Saturday, 24 May 2025
ค้นหา พบ 48312 ที่เกี่ยวข้อง

พันธบัตรสหรัฐส่ออันตราย! ดาลิโอชี้ ‘ทุกอย่างกำลังผิดทาง’ ต้นทุนดอกเบี้ยพุ่ง การเมืองไร้วิสัยทัศน์ แนะนักลงทุนระวัง

(23 พ.ค. 68) เรย์ ดาลิโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน และผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates บริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังสถานการณ์หนี้และการขาดดุลงบประมาณพุ่งแตะระดับวิกฤติ พร้อมระบุว่าหากมองระยะ 3 ปีข้างหน้า สหรัฐฯ อาจเผชิญผลกระทบหนักจากภาระหนี้ที่สะสมเพิ่มขึ้น

ดาลิโอชี้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นสะท้อนความกังวลของตลาด โดยพันธบัตรอายุ 30 ปีแตะระดับ 5.14% ซึ่งไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 2023 ขณะที่ Moody’s เพิ่งปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ท่ามกลางค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงเป็นอันดับสองของประเทศ และการขาดดุลที่แตะ 6.5% ของ GDP

เขายังวิจารณ์การเมืองสหรัฐฯ ว่าไม่สามารถหาทางลดภาระหนี้ได้ โดยล่าสุด สภาผู้แทนราษฎรเพิ่งผ่านร่างกฎหมายลดภาษี ซึ่งอาจทำให้หนี้รัฐบาลเพิ่มขึ้นอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ ดาลิโอกล่าวว่า นโยบายเช่นนี้จะยิ่งซ้ำเติมการขาดดุลในระยะยาว

“ผมไม่ค่อยมีความหวังนัก” ดาลิโอกล่าว พร้อมชี้ว่านี่คือหัวใจของปัญหาการคลังของสหรัฐฯ ที่ระบบการเมืองไม่สามารถตกลงกันเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างจริงจัง ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งทะลุ 36 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้

นครพนม​ -​ตชด.237 จับหนุ่มโพนสวรรค์ ใช้รถกระบะขนยาบ้า 3.1 ล้านเม็ด  

เมื่อวันที่ (22 พ.ค.68) ที่กองร้อย ตชด. 237 จ.นครพนม พล.ต.ต.ดร.กิตติศักดิ์ ปลาทอง ผบก.ตชด.ภาค 2  พ.อ. ศิวดล  ยาคล้าย ผบ.บก.ควบคุมที่ 1 (ร.3) กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และ พ.ต.อ.วุทธยา สิงห์กิ้ง ผกก.ตชด.23 ร่วมแถลงข่าวเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ค้ายาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 3,182,000 เม็ด และรถกระบะ 1 คัน

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 21.00 น. ร.ต.อ.จรณ์ แก้วคำแสน หัวหน้าชุดปฏิบัติการข่าว ร้อย ตชด.237 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีขบวนการค้ายาเสพติดลักลอบนำยาบ้าเข้ามาในพื้นที่ จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบริเวณริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2032 สายบ้านท่าดอกแก้ว - อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ใกล้หลักกิโลเมตรที่ 2-3 พบชายต้องสงสัยชื่อ นายเฉลิม (สงวนนามสกุล) อยู่บ้านโพนเจริญ หมู่ที่ 10 ต.โพนจาน อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม ขับรถกระบะมิตซูบิชิ สีขาว ทะเบียน ฒห 9613 กรุงเทพมหานคร จึงได้ขออนุญาตตรวจค้นภายในรถยนต์ห่อพบยาบ้าจำนวน 1,591 มัดภายในบรรจุยาบ้าจำนวน 3,182,000 เม็ด จึงทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลาง และแจ้งข้อกล่าวหานายเฉลิมว่า “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยมีลักษณะการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มประชาชน ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย” จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอุเทน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘ปราชญ์ สามสี’ โต้ ‘เจมส์ โรบินสัน’ ชี้ชัด ‘กองทัพไทย’ คือผู้ร่วมพิทักษ์ชะตากรรมของชาติ ในห้วงวิกฤต มิเพียง “เข้าแทรกแซง” หากแต่พยายาม “แสวงหาความมั่นคง” เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ

ในการวิเคราะห์ของ ศ.เจมส์ เอ. โรบินสัน นักเศรษฐศาสตร์ผู้ร่วมเขียน Why Nations Fail กองทัพไทยถูกมองว่าเป็นกลไกหนึ่งที่ขัดขวางการพัฒนาทางประชาธิปไตย อันเป็นหนึ่งในลักษณะของ 'สถาบันแบบแสวงหาผลประโยชน์' หรือ extractive institutions ทว่า มุมมองเช่นนี้แม้จะมีจุดยืนในทางทฤษฎี แต่เมื่อมองจากรากฐานทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมการเมืองของไทย กลับอาจไม่สะท้อนภาพความจริงในบริบทไทยอย่างถูกต้องครบถ้วน

รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยคือรัฐที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคม ...จุดนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้โครงสร้างอำนาจของไทยแตกต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย หรือแม้แต่เกาหลีใต้ — ประเทศเหล่านั้นล้วนเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติตะวันตกหรือมหาอำนาจต่างชาติ ทำให้การจัดวางบทบาทของกองทัพในภายหลัง ถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบของ 'พลเรือนเป็นใหญ่' เพื่อลดปัจจัยที่เคยนำไปสู่การล่าอาณานิคม

ในทางตรงกันข้าม กองทัพไทยไม่ได้ถูกสถาปนาเพื่อรับใช้กลุ่มชนชั้นนำ หรือรัฐอาณานิคม หากแต่เป็นผลผลิตของการปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติด้วยมือของคนไทยเอง กองทัพไม่ได้ถูกสร้างเพื่อ 'ควบคุมประชาชน' หากแต่ถูกหล่อหลอมในฐานะ 'ผู้ร่วมหุ้นชะตากรรมของแผ่นดิน' ที่ร่วมผ่านศึก ผ่านภาวะเปลี่ยนแปลง และพิทักษ์มาตุภูมิมาโดยตลอด

กรณีของเกาหลีใต้ ยิ่งตอกย้ำความต่างนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เกาหลีเคยตกเป็นประเทศราชของจีนในช่วงราชวงศ์โชซอน ก่อนจะถูกญี่ปุ่นผนวกเป็นอาณานิคมเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 1910 ถึง 1945 กว่า 35 ปีของการสูญเสียอธิปไตยและการล้มล้างโครงสร้างทางสังคม ทำให้เกาหลีหลังสงครามโลกจำเป็นต้องรับ 'รัฐที่สร้างใหม่' จากอิทธิพลของสหรัฐฯ ในฝั่งใต้ และโซเวียตในฝั่งเหนือ ความเป็นอิสระของรัฐเกาหลีใต้จึงถือกำเนิดใหม่บนฐานของสงครามเย็นและการแทรกแซงของอภิมหาอำนาจ ซึ่งต่างจากไทยที่รักษาเอกราชไว้ได้ด้วยตนเอง

ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกัน กองทัพเกาหลีใต้ไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับการเป็น “เจ้าของบ้าน” เช่นเดียวกับกองทัพไทย หากแต่เป็น “ลูกหลานของระบบรัฐที่ถูกออกแบบใหม่หลังอาณานิคม” กรอบความชอบธรรมของกองทัพทั้งสองชาติจึงไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

การวิเคราะห์บทบาทกองทัพในฐานะ 'อุปสรรคต่อประชาธิปไตย' จึงอาจไม่ครอบคลุมความจริงทั้งหมดในบริบทไทย เพราะในช่วงเวลาวิกฤต — ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 วิกฤตการณ์คอมมิวนิสต์ หรือวิกฤตการเมืองปี 2535, 2553 หรือ 2557 — กองทัพมิได้เพียง 'เข้าแทรกแซง' หากแต่พยายาม 'แสวงหาความมั่นคง' เพื่อรักษาอธิปไตย เสถียรภาพ และความเป็นราชอาณาจักรที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ในทางหลักการ รัฐธรรมนูญไทยไม่เคยให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่กองทัพ แต่กองทัพก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ที่จะยืนเคียงข้างชาติยามเผชิญวิกฤต ความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์นี้ก่อให้เกิดความเข้าใจเฉพาะของสังคมไทยว่า 'ทหารคือส่วนหนึ่งของชาติ' 

กองทัพไทยไม่ได้เกิดจากกลไกของรัฐอาณานิคมหรือสงครามเย็น แต่เกิดจากประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง และสืบสานแนวคิดของรัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางมาโดยตลอด กองทัพจึงไม่เคยอยู่ในสถานะ 'ผู้รับคำสั่งจากต่างชาติ' หากแต่คือ 'ผู้ร่วมหุ้นชะตากรรม' ในการรักษาเอกราช รัฐธรรมนูญ และความเป็นราชอาณาจักรไทย

เมื่อเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากภายนอกหรือความขัดแย้งภายใน กองทัพไทยจึงมักจะมีบทบาทเป็น 'ผู้กำหนดทางออก' — ไม่ใช่ในฐานะผู้ถืออำนาจถาวร แต่ในฐานะผู้รักษาเสถียรภาพของบ้านเมือง และรักษาระบบราชอาณาจักรภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การเปรียบเทียบบทบาทกองทัพไทยกับกองทัพในประเทศที่มีประวัติศาสตร์การสูญเสียอธิปไตยจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะเมื่อรากเหง้าการเกิดรัฐแตกต่างกัน ย่อมไม่อาจวัดผลได้ด้วยมาตรวัดชุดเดียวกัน

ทั้งนี้ ศ.เจมส์ เอ. โรบินสัน ผู้ร่วมเขียนหนังสือ Why Nations Fail และผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2024 ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC Thai โดยชี้ว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เกาหลีใต้ ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศร่ำรวยได้ ทั้งที่ในอดีตเคยอยู่ในระดับการพัฒนาที่ใกล้กับไทย เนื่องจากเกาหลีใต้สามารถเปลี่ยนผ่านให้กองทัพออกจากการเมือง และสร้างสังคมที่ครอบคลุมและเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้ในที่สุด

‘จีน’ เปิดตัวระบบเข้ารหัสควอนตัมไฮบริด ‘รายแรกของโลก’ปกป้องการสื่อสารและข้อมูลสำคัญแบบเรียลไทม์ ระยะ 1,000 กม.

(23 พ.ค. 68) บริษัท ไชน่าเทเลคอม ควอนตัม กรุ๊ป ของจีน เปิดตัวระบบเข้ารหัสแบบไฮบริดเชิงพาณิชย์ระบบแรกของโลก ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต โดยระบบนี้ผสานการกระจายกุญแจควอนตัม (Quantum Key Distribution - QKD) เข้ากับการเข้ารหัสหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography - PQC) เพื่อปกป้องการสื่อสารแบบเรียลไทม์และข้อมูลสำคัญ

ในขั้นสาธิต บริษัทได้ดำเนินการโทรศัพท์ผ่านการเข้ารหัสควอนตัมเป็นครั้งแรกของโลก ระหว่างปักกิ่งและเหอเฟย ครอบคลุมระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร โดยใช้ระบบเข้ารหัสแบบผสาน ที่สามารถตรวจจับการดักฟังและทนทานต่ออัลกอริธึมควอนตัม ซึ่งอาจล้มล้างระบบเข้ารหัสสาธารณะแบบเดิมในอนาคต

ระบบไฮบริดของไชน่าเทเลคอมประกอบด้วยสามชั้นหลัก ได้แก่ ชั้นกระจายกุญแจควอนตัม ชั้นเข้ารหัสหลังยุคควอนตัม และชั้นแอปพลิเคชัน โดยเริ่มใช้งานจริงแล้วในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว ขณะที่เครือข่ายในเหอเฟยจะกลายเป็นระบบสื่อสารควอนตัมในเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองรับหน่วยงานรัฐกว่า 500 แห่ง และรัฐวิสาหกิจอีกกว่า 380 ราย

การเปิดตัวครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของจีนในการเป็นผู้นำด้านความมั่นคงควอนตัมเชิงพาณิชย์ ขณะประเทศตะวันตกยังอยู่ระหว่างพัฒนา ระบบดังกล่าวอาจเป็นต้นแบบในการปกป้องข้อมูลสำคัญทั่วโลก ก่อนที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมระดับใช้งานจริงจะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

‘เชาว์ มีขวด’ ชี้ คดีจำนำข้าวคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ส่วน ‘นรวิชญ์–ภูมิธรรม’ แค่สร้างวาทกรรมเบี่ยงประเด็น

‘เชาว์ มีขวด’ ชี้ คดีจำนำข้าว คำพิพากษาศาลสูงสุดถึงที่สุดแล้ว ‘ยิ่งลักษณ์’ ขอเปิดคดีใหม่ไม่ได้ พร้อมตอกกลับ ‘นรวิชญ์–ภูมิธรรม’ แค่สร้างวาทกรรมเบี่ยงประเด็น

(23 พ.ค.68) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ทนายเชาว์ มีขวด' แสดงความเห็นกรณีที่ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าคดีจำนำข้าวยังสามารถขอพิจารณาใหม่ได้ คดีจำนำข้าวยิ่งลักษณ์ ขอพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ ว่า...

กรณีนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดเผยหลังฟังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดว่า เตรียมรวบรวมข้อมูลเพื่อรื้อคดีใหม่ภายใน 90 วัน เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับอดีตนายกฯ โดยชี้ว่าหลังการรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 มีข้าวคงเหลือในคลัง 18.9 ล้านตัน ถ้าหากรัฐขายข้าวได้ราคาสูงกว่าอนุกรรมการปิดบัญชีคำนวณไว้ ก็สามารถหักทอนกับที่ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบได้

ด้าน ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กล่าวถึงกรณีนี้และเชื่อว่าหลักฐานจากการระบายข้าวค้างสต็อกในสมัยที่ตนเป็น รมว.พาณิชย์ ซึ่งสามารถขายข้าว 10 ปีได้ในราคากิโลกรัมละ 18 บาท จะเป็นข้อต่อสู้สำคัญในคดีของยิ่งลักษณ์ เพื่อพิสูจน์ว่าข้าวไม่ได้เสียหายตามที่กล่าวหา และไม่ได้เน่าเสียอย่างที่มีการโจมตีในอดีต โดยยืนยันว่าการขายข้าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการเมือง

การออกมาให้ความเห็นของสองบุคคลดังกล่าว ทำให้สังคมสับสน ว่าคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ยังสามารถขอพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ และ สามารถนำข้าวคงเหลือในคลัง 18.9 ล้านตันมาหักทอนกับที่ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบได้หรือไม่

คดีนี้ ประเด็นสำคัญที่ศาลได้หยิบยกขึ้น พิจารณาวินิจฉัย คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จํานวน 4 ฉบับ มีความเสียหายเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท ซึ่งยิ่งลักษณ์ทราบปัญหาแเล้วจากการส่งหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบดำเนินโครงการทั้งจาก สตง.และป.ป.ช. แต่กลับไม่ติดตามกำกับดูแล เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กบข.) เพียงครั้งเดียว ส่งผลให้มีปัญหาระบายข้าวไม่ทัน ศาลฯ จึงเห็นว่า ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุ กระทรวงการคลัง ได้รับความเสียหาย ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จำนวนเงิน 10,028 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญในคดีที่ศาลฯ วินิจฉัยจึงไม่ใช่ ประเด็นว่า มีข้าวเหลือทั้งโครงการในคลัง 18.9 ล้านตัน ถ้าหากรัฐขายข้าวได้ราคาสูงกว่าอนุกรรมการปิดบัญชีคำนวณไว้ก็สามารถหักทอนกับที่ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบได้ ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน และไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่เพราะข้อมูลข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและปรากฏอยู่ในสำนวนคดีนี้แล้ว

“ผมจึงเห็นว่า คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดถึงที่สุดแล้วตาม พรบ ตาม พรบ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 มาตรา 73 ที่บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดให้เป็นที่สุด และไม่เข้าเงื่อนไขเรื่องการขอพิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา 75 ”

การออกมาให้ความเห็นของนายนรวิทย์และนายภูมิธรรม มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก “ความพยายามสร้างกระแสทางการเมืองเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากสาระของคดี” มากกว่าจะเป็นข้อเสนอที่ตั้งอยู่บนฐานกฎหมายและข้อเท็จจริง เพราะในข้อเท็จจริงแล้ว คดีนี้ไม่ได้ตัดสินที่จำนวนข้าวเหลือหรือราคาขายย้อนหลัง แต่ตัดสินที่ ความรับผิด ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุม การทุจริตในโครงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยโดยมีพยานหลักฐานชัดเจน

ดังนั้น การหยิบยกประเด็นราคาขายข้าวย้อนหลังมาเชื่อมโยงกับความรับผิดของอดีตนายกรัฐมนตรีในคดีนี้ จึงเป็นการสื่อสารที่ต้องการเบี่ยงเบนประเด็น และอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณชน โดยเฉพาะเมื่อคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักไว้ชัดเจนว่าไม่สามารถหักล้างหรือขอพิจารณาใหม่ได้ เว้นแต่จะมี “พยานหลักฐานใหม่ที่ศาลยังไม่เคยรับรู้และอาจเปลี่ยนผลแห่งคดี” ซึ่งไม่ปรากฏในกรณีนี้ หากจะต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในทางสังคม ควรตั้งอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย มิใช่การสร้างวาทกรรมที่อาจกลายเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top