Sunday, 27 April 2025
ค้นหา พบ 47686 ที่เกี่ยวข้อง

‘ผบ.กองทัพรัสเซีย’ รายงาน!! ถึงความคืบหน้าการยึดคืน ‘แคว้นคุสค์’ จากยูเครน ‘ปูติน’ ประกาศ!! 19 – 21 เม.ย. เป็นช่วงพักรบ ไม่มีการเข้าโจมตี และอาจมีขยายเวลา

(20 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

พล.อ เกราซิมอฟ ผบ.กองทัพรัสเซีย รายงานความคืบหน้าการยึดคืนแคว้นคุสค์ จากยูเครน มีความคืบหน้า 99.5% ปธน.ปูตินแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของกองทัพ และอวยพรกองทัพเนื่องในโอกาสเทศกาลอิสเตอร์

ปธน.ปูติน ประกาศให้ตั้งแต่ 18:00 เวลามอสโคว์ของวันที่ 19 เมษายน จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 21 เมษายน เป็นช่วงเวลาพักรบ รัสเซียจะไม่โจมตีเข้าไปในยูเครน และจะดูพฤติกรรมของยูเครนเพื่อพิจารณาขยายเวลาพักรบ

‘ฝรั่ง’ ทักคนเอเชียว่า ‘หนีห่าว’ อาจไม่ได้ตั้งใจจะล้อเลียน แค่ดูไม่ออกว่าเป็นเชื้อชาติไหน แต่ไม่ได้เจตนาจะด้อยค่า

(20 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Aroonsri Chaiyachatti Harrison’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีประเด็นร้อนเกี่ยวกับการที่ฝรั่งทักคนเอเชียด้วยประโยคภาษาจีนอย่าง “หนีห่าว” กันอีกแล้ว เลยอยากมาเล่าแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนิดนึงค่ะ

ตอนเด็ก ๆ เคยตามคุณพ่อไปอยู่ยุโรป ที่ประเทศหนึ่งในอดีตยูโกสลาเวีย สมัยนั้นชาวยุโรปแถบนั้นไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคนเอเชียตัวจริง ๆ เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ในหนังหรือทีวี พอได้เจอกับของจริง ก็แยกไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ว่าใครเป็นคนจีน คนไทย คนญี่ปุ่น หรือฟิลิปปินส์

จริง ๆ แม้แต่เราบางครั้ง ยังแยกไม่ออกเลยว่าฝรั่งที่เจอเป็นคนอังกฤษ อเมริกัน หรือยุโรปชาติไหน ต้องฟังสำเนียงก่อนถึงจะพอเดาได้

ย้อนกลับมาที่ประสบการณ์ตรงย้ายมานิวยอร์ก ตอนเรียนอยู่ก็ทำงานพาร์ตไทม์เป็นบาร์เทนเดอร์ ลูกค้าฝรั่งเข้ามาคุยด้วยบ่อย ๆ ถามว่าเราเป็นคนชาติไหน มีบางคน โดยเฉพาะฝรั่งรุ่นเก่า ๆ ที่ยังใช้คำว่า Oriental ซึ่งสมัยนี้ถือว่าคำนี้ไม่เหมาะสมแล้ว เพราะมันเป็นการเหมารวมคนเอเชียแบบไม่มีความเข้าใจ คล้าย ๆ กับเวลาพูดถึง Oriental rug — มันเป็นภาษาที่สะท้อนยุคสมัยที่ยังไม่เปิดกว้างทางวัฒนธรรมเท่าไหร่

สมัยนััน80s-90s คำถามที่โดนถามบ่อยมากคือ :
What kind of asain are you?
What are you made of? (อันนี้ชอบบบมากตลกดีส่วนใหญ่จะเป็นคำถามจากคนสูงอายุหน่อย เรามักจะตอบกวนๆว่า “Mom and dad of course” 
So you are an Oriental from Thailand?

สรุป :
• “Oriental” ใช้กับวัตถุได้ เช่น “Oriental rug” แต่ไม่ควรใช้กับ “คน” อีกแล้ว
• เวลาฝรั่งพูดแบบนี้ในปัจจุบันอาจโดนมองว่าไม่สุภาพ หรือ outdated มาก ๆ
นอกจากนี้ก็มีบางคนที่แค่ไม่รู้จริง ๆ หรือที่เรียกว่า ignorance ไม่ได้ตั้งใจเหยียด แต่ไม่รู้ว่าคนเอเชียมีหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายวัฒนธรรม ไม่ได้เหมารวมได้ง่าย ๆ

บางครั้งก็มีเจอแบบไม่โอเค เช่น แซวทำตาเฉียงเลียนแบบคนจีน ทั้งที่เราไม่ใช่คนจีนก็ตาม ซึ่งตรงนี้มันก็สะท้อนว่าเขายังไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายของเอเชียดีนัก

แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ฝรั่งที่ทักเราเป็นภาษาจีน ก็อาจจะเป็นแค่การพยายามจะเชื่อมต่อ อยากทักทายด้วยคำไม่กี่คำที่เขาพอรู้ อาจเพราะเพิ่งเคยมาเที่ยวเอเชียครั้งแรก แล้วตื่นเต้น อยากสื่อสารกับคนท้องถิ่น แม้จะผิดภาษา แต่เจตนาก็ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร

สุดท้ายแล้ว เราว่ามันอยู่ที่ “เจตนา” ค่ะ
ถ้าไม่ได้ตั้งใจเหยียด ดูถูก หรือทำให้รู้สึกด้อยค่า ก็คงไม่จำเป็นต้องซีเรียสเกินไป

เพราะบางที แม้แต่คนไทยเองก็มีหน้าตาหลากหลาย บางคนดูเหมือนจีน บางคนดูเหมือนแขก หรืออื่น ๆ ซึ่งแม้แต่เราเองยังแยกไม่ออกในบางครั้ง แล้วจะคาดหวังให้ฝรั่งที่ไม่คุ้นชินกับความหลากหลายของเอเชียแยกออกเป๊ะ ๆ คงเป็นเรื่องยาก

แต่แน่นอนว่า ถ้ามันเลยเถิดไปจนถึงการล้อเลียนหรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกด้อยค่า นั่นก็ถือเป็นปัญหาจริง ๆ และเข้าใกล้เรื่อง cultural appropriation มากขึ้น — คือการเอาวัฒนธรรมของคนอื่นมาใช้ผิดที่ผิดทาง ไม่ให้เกียรติ หรือทำให้มันดูตลกไป ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็ควรถูกพูดถึงและทำความเข้าใจกันให้มากขึ้นเช่นกันค่ะ

บางครั้งในชีวิตเราก็เลี่ยงไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะต้องเจอกับคนที่มีทัศนคติไม่ดี เหยียดเชื้อชาติ หรือพูดจาไม่เหมาะสมกับเราโดยตรง ไม่ว่าด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ถ้าคุณรู้สึกว่าคำพูดหรือท่าทีของเขาเป็นการเหยียดเราจริง ๆ สิ่งที่ง่ายที่สุด และทรงพลังที่สุดที่คุณทำได้… คือ “ยิ้ม” ค่ะ

ใช่ค่ะ - แค่ยิ้ม

เพราะบางทีความสุภาพ และความสงบนิ่งของเราเองนั่นแหละ ที่จะทำให้คนที่เหยียดเรารู้สึกละอายใจในพฤติกรรมของตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องลดตัวลงไปตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความเกลียดชัง

การยิ้ม ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับการกระทำของเขา
แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า เรา “เหนือกว่า” การเหยียดนั้นมากแค่ไหน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดและอคติ
การรักษาความสงบภายในใจ และตอบกลับด้วยความสุภาพ
คือการต่อสู้ที่สง่างามที่สุด

อย่าลืมสิว่าประเทศเราคือสยามเมืองยิ้ม 
ด่ากลับเป็นภาษาไทยด้วยรอยยิ้มค่ะ   ทำบ่อยมากเวิร์คทุกครั้ง ด่าสามีด้วยรอยยิ้มนางยังไม่โกรธ 

3 สิ่งนี้ถ้าคนไทยมี ‘เมืองไทย’ จะเจริญเท่า สิงคโปร์ หรือ ญี่ปุ่น ระบบการศึกษาที่แข็งแรง จิตสำนึกไม่ทุจริต รู้หน้าที่ของตัวเอง

(20 เม.ย. 68) ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศด้อยศักยภาพ แต่เรายัง "ปลดล็อกตัวเอง" ไม่ได้เต็มที่ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศคือ ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์

ลองจินตนาการดูว่า...
หาก “ประเทศที่มีวัฒนธรรมลึกซึ้งที่สุดในอาเซียน”
“ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติแบบไม่มีใครเทียบ”
“ประเทศที่ตั้งอยู่บนจุดตัดเศรษฐกิจโลก เรา เพื่อนบ้าน ประเทศทั้งอาเซียน จีน และอินเดียที่มีประชากรเกิน 2,000 ล้านคน”
จะดีแค่ไหนหากเราได้ปลุกศักยภาพของคนในชาติขึ้นมาพร้อมกัน

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ประเทศน่าเที่ยว”
แต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางของโลก” และสิ่งที่เราต้องการมีเรื่องสำคัญ 3 ข้อดังนี้

1.คนไทยต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแรง ทันโลก มีนิสัยไฝ่เรียนรู้ ขยันสร้างศักยภาพทั้งความคิดและคุณธรรม

สิงคโปร์มีระบบการศึกษาแข็งแรง ญี่ปุ่นมีวินัยและสำนึกส่วนรวม แต่ถ้าไทย “รวมทั้งสองสิ่งไว้ในคนคนเดียวได้” เราจะไปได้ไกลกว่านั้น

เราต้องการเด็กที่คิดเป็น วิเคราะห์ได้ ก้าวทันเทคโนโลยี และไม่กลัวตั้งคำถาม พร้อมกันกับเป็นคนที่มีเมตตา ไม่เบียดเบียน และมีจิตสาธารณะ"

สิ่งนี้จะกลายเป็นรากฐานของผู้นำรุ่นใหม่ แรงงานรุ่นใหม่ และสังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ แต่มีพลัง

2. คนไทยต้องมีจิตสำนึกในการรังเกียจการทุจริตคอร์รัปชันเป็นค่านิยมร่วม

สิงคโปร์เลิกคอร์รัปชันได้ในไม่กี่ทศวรรษ
ญี่ปุ่นมีระบบตรวจสอบที่แม้แต่นายกฯ ก็ต้องรับผิด
แต่ไทยยังอยู่ในวงจร “รู้นะว่าโกง แต่ก็จำยอม”

ถ้าเราเปลี่ยน “ความอดทน” เป็น “ความรังเกียจ”
และเปลี่ยน “ความเคยชิน” เป็น “ความกล้าทำให้มันจบ”

เราจะมีสังคมที่ไม่ต้องออกมาประท้วงทุกปี
ไม่ต้องตื่นมาเจอกับข่าวฮั้วงบ และไม่ต้องสอนลูกว่า “ถ้าอยากโตเร็ว อย่าเล่นตามกติกา”

3.ทุกคนต้องรู้และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ 100% และที่สำคัญต้องไม่เล่นการเมืองในที่ทำงาน

สิงคโปร์มีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรม “ทุ่มเท” กับงานอย่างสุดกำลัง
แต่ในไทย... ยังมีการเมืองในที่ทำงาน การใช้อำนาจมากกว่าหลักการ

ถ้าพนักงานไทยทุกคนทำงานเต็มศักยภาพ
ข้าราชการไทยทำเพื่อประเทศมากกว่าตำแหน่ง
และเจ้านายเลิกเลื่อนตำแหน่งคนจากความใกล้ชิดส่วนตัว

เราจะไม่ต้องรีบวิ่งตามใคร เพราะเราจะ “ลุกขึ้นยืนในจุดที่โลกต้องหันกลับมามอง”

แล้วถ้าเรามีครบทั้ง 3 ข้อนี้จริงล่ะ?
คนเก่งแต่มีธรรมะ = ประเทศเจริญโดยไม่ทิ้งใคร
คนไม่โกง = งบประมาณไปถึงที่ควรถึง
คนทำงานเต็มที่ = งานทุกงานเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง

ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม”
แต่คือ ประเทศที่ทั้งเก่ง ทั้งกล้า ทั้งดี - และเป็นจุดศูนย์กลางของโลกในยุคใหม่

ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกถามว่า

“เราจะตามใครทัน?” แล้วหันมาถามว่า
“ถ้าประเทศไทยมีสิ่งนี้... โลกจะตามเราทันไหม?”

‘โหรวารินทร์’ เผย!! หลังพฤษภาคมนี้ การเมืองไทย เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขณะที่ภัยพิบัติต่างๆ จะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา อาจมีบ้างแค่เล็กน้อย

เมื่อวานนี้ (19 เม.ย. 68) ที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา หรือรู้จักในนาม “โหร คมช.” แห่งสำนักหลวงปู่เกวาลัน จังหวัดเชียงใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีบูชาบวงสรวงองค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทย และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตลอดจนถึงการบูชาทวยเทพเทวา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน  

และบูชาเสื้อบ้านที่ปกปักรักษาเมืองเชียงใหม่และประเทศไทย ในงานพิธีสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี ว่า การประกอบพิธีในครั้งนี้ได้รับมอบหมายจากจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เมืองพ้นภัยพิบัติจากธรรมชาติและภัยเศรษฐกิจที่กระทบทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย พร้อมขอให้คนไทยน้อมนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ 

ทั้งนี้ อาจารย์วารินทร์ฝากถึงผู้มีอำนาจว่า อย่าใช้ประชานิยมมากเกินไป เพราะประเทศที่ล่มสลาย เช่น เวเนซุเอลา ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เนื่องจากใช้นโยบายประชานิยมมากเกินไป ทุนทรัพย์ของเรามีเพียงพอแล้ว อย่านำไปขาย แจกจ่าย หรือใช้โดยไม่ระมัดระวัง เพราะทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของประชาชนทั้งประเทศ เราควรร่วมกันดูแลรักษา เพิ่มพูน เพื่อประคองประเทศให้เดินหน้าสู่ความเจริญต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ความวุ่นวายทางการเมืองจะรุนแรงหรือไม่ อาจารย์วารินทร์ตอบว่า “จะไม่รุนแรง แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแน่นอน หลังเดือนพฤษภาคมนี้จะเริ่มเห็นเค้าโครงต่าง ๆ ชัดเจน ผู้ที่มีหน้าที่ แต่ใครจะมาทำหน้าที่ที่แท้จริง เราก็รู้อยู่แก่ใจ ในนิตินัยอาจยอมรับได้ แต่ในพฤตินัยเป็นใคร เรารู้ดี” พร้อมระบุว่า ต่อไปจะมีผู้ที่เหมาะสมมาดูแลประเทศ และอาจมีบางคนที่เคยมีหน้าที่ “รีเทิร์น” กลับมาอีกครั้งก็ได้

สำหรับปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติ อาจารย์วารินทร์กล่าวว่า จากนี้ไปจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา อาจมีบ้างแต่เพียงเล็กน้อย เพราะส่วนที่หนักที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว 

‘คณะสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา – ผู้บริหารท้องถิ่น’ ร่วมรดน้ำขอพร ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ เผย!! เป็นผู้ใหญ่ ที่มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาท้องถิ่น พัฒนา จ.สงขลา ดูแลประชาชน

เมื่อวานนี้ (19 เม.ย. 68) คณะสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา ผู้บริหารท้องถิ่น นักการเมือง และผู้นำชุมชนจากหลายอำเภอ ร่วมแสดงมุทิตาจิต และรดน้ำขอพรนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตนายก อบจ.สงขลา และอดีต สส. 8 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ณ ร้านแสงทองโภชนา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  

บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง มีการร่วมรับประทานอาหาร พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน และมีการรดน้ำดำหัว เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน ตนขออวยพรให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาวัฒนธรรม ความรัก ความสามัคคี และจิตสำนึกต่อส่วนรวม และขอฝากกำลังใจถึงผู้นำรุ่นใหม่ให้ร่วมกันขับเคลื่อนบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์ และเสียสละเพื่อพัฒนาสงขลาต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top