Sunday, 1 June 2025
ค้นหา พบ 48515 ที่เกี่ยวข้อง

เมื่อเงาเบื้องหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนลดเงินสนับสนุน สงครามข้อมูลเสื่อมพลัง จำต้องใช้แนวทางรุนแรง ‘ลอบสังหาร – ก่อวินาศกรรม’

เงาแห่งปาตานี : จากกองโจรสู่สงครามข้อมูล ความซับซ้อนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน

บทนำ: จากกองโจรสู่สงครามข้อมูล พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย—ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส—เป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งด้านความมั่นคงมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด แต่กลับมีโครงสร้างที่หลวม ประกอบด้วยกลุ่มที่มีแนวคิดและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตั้งแต่แนวคิดการสร้างสาธารณรัฐ (Republic) ไปจนถึงการฟื้นฟูราชอาณาจักรมลายูปัตตานี

ตั้งแต่ยุคของ พูโล (PULO - Patani United Liberation Organization) จนถึงการกำเนิดของ BRN (Barisan Revolusi Nasional) และการพัฒนาสู่แนวทางการต่อสู้เชิงข้อมูลผ่านเงินทุนของ USAID (United States Agency for International Development) ทำให้เห็นว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ไม่ได้อยู่นิ่ง แต่กลับมีพลวัตและปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทระหว่างประเทศและกระแสโลก

บทความนี้จะสำรวจพัฒนาการของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ยุคแรกของการก่อการร้าย ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่สงครามข้อมูลและการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของ 'ปาตานี'

บทที่ 1: กำเนิดของพูโลและยุคแรกของการก่อการร้าย (พ.ศ. 2511 – 2530)
1.1 จุดเริ่มต้นของขบวนการพูโล
ปี พ.ศ. 2511 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เมื่อกลุ่มพูโลก่อตั้งขึ้นโดยมี ตวนกูวีรอ อับดุลเลาะห์มาน รอเซาะ เป็นผู้นำ บางข้อมูลจะระบุว่า ตวนกูบีรอ กอตอนีลอ หรือ อดุลย์ ณ วังคราม

เป้าหมายของขบวนการนี้คือการประกาศอิสรภาพจากประเทศไทย โดยใช้ วิธีการต่อสู้ด้วยอาวุธ และอ้างสิทธิ์การฟื้นฟู 'ราชอาณาจักรปัตตานีระยา' พร้อมตั้งตนเป็นราชวงศ์แห่งสายบุรี (ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ถูกสร้างขึ้นมาเอง) พูโลได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายอิสลามหัวรุนแรงในตะวันออกกลาง และมีฐานฝึกอบรมในมาเลเซีย เงินทุนหลักมาจากตะวันออกกลางและยุโรป เป้าหมายหลักของการก่อเหตุคือ การโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ โรงเรียนไทย และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล

1.2 การปราบปรามและการแตกตัวของพูโล
ในช่วงปลายทศวรรษ พ.ศ. 2530 รัฐบาลไทยเริ่มปราบปรามขบวนการพูโลอย่างจริงจัง ส่งผลให้แกนนำของขบวนการบางส่วนถูกจับกุม บางส่วนถูกสังหาร ขณะที่กลุ่มที่เหลือกระจัดกระจายและหลบหนีออกนอกประเทศ พูโลเริ่มอ่อนกำลังลง และแตกตัวออกเป็นกลุ่มย่อย บางกลุ่มยังคงดำเนินการต่อสู้แบบกองโจร ขณะที่บางกลุ่มเริ่มเปลี่ยนแนวทางไปสู่สงครามข้อมูลแทน

บทที่ 2: การลี้ภัยของพูโลและการเปลี่ยนผ่านสู่สงครามข้อมูล (พ.ศ. 2530 – 2553)
2.1 การสร้างเครือข่ายในต่างประเทศ
เมื่อรัฐบาลไทยสามารถปราบปรามพูโลในประเทศได้ ผู้นำบางส่วนต้องหนีไปต่างประเทศ หนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญของขบวนการนี้คือ สวีเดน ซึ่งเป็นที่พำนักของแกนนำอย่าง ตวนกูบีรอ อับดุลเลาะห์มาน รอเซาะ กลุ่มผู้นำที่หลบหนีไปยังสวีเดนเริ่มเปิดแนวรบใหม่ผ่านโลกออนไลน์ พวกเขาก่อตั้งเว็บไซต์ 'มนุษยะดอทคอม' โดยพยายามสร้างเนื้อหาประวัติศาสตร์เท็จ กล่าวอ้างว่าปัตตานีคือรัฐอิสระที่ถูกไทยรุกรานและยึดครอง และมีเป้าหมาย โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพูโล 

2 นักศึกษาไทยมุสลิมที่เป็นผู้ทำเว็บไซต์ งั้นกบดานอยู่ที่บางเขนแยกหลักสี่และเกือบถูกทางการไทยจับได้ แต่สุดท้ายก็ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศสวีเดนตามรอยขบวนการ
> ช่วงเวลานี้มีการเรียกร้องคืน 'ปืนใหญ่ปัตตานี' โดยอ้างว่าเป็นสัญลักษณ์ของเอกราชของปัตตานี ซึ่งเป็นการสร้างกระแสชาตินิยมเพื่อขยายแนวร่วมในระดับสากล
2.2 การช่วงชิงอำนาจนำจากกลุ่มล้มเจ้าในต่างประเทศ
หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ขบวนการล้มเจ้าจำนวนมากหลบหนีไปอยู่ในยุโรป และพบว่ากลุ่มพูโลที่ลี้ภัยอยู่เป็นเครือข่ายที่มีศักยภาพในการเคลื่อนไหวทางการเมือง นักเคลื่อนไหวอย่าง อาจารย์ใจ พยายาม ช่วงชิงอำนาจนำของขบวนการพูโล และผูกโยงขบวนการแบ่งแยกดินแดนเข้ากับขบวนการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วงนี้เองเราจะเห็นเพจพูโล ในเฟสบุ๊ค ในอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรกและเกิดการต่อสู้ทางความคิดผ่านบทความที่โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเด็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงรอยต่อปี 2549 จนถึงปี 2553
ในช่วงนี้เองที่มี ข่าวลือเกี่ยวกับฟ 'ชายชุดดำ' ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น กองกำลังพูโลหรือขบวนการจากสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่สุดท้ายกลับพบว่า ข่าวลือนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเครือข่ายผู้สนับสนุนการเมืองฝ่ายซ้ายในสวีเดน (คนเสื้อแดงที่มีแนวคิดเรื่องคอมมิวนิสต์) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือโจมตีรัฐบาลไทย

บทที่ 3: การล่มสลายของพูโลและการกำเนิดของ BRN (พ.ศ. 2553 – 2560)
การเปลี่ยนผ่านจากพูโลสู่ BRN
ในช่วงปี พ.ศ. 2550 – 2555 ขบวนการพูโลเริ่มเผชิญกับภาวะล่มสลาย เนื่องจากแนวทางการใช้ความรุนแรงไม่สามารถเอาชนะกองทัพไทยได้สภาวะทางการเมืองไม่สามารถโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างที่คิดหวัง ทำให้การเคลื่อนไหวกลายเป็น สงครามที่ยืดเยื้อและเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์ อดีตสมาชิกพูโลที่ต้องการสู้ต่อ จึงรวมตัวกันเป็น BRN (Barisan Revolusi Nasional - แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี) แต่ BRN ไม่มีโครงสร้างรวมศูนย์ที่ชัดเจน เพราะบางกลุ่มต้องการ รัฐสาธารณรัฐ (Republic) บางกลุ่มยังยึดแนวคิด ราชอาณาจักรมลายูปัตตานี ความหลากหลายที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลทำให้โครงสร้างของ brn มีความเทอะทะอยู่ไม่น้อยและเจรจาได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ระหว่างปี พ.ศ. 2558 – 2560 มีความพยายามที่จะเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลไทย อยู่หลายครั้ง...แต่เพราะความแตกต่างที่ไม่เหมือนพูโล นี้ทำให้ BRN ไม่มีเอกภาพและอำนาจต่อรองทางการเมืองต่ำ ส่งผลให้BRNไม่มีผลงานที่ชัดเจนแน่นอน ส่งผลทำให้เกิด ความล้มเหลวของ BRN ในการเจรจาสันติภาพ การก่อเหตุส่วนใหญ่เน้นไปที่การรักษาสถานการณ์หรือการมีตัวตนของ brn เท่านั้น...

บทที่ 4: USAID และสงครามข้อมูล (พ.ศ. 2560 – ปัจจุบัน)
การเปลี่ยนแปลงจากการใช้กำลังสู่สงครามข้อมูลในโครงสร้าง hybrid warfare
ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การต่อสู้ด้วยอาวุธที่ดำเนินมาตลอดหลายทศวรรษเริ่มไม่ได้ผล และกองทัพไทยก็สามารถตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนต้องปรับแนวทางใหม่เพื่อความอยู่รอด

ในช่วงเวลานี้เอง USAID (United States Agency for International Development) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดำเนินงานในด้านการพัฒนาและสิทธิมนุษยชนในระดับนานาชาติ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการต่างๆ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอ้างว่าเป็นโครงการพัฒนาเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคทางสังคม

อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจาก USAID ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนาเศรษฐกิจหรือการฟื้นฟูชุมชน แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการ เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้จากการก่อการร้ายด้วยอาวุธไปสู่ “สงครามข้อมูล” ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเผชิญกับมาตรการทางทหารของรัฐไทยโดยตรง

การสร้างอัตลักษณ์ใหม่: 'Patani Madeka' และสงครามอุดมการณ์ความคิด
หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID คือ การสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองใหม่ของ 'Patani Madeka' หรือ 'ปาตานีเอกราช' และดึงนักการเมืองขึ้นมาเป็นปากเสียงให้กับผู้ก่อความไม่สงบ...

แนวคิด 'Patani Madeka' ไม่ได้มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ดั้งเดิมของภูมิภาคนี้ แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการ อ้างสิทธิในการปกครองตนเองและเรียกร้องเอกราช ผ่านการใช้แนวคิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของประชาชน (Right to Self-Determination) ยุทธศาสตร์การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของปาตานีมีหลายองค์ประกอบ ได้แก่:
1. การสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองให้กับ 'ปาตานี'
การรื้อฟื้นประวัติศาสตร์ในแบบที่ปรับแต่งใหม่ให้สอดคล้องกับแนวคิดการแบ่งแยกดินแดน การกล่าวอ้างว่าปาตานีเคยเป็นรัฐอิสระที่ถูกไทยรุกราน การใช้ สัญลักษณ์ทางการเมือง เช่น ธงประจำขบวนการ รัฐธรรมนูญจำลอง และแผนที่ดินแดนที่ถูก 'ไทยยึดครอง'
2. การเปลี่ยน 'มหาวิทยาลัยและระบบการศึกษา' ให้กลายเป็นสนามรบทางความคิด
ก่อนหน้านี้ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเคยใช้ ปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม) เป็นฐานที่มั่นในการปลูกฝังแนวคิดให้เยาวชน

แต่หลังจากมีการปราบปราม แนวทางใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID คือ การเข้าไปแทรกแซงระบบการศึกษาของไทยโดยตรง นักวิชาการและนักศึกษาถูกปลูกฝังแนวคิด 'Patani Madeka' ผ่านงานวิจัย วิชาเรียน และโครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ
3. การใช้นักการเมืองและโซเชียลมีเดียเป็นอาวุธหลัก
มีการผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปาตานีในรูปแบบใหม่ที่เน้นการกดขี่โดยรัฐไทย
การสร้างกระแสใน Facebook, Twitter, YouTube และ TikTok เพื่อเผยแพร่แนวคิดของขบวนการ

การใช้นักการเมืองอินฟลูเอนเซอร์และสื่อกระแสรอง เพื่อให้แนวคิด 'Patani Madeka' ถูกพูดถึงมากขึ้น และผลักดันสิ่งเหล่านี้ขึ้นในสภา

4. การผลักดันผ่านเวทีระหว่างประเทศ
การนำประเด็นปาตานีเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN), องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ, และสื่อระดับโลก
การใช้แนวคิดเดียวกับ 'Catalonia Model' ของสเปน ซึ่งพยายามเรียกร้องเอกราชโดยใช้กฎหมายและประชามติแทนการใช้กำลังอาวุธ

การแทรกแซงมหาวิทยาลัย: เปลี่ยนจาก 'นักรบ' เป็น 'นักเคลื่อนไหว'
ก่อนหน้านี้ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนพยายามสร้างแนวร่วมผ่านการฝึกอาวุธและใช้กองกำลังติดอาวุธ แต่หลังจากความพยายามนี้ล้มเหลว แนวทางใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID คือ การใช้สถาบันการศึกษาเป็นเครื่องมือหลักในการปลูกฝังแนวคิด ระดับอาจารย์ มีการสนับสนุนให้อาจารย์มหาวิทยาลัยในพื้นที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับ 'สิทธิในการปกครองตนเอง'

งานวิจัยหลายฉบับได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่ 'การคืนเอกราชให้ปาตานี'

ระดับนักศึกษา
นักศึกษาถูกดึงเข้าสู่ขบวนการผ่านกิจกรรมเสวนา งานวิจัย และกลุ่มเคลื่อนไหว
มีการใช้ทุนการศึกษาและโครงการแลกเปลี่ยนเพื่อดึงนักศึกษาเข้าสู่แนวคิดนี้
อย่างไรก็ตามในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2565 แนวคิดนี้กลับมีการชะลอตัวเนื่องจากสภาพการเมืองในประเทศไทยไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวของกลุ่ม permas ที่เคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่ม 3 นิ้วนั้นไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการต่อสู้ทางการเมือง เคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นนี้ส่วนมากถูกจับ ส่งผลทำให้แนวคิดนี้เกิดการชะลอตัว

เงามืดหลังปี 2567: การลดลงของเงินทุนจาก USAID และทิศทางใหม่ของขบวนการใต้ดิน หลังจากที่สหรัฐฯ ปรับเปลี่ยนนโยบายภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ แนวทาง 'America First' ส่งผลให้ USAID ถูกตัดงบประมาณจำนวนมาก ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่เคยได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคยพึ่งพาทรัพยากรจากภายนอกต้องปรับตัวอย่างหนัก กิจกรรมในมหาวิทยาลัยเริ่มลดลง เวทีระหว่างประเทศที่เคยเป็นแหล่งปลุกระดมและสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลไทยก็เริ่มเงียบลง แนวคิด 'Patani Madeka' ที่เคยถูกขับเคลื่อนผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเข้มข้นก็เริ่มอ่อนแรงลงตามไปด้วย ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวพยายามหาช่องทางใหม่ในการสนับสนุน เช่น การหันไปขอการสนับสนุนจากประเทศในตะวันออกกลางและยุโรป แต่ความช่วยเหลือจากแหล่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีเสถียรภาพเท่ากับเงินทุนจาก USAID

เมื่อแนวทางสงครามข้อมูลเริ่มเสื่อมพลัง กลุ่มบางส่วนจึงหันกลับไปใช้แนวทางเดิม—ลอบสังหารและก่อวินาศกรรม—เพื่อรักษาอิทธิพลและสร้างเงื่อนไขต่อรอง แม้จะไม่มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการทำสงครามข้อมูลขนาดใหญ่เหมือนในอดีต แต่การปฏิบัติการระดับพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไป ขบวนการเหล่านี้อาศัยช่องว่างของกฎหมายและโครงสร้างการข่าวที่ยังมีจุดอ่อนของฝ่ายความมั่นคงในการแทรกซึมและก่อเหตุ

ข้อสรุป: การต่อสู้ทางความคิดลดลง แต่ความรุนแรงกลับมา

แม้ว่าการต่อสู้ทางข้อมูลจะลดลงไป แต่สิ่งที่ย้อนกลับมาแทนคือการใช้ความรุนแรงเป็นกลไกหลัก อย่างไรก็ตาม ขบวนการ BRN หรือกลุ่มก่อการร้ายที่ยังเคลื่อนไหวในปัจจุบัน ไม่ได้มีเอกภาพชัดเจนอีกต่อไป การก่อเหตุส่วนใหญ่ ไม่ได้มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เพื่อแบ่งแยกดินแดนโดยแท้จริง แต่เป็นการรักษาฐานอำนาจของกลุ่มที่ยังเหลืออยู่ ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการแสดงตนเพื่อรักษาเครือข่ายสนับสนุน มากกว่าที่จะมีแผนการทางทหารหรือการเมืองที่แน่นอน

สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐต้องตระหนักคือ ขบวนการเหล่านี้ฝังรากลึกอยู่ในเครือข่ายหมู่บ้านและสถานศึกษา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐยังเข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง จุดอ่อนสำคัญของหน่วยงานรัฐในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้คือการที่ เจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะทหาร ต้องผลัดเปลี่ยนกำลังพลตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชุมชนได้ ขณะที่เครือข่ายผู้ก่อการร้ายมีรากฐานอยู่ในพื้นที่มายาวนาน ใช้ความสัมพันธ์ทางครอบครัว ระบบการศึกษา และความเชื่อทางศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินงาน

ดังนั้น แนวทางที่รัฐต้องใช้ในการรับมือกับปัญหานี้ ไม่ใช่แค่การปราบปรามหรือการส่งกำลังทหารเข้าไปเพียงชั่วคราว แต่จำเป็นต้องสร้างเครือข่ายของรัฐที่ฝังตัวอยู่ในพื้นที่ระยะยาว การมีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่นานพอจะสร้างสายสัมพันธ์กับชาวบ้าน สร้างความเชื่อใจ และเข้าใจโครงสร้างของขบวนการจากระดับรากหญ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด การ "ฝังตัว" ในพื้นที่จึงต้องเป็นยุทธศาสตร์หลักของฝ่ายความมั่นคง ไม่ใช่แค่การเข้าไปดูแลเป็นครั้งคราว แต่ต้องเป็นการสร้างโครงข่ายของรัฐที่สามารถเข้าถึงชุมชนในทุกระดับได้อย่างแท้จริง

เมื่อฝีมือทางดนตรีอันฉกาจฉกรรจ์ อาจแลกมาด้วยการทำข้อตกลงกับปีศาจ

ใดๆ digestในวันนี้ ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปพบกับหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกแห่งดนตรี  เรื่องราวลี้ลับที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ว่าเป็นแค่เรื่องเล่า เรื่องบังเอิญ อาถรรพ์ คำสาปหรือเป็นเรื่องจริงกันแน่  

The 27 Club เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักร้อง นักดนตรี ศิลปินระดับตำนานของโลกหลายคน แต่ละคนมีแนวเพลงและสไตล์ที่แตกต่างกัน แต่ละคนมีฝีมืออันเอกอุทั้งการเล่นดนตรี การร้องเพลงและแต่งเพลงเป็นที่ยอมรับในระดับสูงไปทั่วโลก มีฐานแฟนเพลงของตัวเองมากมาย หลายคนเป็นผู้วางรากฐานและสร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆ ให้กับวงการดนตรีระดับโลกและ เป็นต้นแบบให้กับนักดนตรีรุ่นหลังมากมาย แต่ละคนดำรงอยู่คนละยุคสมัย แต่สิ่งที่เหมือนกันอย่างน่าขนลุกคือพวกเขาทุกคนเสียชีวิตตอนอายุ 27 เหมือนกัน

อาจดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญแต่เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่ศิลปินระดับตำนานหลายต่อหลายคนไม่สามารถข้ามผ่านช่วงอายุนี้ไปได้ ในที่สุดจึงเกิดคำว่า The 27 Club ขึ้น เพื่อใช้เรียกขานถึงเหล่าศิลปินระดับโลกทั้งนักร้องและนักดนตรีเหล่านี้ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่ออายุได้ 27 ปีเท่ากันพอดีทุกคน โดยในเบื้องต้นไม่มีใครสังเกตถึงเรื่องนี้จนกระทั่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดจึงเกิดคำว่า The 27 Club ขึ้นมา โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ของเหล่าสมาชิกแห่ง The 27 Club มักมาจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด, อุบัติเหตุ หรือไม่ก็มักมีสาเหตุมาจากความรุนแรงเช่นการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม และที่แน่ๆ คือไม่มีสมาชิกของ The 27 Club คนไหนที่จากไปอย่างธรรมชาติเลยซักคนเดียว

บรรดาสื่อดนตรีแขนงต่าง ๆ มักจะนำเสนอเรื่องราวของ The 27 Club อยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้น จนทำให้ The 27 Club เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดนตรีกระแสหลักของโลกไปในที่สุด

โดยหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดอันน่าขนลุกที่เกี่ยวข้องกับ The 27 Club โดยตรงได้แก่ ตำนานเก่าแก่ในอเมริกาที่เล่าถึงการทำสัญญาแลกเปลี่ยนกับ 'ปีศาจ' หรือ 'ซาตาน' ที่ทางแยก หรือ 'ทางสี่แพร่ง' โดยว่ากันว่าอายุ 27 เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเเลกกับบางสิ่งบาง ...บางอย่างที่ 'ปีศาจ' มอบให้ผู้ทำสัญญา โดยมีเงื่อนไขที่เล่าขานต่อกันมาก็คือ ให้เขียนสิ่งที่ปรารถนาลงในกล่อง จากนั้นให้นำไปฝังใว้ที่ทางสี่เเพร่ง ก็จะพบกับปีศาจที่มาทำข้อตกลง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ โดยเเลกกับช่วงชีวิตที่เหลือหลังจากปี 27 นั่นเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือหลังจากที่ปีศาจบันดาลสิ่งที่ต้องการให้แล้ว ราคาที่ต้องจ่ายเป็นการแลกเปลี่ยนก็คือ ปีศาจจะมารับวิญญาณไปเมื่ออายุครบ 27 ปีแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในตำนานของอเมริกาครับ ก็ต้องขีดเส้นใต้หนักๆว่ากรุณาอ่านโดยใช้วิจารณญาณกันด้วย

ทีนี้เราลองมาทำความรู้จักกับสมาชิกที่โด่งดังของ The 27 Club กันดีกว่าครับว่ามีใครบ้าง 
1. Robert Johnson 
ศิลปินผู้เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการขายวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแลกกับฝีมือกีตาร์ระดับเทพเจ้า โดยมือกีตาร์และศิลปินเพลงแนว Delta Blue ระดับตำนานผู้นี้ ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงอมตะไว้ทั้งหมด 29 เพลงที่ได้รับการยอมรับจากผู้ฟังอย่างมากมายมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นต้นแบบให้กับมือกีตาร์สาย Blues และ Rock หลายคน โดยมีผลงานขึ้นหิ้งของเขาอย่าง Crossroad, Love in Vain และ Ramblin’ On My Mind เป็นต้น โดยเรื่องเล่าที่เป็นตำนานของเขาก็คือ ในระยะแรกเขาเป็นเพียงนักดนตรีดาดๆ ที่เล่นตามคลับทั่วไปใน Mississippi โดยหลายคนค่อนขอดว่าฝีมือของเขาห่วยแตกเลยด้วยซ้ำ แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลาหลายวัน และเมื่อเขากลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็มาพร้อมกับฝีมือกีตาร์ที่ฉกาจฉกรรจ์ขึ้นเป็นคนละคนภายในชั่วข้ามคืน ซึ่งตรงนี้มีหลักฐานจากบทสัมภาษณ์เพื่อนๆ ของเขาที่เคยเล่นอยู่ในวงเดียวกัน ซึ่งทุกคนก็พูดตรงกันว่ารู้สึกตกใจที่อยู่ๆฝีมือของเขาก็รุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นมากๆ ซึ่งก็ดูจะเป็นเรื่องเกินวิสัยของมนุษย์ธรรมดาไปอยู่ไม่น้อย โดยตัวของ Robert Johnson เกิดที่รัฐ Mississippi ซึ่งหลายๆ คนก็เชื่อว่ารัฐนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำสัญญาระหว่างตัวเขากับซาตาน หลังความโด่งดังที่ได้เล่นรวมกับศิลปินชื่อดังมากมายในช่วง ปี 30s ในเดือนสิงหาคม ปี 1938 Robert Johnson ได้ถูกวางยาพิษที่ใส่ไว้ในแก้ววิสกี้ หลังจากนั้น 3 วันเขาก็ได้เสียชีวิตลง แต่ที่น่าแปลกคือ Robert Johnson ได้เสียชีวิตลงในวัย 27 ปี พอดิบพอดี และถือเป็นคนแรกที่ได้เข้าสู่ The 27 club

2. Jimi Hendrix 
กีตาร์ไอคอน, ฟรอนต์แมนและมือกีตาร์แห่ง The Jimi Hendrix Experience มือกีตาร์ผู้เป็นตำนานในหมู่ตำนาน ชายผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นมือกีตาร์ที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของสไตล์การเล่นกีตาร์กลับหัวด้วยมือข้างซ้ายมาพร้อมกับการแต่งตัวฉูดฉาดเป็นเอกลักษณ์ และการแสดงสดอันทรงพลังที่เร้าใจ ผู้ซึ่งเคยจุดไฟเผากีตาร์สดๆ บนเวทีมาแล้ว ทำให้ชื่อของ Jimi Hendrix ยังถูกกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้ เขาเสียชีวิตจากการสำลักอาเจียนของตัวเองอันเป็นอาการต่อเนื่องมาจากการเสพยาเกินขนาดในปี 1970 เมื่ออายุได้ 27ปี 295วัน  

3. Janis Joplin
เสียงขับขานและกวีเอกฝ่ายหญิงแห่งยุคบุปผาชน นักร้องนักแต่งเพลงมากฝีมือคนนี้ จบชีวิตลงด้วยการใช้ยาเสพติดเกินขนาดเช่นกัน โดยมีบันทึกไว้ว่าภายหลังจากที่อัดเสียงเพลง 'A Woman Left Lonely' ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายในชีวิตที่เธอทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้ Janis กลับมาที่ห้องในโรงแรม ฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นเลือดจำนวนมากและเดินลงไปซื้อบุหรี่แล้วกลับเข้ามาในห้อง ก็เกิดอาการช็อกและล้มลงหัวฟาดพื้น เสียชีวิตในที่สุด เป็นการจากไปในขณะที่อาชีพการงานของเธอกำลังรุ่งเรืองสุดขีดและผลต่อวงการดนตรีอย่างมาก อายุของเธอเมื่อจากโลกนี้ไปคือ 27ปี 258วัน

4. Jim Morrison 
นักร้องนำ และฟรอนต์แมนผู้ทรงเสน่ห์และมากล้นความสามารถแห่งวง The Doors เขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลวจากการใช้ยาเกินขนาดในปี 1971 ซึ่งด้วยผลงานการเขียนเพลงที่ไพเราะสวยงามประหนึ่งบทกวี ทำให้หลายคนเชื่อเหลือเกินว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ วง The Doors จะกลายเป็นวงระดับตำนานเช่นเดียวกับวงอย่าง The Beatles อย่างไม่มีข้อกังขา Jim Morrison เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 27ปี 207วัน

5. Kurt Cobain
มือกีตาร์, นักร้อง และผู้นำแห่งวง Nirvana บิดาแห่งวงการเพลงกรันจ์ และหัวหอกแห่งกระแส Seattle Sound ด้วยเนื้อหาเพลงที่เสียดสีจิกกัดสังคมได้อย่างเจ็บแสบและบุคลิกส่วนตัวของเขาที่มีความขบถอยู่ในตัวอย่างชัดเจน ชื่อของ Kurt Cobain จึงดังระเบิดไปทั่วโลกในเวลานั้น เขามีสถานะและผู้ติดตามไม่ต่างอะไรกับซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูด เขาเหมือนดอกไม้ไฟลูกมหึมาที่ส่องสว่างในฟากฟ้าแห่งวงการดนตรีก่อนที่จะดับวูบลงอย่างรวดเร็ว Kurt Cobain เลือกที่จะลาจากโลกนี้ไปด้วยการใช้ปืนลูกซองยิงตัวตาย แต่ชื่อของเขายังคงเป็นตำนานมาจนทุกวันนี้ และบทเพลงต่างๆ ของ Nirvana ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงมาจนถึงปัจจุบัน อายุของ Kurt เมื่อจากไปคือ 27ปี 44วัน 

6. Amy Winehouse
นักร้องและศิลปินแนวโซล ไอคอนแห่งวงการดนตรีผู้มีน้ำเสียงและทักษะการร้องเพลงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ยากจะหาใครเปรียบ และ Amy ยังมีบุคลิกที่ทรงเสน่ห์ในทุกท่วงท่าไม่ว่าจะในการแสดงหรือการพูดคุย เธอจึงเป็นที่รักของคนทั่วโลก ชีวิตของเธอผ่านอุปสรรคปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการติดแอลกอฮอล์ ยาเสพติด และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง Amyพยายามต่อสู้กับอาการติดแอลกอฮอล์มาโดยตลอดแต่ในที่สุดเธอก็พ่ายแพ้และเสียชีวิตจากแอลกอฮอล์เป็นพิษในกระแสเลือดในปี 2011ในขณะที่มีอายุได้ 27ปี 312วัน 

การมีอยู่ของ The 27 Club นั้นเป็นทั้งเรื่องน่ายินดีและเรื่องน่าหดหู่ในขณะเดียวกัน เพราะ The 27 Club มีส่วนทำให้ชื่อของเหล่าศิลปินนักดนตรีระดับตำนานถูกยกมาพูดถึงบ่อยครั้ง เป็นเครื่องย้ำเตือนให้คนรุ่นหลังได้ทราบว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยยิ่งใหญ่แค่ไหนและเคยสร้างผลงานที่มีคุณค่าอะไรฝากไว้ให้กับโลกใบนี้บ้าง  แต่ในทางกลับกันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าพวกเขาไม่ด่วนจากไปในวัย 27 โลกและแฟนๆ ของพวกเขาก็คงยังได้เสพผลงานสร้างสรรค์จากความสามารถและจินตนาการของบรรดาไอคอนเหล่านี้อีกมากมายอย่างแน่นอน

อนาคตของ ‘เซเลนสกี’ อยู่ในภาวะวิกฤต หลังสหรัฐฯ กังวลความสามารถในการรักษาความมั่นคงยูเครน

(14 มี.ค. 68) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเขา โดยมีความกังวลเพิ่มขึ้นในวอชิงตันเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขาในการเป็นผู้นำยูเครนในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตสงครามกับรัสเซีย

ตามรายงานจากหลายแหล่งข่าวในกรุงเคียฟและวอชิงตัน ระบุว่าในขณะนี้หลายฝ่ายในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเซเลนสกี และความสามารถของเขาในการรักษาความมั่นคงของประเทศในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ทั้งในด้านการทูตและความคืบหน้าในการเจรจาทางการทหาร

แหล่งข่าวในวอชิงตันกล่าวว่า มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเซเลนสกี โดยเฉพาะในการจัดการทรัพยากรทางทหารและการดำเนินนโยบายภายในที่อาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือของเขาในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพันธมิตรทางทหารของยูเครน

“เราอยู่ในการทำหน้าที่ท้ายๆ ของประธานาธิบดีเซเลนสกี” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนบอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของโวโลดิมีร์ เซเลนสกี โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนอ้างว่า การบริหารงานของเขาในช่วงท้ายๆ ของวาระกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการทูต การรักษาความมั่นคงของประเทศ และการจัดการวิกฤตสงครามที่ยืดเยื้อกับรัสเซีย 

ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีก็ยังคงเดินหน้าพยายามรักษาความเป็นผู้นำของเขา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ยูเครนจะต้องได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของโวโลดิมีร์ เซเลนสกีในฐานะประธานาธิบดียูเครนจะหมดลงในปี 2024 โดยเขาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2019 และได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019

กรุงเทพมหานคร ยึดเบอร์ 2 ของโลก เมืองแห่งอาหารที่ดีที่สุด ประจำปี 2568

แบงค์คอก สตรีทฟู้ด กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเมืองแห่งอาหารอันดับ 2 ของโลก จาก Time Out ชี้จุดแข็งความอร่อยสุดฮิต ดันเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยว

(14 มี.ค. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกประจำปี 2568 จากนิตยสารระดับโลก Time Out ขยับขึ้นจากอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว เป็นรองเพียง นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เท่านั้น โดยการสำรวจพบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงเทพฯ ติดอันดับสูงขึ้นคือ 'รสชาติที่อร่อย' ตามมาด้วย 'ความสะดวกและรวดเร็ว' ที่ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงอาหารคุณภาพได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านสตรีทฟู้ดริมทางที่พร้อมเสิร์ฟในเวลาไม่กี่นาที หรือบริการเดลิเวอรี่ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถเพลิดเพลินกับอาหารจานโปรดได้ทุกที่

กรุงเทพฯ เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งสตรีทฟู้ดระดับโลก มากกว่าการเป็นศูนย์รวมร้านอาหารหรู โดย ‘ย่านเยาวราช’ ยังคงเป็นย่านอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยเมนูชื่อดังอย่าง ก๋วยจั๊บ ข้าวต้มโต้รุ่ง และเกาลัด รวมถึงบาร์ค็อกเทลที่เปิดให้บริการตลอดคืน ขณะที่ ‘ย่านบรรทัดทอง’ ซึ่งเคยเงียบเหงา ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ถนนที่ดีที่สุดอันดับ 14 ของโลก จาก Time Out ด้วยเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยสีสัน

อย่างไรก็ตาม แม้กรุงเทพฯ จะขึ้นแท่นเป็นเมืองอาหารระดับโลก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า วงการอาหารไทยยังสามารถเติบโตได้อีก หากร้านอาหารมีการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ ในราคาที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ร้านอาหารที่มีนวัตกรรมและนำเสนอเมนูสร้างสรรค์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มร้านพรีเมียมที่มีราคาสูง ขณะที่ร้านระดับกลางที่พัฒนาเมนูใหม่ ๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ยังมีไม่มากนัก หากมีการเพิ่มทางเลือกที่สร้างสรรค์และราคาเป็นมิตร จะช่วยให้กรุงเทพฯ ก้าวขึ้นไปอีกระดับในฐานะศูนย์กลางแห่งรสชาติที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักชิมจากทั่วโลกได้มากยิ่งขึ้น

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทย โดยสนับสนุนการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีในประเทศ และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหาร (Food Hub) ของภูมิภาค อาหารไทยถือเป็น ซอฟต์พาวเวอร์สำคัญ ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก การที่กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตในหลายมิติ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การส่งออกอาหาร และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกรรม โรงแรม และโลจิสติกส์ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

ปธน.โปแลนด์ เผยต้องการนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการรุกรานจากรัสเซียในยุโรปตะวันออก

(14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา ของโปแลนด์ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการในดินแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเป็นเครื่องมือในการป้องปรามการรุกรานจากรัสเซียในอนาคต ซึ่งคำเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่โปแลนด์ยังคงเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการรุกรานของรัสเซียในภูมิภาคยุโรปตะวันออก

ในคำแถลงของเขาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีดูดาได้กล่าวว่า โปแลนด์จำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งทางทหารในฐานะสมาชิกขององค์การนาโต้ (NATO) โดยการมีอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของตนจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการป้องปรามและเพิ่มความมั่นคงให้กับทั้งโปแลนด์และพันธมิตรในภูมิภาค

การเรียกร้องของประธานาธิบดีโปแลนด์มีขึ้นหลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ รู้สึกถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และต้องการเพิ่มความเข้มแข็งด้านการป้องกันประเทศ

แม้ว่าการประจำการของอาวุธนิวเคลียร์ในโปแลนด์จะเป็นการกระทำที่อาจกระตุ้นความตึงเครียดกับรัสเซีย แต่ประธานาธิบดีดูดาก็ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการป้องกันประเทศในระยะยาว และจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

การเรียกร้องของโปแลนด์ได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศในนาโต้ แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้และผลกระทบทางการเมืองจากการที่สหรัฐอเมริกาจะยอมรับคำขอนี้หรือไม่

นอกจากนี้ อันด์แชย์ ดูดา แห่งโปแลนด์ได้แสดงความยินดีต้อนรับข้อเสนอของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่จะขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังประเทศสมาชิกนาโต้ (NATO) อื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของยุโรปที่มีความตึงเครียดจากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ การขยายขอบเขตของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศสอาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในกลุ่มนาโต้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศมหาอำนาจต่างๆ การตัดสินใจในการขยายอาวุธนิวเคลียร์จะต้องพิจารณาผลกระทบทั้งในด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top