Sunday, 1 June 2025
ค้นหา พบ 48515 ที่เกี่ยวข้อง

หลวงปู่มหาศิลา จัดงานพิธีวางศิลาฤกษ์ พระธาตุเจดีย์โนนสาวเอ้ ณ ธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา สิริจันโท คนแห่ร่วมงานนับหมื่น !

(13 มี.ค. 68) เมื่อเวลา 09.00น. หลวงปู่มหาศิลา สิริจันโืท  ได้จัดงานพิธีวางศิลาฤกษ์ “ พระธาตุเจดีย์โนนสาวเอ้ ” ณ ธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา สิริจันโท ต.เชียงเครือ อ.เมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ 

โดยมีพระเดชพระคุณ เจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาส วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร กทม. เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงปู่มหาศิลา สิริจันโท ท่านเจ้าคุณเทียนชัย ชยทีโป วัดเทพสรธรรมาราม จ.ปทุมธานี ท่านเจ้าคุณสุริยันต์ วัดป่าวังน้ำเย็น จ.มหาสารคาม ท่านเจ้าคุณต้อม วัดท่าสะแบง จ.ร้อนเอ็ด พร้อมคณะสงฆ์และ เกจิอาจารย์อีกจำนวนมาก 

โดยมี คุณชายแจ๊ค-หม่อมราชวงศ์ โสรัจจ์ วิสุทธิ บุตรชายคนเล็กของหม่อมเจ้าหญิงสุลัภวัลเลง วิสุทธิ (สกุลเดิม สวัสดวัตน์) พระขนิษฐาของ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หลายหมู่เหลา รวมถึงประชาชนจากทั่วสารทิศ  คณะลูกศิษย์จาก ธรรมอุทยานหลวงปู่มหาศิลา และ คุณครูทับทิม วรา ที่ถือว่าเป็นคนสำคัญที่ หลวงปู่มหาศิลา ได้เลือกให้เป็นคนนำสร้าง พระธาตุเจดีย์ โนนสาวเอ้ ร่วมถึงประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานพิธีหลายพันคน

โดยก่อนหน้านี้2 วันได้เกิดฝนตกตลอดทั้งคืนทั้งวันจนถึงวันงานพิธีช่วงเช้าเกิดฟ้าครึ้มฝนตกเป็นละออง จนช่วงเวลาทำพิธีวางศิลาฤกษ์ หลวงปู่มหาศิลา ท่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปแล้วก้มหน้าท่องอะไรบางอย่าง จากนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็เกิดสว่างขึ้นแสงแดดเริ่มออก พร้อมทั้งเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกรด จนทำให้ผู้ที่มาร่วมงานกล่าวคำว่าสาธุ ซึ่งหลวงปู่ศิลาก็ยิ้มและหัวเราะอย่าง อารมณ์ดีใจซึ่งทำให้เหล่าศิษย์ยานุศิษย์ที่มาร่วมงานต่างๆ ต่างมองดูบนท้องฟ้า ในสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าคนหลายพันคน ภายหลังจากเสร็จพิธีวางศิลาฤกษ์  คุณจารุณี จอมทรักษ์ พร้อมทีมงานธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา ศิริจันโท ได้น้อมถวาย ทองคำแท่ง น้ำหนัก 20 บาท แด่หลวงปู่ศิลา พร้อมถวายทองคำแท่งน้ำหนัก 10 บาท ถวายแด่พระอาจารย์สุริยันต์ โฆสปัญโญ  เจ้าอาวาสวัดป่าวังน้ำเย็น จ. มหาสารคาม  และน้อมถวายทองคำแท่งน้ำหนัก 10 บาท แด่ พระอาจารย์ต้อม วัดท่าสะแบง จ.ร้อยเอ็ด 

จากนั้นท่านเจ้าประคุณ สมเด็จ พระธีรญาณมุนี หลวงปู่ศิลา และพระเกจิอาจารย์ รวมถึงข้าราชการทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้มงคล หลังจากนั้นท้องฟ้าที่มืดครึ้มก้อนเมฆก็จางหายไปแสงแดดกลับมาสว่างจ้าเหมือนเดิม 

โดยในการสร้าง พระธาตุเจดีย์ โนนสาวเอ้ หลวงปู่มหาศิลา ได้บอกไว้ว่าต้องให้ครูทับทิม หรือ คุณครูทับทิม วรา ทำถึงจะสำเร็จ สำหรับท่านใดที่สนใจจะร่วมบุญเพื่อสร้างพระธาตุเจดีย์  โนนสาวเอ้ และปรับภูมิทัศน์ภายในธรรมะอุทยานหลวงปู่มหาศิลาสามารถร่วมบุญได้ที่บัญชี

ธนาคารกรุงไทย หมายเลขบัญชี 404-357378-2
ชื่อบัญชี : มูลนิธิธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา สิริจันโท เพื่อสร้างพระธาตุเจดีย์และปรับภูมิทัศน์ ( บัญชีนี้ บัญชีเดียว เท่านั้น )

ถนนสาย R11 เชื่อมมิตรภาพ 75 ปี ไทย-ลาว หนุนการค้าการลงทุน - ท่องเที่ยวระหว่าง 2 -ประเทศ

นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) หรือ NEDA เปิดเผยว่า การพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ - บ้านโนนสะหวัน -สานะคาม - บ้านวัง - บ้านน้ำสัง ได้ถูกออกแบบให้เป็นถนน 2 ช่องจราจรตามมาตรฐานทางหลวงอาเซียน โดยเป็นส่วนสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ (CVEC) ซึ่งมุ่งเสริมสร้างการเชื่อมโยงและการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว เริ่มต้นเชียงใหม่ - ลำพูน - ลำปาง - แพร่ - อุตรดิตถ์ - ด่านภูดู่ - เมืองสังข์ทอง - เวียงจันทน์ รวมระยะทางในประเทศไทยประมาณ 391 กม. ผ่านเข้าสู่ สปป.ลาว ประมาณ 238 กม. รวมระยะทางตามแนวการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ ประมาณ 629 กิโลเมตรเพื่อให้เห็นภาพรวมของแนวการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ที่ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทำงการเงินสำหรับโครงการแรก คือ 

(1) โครงการก่อสร้างถนนภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) ถึง เมืองปากลาย แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว ระยะทางรวม 32 กม. ในวงเงิน 718 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือนธันวาคม 2555 แล้วเสร็จเดือนมิถุนายน 2557 (2) โครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 ช่วงบ้านตาดทอง-น้ำสัง และเมืองสังข์ทอง ระยะทางรวม 82 กม. ในวงเงิน 1,392 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง เดือนพฤษภาคม 2554 แล้วเสร็จเดือนกรกฎาคม 2557 และ (3) โครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ - บ้านโนนสะหวัน - สานะคาม - บ้านวัง -บ้านน้ำสัง ระยะทางรวม 124 กม. ในวงเงิน 1,826.50 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง เดือนตุลาคม 2562 แล้วเสร็จเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองหลักทรงเศรษฐกิจของไทยและสปป.ลาว รวมถึง เชียงใหม่และเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือของไทยและสปป.ลาว ตำมลำดับถนนสายนี้ เชื่อมจาก ด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นด่านถาวร เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศ ไปยัง แขวงไชยะบุรี เมืองปากลาย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวในลุ่มแม่น้ำโขง ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมืองปากลาย โดยเชื่อมต่อจากด่านภูดู่ถึงเมืองปากลายระยะทาง 32 กม. และต่อไปยังเมืองสังข์ทอง แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ ผ่านโครงการถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงบ้านตาดทอง -น้ำสัง และเมืองสังข์ทอง รวมระยะทาง 82 กม.เส้นทางนี้ เป็น Missing Link สุดท้ายที่เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมของระเบียงเศรษฐกิจ CVEC โดยช่วยลดระยะทางกว่า 234 กิโลเมตร จากเส้นทางเดิม (เชียงใหม่-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-ขอนแก่น-หนองคาย-นครหลวงเวียงจันทน์) ที่มีระยะทางประมาณ 863 กิโลเมตร ทำให้ประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่า 3 ชั่วโมง และมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เส้นทางนี้ ลัดเลาะไปตามแม่น้ำโขง มีทัศนียภาพงดงาม และช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ชุมชนท้องถิ่นในเมืองสานะคาม บ้านวัง และบ้านน้ำสัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของพื้นที่ 1 โดยรวมแล้วการเดินทางจากเชียงใหม่สู่ด่านภูดู่ และเข้าสู่เส้นทาง R11 ผ่านเมืองสังข์ทองไปจนถึงครกข้าวดอ ใช้เวลารวมประมาณ 10 - 11 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและสภาพอากาศ เส้นทางนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางระหว่างภาคเหนือของไทยกับนครหลวงเวียงจันทน์ แต่ยังเป็นเส้นทางที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและ สปป.ลาว ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของโครงการ R11. สร้างความเชื่อมโยงเชิงกายภาพระหว่างสองประเทศและอนุภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การเดินทางของประชาชนและการขนส่งตามแนว CVEC มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้นทำให้ต้นทุนการเดินทางและขนส่งระหว่างกันลดต่ำลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการค้าชายแดน ณ ด่านภูดู่ 2. ส่งเสริมการใช้สินค้า วัสดุ และอุปกรณ์ก่อสร้างของไทย และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว มากขึ้น 3. ส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและลาว โดยเฉพาะในแขวงไชยะบุรี เมืองปากลาย และแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ และเพิ่มโอกาสทางการค้าชายแดนผ่านด่านภูดู่ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นด่านถาวร 4. สนับสนุนการท่องเที่ยวและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน 5. ลดระยะทางและระยะเวลาการเดินทาง และเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในเส้นทางอาเซียน-จีน และสอดคล้องกับแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ GMS (Greater Mekong Subregion)

นายกฯ เมืองผู้ดีสั่งยุบ ระบบบริการสาธารณสุข (NHS) ตามแนวทาง 'ทรัมป์' ลดขนาดรัฐบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวเดอะไทมส์ รายงานว่า เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ได้ประกาศยุบหน่วยงาน NHS England ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่ดูแลระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ (NHS) โดยให้เหตุผลว่าต้องการลดระบบราชการที่ซ้ำซ้อนและประหยัดงบประมาณของประเทศ

การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการย้อนกลับการปรับโครงสร้าง NHS ที่เกิดขึ้นในปี 2012 โดยรัฐบาลผสมของพรรคอนุรักษนิยมและพรรคเสรีประชาธิปไตย โดยนายสตาร์เมอร์ระบุว่าการยุบ NHS England จะนำการบริการสาธารณสุขกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวได้สร้างความกังวลในหมู่สหภาพแรงงานและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เนื่องจากเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงานและคุณภาพการบริการ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าการยุบหน่วยงานอาจนำไปสู่การสูญเสียงานของพนักงาน NHS England กว่า 9,500 ตำแหน่ง

ในขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางส่วนตั้งคำถามว่าการยุบ NHS England จะช่วยลดระบบราชการและประหยัดงบประมาณได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของการปรับโครงสร้างองค์กรขนาดใหญ่เช่นนี้

การประกาศยุบ NHS England ครั้งนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของรัฐบาลในการลดขนาดหน่วยงานรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยถูกนำเสนอโดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการยุบ NHS England และวิธีการจัดการกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบบริการสาธารณสุขและพนักงานที่เกี่ยวข้อง

15 มีนาคม พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้เลิกเล่นการพนัน

วันนี้ เมื่อ 110 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการเลิกเล่นการพนัน ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2458 โดยถือว่าการเล่นการพนันเป็นของต้องห้ามและเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2459 

จากพระบรมราชโองการดังกล่าว ทำให้มีการลดจำนวนโรงหวยและเบี้ยให้ลดน้อยลง ในการพนันกลุ่มที่ถูกยกเลิกนี้ รวมถึงอากรหวยจีน หรือ หวย ก ข ที่เป็นการเสี่ยงโชค เป็นความหายนะสู่ผู้มัวเมาหลงเล่นนำความเสื่อมโทรมแห่งราษฎร

ทั้งนี้ ก่อนปีพุทธศักราช 2459 ประชาชนพลเมืองโดยมากได้พากันลุ่มหลงในการเสี่ยงโชคลาภด้วยหวย ก.ข. ในคราวเทศกาลออกพรรษาปีหนึ่งๆ จะได้เห็นชาวชนบทพากันหลั่งไหลนำเงินเข้ามาโปรยปรายแทงหวย ก.ข. ในกรุงเทพมหานครอย่างล้นหลาม แต่การเสี่ยงโชคด้วยหวย ก.ข. และบ่อนเบี้ยนั้นนำความหายนะสู่ผู้มัวเมาหลงเล่นโดยไม่ค่อยรู้สึกเลย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาถึงความเสื่อมโทรมแห่งราษฎรของพระองค์ดำเนินไปในทำนองนี้จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศยกเลิกอากรหวยเสีย และเลิกอากรบ่อนเบี้ยที่ยังมีอยู่ในพระนครในปี พ.ศ. 2460 รายได้ในอากรบ่อนเบี้ยและหวย ก.ข. จากขุนบาล 2 ประเภทนี้นำเงินเข้าสู่ท้องพระคลังได้ปีหนึ่งๆ นับจำนวนร่วม 10 ล้านบาท แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังได้ทรงสละเสียอย่างง่ายดาย ซึ่งพระองค์ได้ทรงเห็นภยันตรายแก่ทวยราษฎร์สยามนั่นเอง

Good Samaritan law: กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี ข้อบัญญัติที่ช่วยปกป้องบุคคลผู้ไม่เพิกเฉยต่อเพื่อนมนุษย์

เรื่องของ 'การทำคุณบูชาโทษ' ทำให้เกิดความเข็ดขยาดในหมู่พลเมืองดีผู้ที่มีจิตใจอันเป็นกุศลที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะช่วยเหลือเหล่าบรรดาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อผู้มีความตั้งใจและเจตนาอันในการช่วยเหลือผู้คน แต่กลับกลายมาเป็นคนผิด หรือกระทั่งตกเป็นจำเลยจากการฟ้องร้องจากผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือหรือครอบครัวของคนเหล่านั้น ซึ่งเรื่องราวลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมายในหลายๆสังคมและประเทศ 

ดังนั้น ในหลาย ๆ ประเทศจึงมีการออกกฎหมายที่เรียกว่า 'Good Samaritan law' หรือ 'กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี' เพื่อเป็นการคุ้มครองป้องกันการกระทำด้วยเจตนาดีเพื่อช่วยเหลือผู้คนของพลเมืองดีผู้ที่มีจิตใจอันเป็นกุศลเหล่านั้น คำว่า “Samaritan” เป็นคำนามที่หมายถึง คนที่ทำความดี, คนที่ให้ช่วยเหลือแก่ผู้อื่น โดย “กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี” เป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองทางกฎหมายแก่บุคคลที่ให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมแก่บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บ ป่วย อยู่ในอันตราย หรือไร้ความสามารถ การคุ้มครองพลเมืองดีเพื่อจุดมุ่งหมายในการลดความลังเลของผู้เห็นเหตุการณ์ที่จะให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากกลัวจะถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเสียชีวิตโดยผิดกฎหมาย 

กฎหมายดังกล่าวเป็นหลักการทางกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้ผู้ช่วยเหลือที่ช่วยเหลือเหยื่อที่เดือดร้อนโดยสมัครใจถูกฟ้องร้องในข้อหากระทำผิด วัตถุประสงค์คือเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้คนลังเลที่จะช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ต้องการความช่วยเหลือ เนื่องจากกลัวผลที่ตามมาทางกฎหมาย หากพวกเขาปฏิบัติผิดพลาดบางประการ ในทางตรงกันข้าม กฎหมายหน้าที่ในการช่วยเหลือกำหนดให้ผู้คนในเหตุการณ์เหล่านั้นต้องให้ความช่วยเหลือ และถือว่าผู้ที่ไม่ให้ความช่วยเหลือต้องรับผิดชอบต่อผลจากการปฏิเสธหรือเพิกเฉยละเลย กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีอาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละเขตอำนาจศาล เช่นเดียวกับปฏิสัมพันธ์กับหลักการทางกฎหมายอื่น ๆ เช่น ความยินยอม สิทธิของผู้ปกครอง และสิทธิในการปฏิเสธการรักษา กฎหมายดังกล่าวส่วนใหญ่ไม่ได้บังคับใช้กับพฤติกรรมการทำงานของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือผู้ที่มีอาชีพตอบสนองเหตุฉุกเฉินประจำ แต่กฎหมายบางประเทศได้ขยายการคุ้มครองไปยังนักกู้ภัยอาชีพเมื่อพวกเขาทำหน้าที่เป็นอาสาสมัคร

หลักการที่มีอยู่ในกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีมักใช้ในประเทศที่ระบบกฎหมายเป็นกฎหมายทั่วไปของอังกฤษ ในหลายประเทศที่ใช้กฎหมายแพ่งเป็นรากฐานของระบบกฎหมาย ผลทางกฎหมายแบบเดียวกันนี้มักจะเกิดขึ้นโดยใช้หลักการของหน้าที่ในการกู้ภัย กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีมักจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากแต่ละกฎหมายได้รับการร่างขึ้นโดยอิงตามการตีความของผู้ให้บริการที่ได้รับการคุ้มครองในแต่ละพื้นที่ รวมถึงขอบเขตการดูแลที่ครอบคลุม ดังปรากฏในประเทศต่าง ๆ ดังนี้

ออสเตรเลีย รัฐและเขตการปกครองของออสเตรเลียส่วนใหญ่มีกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว กฎหมายเหล่านี้จะให้การคุ้มครองหากได้รับการดูแลด้วยความตั้งใจ และ "พลเมืองดี" จะไม่ได้รับผลกระทบจากยาหรือแอลกอฮอล์ มีความแตกต่างระหว่างรัฐ ตั้งแต่ไม่บังคับใช้หาก "พลเมืองดี" เป็นสาเหตุของปัญหา (นิวเซาท์เวลส์) ไปจนถึงบังคับใช้ในทุกสถานการณ์หากพยายามด้วยความตั้งใจ (วิกตอเรีย)

เบลเยียม กฎหมายการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของเบลเยียมกำหนดให้บุคคลใดก็ตามที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายในการช่วยเหลือบุคคลที่ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง โดยไม่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง (มาตรา 422 ประมวลกฎหมายอาญา)

แคนาดา กฎหมายการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของจังหวัด แต่ละจังหวัดมีกฎหมายของตนเอง เช่น กฎหมายการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของออนแทรีโอ และบริติชโคลัมเบีย ตามลำดับ กฎหมายความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉินของอัลเบอร์ตา นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ ยูคอน และนูนาวุต และกฎหมายบริการอาสาสมัครของโนวาสโกเชีย เฉพาะในควิเบก ซึ่งเป็นเขตอำนาจศาลแพ่งเท่านั้นที่บุคคลมีหน้าที่ทั่วไปในการตอบสนองตามรายละเอียดในกฎบัตรสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของควิเบก ตัวอย่างกฎหมายทั่วไปของแคนาดามีอยู่ในรัฐบัญญัติพลเมืองดีของออนแทรีโอ ปี 2001 มาตรา 2 
การคุ้มครองจากความรับผิด 2. (1) แม้จะมีกฎหมายทั่วไป แต่บุคคลที่ระบุไว้ในมาตรา (2) ซึ่งให้บริการตามที่อธิบายไว้ในมาตราดังกล่าวโดยสมัครใจและไม่มีการคาดหวังค่าตอบแทนหรือรางวัลตอบแทนที่สมเหตุสมผล จะไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อในการกระทำหรือการไม่กระทำในขณะให้บริการ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลนั้น 2001, c. 2, s. 2 (1).

จีน มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในประเทศจีน เช่น เหตุการณ์ของเผิงหยูในปี 2006 ซึ่งพลเมืองดีที่ช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำร้ายเหยื่อเสียเอง ในปี 2011 เด็กหญิงวัยเตาะแตะชื่อหวางเย่เสียชีวิต เมื่อเธอถูกรถสองคันชน เหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในวิดีโอ ซึ่งแสดงให้เห็นผู้คน 18 คนเห็นเด็กบาดเจ็บ แต่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ ในการสำรวจเดือนพฤศจิกายน 2011 คนส่วนใหญ่ 71% คิดว่า คนที่เดินผ่านเด็กไปโดยไม่ช่วยเหลือด้วยเพราะต่างเกรงว่าตนเองจะเดือดร้อน หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว China Daily รายงานว่า "หน่วยงานและองค์กรของพรรคและรัฐบาลอย่างน้อย 10 แห่งในกวางตุ้ง รวมถึงคณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมายของมณฑล สหพันธ์สตรี สถาบันสังคมศาสตร์ และสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ ได้เริ่มหารือเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างชัดเจน" เจ้าหน้าที่ของมณฑลกวางตุ้ง พร้อมด้วยทนายความและนักสังคมสงเคราะห์จำนวนมาก ได้จัดการประชุมเป็นเวลา 3 วันในนครกว่างโจว เมืองหลวงของมณฑล เพื่อหารือเกี่ยวกับคดีนี้ มีรายงานว่าสมาชิกรัฐสภาหลายคนของมณฑลได้ร่างกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี ซึ่งจะ "ลงโทษผู้ที่ไม่ช่วยเหลือในสถานการณ์ประเภทนี้และต้องชดใช้ค่าเสียหายถ้ามีการฟ้องร้อง" ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและสาธารณชนได้ถกเถียงกันถึงแนวคิดนี้เพื่อเตรียมการสำหรับการอภิปรายและการผลักดันทางกฎหมาย ในวันที่ 1 สิงหาคม 2013 กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีฉบับแรกของประเทศมีผลบังคับใช้ในนครเซินเจิ้น และต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2017 กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีแห่งชาติของจีนมีผลบังคับใช้ในมาตรา 184 ในหลักการทั่วไปของกฎหมายแพ่ง

ฟินแลนด์ รัฐบัญญัติการกู้ภัยของฟินแลนด์กำหนดหน้าที่ในการกู้ภัยอย่างชัดเจนว่าเป็น "หน้าที่ทั่วไปในการกระทำ" และ "มีส่วนร่วมในกิจกรรมการกู้ภัยตามความสามารถของ [บุคคล]" รัฐบัญญัติการกู้ภัยฟินแลนด์จึงรวมถึงหลักการของความสมส่วนซึ่งกำหนดให้ผู้เชี่ยวชาญต้องให้ความช่วยเหลือทันทีมากกว่าบุคคลทั่วไป ประมวลกฎหมายอาญาของฟินแลนด์ กำหนดว่า มาตรา 15 การละเลยการช่วยเหลือ (578/1995) บุคคลที่ทราบว่าผู้อื่นกำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตหรืออันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของตน และไม่ให้หรือจัดหาความช่วยเหลือดังกล่าวที่พิจารณาจากทางเลือกและลักษณะของสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างสมเหตุสมผล จะต้องถูกตัดสินจำคุกไม่เกินหกเดือนในข้อหาละเลยการช่วยเหลือ

ฝรั่งเศส กฎหมายกำหนดให้ทุกคนต้องช่วยเหลือบุคคลที่ตกอยู่ในอันตรายหรืออย่างน้อยที่สุดต้องขอความช่วยเหลือ ผู้ที่ช่วยเหลือจะไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหาย เว้นแต่ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นโดยเจตนาหรือเกิดจากความผิดพลาด "ร้ายแรง" 

เยอรมนี การไม่ให้การปฐมพยาบาลแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจะถือเป็นความผิดตามมาตรา 323c ของประมวลกฎหมายอาญา อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือใด ๆ ที่ให้ไปนั้นไม่สามารถและจะไม่ถูกดำเนินคดี แม้ว่าจะทำให้สถานการณ์แย่ลงหรือไม่เป็นไปตามเกณฑ์การปฐมพยาบาลเฉพาะก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงได้รับการสนับสนุนให้ช่วยเหลือในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แม้ว่าความพยายามนั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จก็ตาม นอกจากนี้ ผู้ที่ให้การปฐมพยาบาลยังได้รับความคุ้มครองจากประกันอุบัติเหตุตามกฎหมายของเยอรมนีในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บ สูญเสีย หรือเสียหาย

อินเดีย ในปี 2016 เกิดอุบัติเหตุทางถนนในอินเดียประมาณ 480,000 ครั้ง โดยมีผู้เสียชีวิต 150,000 คน กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีให้การคุ้มครองทางกฎหมายแก่พลเมืองดีที่ช่วยเหลือเหยื่ออุบัติเหตุด้วยการดูแลทางการแพทย์ฉุกเฉินภายใน "ชั่วโมงทอง" ดังนั้น ประชาชนจึงได้รับการสนับสนุนให้ช่วยเหลือในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แม้ว่าความพยายามนั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จก็ตาม

ไอร์แลนด์ รัฐบัญญัติกฎหมายแพ่ง (บทบัญญัติทั่วไป) ปี 2011 ได้ออกกฎหมายที่กล่าวถึงความรับผิดปกป้องพลเมืองดีหรืออาสาสมัครในสาธารณรัฐไอร์แลนด์โดยเฉพาะ โดยไม่กำหนดหน้าที่ในการแทรกแซง รัฐบัญญัตินี้กำหนดให้บุคคลหรือองค์กรอาสาสมัครไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่ให้ "ความช่วยเหลือ คำแนะนำ หรือการดูแล" แก่บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บ มีความเสี่ยงหรือเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย (หรือดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น) โดยมีข้อยกเว้นสำหรับกรณีที่เกิด "การกระทำโดยไม่สุจริต" หรือ "ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" ในนามของผู้ดูแล และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยานยนต์โดยประมาทเลินเล่อ รัฐบัญญัตินี้กำหนดไว้เฉพาะกรณีที่พลเมืองดีหรืออาสาสมัครไม่มีหน้าที่ในการดูแล สภาการดูแลฉุกเฉินก่อนถึงโรงพยาบาล (PHECC) กล่าวถึงส่วนพลเมืองดีของรัฐบัญญัติกฎหมายแพ่งปี 2011 โดยเฉพาะ และระบุว่า "การใช้ทักษะและยาที่จำกัดเฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพที่ลงทะเบียนเท่านั้นจะอยู่ภายใต้รัฐบัญญัติ 'พลเมืองดี' รัฐบัญญัตินี้ถือว่าคุณไม่มีเจตนาที่จะประกอบวิชาชีพในช่วงเวลานี้ และคุณทำหน้าที่เป็นพลเมืองดี ช่วยเหลือจนกว่าหน่วยบริการฉุกเฉินจะมาถึงที่เกิดเหตุและคุณสามารถส่งมอบตัวได้"

อิสราเอล กฎหมายกำหนดให้ทุกคนต้องช่วยเหลือบุคคลที่ตกอยู่ในอันตรายหรืออย่างน้อยที่สุดคือ การร้องขอความช่วยเหลือ บุคคลที่ช่วยเหลือด้วยความจริงใจจะไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหาย ผู้ช่วยเหลือมีสิทธิได้รับค่าชดเชยสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในระหว่างการให้ความช่วยเหลือ

ญี่ปุ่น มีกฎหมายบางฉบับที่เทียบเท่ากับกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี ตัวอย่างเช่น มาตรา 37 ของประมวลกฎหมายอาญาได้ระบุว่า “การกระทำที่บุคคลถูกบังคับให้กระทำเพื่อป้องกันอันตรายในปัจจุบันต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของตนเองหรือบุคคลอื่นใด จะไม่ถูกลงโทษก็ต่อเมื่ออันตรายที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวไม่เกินอันตรายที่จะหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายมากเกินไปอาจนำไปสู่การลดโทษหรืออาจช่วยให้ผู้กระทำผิดพ้นผิดเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นั้น ๆ” และกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีอีกฉบับหนึ่งปรากฏในมาตรา 698 ของประมวลกฎหมายแพ่งของญี่ปุ่น โดยกฎหมายดังกล่าวให้การคุ้มครองผู้ช่วยจากความรับผิด ซึ่งระบุว่า “หากผู้จัดการมีส่วนร่วมในการแทรกแซงธุรกิจของผู้อื่นโดยเจตนาดีเพื่อให้ผู้ว่าจ้างหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อตัวผู้ว่าจ้าง ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ว่าจ้าง ผู้จัดการจะไม่ต้องรับผิดในการชดเชยความเสียหายที่เป็นผลจากการกระทำดังกล่าว เว้นแต่ผู้จัดการจะกระทำด้วยความไม่สุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” นอกจากนี้ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพยังต้องปฏิบัติตามหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือตามกฎหมาย 

โรมาเนีย การปฏิรูปด้านสุขภาพที่ผ่านในปี 2006 ระบุว่าบุคคลที่หากไม่ได้รับการฝึกอบรมทางการแพทย์หรือให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยสมัครใจตามคำแนะนำของสำนักงานแพทย์หรือจากความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลของตนเอง การกระทำด้วยความเต็มใจเพื่อรักษาชีวิตหรือสุขภาพของบุคคลอื่นจะไม่ถือเป็นความรับผิดชอบภายใต้กฎหมายอาญาหรือกฎหมายแพ่ง

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือนพฤศจิกายน 2020 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศอาหรับประเทศแรกที่ผ่านกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี

สหราชอาณาจักร ในกฎหมายทั่วไปของอังกฤษและเวลส์ไม่มีความรับผิดทางอาญาสำหรับการไม่ดำเนินการในกรณีที่บุคคลอื่นตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับกฎนี้ ในกรณีที่ผู้เห็นเหตุการณ์ยอมรับความรับผิดชอบ สถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นโดยพวกเขา หรือมีหน้าที่ตามสัญญาหรือกฎหมายที่จะต้องดำเนินการ ผู้เห็นเหตุการณ์จะต้องรับผิดทางอาญาสำหรับการไม่ดำเนินการ ศาลไม่เต็มใจที่จะลงโทษผู้ที่พยายามช่วยเหลือ ในอังกฤษและเวลส์ รัฐบัญญัติการกระทำทางสังคม ความรับผิดชอบ และความกล้าหาญ 2015 ช่วยปกป้อง "พลเมืองดี" เมื่อพิจารณาการเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเลยหน้าที่ รัฐบัญญัตินี้เป็นหนึ่งในกฎหมายที่สั้นที่สุดในสหราชอาณาจักร โดยมีความยาวเพียง 300 คำเศษ ตั้งแต่ประกาศใช้เป็นกฎหมายจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยถูกใช้อ้างถึงในศาลเลย และถือว่าคลุมเครือ พรรคแรงงานวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายนี้ในช่วงเวลาที่ผ่านกฎหมายนี้ว่ามีค่าในแนวคิด แต่ขาดความพยายามอย่างจริงจัง

สหรัฐอเมริกา ทั้ง 50 รัฐและเขตโคลัมเบียมีกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีบางประเภท รายละเอียดของกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีแตกต่างกันไปตามเขตอำนาจศาล รวมถึงใครได้รับการคุ้มครองจากความรับผิดและภายใต้สถานการณ์ใด ตัวอย่างของกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ “รัฐบัญญัติความช่วยเหลือทางการแพทย์การบิน ปี 1998” ซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ "พลเมืองดี" ขณะอยู่บนเครื่องบิน หรือ “รัฐบัญญัติการบริจาคอาหารพลเมืองดี ปี 1996” ซึ่งให้การคุ้มครองความรับผิดจำกัดแก่ผู้บริจาคอาหาร ส่วนประเทศที่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีไห้แก่ ปากีสถาน แอฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์

ลักษณะทั่วไปของกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีมักมีการผสมผสานหรือการตีความลักษณะที่คล้ายคลึงกันที่แตกต่างกัน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค กฎหมายคุ้มครองพลเมืองดีในมลรัฐมินนิโซตา เวอร์มอน และโรดไอแลนด์] กำหนดให้บุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุฉุกเฉินต้องให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือนี้อาจทำได้โดยโทร 911 การละเมิดกฎหมายในการทำหน้าที่ในการช่วยเหลือถือเป็นความผิดทางอาญาลหุโทษในมลรัฐมินนิโซตา และอาจต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 100 ดอลลาร์ในมลรัฐเวอร์มอนต์ มลรัฐอื่น ๆ อย่างน้อยห้ารัฐรวมทั้งแคลิฟอร์เนียและเนวาดาได้พิจารณาอย่างจริงจังที่จะเพิ่มกฎหมายกำหนดหน้าที่ในการช่วยเหลือลงในกฎหมายคุ้มครองพลเมืองดี กฎหมายของมลรัฐนิวยอร์กให้สิทธิคุ้มครองแก่ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน นโยบายสาธารณะเบื้องหลังกฎหมายมีดังนี้ “การให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ในกรณีฉุกเฉินถือเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิการของประชาชน การดูแลทางการแพทย์ฉุกเฉินก่อนถึงโรงพยาบาล การสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพระหว่างรถพยาบาลและโรงพยาบาล และการดูแลและการขนส่งผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพถือเป็นบริการสาธารณสุขที่จำเป็น”

สำหรับบ้านเราแล้วยังไม่มีกฎหมายในลักษณะเช่นนี้เลย แต่กลับมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่เพิกเฉยต่อการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา (ในส่วนของลหุโทษ) มาตรา 374 ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่นแต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่เป็นความโชคดีที่พี่น้องประชาชนคนไทยไม่เคยนิ่งดูดายต่อพี่น้องร่วมชาติที่ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อน แม้จะไม่มีกฎหมายคุ้มครองในลักษณะเช่นนี้ก็ตาม หากแต่นักการเมืองไทยที่ทำหน้าที่ในรัฐสภาจะได้ตระหนักถึงเรื่องราวเช่นนี้ และมีการออกกฎหมายในลักษณะนี้จะเป็นการสร้างความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ซึ่งทำหน้าที่พลเมืองดีให้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงถึงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะตามได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top