Wednesday, 25 June 2025
ค้นหา พบ 49000 ที่เกี่ยวข้อง

ศาลยังไม่ตัดสินคดีใบแดง ‘มุกดาวรรณ’ แต่ไต่สวนเสร็จแล้ว รอนัดอ่านคำพิพากษา

(29 ม.ค. 68) ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับ ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 พรรคภูมิใจไทย ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ให้ใบแดง และศาลประทับรับฟ้อง พร้อมกับต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

แต่วันนี้มีข่าวอื้ออึงไปทั่วเมืองนคร ว่า ศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษา ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวออกมาจากบ้านฝ่ายผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง (ฝ่ายคัดค้าน) ก็นั่งสงบ และข้อเท็จจริง คือศาลยังไม่นัดอ่านคำพิพากษา ยังอยู่ในขั้นตอนการไต่สวนพยานฝ่ายค้าน (ผู้ถูกร้อง)

โดยศาลฎีกาออกประกาศนัดไต่สวนพยานคดีใบแดง ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส.นครศรีฯพรรคภูมิใจไทย ฝั่ง ผู้ร้อง – คัดค้าน รวม  9 ครั้ง  23 ธ.ค. 67  สุดท้าย 29 ม.ค.68

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ศาลฎีกาได้ออกประกาศ แจ้งวันนัดพิจารณา คดีเลือกตั้งหมายเลขที่ ลต สส 5/2567  ระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  ผู้ร้อง  นางมุกดาวรรณ เลื่องสีนิล  (สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 พรรคภูมิใจไทย)  ผู้คัดค้าน เรื่อง ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และเรียกค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้ง  ศาลฎีกามีคำสั่งให้ไต่สวนพยานผู้ร้อง วันที่ 23 -25 ธ.ค.2567, 20-21 ม.ค.2567, 27 ม.ค.2567  นัดไต่สวนพยานผู้คัดค้าน วันที่ 27-29 ม.ค.2567 รวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง (ดูประกาศ)

ก่อนหน้านี้ศาลฎีกามีคำสั่งนัดตรวจพยานหลักฐานคดีนี้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ต่อมา วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ศาลฎีกาออกประกาศเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานเป็นวันที่ 17 ก.ย.2567  

สำหรับคดีนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนางมุกดาวรรณ เลื่องศรีนิล สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 พรรคภูมิใจไทย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 226 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา 138 และมาตรา 139 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยเมื่อวันที่ 5 ก.ค.2567 จึงมีผลให้นางมุกดาวรรณ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา  คดีนี้ เป็นกรณีถูกร้องเรื่องการแจกเงินไปลงคะแนนให้ตัวเอง หัวละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 บาท และเรื่องการแจกเงินให้ไปฟังการปราศรัย

คดีของนางมุกดาวรรณ ถือเป็นคดีแรกที่ กกต.แจกใบแดงให้ สส.จึงเป็นคดีที่สังคมติดตามความคืบหน้ากันมาก อันจะเป็นการพิสูจน์ผลงานของ กกต.ด้วยกับคำร้องค้านผลการเลือกตั้งมากมายถึง 72 เขตเลือกตั้ง

ที่สำคัญถ้าศาลฎีกาให้ใบแดงมุกดาวรรณจริง นอกจากเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้งแล้ว ยังจะต้องชดใช้ค่าจัดการเลือกตั้งใหม่เป็นเงินหลายล้านบาทแล้ว และในการเลือกตั้งซ่อม ก็จะเป็นสนามที่ต่อสู้กันดุเดือด เข้มข้นแน่นอน เพราะจะเป็นสนามพิสูจน์ฝีมือนักการเมืองระดับหัวทั้งสองสามขั้ว

บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวลงทุน 1.7 แสนล้านบาท เผย TikTok เตรียมสร้าง Data Center มูลค่า 126,790 ลบ.

(29 ม.ค.68) บอร์ดบีโอไอ ชิงจังหวะเร่งเครื่องต่อเนื่อง ประเดิมปี 68 อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท บิ๊กโปรเจกต์ TikTok และ Siam AI ทุ่มทุนปักหลักโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล – AI ในไทย พร้อมเดินหน้าส่งเสริมกิจการเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และนิคมอุตสาหกรรมชีวภาพ เร่งขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์ ดึงลงทุนปี 2568 ผลักดันไทยขึ้นแท่นฐานอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนัดแรกของปี 2568 ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท ประกอบด้วยกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอคอนเทนต์ยอดนิยม โดยจะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวม 126,790 ล้านบาท และกิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ได้รับเลือกให้เป็น NVIDIA Cloud Partner (NCP) จะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีและปทุมธานี มูลค่าลงทุนรวม 3,250 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี มูลค่าลงทุนรวม 40,400 ล้านบาท

“ปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่าง Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย รวม 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงเป็นอันดับหนึ่ง สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI รวมทั้งการจัดเก็บและประมวลผล Big Data การลงทุนของทั้งสองโครงการนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาค” นายนฤตม์ กล่าว

ดึงศักยภาพการเกษตร - หนุนลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพ

นอกจากนี้ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชีวภาพ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศมากขึ้น บอร์ดบีโอไอ ได้มีมติเห็นชอบ ดังนี้

1. เปิดส่งเสริม 'กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF)' ซึ่งใช้ผลผลิตทางการเกษตร เศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานระหว่างประเทศ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และ 'กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนแบบผสม' ซึ่งจะนำ SAF มาผสมกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป (JET Fuel) เพื่อให้สามารถนำมาใช้กับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทันที โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี

2. ปรับปรุงกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ให้เป็น “กิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ” เพื่อให้มีขอบข่ายธุรกิจที่กว้างขึ้น ครอบคลุมทั้งด้านเกษตร อาหาร พลังงานทดแทน และบริการสนับสนุน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี

เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนปี 2568 มุ่งสู่ Hub 5 ด้าน

บอร์ดบีโอไอ ยังได้เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนปี 2568  โดยมุ่งยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคใน 5 ด้านสำคัญที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง ได้แก่ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมด้าน BCG (Bio-Circular-Green Industries Hub) ศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Tech Hub) ซึ่งจะครอบคลุมหลายสาขา เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล  ศูนย์รวมบุคลากรทักษะสูงจากทั่วโลก (Talent Hub) ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และธุรกิจระหว่างประเทศ (Logistics & International Business Hub) และศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Soft Power and Creative Hub)

นายนฤตม์ กล่าวว่า สถานการณ์ความผันผวนของโลก อันเนื่องมาจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในการช่วงชิงฐานการลงทุน บีโอไอจึงได้มีแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในปี 2568 เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และพร้อมรับกระแสการโยกย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแผนดำเนินงาน 5 ด้านสำคัญ ดังนี้

1) เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมุ่งดึงดูดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย อุตสาหกรรม BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า (xEV), เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการผ่านคณะกรรมการระดับชาติ ทั้งบอร์ดอีวี บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ และคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ด้านซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุน และเตรียมขยายสำนักงานบีโอไอเพิ่มอีก 2 แห่งที่นครเฉิงตู ประเทศจีน และสิงคโปร์

2) ยกระดับผู้ประกอบการไทย และสนับสนุนการเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสร้างโอกาสในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการสนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ และการจัดกิจกรรมการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม

3) พัฒนาบุคลากรทักษะสูง โดยบีโอไอทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะด้าน Semiconductor, PCB, ดิจิทัล และ AI ทั้งการจัดทำ Roadmap ที่ชัดเจนและการกำหนดมาตรการสนับสนุน นอกจากนี้ จะดึงดูดบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการ LTR Visa และSmart Visa รวมทั้งการขยายการให้บริการของศูนย์ One Stop Service ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน

4) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศการลงทุน โดยส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพและดิจิทัลที่สำคัญเพื่อรองรับการลงทุน พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาและเตรียมพื้นที่รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน และพัฒนาเครื่องมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) ร่วมกับกระทรวงการคลัง

5) การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อการลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ บีโอไอจะทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในการออกแบบกลไกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งกลไก Utility Green Tariff (UGT) และการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA)

จัดอันดับมหาวิทยาลัยดีที่สุดในเอเชีย ปี 2025 โดย Times Higher Education

เปิด 20 อันดับมหาวิทยาลัย ดีที่สุดในเอเชีย จากการจัดอันดับโดย Times Higher Education World University มหาวิทยาลัยจากจีน ยังครองอันดับ 1 ตามด้วยฮ่องกง – สิงคโปร์ – เกาหลีใต้ – ญี่ปุ่น และมีมหาวิทยาลัยใดติดอันดับบ้าง ไปส่องกันเลย

จีนทิ้งขาดสหรัฐฯ นำลิ่ว 57 เทคโนโลยีใหญ่ ยกเครดิตสีจิ้นผิงชู 'Made in China 2025' ทุ่มวิจัยไม่ยั้ง

(29 ม.ค.68) การเปิดตัวโมเดล AI ของ DeepSeek บริษัทสัญชาติจีนที่กำลังมาแรงและได้รับการพูดถึงในขณะนี้ ด้วยประสิทธิภาพที่ระบุว่ามีต้นทุนต่ำกว่า ทำงานได้เร็วกว่า แถมเป็นการพัฒนาแบบระบบโอเพ่นซอร์ส ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการ AI ไปทั่วโลก จนส่งผลให้มูลค่าตลาดหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐ หายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกเหตุการณ์นี้ว่า 'Sputnik moment' อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ AI เท่านั้น  

รายงานวิจัยจากสถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (ASPI)ประจำปี 2024 ซึ่งศึกษาข้อมูลย้อนหลังถึง 20 ปี พบว่า จีนครองความเป็นผู้นำใน 57 จาก 64 เทคโนโลยีสำคัญ เพิ่มขึ้นจากเพียง 3 เทคโนโลยีเมื่อปี 2007 ในขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเคยนำหน้าใน 60 สาขาเมื่อปี 2007 ปัจจุบันเหลือเพียง 7 สาขาเท่านั้น  

จากการวิจัยของ ASPI ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยและสิทธิบัตรที่มีนวัตกรรมสูง ซึ่งตีพิมพ์โดยมหาวิทยาลัย ห้องปฏิบัติการ หน่วยงานของรัฐ และบริษัทต่างๆ ทั่วโลกพบว่า สาขาเทคโนโลยีที่จีนเป็นผู้นำโลกในเวลานี้ อาทิ การออกแบบและผลิตวงจรรวมขั้นสูง, กระบวนการตัดเฉือนความแม่นยำสูง , เครื่องยนต์อากาศยานขั้นสูง, โดรน หุ่นยนต์ฝูง และหุ่นยนต์ทำงานร่วมกัน, แบตเตอรี่ไฟฟ้า, เทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ , การสื่อสารความถี่วิทยุขั้นสูง  

ในขณะที่สาขาเทคโนโลยีที่สหรัฐเป็นผู้นำในขณะนี้ เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP), ควอนตัมคอมพิวติ้ง และวิศวกรรมพันธุกรรม  

ASPI ตั้งข้อสังเกตว่าแผนการ 'Made in China 2025' ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่อัดฉีดเงินทุนโดยตรงจำนวนมหาศาลเพื่อการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีสำคัญ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ "การครอบครองความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี" เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เทคโนโลยีจีนหลายด้านก้าวหน้า 

นอกจากการลงทุนในงานวิจัยแล้ว รัฐบาลจีนยังส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน และยกระดับภาคการผลิตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเทคโนโลยีภายในประเทศด้วย

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ เน้นแก้ปัญหาเร่งด่วน 3 ด้าน

(29 ม.ค. 68) เวลา 11.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2568 ข้าราชการตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมวันนี้เน้นย้ำส่วนราชการระดับกระทรวงและเทียบเท่า และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดำเนินการเร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่
1. การแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนดำเนินการผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
2. การกระชับความร่วมมือในโอกาส 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน โดยขอให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกัน มุ่งไปสู่การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น
3. การดูแลความมั่นคง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหลักในการร่วมดำเนินการในเรื่องการป้องกันปราบปรามปัญหายาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวและกลุ่มชาติพันธุ์

ทั้งนี้ ตามนโยบายรัฐบาล 10 นโยบาย ซึ่งมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 3 นโยบาย ได้แก่ นโยบายที่ 7 การเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว , นโยบายที่ 8 การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร และนโยบายที่ 9 การแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งตามนโยบายดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เร่งรัดดำเนินการ ดังนี้

การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร โดยเน้นการสืบสวนหาข่าวประเทศเพื่อนบ้าน การตรวจสอบและลาดตระเวนชายแดน การตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตั้งแต่บริเวณชายแดนจุดพักคอย และเส้นทางหลัก เส้นทางรอง พื้นที่ชั้นใน การสืบสวนปราบปรามจับกุม ทำลายเครือข่าย และการป้องกันสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยได้เปิดปฏิบัติการสยบไพรี โดยบูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม         ยาเสพติด และประเทศเพื่อนบ้าน ในการทลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดข้ามชาติ ผู้ค้ารายย่อย สกัดกั้นเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติด ปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายทั่วประเทศ และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ  

การแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เปิดมาตรการระเบิดสะพานโจร เพื่อตัดช่องทางการติดต่อหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ รวมทั้ง กรณีปัญหาคนต่างชาติถูกหลอกลวงโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังพื้นที่ชายแดน ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ตั้งแต่กระบวนการก่อนเดินทางเข้าประเทศ ขณะอยู่ในประเทศ การสกัดกั้นแนวชายแดน และการช่วยเหลือ ประสานงานจากประเทศที่สาม โดยให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการในแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 7 วัน พร้อมคาดโทษตำรวจทุกหน่วยที่ปล่อยปละละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีกำลังพลจำนวนจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในห้วงเวลานี้ ได้แก่ ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ และปัญหาคนต่างด้าวถูกหลอกลวงไปยังประเทศที่สาม ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักในภารกิจสำคัญดังกล่าว และได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านกำลังพลและ อุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับกระทรวง ทบวง กรม ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในห้วงเวลานี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการประชุมและ กำหนด 7 มาตรการเข้มข้น ให้หน่วยในสังกัดไปปฏิบัติ ตั้งแต่ก่อนคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศ การปฏิบัติท่าอากาศยาน เส้นทาง รถเช่า รถสาธารณะ และจุดพักต่าง ๆ ตลอดจนในพื้นที่จังหวัดชายแดน และการสกัดกั้น รวมทั้งการช่วยเหลือประสานงานกับประเทศที่สาม จึงใคร่ขอความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคง กองกำลังทหาร ฝ่ายปกครอง และภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่และส่วนกลาง ได้ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน เกิดความผาสุกแก่ประชาชน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top