Monday, 9 June 2025
ค้นหา พบ 48672 ที่เกี่ยวข้อง

‘วริษฐ์ ลิ้มทองกุล’ แชร์ประสบการณ์ทำข่าวต่างแดน ชี้ ทุกประเทศมีกฎเกณฑ์อย่าคิดว่าเป็นสื่อแล้วจะทำอะไรก็ได้

(20 มี.ค. 68) นายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ผู้สื่อข่าวอาวุโส เครือผู้จัดการ โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงการทำข่าวในประเทศจีน ว่า

ผมกับภรรยา คือ คุณดวงพร ลิ้มทองกุล น่าจะเป็นนักข่าวไทยเพียงไม่กี่คน ที่เคยเป็นนักข่าวชาวไทย จากสำนักข่าวของประเทศไทยที่เคยประจำอยู่ระยะยาวที่ประเทศจีน ผมกับภรรยาอยู่ที่กรุงปักกิ่งในช่วงปี ค.ศ.2002-2008 โดยช่วง 4 ปีแรกเรียนหนังสือไปด้วยและทำงานข่าวไปด้วย ส่วนในช่วง 2 ปีหลัง โดยเครือผู้จัดการมีสำนักงานอย่างเป็นทางการตั้งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ส่วนผมกับภรรยาก็มีสถานะเป็นนักข่าวประจำกรุงปักกิ่งอย่างเต็มตัว คือ มีวีซ่า J-1 (记者) 

สำหรับ J-1 เป็นวีซ่าผู้สื่อข่าวระยะยาว ต้องต่ออายุทุกปี ส่วน J-2 นั้นคือ วีซ่าผู้สื่อข่าวระยะสั้น คือไปทำงานไม่กี่วันก็กลับ ซึ่งส่วนใหญ่ทางการจีนจะอนุญาตให้อยู่ในประเทศจีนได้เท่าจำนวนวันที่ขอเช่น ทำข่าว 4 วัน ก็อยู่ได้ 4 วัน, ขอทำข่าว 7 วันก็ได้ 7 วันจริงๆ ไม่สามารถแถม ทำธุระ เยี่ยมเพื่อน หรือ เที่ยวต่อได้ เพราะวีซ่าจะระบุวันไปวันกลับของคุณแบบเป๊ะๆ 

ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวผมเองไม่ได้เคยแค่อยู่และประจำที่ประเทศจีนเท่านั้น แต่เคยเดินทางไปทำข่าวทั่วประเทศจีน รวมถึงในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งยังเคยเป็น Fellowship ในโครงการ NSK-CAJ ของสมาคมหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น, ได้ร่วมโปรแกรม IVLP จากสถานทูตสหรัฐฯ ไปเป็น Fellowship เรื่อง Media Literacy and Countering Disinformation ที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับพี่ ๆ น้อง ๆ สื่อไทยหลายคน 

เผอิญตอนนี้ มีคณะของคุณภูมิธรรม เวชยชัย กับคุณทวี สอดส่องไปภารกิจเยี่ยม 40 อุยกูร์ที่จีน มีนักข่าวไทยโดนห้ามโน่นห้ามนี่ ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ บางคนบอกว่า "จีน" ก็คือเผด็จการไม่ต่างจาก "เกาหลีเหนือ" ตัวผมเองก็ต้องชี้แจงอย่างนี้ว่า นักข่าวบางคน หรือ ผู้เสพสื่อบางคนก็อย่ามโนมากเกินไป การที่คุณได้ไปทำข่าวเมืองนอก ไม่ใช่ว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะการที่เข้าไปในพื้นที่ค่อนข้างอ่อนไหว รายงานข่าวในประเด็นที่กำลังเป็น Hot Issue ระดับโลก

สังคมต่าง ๆ ประเทศต่าง ๆ เขาก็มีกฎเกณฑ์ในการทำข่าวของเขา จีนก็มี , ญี่ปุ่นก็มี, สิงคโปร์ก็มี, ไต้หวันก็มี, สหรัฐอเมริกาก็มี, อังกฤษก็มี ไม่ใช่ว่าคุณจะเดินดุ่ม ๆ ไปถ่ายรูปคนโน้นคนนี้ได้ตามในชอบ ในหลาย ๆ ประเทศมีกฎหมายเสียด้วยซ้ำว่าห้ามถ่ายรูปเด็ก-เยาวชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง ตอนผมไปทำข่าวที่อังกฤษ นักข่าวจะสัมภาษณ์ใครต้องมี Consent หรือ เอกสารยินยอม จากบุคคลนั้น ๆ ให้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ได้ผ่านสื่อใดบ้าง โดยต้องเซ็นเอกสารกันเป็นกิจจะลักษณะ ... ซึ่งทุกคนที่เคยไปทำข่าวต่างประเทศอย่างนี้ ปกติก็จะเข้าใจข้อจำกัดในเรื่องเหล่านี้ดี

นักข่าวไทยบางคนเวลาอยู่บ้าน อาจจะได้รับอภิสิทธิ์ หรือ มี "บัตรเบ่ง" จนเคยตัวนึกว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่เมื่อคุณอยู่นอกบ้านจริง ๆ คุณมีสถานะเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศเสียด้วยซ้ำ อย่าทำให้ใครดูถูกสื่อไทย ดูถูกคนไทยเลยว่า เอาแต่ใจ ไร้มารยาท และไม่เคารพประเทศที่คุณไปเยือน

คนที่เสียไม่ใช่คุณภูมิธรรม หัวหน้าคณะ คุณทวี หรือ กระทรวงต่างประเทศไทย หรือ สื่อต้นสังกัดของคุณหรอกครับ "คนไทย" เสียกันทั้งประเทศ

ทรัมป์ขู่อิหร่าน หยุดหนุนฮูตี ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งคำเตือนถึงอิหร่าน ยุติการส่งอาวุธให้กลุ่มฮูตีโดยทันที รวมถึงกลุ่มติดอาวุธในเยเมน ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง 

“การโจมตีของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีจะเลวร้ายลงอีก และพวกเขาจะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง!” ทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social

คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังจากกลุ่มฮูตีเปิดฉากโจมตีเรือสินค้าและเรือรบที่ผ่านทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่ออิสราเอลจากสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเส้นทางการค้าโลก

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้การโจมตีเรือสินค้า และย้ำว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะดำเนินต่อไปจนกว่าฮูตีจะยุติการโจมตีในทะเลแดง

ทรัมป์ยังเน้นย้ำว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการสนับสนุนกลุ่มฮูตี และเตือนว่าหากมีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้นในอนาคตจากกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว อิหร่านจะต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมสถานการณ์ในทะเลแดง และส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการลดละความพยายามในการทำลายศักยภาพของกลุ่มฮูตี หากพวกเขายังคงคุกคามเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนบนเวทีโลก โดยหลายฝ่ายจับตาดูว่าคำเตือนของทรัมป์จะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่

วิบากกรรมของ ‘โรดรีโก ดูแตร์เต’ เผชิญหมายจับ ICC อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่ชาติตะวันตกไม่ชอบ

(20 มี.ค. 68) เมื่อไม่นานมานี้ ฟิลิปปินส์กลับกลายเป็นข่าวดังทั่วโลก เมื่อ โรดรีโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ช่วงปี ค.ศ.2016–2022 ถูกจับกุมตามหมายจับของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผู้นำที่มีความขัดแย้งอย่างมากกับชาติตะวันตก

หมายจับนี้ออกโดยศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 และจับกุม ดูแตร์เต เมื่อเขากลับมาจากฮ่องกงในวันที่ 11 มีนาคม 2025 โดยข้อกล่าวหาที่ ICC ยื่นฟ้องนั้นเกี่ยวข้องกับการ ฆาตกรรม, ทรมาน และข่มขืน ที่เกิดขึ้นระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2011 ถึง 16 มีนาคม 2019 ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์ถือเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ ICC แต่หมายจับถูกส่งผ่าน INTERPOL ทำให้เขากลายเป็นผู้นำฟิลิปปินส์คนแรกที่ต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศ

ช่วงที่ ดูแตร์เต ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ริเริ่มนโยบายที่ทำให้เกิดการ ปราบปรามยาเสพติด อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน โดยที่รัฐบาลฟิลิปปินส์อ้างว่าเป็นการจัดการกับ ผู้ค้ายาเสพติด แต่ในทางกลับกัน หลายประเทศในตะวันตกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งทำให้เขาต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก

ถึงแม้จะถูกวิจารณ์หนักจากนานาชาติ แต่ คะแนนความนิยมในประเทศ ของเขาก็ยังคงสูง โดยเฉพาะในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และจากการสนับสนุนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน ซึ่งทำให้เขาดำรงตำแหน่งได้อย่างมั่นคง

แม้ว่า มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ เคยประกาศว่า ฟิลิปปินส์จะไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน ICC แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ มาร์กอส จูเนียร์ ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนและตัดสินใจให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีต่อดูแตร์เต

การจับกุม ดูแตร์เต ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ทางการเมืองฟิลิปปินส์ เพราะเขาได้กลายเป็นผู้นำคนแรกจากเอเชียที่ถูก ศาลอาญาระหว่างประเทศ ฟ้อง โดยต้องถูกพิจารณาคดีในวันที่ 23 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญของการยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการสร้างความยุติธรรมในระดับสากล

พร้อททั้งส่งผลให้สะท้อนถึง การเผชิญหน้าระหว่างการเมืองภายในประเทศ และความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ก็ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ICC มีอำนาจในการดำเนินคดีแม้แต่กับผู้นำประเทศใหญ่ในเอเชีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจและอิทธิพลของผู้นำในอนาคต

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่เคยถูกขับไล่จากตำแหน่งและถูกกล่าวหาว่าทุจริตอย่างมโหฬาร จนมีทรัพย์สินมหาศาลกว่า 5,000-10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ 36 ปีต่อมา ลูกชายของเขา มาร์กอส จูเนียร์ กลับได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ขณะที่ ดูแตร์เต ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่เกิดจากนโยบายของเขาเอง

อนาคตของ โรดรีโก ดูแตร์เต ดูเหมือนจะมีหลายคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้ ในขณะที่เขาเผชิญกับการพิจารณาคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ และประเทศฟิลิปปินส์กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ

‘เพจข่าวชายแดนใต้’ ชี้ โชคดีที่พรรคส้มไม่เป็นรัฐบาล เหตุหวั่นใจ 3 จว.ชายแดนใต้อาจกลายเป็น ‘รัฐอิสระ’

(20 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก KNIGHTS BORDER โพสต์ข้อความว่า ถ้าวันนั้นส้มได้เป็นรัฐบาล เราอาจจะมี #รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยชื่อ รอมมาฏอน ปันจอร์ และ #รัฐมนตรีต่างประเทศชื่อ กัณวีร์ สืบแสง ... ตอนนั้นผมก็ลุ้นนะให้ตั้งให้สำเร็จเพราะไม่ได้ดูมาถึงเรื่อง 3 จว.ใต้ เชียร์พิธา อย่างเดียว 

ยอมรับตรงนี้ว่าเลือกส้มทั้งบ้านในวันนั้น พิธามาแถวบ้านหรือใกล้เคียง ขนกันไปทั้งบ้าน เพราะชื่นชม ชื่นชอบในตัวทิม ... และตอนนั้นก็ยังไม่เห็นนโยบายหาเสียงของพรรคเป็นธรรม โฟกัสชื่นชอบพิธาคนเดียว ผมเป็น 1 เสียงที่ทำให้ส้มยึดภูเก็ตทั้งเกาะ 

แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ สส.ทั้ง 3 คน ทำงานดี ประชาชนเข้าถึง เป็นกระบอกเสียงให้ชาวบ้านได้ ถึงแม้จะชอบโพสต์ลงเฟซบุ๊กเยอะไปหน่อย...

จริงๆ ไม่อยากจะพูดถึงพรรคการเมือง แต่แอบเสียดายว่าส้ม บางครั้งคัดคนเข้ามาในพรรคน่าจะดีกว่านี้  ... ถามว่า รอมมาฎอน ปันจอร์ จะได้เป็น สส.สมัยหน้าอีกหรือไม่ ตอบตรงนี้เลยว่าได้แน่ๆ เพราะส้มเขาต้องการคะแนนคนในพื้นที่จากนายคนนี้ และแกนนำพรรคก็ชื่นชอบรอมมาฏอน ปันจอร์ และก็คงได้ลำดับปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆเหมือนเดิม

แต่อยากจะฝากบอกว่า ถ้าอยากรู้ว่า รอมมาฏอน มีดีพอที่คนจะให้คะแนน ลองส่งลง แบบสส.เขตดู ว่าจะได้หรือไม่...กล้าลองไหม ว่าเขามีฐานเสียงตามที่ได้ไปคุยไว้กับพรรคจริงหรือเปล่า ถ้ากล้าส่ง ผมก็กล้าแทงสวนเลยว่าสอบตก..ส่วน กัณวีร์ สืบแสง ก็ได้เป็น สส.อีกสมัยเช่นกัน เมื่อถึงวาระเลือกตั้ง เขาคิดแล้วว่ากระแสตัวกับนโยบายเริ่มโดนต่อต้าน ก็จะย้ายไปเข้าพรรคส้ม นั่งปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ เลขตัวเดียวเช่นกัน

มาถึงวันนี้รู้สึกดีใจที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่งั้น 3 จว.ใต้ เสร็จได้เป็นเขตปกครองพิเศษหรืออาจจะไปถึงเขตปกครองตนเองโดยยังขึ้นตรงกับรัฐไทยแค่ทางกฎหมาย แต่ทางปฏิบัติคือรัฐอิสระ ถอนหายใจยาวๆ

ส่งออกชิปเกาหลีใต้ไปจีนร่วง 31.8% หลังสหรัฐคุมเข้มกฎส่งออกเทคโนโลยี

(20 มี.ค. 68) สื่อต่างประเทศรายงานว่า การส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ไปยังจีน ลดลง 31.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) ในเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางแรงกดดันจากกฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นต่อจีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก

สำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า การชะลอตัวการส่งออกของไปจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดยอดส่งออกชิปของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ซึ่งทำให้ซัพพลายเชนชิปต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น

โดยสาเหตุหลักของการลดลงนี้มาจาก มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออกชิปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ส่งผลให้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้า

ซึ่งจีนถือเป็น ตลาดนำเข้าชิปที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ การลดลงของยอดส่งออกจึงสะท้อนถึง ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนอย่างมาก

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า หากมาตรการของสหรัฐฯ ยังคงเข้มงวดขึ้น เกาหลีใต้อาจต้อง เร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เพื่อลดการพึ่งพาจีน ในขณะที่จีนเองก็กำลัง พัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ

ขณะที่ รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณา แนวทางนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยอาจมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนในประเทศ หรือส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกฎควบคุมของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนโลก และมีแนวโน้มจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top