Monday, 9 June 2025
ค้นหา พบ 48675 ที่เกี่ยวข้อง

‘สาธิต’ ชี้ มือตบพยาบาลระยองได้รับโทษเหมาะสมแล้ว หลังศาล สั่งจำคุก 1 เดือน 15 วัน พร้อมชดใช้ 77,273 บาท

เมื่อวันที่ (20 มี.ค. 68) นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊กว่า เมื่อวานนี้ ศาลแขวงระยองสั่งกักขังมือตบพยาบาล 1 เดือน 15 วัน ชดใช้ 77,273 บาท

พร้อมระบุข้อความว่า  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการคดีศาลแขวงระยอง เป็นโจทก์ ฟ้อง นายสรรค์พงศ์ เพชรหนุน อายุ 42 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐาน ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

กรณีนายสรรค์พงศ์ก่อเหตุตบหน้าพยาบาลผู้เสียหาย 2 ครั้ง ภายในโรงพยาบาลระยอง เนื่องจากโมโหที่พยาบาลบอกแม่เด็กไม่ควรพาลูกเล็กเข้าไปเยี่ยมยายที่ป่วยไข้หวัดใหญ่ติดเชื้อลงปอด ทำให้นายสรรค์พงศ์จำเลยไม่พอใจถึงกับใช้กำลังทำร้ายพยาบาลดังกล่าว จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ลงโทษจำคุก 3 เดือน รับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน ไม่มีเหตุรอการลงโทษ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังมีกำหนด 1 เดือน 15 วัน 

พร้อมให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่พยาบาลผู้เสียหาย 77,273 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 5 ของต้นเงิน 19,113 บาท ต้นเงิน 40,000 บาท ต้นเงิน 10,000 บาท และต้นเงิน 8,160 บาท โดยหักออกจากเงินที่จำเลยวางบรรเทาความเสียหาย 40,000 บาท

ส่วนตัวผมเห็นว่าเหมาะสม มีเหตุมีผลแล้ว จากคำพิพากษาของศาลแขวงจังหวัดระยอง ครับ

ฝรั่งเศสยกระดับความพร้อม แจก ‘คู่มือเอาตัวรอด’ เตรียมรับมือวิกฤตและความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

(21 มี.ค. 68) สำนักข่าว CNN รายงานว่า รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศแผนแจกจ่าย “คู่มือเอาตัวรอด” ให้กับทุกครัวเรือนทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมของประชาชนในการรับมือกับ ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ของ ความขัดแย้งด้วยอาวุธบนผืนแผ่นดินฝรั่งเศส

คู่มือฉบับนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น วิธีป้องกันตัวจากภัยธรรมชาติ การโจมตีทางไซเบอร์ หรือภาวะขาดแคลนพลังงาน รวมถึงขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดสงคราม คู่มือนี้จะเน้น การจัดเตรียมสิ่งของจำเป็น อาทิ เสบียงอาหาร น้ำดื่ม ยา และอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ตลอดจนแนวทางในการหาที่หลบภัยและการติดต่อหน่วยงานฉุกเฉิน

แหล่งข่าวจากรัฐบาลระบุว่า การแจกคู่มือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเพิ่ม ความตระหนักและความพร้อม ของประชาชนต่อสถานการณ์ความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปในยุโรป โดยเฉพาะจาก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยคุกคามด้านความมั่นคง ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“คู่มือเอาตัวรอดนี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นให้ประชาชนพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวเมื่อเผชิญกับวิกฤตต่างๆ” ​โฆษกของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ บายรู กล่าวกับ CNN เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ด้าน ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงมองว่า ฝรั่งเศสอาจได้รับแรงกดดันให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น เช่น สงครามในยุโรป ความตึงเครียดกับรัสเซีย หรือภัยคุกคามจากการก่อการร้าย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องสร้างความตื่นตัวในหมู่ประชาชน

ทั้งนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสคาดว่าจะเริ่มแจกจ่ายคู่มือฉบับนี้ ภายในปี 2025 โดยจะส่งตรงไปยังที่พักอาศัยของประชาชน และสามารถเข้าถึงในรูปแบบ ดิจิทัล ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ

มาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ฝรั่งเศสออกแนวทางเตรียมพร้อมในลักษณะนี้ ซึ่งสะท้อนถึง ระดับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลต่อภัยคุกคามในอนาคต

ปตท. ทุ่ม 1.6 หมื่นลบ. ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หวังสร้างความเชื่อมั่นและความสามารถในการทำกำไร

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ขอเรียนต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ทราบว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้น คืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) 

ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 16,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะ ซื้อคืนไม่เกิน 470 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 1.65 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ด้วยวิธีจับคู่ อัตโนมัติผ่านระบบการซื้อขายของ ตลท. (Automatic Order Matching: AOM) และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้น คืนไม่เกิน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2568 

ทั้งนี้ บริษัทมีประมาณการเงินสดคงเหลือประมาณ 124,194 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีประมาณการหนี้สินที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนประมาณ 84,325 ล้านบาท 

โดยยังไม่รวมกับกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานและกระแสเงินสดรับจากการลงทุนที่บริษัทจะได้รับในอีก 6 เดือนข้างหน้าประมาณ 63,944 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทจึงมีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน และมีกระแสเงินสดส่วนเกินเพียงพอที่จะนำมาซื้อหุ้นคืนตามโครงการนี้

สำหรับ เหตุผลในการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุนและผู้ถือหุ้นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

‘ทรัมป์’ ลงนาม ปูทางยุบกระทรวงศึกษาฯ ฝ่ายค้านเตือนเตรียมรับผลกระทบที่ร้ายแรง

(21 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศไปตลอดกาล โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การยุบกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักของรัฐบาลกลาง

คำสั่งดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คำสั่งปรับปรุงผลลัพธ์ทางการศึกษา ด้วยการส่งเสริมผู้ปกครอง รัฐ และชุมชน” โดยทรัมป์ย้ำว่า การปิดกระทรวงศึกษาธิการเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง” และรัฐบาลจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

ภายใต้คำสั่งนี้ รัฐบาลกลางจะ ลดบทบาทของตนในด้านการศึกษา และ กระจายอำนาจ ไปยังระดับรัฐและท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งทรัมป์เชื่อว่า รัฐและผู้ปกครองควรเป็นผู้กำหนดแนวทางการศึกษาเอง มากกว่าถูกกำกับโดยรัฐบาลกลาง

“เราต้องให้พ่อแม่ ชุมชน และรัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กๆ ไม่ใช่ข้าราชการในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าวระหว่างการลงนาม

แผนการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มองว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ มีบทบาทมากเกินไปและไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการเรียนการสอน 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามรวมถึงพรรคเดโมแครต และองค์กรด้านการศึกษาออกมาคัดค้านอย่างหนัก โดยเตือนว่า การยุบกระทรวงอาจส่งผลให้การศึกษาขาดมาตรฐานและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา

สหพันธ์ครูแห่งอเมริกาออกแถลงการณ์ว่า “ไม่มีใครชอบระบบราชการ และทุกคนก็เห็นด้วยกับประสิทธิภาพที่มากขึ้น ดังนั้นเรามาหาวิธีการทำให้สำเร็จกันดีกว่า แต่อย่าใช้การ 'ทำสงครามกับคนตื่นรู้' เพื่อโจมตีเด็กที่อาศัยอยู่ในความยากจนและเด็กพิการ”

เบ็ตซี่ เดวอส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการกระจายอำนาจทางการศึกษา กล่าวว่าการยุบกระทรวงเป็น 'ก้าวที่กล้าหาญ' ที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน ขณะที่นักวิจารณ์มองว่า อาจทำให้โครงการช่วยเหลือนักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบ

แม้ว่าคำสั่งบริหารฉบับนี้จะเป็นก้าวแรกสู่การปิดกระทรวงศึกษาธิการ แต่การดำเนินการจริงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'สภาคองเกรส' ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อแผนของทรัมป์

ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปิดกระทรวง แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่าจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ร้อนแรงในวงการการศึกษาและการเมืองของสหรัฐฯ

ธนาคารกลางโลกสะสมทองคำเพิ่มกว่า 1,044.6 เมตริกตัน ปี 2024 เอเชีย ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกาตื่นตัว เพิ่มทองคำสำรองลดความเสี่ยง

(21 มี.ค. 68) ในปี 2024 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่การถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกทะลุ 1,000 เมตริกตัน โดยเพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 1,044.6 เมตริกตัน ตามรายงานล่าสุดของ สภาทองคำโลก (WGC) สะท้อนแนวโน้มการกระจายความเสี่ยง และลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่กำลังเผชิญความไม่แน่นอน

ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะใน เอเชีย ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา หันมาเพิ่มทองคำสำรองเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก รวมถึงการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่ทำให้หลายชาติเริ่มมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ

“ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา (counterparty risk) และสามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาว ทำให้หลายประเทศใช้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองระหว่างประเทศ” สภาทองคำโลก (WGC) ระบุ

ทั้งนี้ ปริมาณทองคำสำรองของธนาคารกลางเพิ่มขึ้นกว่า สองเท่า ระหว่างปี 2021 ถึง 2024 โดยสัดส่วนของทองคำในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 12.9% ในปลายปี 2021 เป็น 15.3% ในสิ้นปี 2023 และแตะระดับ 18.4% ในปลายปี 2024

จากผลสำรวจของ WGC ในปี 2024 พบว่า 81% ของผู้บริหารธนาคารกลางทั่วโลกคาดการณ์ว่าปริมาณทองคำสำรองจะเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย WGC ระบุว่าแนวโน้มการซื้อทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการทองคำในปีนี้

สำหรับ 10 อันดับประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก ประกอบด้วย

1. สหรัฐอเมริกา – ครองแชมป์อันดับ 1 ด้วยทองคำสำรอง 8,133.46 เมตริกตัน มากที่สุดในโลก และยังคงเป็นหนึ่งในเสาหลักของระบบการเงินระหว่างประเทศ
2. เยอรมนี – มีทองคำสำรอง 3,351.53 เมตริกตัน ถือเป็นประเทศที่มีทองคำมากที่สุดในยุโรป และมีการนำทองคำที่เคยฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาเพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงิน
3. อิตาลี – อยู่ในอันดับ 3 ด้วยปริมาณทองคำ 2,451.84 เมตริกตัน ซึ่งธนาคารกลางของอิตาลียังคงถือครองไว้โดยไม่มีแผนขายออก
4. ฝรั่งเศส – ตามมาติด ๆ ในอันดับ 4 กับทองคำสำรอง 2,437 เมตริกตัน ซึ่งถูกเก็บรักษาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
5. รัสเซีย – รั้งอันดับ 5 ด้วยทองคำ 2,332.74 เมตริกตัน โดยรัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่เพิ่มทองคำสำรองอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
6. จีน – มีทองคำสำรอง 2,279.56 เมตริกตัน โดยรัฐบาลจีนยังคงซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจ
7. สวิตเซอร์แลนด์ – แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีทองคำสำรองถึง 1,039.94 เมตริกตัน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
8. อินเดีย – ถือครองทองคำ 876.18 เมตริกตัน โดยอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความต้องการทองคำสูงที่สุดในโลก เนื่องจากวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่ผูกพันกับทองคำ
9. ญี่ปุ่น – มีทองคำสำรอง 845.97 เมตริกตัน โดยธนาคารกลางญี่ปุ่นใช้ทองคำเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์รักษาเสถียรภาพทางการเงิน
10. เนเธอร์แลนด์ – ปิดท้าย 10 อันดับแรกด้วยทองคำสำรอง 612.45 เมตริกตัน โดยมีนโยบายเก็บรักษาทองคำในประเทศและทยอยนำทองคำที่เคยฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืน

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า แนวโน้มการสะสมทองคำจะดำเนินต่อไป โดยเฉพาะจากประเทศที่ต้องการลดการพึ่งพาระบบการเงินตะวันตก และป้องกันความเสี่ยงจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

การเคลื่อนไหวนี้เป็นสัญญาณว่า โลกกำลังปรับโครงสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศครั้งใหญ่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top