Tuesday, 3 June 2025
ค้นหา พบ 48542 ที่เกี่ยวข้อง

ค่ายแถลงยอมรับแล้ว 'คิมซูฮยอน' คบกับ 'คิมแซรน' จริง แต่เป็นช่วงที่บรรลุนิติภาวะแล้ว เผยพระเอกดังเครียดและกดดันหนัก

(14 มี.ค.68) หลังจากที่วานนี้ต้นสังกัด'คิมซูฮยอน' (KimSooHyun) อย่าง GOLD MEDALIST ออกแถลงการณ์ถึงประเด็นดราม่าร้อน ระบุว่า "เราขอชี้แจงเกี่ยวกับคอนเทนต์ล่าสุด ที่พาดพิงถึง 'คิมซูฮยอน' ซึ่งออกอากาศทางช่อง YouTube HoverLab Inc ทางบริษัท GOLD MEDALIST จะชี้แจงข้อเท็จจริงและตอบโต้ข่าวลือที่ปราศจากความจริงเหล่านั้น ด้วยข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และมีเหตุผลในสัปดาห์หน้า"

ความคืบหน้าล่าสุด ต้นสังกัดคิมซูฮยอน GOLD MEDALIS ออกแถลงการณ์เร่งด่วนในวันนี้ว่า โดยระบุว่าตอนแรกจะแถลงสัปดาห์หน้าทีเดียว แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของ'คิมซูฮยอน'ไม่เป็นปกติ เพราะถูกสังคมประณามว่าเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของ'คิมแซรน' ทางค่ายจึงต้องออกมาแถลงเร่งด่วนในบางประเด็น 

- 'คิมซูฮยอน' นักแสดงชื่อดัง ออกมายอมรับว่าเคยคบหากับ 'คิมแซรน' จริง แต่เป็นหลังจากที่เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้ง 2 เคยคบกัน ช่วงปี 19-20 ซึ่ง คิมแซรนบรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาที่ว่าเขาคบกับเธอตั้งแต่ยังเป็นผู้เยาว์นั้นไม่เป็นความจริง ทางต้นสังกัดยังชี้แจงเกี่ยวกับ ภาพถ่ายของทั้งสองที่ถูกเปิดเผยโดยช่อง YouTubeว่าภาพทั้งหมดถูกถ่ายหลังจากที่คิมแซรนบรรลุนิติภาวะแล้ว

- ภาพถ่ายอีกชุดที่ยูทูบเบอร์ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ว่า ภาพนี้ถูกถ่ายในวันที่ 24 ธันวาคม 2019 (วันคริสต์มาสอีฟ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองคบหากัน ส่วนภาพที่ยูทูบเบอร์อ้างว่าเป็นภาพจากปี 2016 นั้นไม่มีอยู่จริง เนื่องจากในเวลานั้นทั้งสองไม่ได้คบหากัน
- จดหมายรัก และภาพถ่ายช่วงที่คิมซูฮยอน เข้าเกณฑ์ทหารนั้น เป็นแค่จดหมายเขียนเล่าสารทุกข์สุขดิบ ตอนเขาฝึกทหารธรรมดา ๆ เท่านั้น ตอนนั้นยังไม่ได้คบกัน ที่เขียนในจดหมายว่า "ผมคิดถึงคุณนะ" ไม่ได้เขียนถึงคนรัก แต่เขียนบอกว่าคิดถึงเพื่อนคิดถึงคนรู้จักแค่นั้นเอง  ทางต้นสังกัดยังอธิบายเกี่ยวกับ คำว่า 'แซโรแนโร (새로네로)' ที่ถูกใช้ในจดหมาย โดยระบุว่า 'แซโรแนโร' เป็นชื่อที่คิมแซรนใช้เป็นฉายาของตัวเองบนโซเชียลมีเดียตั้งแต่ปี 2016 ไม่ใช่คำที่ใช้เรียกระหว่างเธอกับคิมซูฮยอน

- ข้อกล่าวหาว่า 'คิมซูฮยอน' เพิกเฉยต่อปัญหาทางการเงินของ 'คิมแซรน' นั้นไม่เป็นความจริง เรื่องหนี้สินเป็นปัญหาระหว่าง'คิมแซรน'กับทางค่าย gold medalist (ซึ่งคิมซูฮยอนเป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้น) เท่านั้น ต้นสังกัดอธิบายว่าในช่วงหลังจากที่คิมแซรนถูกฟ้องร้องจากกรณีเมาแล้วขับ บริษัทได้ช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย รวมถึงค่าเสียหายที่ต้องจ่ายให้กับร้านค้าต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุของเธอ พร้อมกันนี้ทาง gold medalist ยังบอกอีกว่า บริษัทพยายามอย่างเต็มที่ในการลดภาระของ 'คิมแซรน' และหลังจากมีการเจรจา เราสามารถลดจำนวนหนี้ที่เหลือได้เหลือประมาณ 700 ล้านวอน

- ต้นสังกัดยังกล่าวอีกว่า 'คิมแซรน' นั้นพยายามอย่างเต็มที่ในการชำระหนี้ แต่เนื่องจากเธอประสบปัญหาในการกลับมาทำงานในวงการบันเทิง จึงทำให้การชำระหนี้เป็นไปได้ยาก เนื่องจากเธอไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่เหลือ ทางบริษัทจึงตัดสินใจรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เหลือทั้งหมด และได้ดำเนินการปิดบัญชีค่าใช้จ่ายในเดือนธันวาคม 2023 การกล่าวหาว่า 'คิมซูฮยอน' มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง หรือเรียกร้องเงินจากเธอนั้นไม่เป็นความจริง

- ตอนที่ 'คิมซูฮยอน' ได้รับข้อความจาก'คิมแซรน'ขอให้เขาผ่อนปรนหนี้ ทางค่าย gold medalist เองที่เป็นผู้ห้ามปรามเขาไม่ให้ตอบข้อความกลับไปเอง

- Gold Medalist เปิดเผยว่า คิมซูฮยอนกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางจิตใจอย่างรุนแรงจากข่าวลือดังกล่าว โดยเดิมทีทางบริษัทวางแผนที่จะออกแถลงการณ์ในสัปดาห์หน้า แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงต้องรีบออกแถลงการณ์ก่อนกำหนด 

ร้านหม้อไฟชื่อดัง ประกาศจ่ายเงินชดเชยให้ลูกค้า 4,000 ราย หลังเกิดเหตุการณ์วัยรุ่นปัสสาวะลงในหม้อซุป สร้างความตกใจไปทั่วโลก

(14 มี.ค. 68) ร้านหม้อไฟชื่อดัง 'ไหตี่เลา' (Haidilao) ประเทศจีน ประกาศจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับลูกค้ากว่า 4,000 รายที่เคยไปใช้บริการที่สาขาหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในร้านอาหารสาขาดังกล่าว โดยเหตุการณ์นี้ได้สร้างความไม่พอใจและความวิตกกังวลให้กับลูกค้าอย่างมาก

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดหลังปรากฏคลิปวิดีโอวัยรุ่น 2 คนยืนปัสสาวะ ลงในหม้อซุปของทางร้านจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทำให้เกิดความตกใจและไม่พอใจในหมู่ลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ทำงานภายในร้าน 

ส่งผลให้ต่อมาร้านหม้อไฟชื่อดังได้ทำการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเจี้ยนหยาง มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซึ่งทางตำรวจได้เปิดเผยว่า 

ผู้ต้องหาทั้งสองราย คือชายแซ่ถังและแซ่อู๋ อายุ 17 ปี ได้ถูกจับกุมตัวและนำตัวไปสอบสวน โดยทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาก่อเหตุที่ไม่เหมาะสมในสถานที่สาธารณะ ซึ่งทางตำรวจกำลังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ทั้งนี้ ทางร้านไหตี่เลาได้ออกมาขอโทษลูกค้าและยืนยันว่า จะมีการปรับปรุงการบริการและการดูแลลูกค้าในทุกสาขา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ ทางร้านยังยืนยันว่าจะมีการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพภายในร้านอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

บริษัทไหตี่เลา ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราเข้าใจดีว่าความเดือดร้อนที่ลูกค้าของเราได้รับจากเหตุการณ์นี้ไม่อาจชดเชยได้ทั้งหมดด้วยวิธีใดๆ เราเต็มใจที่จะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรับผิดชอบ” 

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว จะได้รับการชดเชยเป็นเงินเยียวยาที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายและความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น โดยทางร้านได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการอย่างรวดเร็วและยุติธรรม

มติ รทสช. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจแก้รัฐธรรมนูญ ให้ชี้ชัด ต้องทำประชามติถามความเห็นประชาชนก่อนหรือไม่

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เผยพรรคมีมติเห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ปมอำนาจสภาในการแก้รธน. ย้ำแก้รธน. เรื่องใหญ่ ทำประชามติใช้งบ 4,000 ลบ. จึงต้องรอบคอบ ชัดเจน 

(14 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงการประชุมร่วมรัฐสภาที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2568 นี้ ซึ่งจะมีการพิจารณาใน 2 ญัตติเกี่ยวกับประเด็นอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกวุฒิสภา และญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

โดยนายอัครเดช ระบุว่า แต่เดิมในเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ออกมาแล้วว่า การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีการทำประชามติให้ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนก่อนว่าสมควรให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าประชาชนเห็นสมควร จึงจะสามารถเดินหน้าขอแก้ไขตามมาตรา 256 เพื่อปูทางไปสู่การจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ในเมื่อขณะนี้เกิดปัญหาขึ้นว่ามีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเห็นต่างว่าสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่ประชุมสภาได้ทันที โดยไม่ต้องทำประชามติ รับฟังความเห็นจากประชาชนก่อน

พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้ประชุมและพิจารณาในเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประเทศชาติและคนไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้มีมติเห็นสมควรว่า ให้เห็นชอบกับทั้ง 2 ญัตติดังกล่าว ในการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาในวันจันทร์นี้ เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย เกิดความกระจ่างชัดเจนและไม่เป็นประเด็นปัญหาในภายหลังที่อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติได้

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งการทำประชามติแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณมากถึง 4,000 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและรอบคอบ พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงเห็นควรว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้เกิดความกระจ่างแจ้งอีกครั้ง” นายอัครเดช กล่าว

ศรชล.ภาค 1 หน่วยปกป้อง ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล ครบรอบ 6 ปี

ที่อาคาร ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 เป็นประธานในพิธี จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ศรชล.ภาค 1 ครบรอบ 6 ปี แห่งการก่อตั้ง โดยมีหัวหน้าหน่วยงาน กองทัพเรือ จากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้เกียรติมาแสดงความยินดี 

ซึ่งการจัดงาน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อความเป็นสิริมงคลของหน่วยงาน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีและความภาคภูมิใจแก่ กำลังพล และเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่อีกทางหนึ่งด้วย

พลเรือตรี ไชยนันท์ ชูใหม่ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ศรชล.ภาค 1) ผู้แทน ผอ.ศรชล.ภาค 1 กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 หรือ ศรชล.ภาค 1 ก่อตั้งขึ้นจากศูนย์ประสานการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เนื่องจากประเทศไทย มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจทางทะเล อยู่หลายหน่วยงาน อาจมีช่องว่างในการประสานงาน จึงก่อเกิดการบูรณาการการปฏิบัติงานหน่วยงานทางทะเลต่าง ๆ ให้ร่วมกันปกป้อง ป้องกัน ปราบปราม รวมถึงอนุรักษ์ ในรูปแบบของศูนย์ประสานงาน   

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะ มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล อันพึงได้รับจากกิจกรรมทางทะเล ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การพาณิชยนาวี การประมง การท่องเที่ยว การแสวงประโยชน์จากทรัพยากรที่ไม่มีชีวิต การวางสายเคเบิลท่อใต้ทะเล การอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง การป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การสำรวจวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อ "นายกรัฐมนตรี"

โดยมุ่งเน้นความมั่นคงทางทะเล แบบองค์รวม จึงมีการบูรณาการหน่วยงานหลักของ ศรชล.7 หน่วยงาน ในการบังคับใช้กฎหมายในทะเล และให้ความคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ประโยชน์ของชาติทางทะเล 

สำหรับผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ คือ การช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว การส่งกลับผู้เจ็บป่วยสายแพทย์ การบูรณาการหน่วยงานทางทะเลและหน่วยงานความมั่นคงทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในการสกัดการกระทำความผิดกฎหมายทางทะเล การทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว การสร้างความตระหนักรู้ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพื่อตอบสนองภารกิจ การแก้ไขปัญหา เพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานของรัฐในการป้องกัน ปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเล 

'เชียงราย' ไทย-ลาว จับมือแน่น! ขับเคลื่อนแผน 'SEAL STOP SAFE' สกัดยาเสพติดทะลักชายแดน

ภายใต้แผนปฏิบัติการ 'SEAL STOP SAFE' ตามนโยบายรัฐบาลไทย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน แม่ทัพน้อยที่ 3/ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (ผบ นบ.ยส.35) พร้อมคณะทำงานจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 (ปปส.ภาค 5) ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม พ.ศ. 2568 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด

**วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาคณะฯ ได้เดินทางไปยังแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยเริ่มจากการตรวจเยี่ยมและประสานการปฏิบัติงาน ณ ด่านสกัดกั้นยาเสพติดร่วมน้ำเกิ๋ง เมืองต้นผึ้ง ซึ่งมี พ.ท.วิไลสัก กิดติมานุรัก รองหัวหน้าด่านน้ำเกิ๋ง ให้การต้อนรับ จากนั้น คณะฯ ได้เข้าพบปะหารือและประสานงานด้านยาเสพติด ณ กองบัญชาการป้องกันความสงบ แขวงบ่อแก้ว โดยมี พล.จ.จันพอนเพ็ด คำสี หัวหน้ากองบัญชาการป้องกันความสงบแขวงบ่อแก้ว ให้การต้อนรับ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในการสกัดกั้นยาเสพติด รวมถึงการประสานงานเพื่อจับกุมผู้ต้องหาในคดียาเสพติดที่อาจหลบหนีเข้ามาใน สปป.ลาว นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้มอบยุทโธปกรณ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ลาวในการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่แขวงบ่อแก้ว

**วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมาคณะฯ ได้เข้าพบปะหารือและประสานงานความร่วมมือด้านยาเสพติดกับ ดร.คำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว ณ ห้องว่าการแขวงบ่อแก้ว เมืองห้วยทราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมการหารือ อาทิ นบ.ยส.35, อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติดประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์, ปปส.ภาค 5, รอง ผอ.รมน.จว.ช.ร., ฝ่ายปกครองอำเภอพื้นที่ติดแนวชายแดน สปป.ลาว, กองบัญชาการป้องกันความสงบแขวง (ตำรวจ), กองบัญชาการทหารแขวงฯ และแผนกการต่างประเทศแขวง การหารือในครั้งนี้เป็นการแนะนำตัวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน

การเดินทางเยือน สปป.ลาว ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ

การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และกำหนดแนวทางความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติดร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองประเทศ

พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่างไทยและลาวในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เราจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยร้ายนี้"

ด้าน ดร.คำผะหยา พมปันยา กล่าวว่า "รัฐบาลลาวให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด และพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งสองประเทศ"

การหารือครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง และเป็นสัญญาณที่ดีของความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในการต่อสู้กับภัยร้ายนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top