป๋องกาวลง แล้วจะพบว่าบริบทสงครามในยูเครนกับพม่าต่างกันเหมือนหน้ามือกับหลังตีน”

“รัฐบาลทหารพม่ายังควบคุมสถานการณ์ได้กว่า 90% ของประเทศ ที่ตะวันตกปั่นกระแสการสู้รบในพม่านั้น ล้วนแต่รบกันในพื้นที่ที่กองกำลังชาติพันธุ์รบกันเองภายในมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ควบคุมรัฐบาลแต่อย่างใด ข่าวสู้รบในพม่าล้วนเป็นการปั่นกระแสของตะวันตกที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านทั้งด้านปัจจัยและยุทธวิธี”

พร้อมติดแฮชแท็กว่า ‘#จึงบอกพวกมึงว่าไปดูงานโปแลนด์เป็นการผลาญภาษีกู’

‘โรม’ ขอบคุณ ‘กองทัพบก’ ประสานช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คน หลังถูกแก๊งสแกมเมอร์ลวงทำงานผิดกม. ในเมียวดี ประเทศเมียนมา

(5 ก.ค. 67) รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คนที่ถูกแก๊งสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา หลอกลวงและควบคุมตัวไว้ใช้แรงงาน โดยได้รับการปล่อยตัวออกมาอย่างปลอดภัยแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

รังสิมันต์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับการประสานจากสถานทูตโมร็อกโกประจำประเทศไทย ขอให้ช่วยเหลือชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกลวงไปทำงานสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ทราบจำนวนคร่าว ๆ ว่ามีประมาณ 21 คน โดยหลังจากได้ทราบชื่อและเลขพาสปอร์ตของทุกคนแล้ว ตนจึงประสานไปยังกองทัพบกไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ

หลังจากนั้น กองทัพบกได้พูดคุยกับเหยื่อ และพยายามเจรจากับกองกำลังติดอาวุธที่ควบคุมพื้นที่ที่แหล่งสแกมเมอร์แห่งนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอให้กองกำลังดังกล่าวเจรจากับกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ให้ปล่อยตัวเหยื่อชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกไป จนสุดท้ายสามารถช่วยเหลือออกมาได้ในช่วงเช้าวันนี้จำนวน 12 คน โดยมีบางคนจ่ายเงินให้กับหัวหน้าแก๊งสแกมเมอร์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนที่เหลือตัดสินใจอยู่ทำงานต่อ

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่ชาวโมร็อกโกเท่านั้น แต่ยังมีคนไทยและคนต่างชาติอีกจำนวนมากที่ถูกหลอกลวงให้เข้าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ในเมืองต่าง ๆ ของเมียนมาที่อยู่ติดกับชายแดนไทย จึงยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนของปัญหานี้ และจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องมองปัญหานี้เป็นวาระระดับชาติได้แล้ว โดยต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องประชาชนจากการถูกหลอกไปทำงาน ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกขโมยทรัพย์สินจากการที่แก๊งสแกมเมอร์โทรศัพท์เข้ามาหลอกลวงคนในประเทศ

“ไม่ใช่แค่ชาวไทย ไม่ใช่แค่ชาวโมร็อกโก แต่มีคนทั่วโลกที่ถูกหลอกไปอยู่ตรงนั้น และมันไม่ใช่แค่การค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีการหลอกลวงเอาทรัพย์สินของคนไทย มีกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอีกมากมายอยู่ในบริเวณนั้น ผมคิดว่าประเทศไทยควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นวาระหลักระดับชาติ” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ตนต้องขอขอบคุณกองทัพบกไทยเป็นอย่างยิ่ง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพบก เราคงไม่สามารถช่วยเหลือชาวโมร็อกโกได้ การที่กองทัพบกได้เพียรพยายามและใช้เวลาในการเจรจาแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก จึงขอขอบคุณบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือครั้งนี้จากใจจริง

'ก้าวไกล' เสนอแก้ ป.แพ่งและพาณิชย์ ห้ามผู้ปกครอง 'เฆี่ยนตีเด็ก' ยกผลวิจัยชี้การลงโทษรุนแรง 'เสียพัฒนาการเด็ก-สร้างปัญหาสังคม'

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) เกี่ยวกับการลงโทษเด็ก โดยแก้ไขจากการบัญญัติว่า “ผู้ใช้อำนาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน” เป็น “ผู้ใช้อํานาจปกครองมีสิทธิทําโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นการกระทําทารุณกรรม หรือทําร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือทําโทษอื่นใดอันเป็นการด้อยค่า”

โดย ภัสริน รามวงศ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 7 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้อภิปรายเสนอหลักการและเหตุผล ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2519 เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีอยู่ และในกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review) รอบที่ 2 (พ.ศ. 2559-2563) ประเทศไทยก็ได้ตอบรับให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับแก้กฎหมายและควบคุมบทลงโทษด้วยความรุนแรงต่อบุตร แต่การแก้ไขก็ไม่เคยเป็นรูปธรรมเสียที

ภัสริน กล่าวว่า คำว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” หรือคำว่า “ไม้เรียวสร้างคน” ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยอีกต่อไปแล้ว ความรักของผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องแสดงออกผ่านความรุนแรง และมีข้อพิสูจน์มากมายว่าการตีเด็กไม่ได้ทำให้เด็กได้ดี อีกทั้งยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กไปจนจวบสิ้นชีวิตได้ 

ผลการศึกษาจากงานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันว่า การลงโทษเด็กด้วยการตีส่งผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการของเด็ก รวมถึงกระบวนการสร้างคลื่นบริเวณเยื่อหุ้มสมองที่เป็นสัญญาณของการถูกคุกคามและหวาดกลัว การทำโทษบ่อยครั้งยังส่งผลต่อพัฒนาการของระบบประสาทในวัยรุ่น ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า งานวิจัยทั้งหมดแสดงให้เห็นตรงกันว่าการเฆี่ยนตีและทำร้ายเด็กไม่สามารถทำให้เด็กมีพัฒนาการได้อย่างสมควร และเด็กที่ถูกเลี้ยงมาในสภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรงในครอบครัว มักจบลงด้วยการแสดงออกที่ก้าวร้าวเสมอ

การลงโทษเด็กจนเสียชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว โดยประเทศไทยยังคงมีช่องว่างเกี่ยวกับการลงโทษเด็ก ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุให้ผู้ปกครองมีสิทธิลงโทษบุตรได้ตามสมควร, พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 61 ที่ระบุให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควรเพื่อการอบรมสั่งสอน, กฎกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วยการลงโทษเด็ก พ.ศ.2548 ที่ระบุว่าหากจำเป็น ให้ผู้ปกครองลงโทษได้ตามสมควร

ภัสรินกล่าวต่อไปว่า จากรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ มีข้อกังวลหนึ่งที่คณะกรรมการสิทธิเด็กแสดงความกังวลต่อประเทศไทยมาโดยตลอด นั่นคือบทบัญญัติเรื่องการให้อำนาจผู้ปกครองตามมาตรา 1567 ประเทศสมาชิกหลายประเทศก็ให้ข้อเสนอแนะต่อประเทศไทยไม่ให้มีการลงโทษเด็กทุกรูปแบบและทุกสถานที่ ซึ่งรัฐบาลไทยก็ยอมรับมาโดยตลอดว่าต้องแก้ไขปัญหานี้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม

“เด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง พวกเขารอไม่ได้อีกแล้ว การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ไม่ได้ห้ามการลงโทษ แต่สังคมต้องปรับวิธีคิดในการอบรมสั่งสอนลูก เราต้องสร้างนิสัยเชิงบวกให้ลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง แต่อธิบายด้วยความรัก ความเข้าใจ และการอดทนอดกลั้น ขอให้มองว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นคือโอกาสที่พ่อ แม่ และลูกจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน” ภัสรินกล่าว

'เรเน่-ผู้ลี้ภัย' แฉผ่านสื่อ ปม 'ทนายไวท์-สส.ก้าวไกล' ขอให้ซื้อตั๋วเครื่องบินให้ เพื่อไปส่งหมายจับคดี 112 ด้านเจ้าตัวยังเงียบ ส่วนศูนย์ทนายสิทธิฯ ปัดเอี่ยว

(11 ก.ค.67) จากกรณีที่สำนักข่าว 'ประชาไท' ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ 'เรเน่' พุทธพงศ์ กลิ่นยี่โถ ผู้ลี้ภัยชาวไทย โดยได้มีการกล่าวถึง คุณากร มั่นนทีรัย หรือ 'ทนายไวท์' สส.ก้าวไกล นนทบุรี และอดีตทนายความอาสาของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เรียกค่าเดินทางจาก 'เรเน่' พุทธิพงศ์ กลิ่นยี่โถ ลูกความคดีมาตรา 112 อายุ 28 ปี เพื่อให้เขาเอาเอกสารทางคดีความไปให้เธอที่ต่างประเทศนั้น

ภายหลังจากที่บทความดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ด้านชาวเน็ตก็ตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นนี้อย่างหนาหู โดยเฉพาะกับทางเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง’ ก็ได้ตีเรื่องนี้ต่อผ่านเฟซบุ๊ก ว่า…

“#ทุกคนคะ อย่าให้เรื่องเงียบค่ะ”

“ประชาไทออกมาแฉว่า ทนายไวท์ สส.ก้าวไกล นนทบุรี เรียกขอตั๋วฟรีไปปารีสจากผู้ลี้ภัย”

“ด้าน ทนายไวท์เงียบกริบ มีแต่พี่เพชร รองโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาตอบไม่ตรงคำถาม”

“สังคมถามว่า สส.ก้าวไกล เรียกตั๋วฟรี จริงหรือไม่ ไม่ได้ถามเรื่องเอกสาร เหมือนถามเรื่องม้า ตอบเรื่องควาย ที่สำคัญ ทนายไวท์ ทำไมไม่ออกมาชี้แจงเองคะ”

ทั้งนี้ ในส่วนที่ ‘เพชร’ กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ได้ออกมาตอบคำถามถึงประเด็นดังกล่าวก่อนหน้านั้น ระบุว่า…

“เท่าที่คุยกับ ทนายไวท์ เป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ เพราะเอกสารทั้งหมดฝากไว้กับศูนย์ทนายสิทธิแล้ว และหลังจากคุณเรเน่ ไม่มาตามคำสั่งศาล ทนายไวส์ได้ติดต่อไปเพื่อขอถอนการเป็นทนายเพราะไม่สามารถตามคุณเรเน่มาให้ศาลได้ตามที่ศาลสั่ง และคุณเรเน่สามารถประสานงานตรงกับศูนย์ทนายสิทธิได้ ซึ่งเป็นผลดีกว่าติดต่อตรงกับทนายไวท์ครับ”

ขณะที่ล่าสุดฟาก 'ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน' ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นนี้ด้วย โดยระบุว่า…

กรณีเรเน่ พุทธพงศ์ กลิ่นยี่โถ ตามที่สำนักข่าวประชาไทได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ เรเน่ พุทธพงศ์ กลิ่นยี่โถ ชื่อ “ชีวิตที่ยังไร้สถานะของ ‘เรเน่’ หญิงข้ามเพศที่ต้องลี้ภัยแค่จากโพสต์ไวรัลของตัวเอง” เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 โดยมีประเด็นกล่าวถึงอดีตทนายความอาสาของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่ยอมส่งมอบเอกสารให้ลูกความ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขอชี้แจงกรณีดังกล่าวต่อไปนี้...

1. ในช่วงปี 2563-2565 มีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นจำนวนมาก เกิดการจับกุมผู้ชุมนุมและดำเนินคดีประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณคดีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และเพื่อพยายามให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายในช่วงเวลาดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เปิดรับสมัครทนายความอาสาเข้ามาร่วมงานในการให้ความช่วยเหลือทางคดีในชั้นจับกุม

2. ทนายความคุณากร มั่นนทีรัย (ทนายไวท์) เริ่มมาเป็นทนายความอาสาในช่วงดังกล่าว จากการมาช่วยรับทราบข้อหาในชั้นจับกุม เมื่อเห็นว่าทนายไวท์สามารถรับผิดชอบคดีได้ ศูนย์ทนายความฯ จึงมอบหมายคดีเรเน่ให้ทนายไวท์เป็นผู้รับผิดชอบคดี โดยศูนย์ทนายความฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและติดตามผลทางคดีเป็นระยะ ๆ

3. ต่อมาในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566 ศูนย์ทนายความฯ ได้รับทราบว่ามีปัญหาการขอเอกสารของผู้ลี้ภัยทางโซเชียลมีเดียของนักกิจกรรมท่านหนึ่ง ซึ่งทราบต่อมาว่าเป็นกรณีเรเน่ ศูนย์ทนายความฯ จึงติดต่อทนายไวท์ขอคำชี้แจง และให้ทนายไวท์ดำเนินการส่งมอบเอกสารสำนวนคดีของเรเน่คืนมายังศูนย์ทนายความฯ และทางศูนย์ทนายความฯ ได้จัดส่งเอกสารให้เรเน่ผ่านช่องทางออนไลน์โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย

4. พร้อมกันนี้ ศูนย์ทนายฯ ตรวจสอบด้วยว่าในคดีอื่น ๆ พบพฤติการณ์ดังกล่าวอีกหรือไม่ อย่างไรก็ตามศูนย์ทนายความฯ ไม่ได้มอบหมายคดีอื่นๆ ให้กับทนายไวท์อีกต่อไป และเรียกคืนสำนวนคดีทั้งหมดจากทนายไวท์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566  เป็นต้นมา

5. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ขออภัยต่อคุณเรเน่ พุทธิพงศ์ ที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขอยืนยันว่า ศูนย์ทนายความฯ ให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายกับประชาชนที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การส่งเอกสารในคดีต่าง ๆ เป็นสิทธิของลูกความ ศูนย์ทนายความฯ ไม่มีนโยบายในการเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ จากลูกความทั้งสิ้น

6. หากพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมของทนายความอาสา ทนายความประจำ เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความ หรือ ผู้ช่วยทนายความ สามารถร้องเรียนได้โดยตรงที่เบอร์โทร 092-2713172 หรือ 096-7893173 หรือทางเพจศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ทนายไวท์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยังไม่มีการออกมาชี้แจงถึงประเด็นที่เกิดขึ้น

***ต้นตอประเด็น: ชีวิตที่ยังไร้สถานะของ ‘เรเน่’ หญิงข้ามเพศที่ต้องลี้ภัยแค่จากโพสต์ไวรัลของตัวเอง >> https://prachatai.com/journal/2024/07/109864

สัญญาณชัด!! ชี้ชะตา 7 สิงหา 'พิธา-ชัยธวัช-หมออ๋อง' ต้องลาโรง

มาตรา 92 เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น

(1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

(2) กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ยกมาตรา 92 วรรคแรก (1) และ (2) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาให้อ่านกัน เพราะนี่คือมาตราที่เป็นหัวใจหลักที่คณะกรรมการ (การเลือกตั้ง) มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า...ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อ 12 มี.ค. 2567 ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล...

อันเป็นกรณีต่อเนื่องจากคดีล้มล้างฯ ที่ศาลรธน.วินิจฉัยให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลหยุดการกระทำอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายฯ...ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รธน.มาตรา 49...

ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้ขอขยายเวลาแบบเต็มแม็ก และแถลงข่าวชุดใหญ่ไฟกะพริบมาแล้วสองสามรอบ ต่อมายิ่งฮึกเหิมเหมือนได้โด๊ปยาดี เมื่อ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามธ., ที่ปรึกษากฎหมายกกต. และอดีตอธิการบดีมธ. ยอมเป็นพยานปากเอก เขียนเอกสาร 20 กว่าหน้าให้...

โดยนอกเหนือจากคัดค้านการยุบพรรคการเมืองโดยอ้างหลักสากลแล้ว ดร.สุรพล ยังช่วยบดขยี้ประเด็นที่ว่ากกต.ผิดพลาดในกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริง และแยกขาดการดำเนินการมาตรา 92 และ 93 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมืองออกจากกัน...

วันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา 'เดอะต๋อม' ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคฮึกห้าว แถลงก่อนศาลรธน.ประชุมหนึ่งวัน เป้าหมายเพื่อให้ศาลรธน.รับหลักการเปิด การไต่สวนพยานปากสำคัญ (ดร.สุรพล)...

แต่เหมือนกับสายฟ้าฟาด...วันที่ 17 ก.ค. ศาลรธน.ประชุมพิจารณาตามปกติในวันพุธ แต่มีมติยุติการไต่สวน เพราะหลักฐานเพียงพอแล้ว หากคู่กรณีประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือภายในวันที่ 24 ก.ค. โดยศาลจะประชุมหารือและลงมติวินิจฉัยในวันพุธที่ 7 ส.ค.

ดูเหมือนว่าสัญญาณวันที่ 17 ก.ค. จากศาลรธน.พอจะเห็นเค้าลางชัดเจนแล้วว่า...ก้าวไกลกำลังใกล้เกม...ความพยายามที่จะพลิกเกมโดยขอไต่สวนพยานบุคคลและให้เรียกเอกสารเพิ่มเติมเพื่อขยี้ประเด็นกกต.ไม่ได้ทำตามขั้นตอนกฎหมาย...หวังจะให้กกต.แพ้ฟาวล์...ปิดฉากลงเกือบสนิท

มองไปข้างหน้ากรณีหากยุบพรรค สส.ทุกชีวิตไปหาพรรคใหม่สังกัดได้ใน 30 วัน แต่กรณีกรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์ 10 ปี ตามมาตรา 94 วรรคสองนั้น...คนที่จะจบข่าวจบชีวิตชั่วคราวไปด้วยคือ 3 กรรมการบริหารพรรคคนดังชุดก่อนคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน และท่านรองหมูกระทะ...ปดิพัทธ์ สันติภาดา...รวมทั้งเบญจา แสงจันทร์ และสุเทพ อู๋อ้น   

พร้อม ๆ กันนั้น การเมืองหลายประเด็นก็คงจะพลิกเปลี่ยนกันไม่น้อย...เอวัง!!

‘ชัยธวัช’ ลั่น!! อย่าเพิ่งด่วนสรุป ‘ยุบก้าวไกล’ เหตุยิ่งสู้ยิ่งมั่นใจขึ้น ย้ำ!! ถ้ายุบจริง ตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น

(17 ก.ค. 67) ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้ากรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ โดยไม่มีการไต่สวน ว่า คดีนี้เหลือประเด็นที่ต้องพิจารณาเป็นปัญหาทางข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ศาลมีความเห็นให้ผนวกเอาคำร้องคู่กรณีอยู่ในสำนวนด้วย

ซึ่งน่าจะหมายถึงคำร้องของพยาน คือ นายสุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงคำร้องที่พรรคได้ยื่นเป็นข้อโต้แย้งทั้งที่เป็นพยานหลักฐานของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญด้วย แต่อย่างน้อยแม้ไม่มีการไต่สวน แต่เรามีพยานเพิ่มเติม และมีการสรุปข้อเท็จจริงเข้าไปด้วย

นายชัยธวัช กล่าวว่า เราเสียดายที่ไม่มีการไต่สวน ซึ่งในมุมมองเราเห็นว่าข้อเท็จจริงยังมีอยู่ควรไต่สวนให้ถึงที่สุดก่อน ส่วนข้อกฎหมายเรามั่นใจในข้อกฎหมายที่เราสู้ไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นกระบวนการยื่นคำร้องของกกต. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราอาศัยเอกสารหลักฐานของ กกต.เอง เพื่อมาเพิ่มน้ำหนักว่ากระบวนการยื่นคำร้องยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร

ส่วนข้อกฎหมายอื่น ๆ เราก็มั่นใจว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่ใช่การล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้พรรคก้าวไกลเตรียมทำคำแถลงปิดคดีภายในวันที่ 24 ก.ค.นี้ โดยจะส่งเป็นเอกสารเนื่องจากไม่มีการไต่สวนหน้าบัลลังก์

เมื่อถามว่า วันที่ 7 ส.ค. พรรคก้าวไกลจะเดินทาง ไปที่ศาลหรือส่งทนายไป นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันว่าจะทำอย่างไร เพราะวันที่ 7 ส.ค. ตรงกับวันพุธซึ่งเป็นวันประชุมสภาฯ

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า หากมีการเปิดไต่สวนจะทำให้เรามีโอกาสต่อสู้ทั้งข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ให้ได้สัดส่วนของข้อกล่าวหา และโทษในคดีนี้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ได้รวบรวมคำร้องเพิ่มเติม ก็น่าจะเพิ่มน้ำหนักในการต่อสู้ของเราได้ จึงยังไม่กังวลอะไร และเรายังมั่นใจการต่อสู้ทางข้อกฎหมายอยู่

เมื่อถามว่า การที่ศาลไม่เปิดไต่สวนมองว่าเป็นการเร่งรัดหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า อยู่ที่ดุลพินิจของศาล เราก้าวล่วงไม่ได้ เพียงแต่เสียดายโอกาส เรามองในแง่ดีของทุกฝ่ายด้วยว่าหากเปิดไต่สวนเพื่อให้คู่กรณีได้มีการต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ก็จะเป็นผลดีต่อการยอมรับคำวินิจฉัยด้วย

เมื่อถามว่า มีการเตรียมพร้อมที่จะรับผลหากออกมาทางลบหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ยังไม่เตรียมอะไร ต้องหารือในพรรคก่อนว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันฟังคำวินิจฉัยจะทำอย่างไร แต่ไม่มีใครหวั่นไหว เพราะระยะเวลานานแล้ว คดีนี้ใช้เวลาหลายเดือนแล้ว ทุกคนนิ่งหมดแล้ว จึงไม่ได้เตรียมใจยอมรับอะไร ยังเตรียมมาทำงานในวันที่ 8 ส.ค.อยู่

“ขณะนี้ทุกอย่างภายในพรรคนิ่ง แม้ว่าศาลจะวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมาย และยิ่งใครได้เห็นเอกสารหลักฐานที่ทางพรรคได้ทำไปเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ก็จะยิ่งมั่นใจ อย่าเพิ่งสรุปว่าจะเป็นอย่างไร เพราะยิ่งสู้คดีเรายิ่งมั่นใจมากขึ้น” นายชัยธวัชกล่าว

เมื่อถามว่า มีการเตรียมตั้งพรรคใหม่เอาไว้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะคุยกันเรื่องนี้ ขอรอคำวินิจฉัยของศาลก่อน ตอนนี้ยังมีโอกาสอยู่ ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งมีโอกาส และถ้ายุบจริงเราตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เราเตรียมทำงานอย่างเดียว

‘พิธา’ ลงพื้นที่ ‘ชุมชนบุญร่มไทร’ รับฟังปัญหาเช่าที่การรถไฟ ชี้!! ควรให้ระยะผ่อนนานกว่านี้ เปรียบต่างชาติยังได้สิทธิ 99 ปี

(26 ก.ค. 67) ที่ชุมชนบุญร่มไทร กทม. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส.พรรคก้าวไกล อาทิ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร, นางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ และ นายเอกกวิน โชคประสบรวย สก.เขตราชเทวี พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ชุมชนบุญร่มไทร เขตราชเทวี ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ เพื่อรับฟังปัญหา

โดยนายพิธา ระบุว่า ต้องการผลักดันการแก้ปัญหาการเช่าที่ดินกับรัฐ มองว่าควรจะได้เช่าระยะยาว เพราะขนาดคนต่างชาติยังได้เช่า 99 ปี และ กทม.นั้นทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ ระหว่างท้องถิ่น สามารถทำงานร่วมกับ สส.ในการผลักดันปัญหาในระดับชาติได้

"ผมเสียดายที่ไม่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่มีรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจบริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่เช่นนั้นก็พอจะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้"

นายพิธา กล่าวต่อว่า การให้เช่าที่การรถไฟโดยผ่อน 3,000 บาทต่อปี ถือว่าสั้นเกินไป เมื่อเทียบกับต่างชาติอยู่ได้ 99 ปี ขณะที่ชนชั้นกลางทั่วไป สามารถผ่อนบ้านที่อยู่อาศัยได้ 30 ปี จนถึงเกษียณ แต่ตรงกันข้ามคนที่ถูกไล่ที่ ควรที่จะให้ระยะเวลาผ่อนยาว และยืดหยุ่นให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ซึ่งก็เข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้านถ้าให้ไปอยู่ตึกสูงของการทำมาหากิน การค้าขายเป็นปัญหา

ด้านตัวแทนชุมชน ระบุว่า ชุมชนนี้ได้รับการแก้ปัญหา เพราะขณะนี้สามารถเช่าที่การรถไฟบริเวณริมบึงมักกะสันได้ทั้งหมดกว่า 7 ไร่แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้างและขอใบอนุญาตเข้าพื้นที่ โดยจัดตั้งสหกรณ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเป็นความสำเร็จจากการผลักดันของเครือข่ายชุมชนคนจนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ และพีมูฟที่ช่วยผลักดันเรื่องนี้

‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ตนทำงานแบบไม่เคยเกรงใจใคร

ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 67 ในการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ต้องลุกขึ้นมาแจงข้อเท็จจริง หลังถูกพรรคฝ่ายค้านโดยนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายพาดพิงงบประมาณ ปี 2567 ด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง

โดย สส.ก้าวไกล รายนี้ พาดพิงเรื่องที่รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนว่า ทำให้เกิดเป็นปัญหาการเงินให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จนประสบปัญหาทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ สส.ก้าวไกล ยกมาตั้งข้อสงสัยรัฐบาลในวันนั้น ก็ถูกตอกกลับด้วยข้อมูลจริงจากทาง รมว.พลังงาน เนื่องจาก สส.ก้าวไกล คนดังกล่าว เลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียง 'ข้อมูลคาดการณ์' ซึ่งทำไว้ล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ตุลาคม 2566 มาพูด โดยมิได้นำ 'ข้อมูลจริง' ที่ 'เกิดขึ้นจริง' ณ เวลาดังกล่าว มานำเสนอกับประชาชนและสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้

โดยเรื่องนี้ หากใครฟังแล้ว ก็จะรู้สึกตกใจว่ารัฐบาลไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม? และประชาชนทางบ้าน รวมถึงสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง ก็จะยิ่งตกใจตามไปด้วย ขณะที่ นายพีระพันธุ์ เองก็ยอมรับว่า ตกใจ แต่ไม่ใช่การตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ สส.ก้าวไกลคนดังกล่าวพูด แต่เป็นความตกใจที่ ทำไมกล้านำ 'ข้อมูลคาดการณ์' ไม่นำข้อมูลจริง ๆ มาพูดต่อหน้าสาธารณชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top