Thursday, 5 June 2025
ค้นหา พบ 48576 ที่เกี่ยวข้อง

ทรัมป์ขู่เก็บภาษี 200% แอลกอฮอล์นำเข้าจากยุโรป ฝรั่งเศสไม่ยอมจำนนเตรียมปะทะทางการค้า เพื่อปกป้องไวน์และแชมเปญ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ที่จะเก็บภาษี 200% จากไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากสหภาพยุโรปไม่ยกเลิกการเก็บภาษี 50% ต่อสุรานำเข้าจากสหรัฐฯ

การตอบโต้ทางการค้านี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่งผลให้สหภาพยุโรป ได้ประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร (ราว 949.78 พันล้านบาท) ซึ่งรวมถึงวิสกี้และเหล้าเบอร์เบิน

ทรัมป์ระบุว่า หากยุโรปไม่ยกเลิกภาษีดังกล่าว สหรัฐฯ จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 200% ต่อไวน์ แชมเปญ และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทั้งหมดจากฝรั่งเศสและประเทศสมาชิก EU อื่นๆ เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจไวน์และแชมเปญในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไวน์และสุราของยุโรป รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น

โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว หุ้นของบริษัทผู้ผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ เช่น LVMH, Pernod Ricard และ Rémy Cointreau ต่างปรับตัวลดลงกว่า 3% หลังมีข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของทรัมป์

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกที่ตกลงกันได้ อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ขยายวงกว้างและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส โลรองต์ แซงต์-มาร์แตง ประณามการกระทำของทรัมป์ โดยระบุว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่และจะปกป้องอุตสาหกรรมของตน

“ฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ดังกล่าว และเราจะปกป้องอุตสาหกรรมของเราอย่างเต็มที่ การกระทำของสหรัฐฯ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเราพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส กล่าว 

โฆษกฝ่ายการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป โอลอฟ กิล เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทันที และแสดงความพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

“ภาษีเหล่านี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสีย เราควรจะมุ่งเน้นที่การเก็บภาษีที่สร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่ายดีกว่า” นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่าสหภาพยุโรปกำลังเตรียมหารือกับสหรัฐฯ ทางโทรศัพท์ในเร็ว ๆ นี้ นายโอโลฟ กิลล์ โฆษกด้านการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว

ม.รังสิต ผนึกกำลัง 2 สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES - SPUTNIK ระดมผู้เชี่ยวชาญร่วมถ่ายทอดความรู้พัฒนาวงการสื่อสารมวลชนยุค AI

ครั้งแรกในประเทศไทย กับการผนึกกำลังของ 2 หน่วยงานด้านสื่อออนไลน์ ระหว่างสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES จากประเทศไทย กับ สำนักข่าว SPUTNIK ของรัสเซีย พร้อมด้วยวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต จัดสัมมนา THE FUTURE JOURNALISM 2025 'AI กับ สื่อสารศาสตร์ยุคใหม่' ร่วมขับเคลื่อนวงการสื่อสารมวลชนไทย

(14 มี.ค. 68) ผศ.ดร. สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า อย่างที่เราทราบกันดีว่า AI ได้เข้ามามีบทบาทการทำงานในโลกของสื่อยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากสื่อชั้นนำระดับโลก รวมถึงสื่อไทย ได้นำเทคโนโลยีด้าน AI มาช่วยประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน รวมไปถึงขั้นที่นำไปสร้างคอนเทนต์ข่าวกันอย่างแพร่หลาย ในวันนี้ เราจะมาร่วมกันเสริมความรู้และแนวทางในการนำเสนอข่าวสารยุคใหม่ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นถึงทิศทางการนำเสนอข่าวสารในโลกยุค AI ที่ต้องรู้เท่าทัน เพราะมีความหลากหลายและซับซ้อนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในการเสนอข่าวสารและการรับรู้ข่าวสาร

ด้าน ฯพณฯ นายเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ประจำราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า ขณะนี้เรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในวิธีการสร้างเผยแพร่และบริโภคข้อมูล ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำมาซึ่งโอกาสใหม่ที่น่าทึ่ง  แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายที่สำคัญต่อความจริง ความเป็นกลางและจริยธรรมของสื่อมวลชนการเติบโตของสื่อที่สร้างข้อมูลด้วย ai ได้เปิดขอบเขตใหม่ในการเข้าถึงข้อมูล

อย่างไรก็ตามเราไม่ควรมองข้ามภัยคุกคามที่มากับความก้าวหน้าดังกล่าวการแพร่ระบาดของข่าวปลอมวิดีโอที่ใช้เทคโนโลยี deepfakes และการใช้ระบบอัลกอริทึมในการกำหนดเนื้อหาข่าวท้าทายความสามารถของเราที่จะแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและเรื่องที่แต่งขึ้น 

ทั้งนี้ ในยุคที่ข้อมูลเท็จแพร่กระจายได้เร็วกว่าที่เคยเป็นมาบทบาทของนักข่าวและผู้แสวงหาความจริงจึงมีความสำคัญมากกว่าครั้งไหน ๆ หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดที่เราต้องเผชิญในวันนี้คือการใช้ข้อมูลเป็น อาวุธ ข่าวปลอมไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของข้อผิดพลาดอีกต่อไปแต่มันได้กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการกำหนดมุมมองมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณะและบิดเบือนความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ ตัวอย่าง เช่น เทคโนโลยี deepfakes ที่ขับเคลื่อนด้วย ai สามารถปลอมแปลงคำพูดของผู้นำโลกบิดเบือนบันทึกทางประวัติศาสตร์และสร้างการบิดเบือนเหตุการณ์ปัจจุบันซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อการทูต ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเสถียรภาพของสังคม

นอกจากนี้เราต้องยอมรับถึงอิทธิพลของสื่อกระแสหลักจากโลกตะวันตกที่ครอบงำการกำหนดกรอบเนื้อหาในระดับสากลหลายครั้งที่เหตุการณ์ระหว่างประเทศถูกนำเสนอผ่านมุมมองเพียงด้านเดียวโดยละเลยความหลากหลายของมุมมองที่มีอยู่ในโลกที่มีหลายขั้วทางอำนาจ  การนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งเศรษฐกิจและการเมืองโดยสื่อกระแสหลักของตะวันตกมักจะสร้างความไม่สมดุลในการรับรู้ของผู้ชม สื่อสารมวลชนจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมความหลากหลายและการเปิดกว้างต่อมุมมองที่แตกต่างกันเพื่อให้เกิดสังคมโลกที่ได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน

“รัสเซียให้ความสำคัญกับหลักการอธิปไตยทางสื่อและความจำเป็นในการมีมุมมองทางเลือกมาโดยตลอด เราเชื่อว่า หาก ai ถูกใช้อย่างเกิดประโยชน์จะสามารถช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางสื่อได้ โดยช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและเปิดโอกาสให้แนวคิดต่างๆไหลเวียนอย่างเสรี แต่การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างนักข่าว นักวิชาการ และภาครัฐที่ต้องร่วมมือกันกำหนดแนวทางด้านจริยธรรมสำหรับการใช้เอไอในวงการสื่อมวลชน พร้อมดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้นและส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อเพื่อให้ประชาชนสามารถป้องกันตัวเองจากข้อมูลเท็จได้ ขณะที่เรากำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการสื่อสาร เราต้องยึดมั่นในความถูกต้องความรับผิดชอบและความเป็นธรรม อนาคตของสื่อสารมวลชนขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการปกป้องความจริงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว” 

นายอนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเราอย่างมาก รวมทั้งในวงการสื่อสารมวลชนด้วย ดังจะเห็นได้จากการเขียนบทความหรือเขียนข่าว เริ่มใช้ AI กันมากขึ้น แม้บทบาทการตัดสินใจเลือกประเด็นข่าวและกำรตรวจทานเนื้อหา ยังคงเป็นหน้าของบรรณาธิการ แต่กระบวนการเขียน โครงสร้างของบทความล้วนขับเคลื่อนด้วยพลังของ AI แทบทั้งสิ้น

รวมถึงกระบวนการคัดเลือกและจัดเรียงพาดหัวข่าวด้วย ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการสื่อ พบว่า สื่อไทยเปิดรับและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี AI ได้ค่อนข้างไวกว่าประเทศรอบข้าง ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจล่าสุดที่สะท้อนมุมมองในแง่ดีของการนำ AI มาใช้ โดยผลสำรวจความคิดเห็นของนักข่าว 70 คนใน 4 ประเทศได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์และไทย พบว่านักข่าวส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงบวกต่อการนำ AI มาใช้ในวงการสื่อโดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีระดับการยอมรับและปรับตัวสูงถึง 95% เป็นรองแค่เพียงเวียดนามเท่านั้นที่ให้การยอมรับถึง 100% โดยผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งเป็นสื่อในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่า AI ส่งผลดีต่องานของตนถึง 84% ขณะที่ 4% มองว่าไม่มีผลใด ๆ และ 12% มองในแง่ลบ

ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งที่นักข่าวไทยมีอัตราการมอง AI ในแง่บวกสูงอาจเป็นเพราะสื่อไทยใช้ภาษาไทยเป็นหลักจึงเกิดความรู้สึกว่า AI อาจคุกคามการทำงานของตนน้อยกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค สวนทางกับฟิลิปปินส์ที่มีอัตราการมองในแง่บวกต่ำสุดและมองในแง่ลบสูงสุดเนื่องจากสื่อท้องถิ่นใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลายนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการนำเสนอเทคโนโลยีข่าวสารด้วย AI  ได้นำไปสู่ปัญหาหลายประการที่กระทบต่อหลักจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อร้ายแรง ตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในต่างประเทศ เช่น ข้อมูลผิดพลาด คำนวณเลขผิดพลาด ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะ สมลอกเลียนเนื้อหาจากสำนักข่าวอื่นโดยไม่ใส่ที่อย่างชัดเจน เป็นต้น ดังนั้นความสามารถเฉพาะทางของมนุษย์ยังคงมีความสำคัญและถึงแม้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในวงการสื่อสารมวลชนมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถมาทดแทนศักยภาพของมนุษย์ไปได้ โดยเฉพาะในด้านความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจเชิงจริยธรรมการปรับตัวและพัฒนาทักษะให้เข้ากับยุค AI จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ทำงานในวงการสื่อเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึง

ด้านนายวินท์ สุธีรชัย กรรมการปรับปรุงและยกร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในฐานะอยู่ทั้งในแวดวงการเมืองและธุรกิจ มองว่า โลกของข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันก้าวไปเร็วไปมากและเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง และที่สำคัญมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม นั่นจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ที่รับข้อมูลข่าวสารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการรับรู้ข้อมูล ต้องกรองข่าวนั้นให้ดีก่อนจะเชื่อ อย่าเพิ่งไปเชื่อสิ่งที่เราเห็นในครั้งแรก ต้องหาข้อมูลให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นสิ่งที่ AI สร้างขึ้นมาเป็นข่าวลวง จากนั้นจึงจะเป็นขั้นต่อไปว่า จะเผยแพร่ต่อหรือนำไปเตือนไปใช้อย่างไรต่อไป 

ขณะที่ นายวาซิลี พุชคอฟ ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมการผลิตข่าวสารในปัจจุบันมีความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะการที่เทคโนโลยียิ่งมีความรวดเร็วทันสมัยยิ่งทำให้สำนักข่าวต่างๆ ต้องปิดตัวไปจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่าน ขณะที่ สำนักข่าว Sputnik เอง ได้พัฒนาตัวเองมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีทั้งเว็บไซต์และโมบาย แอปพลิเคชัน และมีการแปลไปถึง 30 ภาษา 

และหากมองถึงในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร เทียบประเทศไทยกับรัสเซีย จะเห็นว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้า แต่ก็ยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่บ้าง ดังที่เห็นได้จากการยังคงมีหนังสือพิมพ์อยู่ ในขณะที่ในมอสโกแทบจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางขายแล้ว โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิดที่สำนักพิมพ์เกือบทั้งหมดยุติการพิมพ์ไปแล้ว

หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ก็แทบจะไม่ดูกันแล้วในรัสเซีย โดยหันมาใช้โปรแกรม Telegram ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างแพร่หลาย เพราะฉะนั้น ในวงการสื่อสารมวลชนแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน และอาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุนใหม่ๆ ในวงการสื่อ อีกทั้งยังพบว่า AI เป็นความท้าทาย โดยเฉพาะการใช้ทำข่าวปลอม ซึ่งหลาย ๆ ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ถ้ามองโลกในแง่ดีก็คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ ๆ แต่หากมองในแง่ร้าย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งนี้กำลังจะทำลายวงการสื่อสารมวลชนได้เช่นเดียวกัน

“สำหรับในส่วนของการนำเสนอข่าวของ Sputnik นั้น จะมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะนำเสนอข่าวออกไป โดยยึดมั่นในข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ โดยบรรณาธิการข่าวแต่ละคนจะต้องตระหนักในเรื่องเหล่านี้ เพื่อป้องกันการนำเสนอข่าวปลอมที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นๆ และจะต้องไม่รับฟังแค่ข่าวด้านเดียว ต้องฟังอย่างรอบด้านก่อนจะนำเสนอออกไป และแม้ว่า AI อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่ออย่างหนัก แต่เชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์เหนือกว่า ก็คือการปรับตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้เป็นอย่างดีมาตลอด”

‘ฮุนได’ ปักหมุดอุบล!! ผุดโชว์รูม ‘ฮุนได ดี ออโต้’ รองรับการเติบโต!! ตลาดรถยนต์ในภาคอีสาน

(15 มี.ค. 68) บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าขยายบริการสู่ระดับภูมิภาคตามกลยุทธ์ธุรกิจปี 2568 เปิดตัวโชว์รูม ฮุนได ดี ออโต้ อุบลราชธานี รองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ในภาคอีสาน พร้อมมอบประสบการณ์ลูกค้าระดับสากลบนมาตรฐาน Global Dealership Space Identity (GDSI 2.0) ด้วยดีไซน์โชว์รูมที่ครบครันด้วย 3 S Sale, Service, Spare parts โดยเตรียมพร้อมการบริการหลังการขายโดยทีมช่างผู้ผ่านการอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มรถยนต์สันดาปและรถไฟฟ้า

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การขยายเครือข่ายโชว์รูมคือกลยุทธ์หลักของฮุนไดในการเสริมสร้างการเติบโตที่มั่นคงในประเทศไทย ซึ่งอุบลราชธานีถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพสูง เราจึงต้องการให้ลูกค้าในพื้นที่นี้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น การลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงยกระดับศักยภาพด้านการขาย หากยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการมอบบริการระดับพรีเมียมและการดูแลหลังการขายที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าในเมืองไทย” 

โชว์รูม ฮุนได ดี ออโต้ อุบลราชธานี มีพื้นที่กว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกลูกค้าในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียงอย่างครบวงจร ศูนย์บริการมาตรฐานขนาดพร้อมรองรับปริมาณงานซ่อมได้มากกว่า 3,000 คันต่อปี ดำเนินงานโดยทีมงานฝ่ายขายและช่างเทคนิคที่ได้รับการฝึกอบรมระดับมืออาชีพ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับบริการหลังการขายในภูมิภาค

นายปัณณพัฒน์ เลาหเธียรประธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี ออโต้ อุบลราชธานี กล่าวว่า “พร้อมให้บริการลูกค้าในภาคอีสานด้วยมาตรฐานโชว์รูมและศูนย์บริการ เรามีทีมงานที่พร้อมนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจกว่า 30 ปี ให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่การเลือกซื้อรถ ไปจนถึงบริการหลังการขายที่ครบวงจร

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าทุกคน และพร้อมขับเคลื่อนฮุนไดให้เป็นแบรนด์ยานยนต์ชั้นนำที่ลูกค้าในประเทศไทยให้ความเชื่อมั่นสูงสุด”

‘จีน’ เนรเทศ!! สองนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ‘ถ่ายรูปโชว์ก้น’ บนกำแพงเมืองจีน

(15 มี.ค. 68) นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปีเศษ 2 คนถูกทางการจีนควบคุมตัวนาน 2 สัปดาห์ก่อนจะเนรเทศ หลังทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ‘เปิดบั้นท้าย’ ถ่ายรูปบนกำแพงเมืองจีนNTV และสื่ออื่นๆ ของญี่ปุ่นรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนกำแพงเมืองจีนซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกใกล้ๆ กรุง

ปักกิ่ง โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งได้ถอดกางเกงโชว์บั้นท้าย และมีผู้หญิงอีกคนถ่ายรูปให้

กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงว่า “สถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศจีนยืนยันเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ว่ามีพลเมืองญี่ปุ่น 2 คนถูกทางการจีนควบคุมตัวที่กำแพงเมืองจีน”

“พวกเขาได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา และเดินทางกลับญี่ปุ่นในช่วงเดือน ม.ค.

ด้านสถานทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปักกิ่งยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อสื่อในประเด็นนี้

แหล่งข่าวเผยว่า นักท่องเที่ยวทั้ง 2 คนถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจีนควบคุมตัวในที่เกิดเหตุ และถูกกักตัวอยู่เป็นเวลา 2 สัปดาห์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวคู่นี้บอกกับทางสถานทูตญี่ปุ่นว่าพวกเขาทำลงไปเพราะความ “คึกคะนอง”

ทั้งนี้ การเปลือยร่างกายท่อนล่างในที่สาธารณะถือว่าผิดกฎหมายจีน

ข่าวดังกล่าวได้จุดกระแสความไม่พอใจในจีน ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังจดจำภาพความโหดร้ายในสมัยที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นบุกยึดครองจีนในช่วงทศวรรษ 1930-40

แฮชแท็ก “ชายและหญิงชาวญี่ปุ่นถูกจับเพราะทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมบนกำแพงเมืองจีน” มียอดเข้าชมมากกว่า 60 ล้านครั้งบน weibo โดยคอมเมนต์ยอดนิยมส่วนใหญ่เป็นการตำหนินักท่องเที่ยวทั้งสอง และมีบางคนที่ใช้ถ้อยคำเกลียดชังต่อชาวญี่ปุ่นคู่นี้

เฉิน อี้เทียน (Chen Yitian) นักแสดงชาวจีนซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 7 ล้านคนใน weibo โพสต์ประณามนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นว่า “ทำเรื่องน่าอับอายบนกำแพงเมืองจีนของผม” ขณะที่ชาวเน็ตบางรายถึงขั้นเรียกร้องให้รัฐบาลจีนสั่งห้ามชาวญี่ปุ่นทั้งหมดเข้าประเทศ

น้องนักเรียน เป็นปลื้ม!! ได้เจอ ‘องคมนตรีลุงตู่’ ขณะมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาล รีบเข้าไป!! ขอถ่ายรูปเซลฟี่ ก่อนส่งให้แม่ ด้วยความประทับใจ ในความเป็นกันเอง

(15 มี.ค. 68) เพจ ‘ขนมหวาน คอฟฟี่’ ได้โพสต์ข้อความประทับใจ เกี่ยวกับ ‘ลุงตู่’ โดยมีใจความว่า …

ส่งรูปมาให้แม่ดู บอกว่าหนูดีใจมากค่ะแม่ที่ได้เซลฟี่กับลุงตู่ค่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ประธานกรรมการ และคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ 12 มีนาคม 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top