Wednesday, 9 July 2025
ค้นหา พบ 49314 ที่เกี่ยวข้อง

จับตา!! สแกมเมอร์กัมพูชาปักหมุดเมืองใหม่ ตึกผุดรับฐานใหญ่ตรงข้ามจุดผ่านแดน ‘ช่องจอม’

(9 ก.ค. 68) ปราชญ์ สามสี โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า..หลังจากกัมพูชาถูกเปิดโปงจากนานาชาติว่ากลายเป็นศูนย์กลางของขบวนการสแกมเมอร์ ค้ามนุษย์ และหลอกลวงออนไลน์ ล่าสุดพบการเคลื่อนไหวใหม่ บริเวณชายแดนตรงข้ามจุดผ่านแดนช่องจอม จังหวัดสุรินทร์

ย้ายฐานหนีปราบปราม – สร้างเมืองใหม่รองรับแก๊งโกง
มีรายงานจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงว่า บริเวณฝั่งด่านโอร์เสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ซึ่งตรงข้ามกับด่านช่องจอมของไทย กำลังมีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่หลายหลัง ทั้งที่พักและสำนักงาน โดยก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% รอบพื้นที่มีการล้อมรั้วเหล็กสูง และลวดหนามหีบเพลงแน่นหนา

อาคารเหล่านี้เชื่อว่าใช้รองรับการย้ายฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ จากเมืองปอยเปตและพื้นที่ 'ชเวโก๊กโก่' ในเมียนมา ที่ถูกปราบปรามอย่างหนัก โดยมีนายทุนจีนอยู่เบื้องหลังและควบคุมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด

ตำรวจไซเบอร์ไทยเดินหน้า – ลุยกวาดล้างเครือข่าย 'ก๊ก อาน'
เช้าวันเดียวกัน กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ 'ตำรวจไซเบอร์' ของไทย ได้บุกค้นเครือข่ายของ นายก๊ก อาน ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดของสมเด็จฮุน เซน และมีบทบาทสำคัญในการเปิดบัญชีม้าสนับสนุนขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในเมืองปอยเปต ส่งผลให้มีการออกหมายจับตามมาทันที

ขนของเข้าพื้นที่ – เตรียมโครงสร้างพื้นฐานเต็มรูปแบบ
แม้บริเวณชายแดนฝั่งตรงข้ามด่านช่องจอมจะค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากมีมาตรการควบคุมผู้เดินทางเข้า-ออก โดยเฉพาะนักพนัน แต่ยังคงมีการขนส่งวัสดุก่อสร้างเข้าไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่น เช่น โรงไฟฟ้า และปั๊มน้ำมัน ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมระยะยาวในการตั้งถิ่นฐานของเครือข่ายผิดกฎหมาย

หมายเหตุ: พื้นที่บริเวณด่านโอร์เสม็ด-ช่องจอม นับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะอยู่ใกล้เมืองสุรินทร์ของไทย และเป็นจุดที่นักลงทุนเถื่อนจากปอยเปตสามารถย้ายข้ามมาได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเครือข่ายถูกกวาดล้างจากทางการไทยหรือเมียนมา

‘ธีระชัย’ ฟันธง 2 แคนดิเดตชิงผู้ว่าแบงก์ชาติยังไม่เหมาะ ชี้ ‘วิทัย’ ไร้ประสบการณ์ศก. มหภาค –‘ดร.รุ่ง’ ติดกรอบ ธปท.

(9 ก.ค. 68) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กถึง แคนดิเดตชิงผู้ว่าแบงก์ชาติ ว่า มีสื่อต่างประเทศถามความเห็นผมเกี่ยวกับ 2 คนสุดท้ายที่เข้าชิงตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ คือ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส ปัจจุบันรองผู้ว่าการ ธปท. กับนายวิทัย รัตนากร ปัจจุบันผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ผมให้ความเห็นไปแต่ปรากฏว่าไม่นำไปเผยแพร่ ผมจึงเห็นสมควรเผยแพร่ในที่นี้

ผมชื่นชมผลงานของทั้งสองคน แต่กังวลว่าทั้งสองคนยังน่าจะยังไม่มีความเหมาะสมในบริบทของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะพาให้เศรษฐกิจไทยเผชิญความยากลำบากมากขึ้น

นายวิทัยจบการศึกษาภายในประเทศ และปริญญาโทจาก Drexel University ซึ่ง Wall Street Journal จัดคุณภาพเป็นอันดับ 54 ของมหาวิทยาลัยสหรัฐ ส่วน Forbes จัดเป็นอันดับ 146

นายวิทัยมีประสบการณ์สูงในการบริหารสถาบันการเงินภาครัฐ และได้ผ่านการประสานงานกับรัฐมนตรีคลังและภาคการเมืองมามากมาย 

แต่ขาดประสบการณ์ด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการมองภาพรวมของประเทศ นอกจากนี้ ยังอาจก่อให้เกิดความกังวลต่อนักวิเคราะห์สากลในแง่ขาดความเป็นอิสระจากอิทธิพลการเมืองได้ด้วย

ดร.รุ่งจบการศึกษาจาก Harvard และ MIT ซึ่งทั้งสองแห่งคุณภาพอยู่ระดับ Top ten ของสหรัฐ จึงมีความเด่นในด้านความรู้ที่จะแสดงในทุกเวทีโลก 

ดร.รุ่งมีประสบการณ์สูงในการทำงานที่ ธปท. ด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการมองภาพรวมของประเทศ แต่ก็คงจะเดินหน้าตามแนวทางที่ ธปท. กระทำมาตลอด 

ซึ่งผมเกรงว่าอาจจะไม่ทำให้ประเทศได้ประโยชน์สูงสุดในโจทย์ยากที่รออยู่ข้างหน้า
ผมมีความเห็นว่า ธปท. ดำเนินนโยบายสถาบันการเงินที่มีการแข่งขันน้อยเกินไป เป็นเทรดิชันมานาน 
ทำให้ขาดแรงกดดันการกระจายสินเชื่อลงไปสู่ SME และขาดแรงกดดันที่จะบีบส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับกับดอกเบี้ยจ่ายให้แคบลง

ในด้านการดำเนินนโยบายการเงิน ผมก็เห็นว่า ธปท. ทำนโยบายตึงเกินไปอันเป็นการตีกรอบแคบให้เศรษฐกิจไทย 
ปัญหาคือ ถึงแม้ ธปท. ยึดหลักนโยบายการเงินที่กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่ใช้เครื่องมือบริหารโปร่งใสเพื่อให้เข้าเป้าหมายดังกล่าวเพียงเครื่องมือเดียวคืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยมิได้ถูกบังคับให้ต้องแถลงเป้าหมายปริมาณเงินที่สมควรเพิ่มในแต่ละปี 

รวมทั้งมีการบริหารค่าเงินบาทที่แข็งเกินคู่แข่งในหลายภูมิภาค
ผมอ้างอิงข้อมูลของ ส.สตีฟ แฮงคี้ ซึ่งสอนอยู่ที่ ม.จอห์น ฮอบกิ้นส์ ในสหรัฐ ซึ่งคำนวณว่า ธปท. เพิ่มปริมาณเงินในอัตราต่ำเพียง 2.86% ต่อปีเท่านั้น จึงทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำไป และอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริง จึงขยับขึ้นแทบไม่ถึงกรอบขั้นต่ำ คือ 1% ต่อปี 

ทั้งนี้ กรณี ธปท. ต้องการจะให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากระดับต่ำมากในปัจจุบัน ให้ขึ้นไปจนถึง 1% ต่อปี นั้น ธปท. จะต้องเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบให้สูงกว่า 2.86% ต่อปีอีกมาก โดยคำนวณว่า จะต้องเพิ่มปริมาณเงินมากถึง 5.44% ต่อปี

ส่วนกรณี ธปท. ต้องการดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปแตะเพดานด้านสูงในกรอบ คือ 3% ต่อปี ธปท. จะต้องเพิ่มปริมาณเงินมากถึง 7.44% ต่อปี 

เป็นอันว่า อัตราเพิ่มปริมาณเงินของ ธปท. ที่ 2.86% ต่อปี นั้น ต่ำเกินไปอย่างหายห่วง
การอัดฉีดเงินเข้าระบบต่ำเช่นนี้ ถือได้ว่าช่วยให้ ธปท. ทำงานง่าย เมื่อกดอัตราเงินเฟ้อเอาไว้ต่ำ ก็คือระบบการเงินมีเสถียรภาพสูง 

แต่เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ประชาชนย่อมได้ประโยชน์จากการทำงานของ ธปท. ไม่เต็มที่
ในด้านนโยบายสถาบันการเงิน ผมเคยเรียกร้องหลายครั้งทั้งต่อกระทรวงการคลัง และ ธปท. ให้กระตุ้นให้ระบบแบงค์แข่งขันกันมากขึ้น เพื่อกดดันให้แบงค์ต้องหันไปสนใจลูกค้ารายย่อย SME 
แต่มีการดำเนินการเรื่องนี้น้อยมาก

ในด้านนโยบายการเงิน ล่าสุด ผมมีคำแนะนำ ให้ รมว.คลัง กำหนดให้ ธปท. ใช้อัตราเพิ่มประมาณเงินเป็นเครื่องมือเสริมในการบริหารนโยบายการเงิน คือใช้ควบคู่ไปกับดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง 

โดยให้ ธปท. กำหนดอัตราเพิ่มปริมาณเงิน ซึ่งจะมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปถึงระดับกึ่งกลางของกรอบ 1-3 % ต่อปี เสนอต่อ รมว.คลัง แจ้งต่อ ครม. เพื่อรับทราบ 

และกำหนดให้ ธปท. ต้องรายงานอัตราเพิ่มปริมาณเงินที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน เปรียบเทียบกับเป้าหมายดังกล่าว รวมทั้งเปิดเผยตัวเลขต่อสาธารณะ

ด้วยวิธีนี้ อัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนเข้าสู่ระดับกึ่งกลางของกรอบ 1-3 % ต่อปี ได้อย่างชัดเจน ปริมาณเงินจะมีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจ 

และเนื่องจากการเพิ่มปริมาณเงินเป็นสิ่งที่ ธปท. สามารถควบคุมได้ 100% จึงจะเป็นวิธีการประสานงานระหว่าง ธปท. กับกระทรวงการคลังที่จะเกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง 

แทนที่จะเป็นดังเช่นปัจจุบัน ที่ ธปท. รายงานต่อ รมว.คลัง เพียงว่าอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ขึ้นไปถึงระดับต่ำสุด 1% ต่อปี โดย ธปท. ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนแปลงการบริหารค่าเงินบาท จากปัจจุบันที่ ธปท. เป็นผู้ดูแลแต่เพียงองค์กรเดียว ให้เปลี่ยนเป็น ธปท. พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง 

อันเป็นแนวทางที่ดำเนินการอยู่ในหลายประเทศ 
เพราะสำหรับ ธปท. นั้น การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น จะทำงานได้ง่าย เพราะจะมีผลดีในแง่กดให้อัตราเงินเฟ้อต่ำลง เสถียรภาพดีขึ้น 

แต่ในเวลาเดียวกัน จะไม่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสภาวะปัญหาสงครามเศรษฐกิจการค้าที่กำลังเกิดขึ้น

ผมย้ำอีกครั้งว่า แคนดิเดททั้งสองคนเป็นบุคลากรคุณภาพคับแก้วชั้นนำของประเทศ แต่ยังมีข้อกังวลว่า จะไม่ตอบโจทย์ยากที่รออยู่ข้างหน้า

โจทย์ข้างหน้า ธปท. จะต้องไม่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาประจำวัน แต่จะต้องลงไปคลุกฝุ่น จะต้องช่วยกันปลุกปล้ำ เอาประเทศชาติให้รอด 

ถึงแม้จะทำให้ผู้ว่าฯ ขาดโอกาสได้รางวัลใหญ่โต ด้านรักษาเสถียรภาพการเงิน แต่ประชาชนที่ปากท้องอิ่มขึ้น จะสรรเสริญ

เยอรมนีโวยจีนเล็งเลเซอร์ใส่เครื่องบิน ระหว่างภารกิจลาดตระเวนในทะเลแดง

(9 ก.ค. 68) รัฐบาลเยอรมนีเรียกตัวเอกอัครราชทูตจีนเข้าพบ หลังกล่าวหากองทัพเรือจีนใช้เลเซอร์เล็งเป้าไปยังเครื่องบินเยอรมนี ที่ร่วมภารกิจของสหภาพยุโรป (EU) ในทะเลแดง โดยกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีระบุผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าการกระทำดังกล่าว “ไม่อาจยอมรับได้” เพราะเป็นการเสี่ยงต่อชีวิตเจ้าหน้าที่และขัดขวางภารกิจ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ขณะเครื่องบินของเยอรมนีกำลังบินลาดตระเวนตามภารกิจปกติในทะเลแดง โดยภารกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ ASPIDES ของสหภาพยุโรป ที่มีหน้าที่คุ้มกันเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ ซึ่งเครื่องบินที่ถูกรบกวนเป็นเครื่องบินสำรวจแบบพิเศษ เรียกว่า MSP ให้บริการโดยบริษัทเอกชน แต่มีทหารเยอรมันร่วมปฏิบัติการอยู่บนเครื่องด้วย

โฆษกกระทรวงกลาโหมเยอรมนีเผยว่า เรือรบจีนที่พบในพื้นที่หลายครั้งก่อนหน้านี้ได้ยิงเลเซอร์ใส่เครื่องบินดังกล่าวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้ต้องยุติภารกิจกลางทางและนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่ฐานในจิบูตี แม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ถือเป็นพฤติกรรมที่อันตราย

จนถึงขณะนี้ ทางการจีนยังไม่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้านเยอรมนีได้กลับมาใช้เครื่องบินสำรวจ MSP ปฏิบัติภารกิจตามปกติอีกครั้ง และย้ำว่าข้อมูลที่ได้จากระบบนี้มีความสำคัญต่อการช่วยเหลือพันธมิตรในการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ เหตุการณ์ลักษณะนี้ถือว่าไม่ค่อยเกิดขึ้นระหว่างประเทศในยุโรปกับจีน

‘อิ๊งค์’ โต้กลับ ‘อนุทิน’ ใส่สีปม ‘สีจิ้นผิง’ ท้วงไทย ทำกาสิโนทำนักท่องเที่ยวจีนลด 90% ย้อนพ้น มท.1 ไม่นานทำลืมสาเหตุ

(9 ก.ค. 68) เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 9 ก.ค.ที่รัฐสภา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน แสดงท่าทีต่อนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาล และเตือนไทย 3 ครั้ง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ว่า ในระหว่างการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ได้หารือกับนายสี จิ้นผิง และมีคำแนะนำในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเรารับฟังและอธิบายให้ฟังว่าเราเน้นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้เน้นกาสิโน เพราะจะมีกาสิโนแค่ประมาณ 10% และเห็นว่าทาง สิงคโปร์และมาเก๊า ทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แล้วประสบความสำเร็จ จึงมองว่าหากทุกประเทศที่ใกล้กัน มีเอ็นเตอร์เมนท์คอมเพล็กซ์เหมือนกัน จะเป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว ส่วนการที่เอามาเล่าอีกรูปแบบหนึ่งก็มีการใส่สีตีไข่ แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงคำแนะนำของจีน และเราพร้อมรับฟัง

ผู้สื่อข่าวถามว่านายอนุทิน ระบุชัดว่า นายสีจิ้น ผิง เตือนไทยถึง 3 ครั้งว่าหากไทยยังไม่ถอย จะกระทบกับนักท่องเที่ยวจีน ที่จะเข้ามาในประเทศไทยซึ่งหายไปกว่า 90% น.ส.แพทองธาร ย้อนถามกลับว่า เกิดขึ้นแล้วใช่หรือไม่ที่นักท่องเที่ยวหายไป 90% และกล่าวต่อว่า “ท่านอดีต มท.1 ออกไปได้ไม่นาน ลืมซะแล้วว่าเหตุผลที่นักท่องเที่ยวจีนไม่เดินทางมาเที่ยวไทย เป็นเพราะเรื่องความปลอดภัย และเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทยอย่างไร ที่ไม่มาเพราะเป็นเรื่อง ความปลอดภัย ที่นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้ามาไทย และความจริงแล้วตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในช่วงโลว์ซีซั่น ลดลงประมาณ 30% แต่เรามีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเข้ามาเติมมากขึ้น พร้อมยอมรับว่านักท่องเที่ยวจีนลดลงจริง เพราะมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และจริงๆแล้วมีปัญหาหลายเรื่อง ทั้งเรื่องปัญหาคอลเซ็นเตอร์ การตัดน้ำ ตัดไฟ ที่เมื่อจะตัดก็ตัดยาก ต้องสั่งแล้วสั่งอีก ไม่ทราบว่าได้จดเรื่องนี้หรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่อย่างนั้น“

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่นายอนุทิน ระบุว่าหากไทย ไม่ยอมถอยนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จีนจะมีการปรับมาตรการเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวที่ จะเข้ามาในไทย นายสีจิ้นผิง พูดจริงหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นายสี จิ้นผิงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนที่เราจะอธิบายว่าไม่ได้สนับสนุนกาสิโน และหากประเทศไหนมีกาสิโน ก็จะดูว่านักท่องเที่ยวจีน ที่จะเข้าไปประเทศจะเป็นอย่างไร ไม่ได้บอกว่าจะมีการปรับมาตรการ และเราได้ถามกลับไปว่ามีข้อแนะนำหรือข้อกำหนดอย่างไรหรือไม่ เพราะเราไม่ได้ปิดประตูและพร้อมรับฟังคำแนะนำว่ามีนโยบายต่อการท่องเที่ยวอย่างไร ที่จะเป็นประโยชน์กับเรา ซึ่งทำแบบนี้กับทุกประเทศ ว่ามีอะไรที่จะเอื้อเฟื้อกันได้ อะไรที่จะปรับกันได้ ขอคุยล่วงหน้าก่อน เมื่อนายสี จิ้นผิง พูดเรื่องนี้เราก็อธิบายต่อว่าเราจะทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เหมือนที่มาเก๊าและสิงคโปร์ทำ หากทำสำเร็จ จะมีการจ้างงาน เกิดขึ้นมากมาย นี่เป็นขั้นตอนของการพูดคุยกัน และการต่างประเทศ ก็มีบันทึกอยู่ แต่เมื่อนำมาเขียนแบบนี้ใส่สีเข้าไป ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่

เมื่อถามว่าร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะแค่ถอนร่างหรือชะลอออกไป น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอให้เป็นไปตามมติของสภาผู้แทนราษฎร บางเรื่องตนขอไม่ตอบ เพราะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นายกฯเกรงว่าหากพูดอะไรไปจะเป็นการไม่เคารพอำนาจศาล แต่ที่ตอบเรื่องของประเทศจีน เพราะตอนนั้นทำหน้าที่นายกฯ

เมื่อถามว่าตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าเหตุใด นายอนุทิน จึงมาเปิดเผยเรื่องนี้ ในวันที่จะมีการพิจารณาถอนร่างเอ็นเตอร์เทนท์คอมเพล็กซ์ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอให้พี่น้องประชาชนตั้งข้อสังเกตได้เลย เพราะก่อนหน้านี้ที่เคยคุยกัน ก็ทราบอยู่แล้วว่ามีเรื่องของการติดขัดในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่อยากให้ทำเป็นกฎหมายพิเศษ อยากให้เป็นแค่คำชี้แจงหรือสเตจเมนท์คอมเพล็กซ์ ที่ไม่มีกาสิโน จึงถามว่าแบบนี้ใครจะมาลงทุน และเมื่อทำเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ กระทรวงมหาดไทยอาจจะมีติดขัดอะไรหรือไม่ เพราะสามารถออก พ.ร.บ. การพนัน แยกไปได้ และมีการพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว ว่าหากมีการออกเป็นกฎหมายพิเศษเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ เลยจะขัดข้องหรือไม่ ตนก็ไม่ทราบเหมือนกัน

ไทย–Interpol ผนึกกำลังไล่ล่าเครือข่ายโกง ล้างบางแก๊งคอลเซ็นเตอร์–ค้ามนุษย์ในกัมพูชา

(9 ก.ค. 68) รัฐบาลไทยเดินหน้ายุทธการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ล่าสุด พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผอ.ศปอส.ตร. ได้เข้าพบผู้บริหารตำรวจสากล (Interpol) ที่ฝรั่งเศส เพื่อหารือและยกระดับความร่วมมือ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานปฏิบัติการในกัมพูชา

Interpol ยืนยันสนับสนุนไทยเต็มที่ ทั้งเครื่องมือ ข้อมูล วิเคราะห์ และการวางแผนปฏิบัติการ รวมถึงส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมทำงานใน “ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์” ที่ไทยจัดตั้งขึ้น หวังผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการปราบปรามในระดับภูมิภาค

สำหรับทาง Interpol ซึ่งมีสมาชิก 196 ประเทศ จะทำหน้าที่ประสานข้อมูลผู้กระทำผิดข้ามชาติ สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายในประเทศต่างๆ โดยไทยจะเป็นแกนกลางเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับกัมพูชา และประเทศที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้

ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าลดอาชญากรรมลงอย่างน้อย 50% ภายใน 3 เดือน และไม่ให้ไทยถูกใช้เป็นทางผ่านอีกต่อไป ถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ และสร้างความมั่นคงด้านความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งในประเทศและภูมิภาค


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top