Tuesday, 24 June 2025
ค้นหา พบ 48997 ที่เกี่ยวข้อง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจกับการสูญเสียตำรวจน้ำดี “ส.ต.อ.เจริญพรฯ” ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ช่วยคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ถูกรถพุ่งชนจนเสียชีวิต 

(29 ม.ค. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สูญเสียตำรวจน้ำดีอีก 1 ราย กรณี ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม อายุ 35 ปี ผู้บังคับหมู่ งานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจสายตรวจหน่วยบริการประชาชนบ้านบางใหญ่ ซึ่งถูกรถกระบะพุ่งชนท้ายระหว่างช่วยเหลือคนขับรถจักรยานยนต์โซ่ขาด ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เมื่อคืนวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา 

เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 เวลาประมาณ 18.10 น. ส.ต.อ.เจริญพร เนียมนิยม ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ และได้เข้าช่วยเหลือรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นซึ่งเกิดโซ่รถหลุดระหว่างทาง ด้วยการพาไปซ่อมบริเวณที่พักสายตรวจบางใหญ่ โดย ส.ต.อ.เจริญพรฯ ใช้เท้ายันรถจักรยานยนต์คันที่โซ่ชำรุดทางด้านหลัง โดยให้เจ้าของรถนั่งประคองรถของตนเองไป เมื่อไปถึงบริเวณ ถ.เลี่ยงเมือง ตรงข้ามสถานีบริการน้ำมันเชลล์ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ถูกรถยนต์กระบะคู่กรณีแล่นเข้ามาเฉี่ยวชนทางด้านหลัง เป็นเหตุให้ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เสียชีวิตในเวลา 

นอกจากนี้ เนื่องจาก ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต ได้เคยแจ้งความประสงค์บริจาคอวัยวะกับสภากาชาดไทย ล่าสุดภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ จึงได้ติดต่อศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ในการบริจาคอวัยวะ ซึ่งคณะแพทย์โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีได้ผ่าตัดอวัยวะสำคัญของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ เพื่อนำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย 5 คน ต่อไปแล้ว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับทราบกรณีดังกล่าว ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ผู้เสียชีวิต พร้อมยกย่อง ส.ต.อ.เจริญพรฯ ปฏิบัติหน้าที่สมกับความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ช่วยเหลือประชาชนจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต นับเป็นอีกหนึ่งความสูญเสียครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมชื่นชมภรรยาของ ส.ต.อ.เจริญพรฯ ที่ติดต่อบริจาคอวัยวะตามเจตจำนงของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาดูแลสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นครอบครัวจะได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 1,150,000 บาท เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 3 ขั้น และเสนอเลื่อนยศเป็น ร.ต.ต.

กฟภ. ตั้งโต๊ะแจงยิบ ปมขายไฟฟ้าให้ ‘เมียนมา’ ลั่น ยังตัดไฟไม่ได้เหตุยังไม่พบการทำผิดที่ชัดเจน

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เตรียมหารือหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศครั้งสำคัญ ต้นเดือน ก.พ. 2568  หาแนวทางตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา ใช้ไฟฟ้าไทยดำเนินการหลอกลวงเงินประชาชน ยอมรับที่ผ่านมาตัดไฟฟ้าไม่ได้ เหตุยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเป็นประจักษ์พยาน และไทยยังไม่เคยใช้เหตุผลด้านความมั่นคงเพื่อตัดไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้านมาก่อน คาดหลังหารือจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ ขณะที่บอร์ด PEA เตรียมออกร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่ ที่รัดกุมมากขึ้นและสามารถเลิกสัญญาได้ทันทีหากพบทำผิด

เมื่อวันที่ (29 ม.ค.68) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) แถลงชี้แจงกรณียังไม่ตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังประเทศเมียนมา แม้จะเกิดกรณีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มธุรกิจสีเทา ใช้ไฟฟ้าจากไทยดำเนินการเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงเงินประชาชนมานาน โดยสาระสำคัญของการแถลงข่าวระบุเกี่ยวกับการไม่มีเอกสารหลักฐานที่เป็นประจักษ์ในการกระทำผิดสัญญา และยังไม่มีหนังสือจากหน่วยงานด้านความมั่นคงสั่งการมา ทำให้ PEA ไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานข้อมูลกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อดำเนินมาตรการให้เข้มข้นขึ้นและเตรียมทำร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่ที่รัดกุม ป้องกันการลักลอบใช้ไฟฟ้าผิดวัตถุประสงค์  

นายประดิษฐ์ เฟื่องฟู รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และในฐานะโฆษกประจำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เตรียมหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศ ช่วงวันที่ 4 หรือ 6 ก.พ. 2568 นี้ เพื่อหามาตรการจัดการปัญหาด้านไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากที่ผ่านมา PEA เคยส่งหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานด้านความมั่นคงตั้งแต่ปลายปี 2567 เกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้าไม่ถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ ซึ่งยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามการหารือที่จะถึงนี้คาดว่าจะได้ผลลัพธ์เร็วๆ นี้ เนื่องจากปัญหาธุรกิจสีเทาในประเทศเมียนมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนคนไทยอย่างมาก

ทั้งนี้ตามกฎหมายทาง PEA ไม่สามารถตัดไฟฟ้าโดยทันทีได้ เพราะการตัดไฟฟ้าต้องมีประจักษ์พยานหรือเอกสารที่ชัดเจนต่อการตัดไฟฟ้า ใน 2 กรณี คือ 1.การทำผิดสัญญา เช่น การไม่จ่ายค่าไฟฟ้า 2.กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไทยยังไม่เคยตัดไฟฟ้าด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงในประเทศมาก่อน ดังนั้นจึงต้องมีหนังสือเอกสารจากหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ระบุชัดเจนถึงสาเหตุการตัดไฟฟ้าส่งมายัง PEA อย่างเป็นทางการก่อนจึงจะดำเนินการได้ โดยหากมีการตัดไฟฟ้าจะต้องตัดในพื้นที่ประเทศไทยบริเวณชายแดนกับเมียนมา ซึ่งเป็นการตัดไฟฟ้าทั้งสาย

สำหรับปัจจุบัน PEA มีลูกค้าทั้งหมดในไทยและต่างประเทศ 22 ล้านราย คิดเป็นรายได้ 6 แสนล้านบาทต่อปี ขณะที่การจ่ายไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด สร้างรายได้เพียง 800 ล้านบาทต่อปี ซึ่งที่ผ่านมา PEA จ่ายไฟฟ้าให้เมียนมา เพราะดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อรองรับในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงชายแดนเป็นหลัก  

สำหรับความเป็นมาในการจ่ายไฟฟ้าให้ประเทศเมียนมานั้น ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2539 เห็นชอบหลักการให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศไทย โดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ทั้งนี้ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อทราบ ยกเว้นมีประเด็นนโยบาย  ที่สำคัญให้เสนอพิจารณา

ปัจจุบัน PEA จ่ายกระแสไฟฟ้าให้เมียนมา จำนวน 5 จุด ดังนี้

1. บ้านเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ บริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

2. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

3. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด   เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

4. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า แห่งที่ 2 อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง บริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

5. บ้านห้วยม่วง – อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง มีบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited (SMTY) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

ทั้งนี้การจ่ายไฟฟ้าในจุดซื้อขายไฟฟ้าไปยังเมียนมา คู่สัญญาทุกจุดซื้อขายไฟฟ้าเป็นผู้ได้รับสิทธิสัมปทานการซื้อขายไฟฟ้าจากรัฐบาลของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยผ่านการรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือด้านเอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศ และ PEA ประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยในพื้นที่ก่อนจำหน่ายไฟฟ้าไปยังเมียนมา

กรณีการงดจ่ายไฟฟ้าหรือบอกเลิกสัญญา มี 2 กรณี ได้แก่ 1)  คู่สัญญาดำเนินการผิดสัญญา เช่น ไม่ชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด หรือไม่วางหลักประกันสัญญา และ 2)  กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

ดังนั้น PEA จำเป็นต้องมีหนังสือเป็นทางการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานด้านความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนการดำเนินการบังคับใช้ข้อสัญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกันกับการเริ่มทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หากเป็นในเรื่องนโยบาย PEA จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

สำหรับในปี 2566 สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยแจ้ง PEA ดำเนินการระงับการจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ 2 จุดที่บ้านวังผา อ.แม่ระมาด – บ.ก๊กโก๋ อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และบ้านแม่กุใหม่ท่าซุง – อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง

ส่วนอีก 1 จุด ปี 2567 ในพื้นที่ อ.เชียงแสน – เมืองพงษ์ จ.ท่าขี้เหล็ก คู่สัญญาผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า ทำให้ PEA ยกเลิกจุดซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 3 จุดดังกล่าวแล้ว

“การตรวจสอบว่ามีการกระทำใดที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศไทยนั้น PEA ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกรณีดังกล่าวในประเทศของคู่สัญญาได้ จึงต้องอาศัยหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจประสานงานในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และแจ้ง PEA เพื่อดำเนินการต่อไป”

นอกจากนี้ PEA ยังได้จัดทำหนังสือเป็นทางการผ่านกระทรวงการต่างประเทศไปยังหน่วยงานของเมียนมา เพื่อขอให้กำกับดูแลและควบคุมการจ่ายไฟฟ้าให้เป็นไปตามสิทธิสัมปทาน ณ จุดซื้อขายไฟฟ้า หากหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศไทยตรวจสอบและพิจารณาแล้วเห็นว่าการจ่ายไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทย และ แจ้งให้ PEA ทราบ ก็จะดำเนินการงดจำหน่ายไฟฟ้าตามขั้นตอนต่อไป

นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) กล่าวว่า ที่ผ่านมา PEA เคยส่งหนังสือผ่านกระทรวงการต่างประเทศในไทยไปยังสถานทูตในเมียนมา เพื่อให้ช่วยตรวจสอบว่ามีธุรกิจสีเทามาใช้ไฟฟ้าหรือไม่ และได้ขายไฟฟ้าต่อในธุรกิจที่ตกลงตามสัญญาถูกต้องหรือไม่ ซึ่ง PEA จะเข้มข้นในการติดตามเรื่องนี้ต่อไป

นอกจากนี้คณะกรรมการ (บอร์ด) PEA เห็นควรให้มีการแก้ไขรายละเอียดในสัญญาขายไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ได้ทำร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่แล้ว และอยู่ระหว่างรออัยการสูงสุดตรวจสอบ โดยร่างสัญญาฉบับใหม่จะรัดกุมมากขึ้น โดยต้องยืนยันว่าซื้อไฟฟ้าไปแล้วจะนำไปขายให้กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าด้านใดได้บ้าง เช่น ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา เป็นต้น ซึ่งหากใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ง่ายขึ้น ส่วนด้านความมั่นคงของประเทศนั้น สัญญาขายไฟฟ้าจะต้องระบุให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อให้สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้เร็วขึ้นด้วย

ทั้งนี้หากอัยการสูงสุดเห็นชอบร่างสัญญาขายไฟฟ้าฉบับใหม่แล้ว ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด PEA และจัดทำเป็นสัญญาฉบับใหม่ ที่จะใช้เป็นการทั่วไปทันที

ทรัมป์สั่งขยายคุกกวนตานาโม เตรียมขังผู้อพยพก่อคดี 30,000 คน

(30 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันพุธ (29 ม.ค.) ว่า จะสั่งให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ จัดเตรียมศูนย์กักกันผู้อพยพที่อ่าวกวนตานาโม เพื่อรองรับผู้ถูกควบคุมตัวสูงสุด 30,000 คน  

ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ในอ่าวกวนตานาโม ประเทศคิวบา มีสถานที่สำหรับกักตัวผู้อพยพอยู่แล้ว แยกจากเรือนจำที่ใช้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายจากต่างประเทศ โดยสถานที่ดังกล่าวเคยถูกใช้เป็นศูนย์กักกันชั่วคราวมาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะชาวเฮติและคิวบาที่ถูกสกัดจับระหว่างพยายามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทางทะเล  

ทอม โฮแมน หัวหน้าทีมดูแลชายแดน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์ ระบุว่า รัฐบาลมีแผนขยายศูนย์กักกันที่มีอยู่แล้ว และมอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเป็นผู้ดูแล  

“วันนี้ผมจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เริ่มขยายสถานที่กักกันผู้อพยพที่อ่าวกวนตานาโมให้สามารถรองรับได้ถึง 30,000 คน” ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาว  

เขายังระบุว่า ศูนย์กักกันดังกล่าวจะใช้ควบคุม “บุคคลต่างด้าวผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรอันตราย ซึ่งคุกคามความปลอดภัยของประชาชนอเมริกัน” พร้อมเสริมว่า บางรายเป็นบุคคลที่อันตรายถึงขนาดที่สหรัฐฯ ไม่สามารถส่งตัวกลับประเทศต้นทางได้ เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนีและก่ออาชญากรรมอีก

หลังจากนั้นไม่นาน ทรัมป์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงที่ไม่ได้ระบุตัวเลขจำนวนผู้อพยพที่แน่ชัด แต่เรียกร้องให้มี “พื้นที่กักกันเพิ่มเติม” ในศูนย์ที่ขยายใหม่  

เมื่อให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในวันพุธ โฮแมนกล่าวว่า ศูนย์กักกันนี้จะใช้กับผู้ที่ “เลวยิ่งกว่าเลว”  

ด้านคริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวกับสื่อว่า รัฐบาลกำลังหารือเรื่องงบประมาณกับคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณในสภาคองเกรส เพื่อพิจารณาเงินทุนสำหรับโครงการนี้  

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติส่งตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ร่วมแข่งขัน UAE Swat Challenge 2025 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1-5 กุมภาพันธ์นี้ ชวนชาวไทยร่วมส่งแรงใจเชียร์ทีมตำรวจไทย

(30 ม.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งทีมปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี เข้าร่วมการแข่งขันชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE Swat Challenge มาหลายปี และในแต่ละครั้งตำรวจไทยทำผลงานดีเยี่ยม โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ทีมตำรวจไทยได้ลำดับที่ 5 ในการแข่งขันดังกล่าว ซึ่งมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันจากหลายสิบประเทศทั่วโลก 

สำหรับการแข่งขันชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ 2568 หรือ UAE Swat Challenge 2025 จัดขึ้นที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 1 - 5 กุมภาพันธ์ 2568 มีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 120 ทีม จาก 50 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เจ้าภาพ) สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฯลฯ โดยปีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธีเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 3 ทีม แบ่งเป็น ทีมชาย 2 ทีม และทีมหญิง 1 ทีม โดยเก็บตัวและซ้อมเสมือนจริง ณ ค่ายนเรศวร กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน โดยกติกาการแข่งขันยังคงยึดหลักเกณฑ์เดิมตามมาตรฐานของ FBI และจะทำการแข่งขัน 5 สถานี (สเตจ) ได้แก่ 1. การช่วยตัวประกัน (Hostage Rescue) , 2. สถานการณ์โจมตี (Assault Event) , 3. ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ (Officer Rescue) , 4. การโจมตีอาคารสูง (Tower Assault) และ 5. การผ่านอุปสรรคและสิ่งกีดกั้น (Obstacle Course) ซึ่งจะต้องใช้ทักษะในการยิงปืนสั้น ปืนกลมือ ปืนซุ่มยิงระยะไกล ปืนยิงแก๊ส การใช้อุปกรณ์การโรยตัว รอกเดี่ยว การช่วยเหลือตัวประกัน/ผู้บาดเจ็บ และทดสอบพละกำลังทางยุทธวิธี และการผ่านสิ่งกีดขวางต่าง ๆ โดยแต่ละทีมจะต้องใช้เวลาให้น้อยที่สุดและไม่ถูกลงโทษหรือถูกตัดคะแนน 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในปีนี้ได้เตรียมความพร้อมและฝึกซ้อมเสมือนจริงเป็นอย่างดี ใช้ทีมชุดปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 , อรินทราช 26 , กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ บช.ก. , หนุมาน , ภ.2 และ ภ.4 เข้าร่วมประกอบทีม เดินทางไปที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 28 มกราคม 2568 เพื่อร่วมประชุมทีมและซักซ้อมในสนามการแข่งขันจริงในวันที่ 29 – 30 มกราคม 2568 พร้อมร่วมพิธีเปิดและแข่งขันระหว่างวันที่ 1 – 5 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งกำลังพลจะได้ร่วมแข่งขัน แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เทคนิคในการใช้อาวุธ และแผนการปฏิบัติการ ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างองค์กรตำรวจประเทศต่าง ๆ ขอพี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมกันส่งแรงใจเชียร์ทีมชุดปฏิบัติการพิเศษตำรวจไทย สามารถติดตามการแข่งขันแบบเรียลไทม์ได้ที่ https://uaeswatchallenge.com/ หรือเฟซบุ๊ก POLICETV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจ https://www.facebook.com/RoyalthaiPoliceTV

รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทั่วประเทศ พร้อมยกระดับการป้องกันปราบปรามผู้มีอิทธิพลและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิต

(29 ม.ค.68) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทท.ตร.) , ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) เปิดเผยว่า ได้เร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน ผ่าน ศปทท.ตร. และ ศปอร.ตร. รวมทั้งโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในระดับสถานีตำรวจ มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขปัญหา , ชุมชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อย , ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ , ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 - 2567 มีการอบรมเครือข่ายประชาชนไปแล้ว 517,370 คน และในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 อยู่ระหว่างดำเนินการอบรมเครือข่ายประชาชนที่เป็นผู้นำและผู้มีบทบาทในสังคมทุกสาขาอาชีพ จาก 1,483 สถานีตำรวจทั่วประเทศ สถานีตำรวจละ 50 คน รวมประมาณ 74,551 คน ทำให้ปัจจุบันมีเครือข่ายประชาชนแล้วจำนวนทั้งสิ้น 591,921  คน   

เครือข่ายประชาชนที่ผ่านการอบรมแล้ว จะเป็นผู้เสนอความต้องการและสะท้อนปัญหาในทุกด้าน ได้แก่ ด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ความขัดแย้ง และปัญหาอื่นๆ มายังตำรวจที่ทำหน้าที่ประสานงานเครือข่าย แล้วนำเสนอคณะกรรมการระดับสถานีตำรวจ ซึ่งมีหัวหน้าสถานีตำรวจเป็นประธาน ดำเนินการแก้ไขปัญหา หากปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับสถานีตำรวจ จะมีการเสนอไปยังคณะกรรมการระดับอำเภอ ระดับกองบังคับการ ระดับจังหวัด ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และระดับรัฐบาล ตามลำดับ เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนต่อไป

ผลการปฏิบัติในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ได้รับรายงานปัญหาที่ประชาชนเดือนร้อน จำนวน 37,278 เรื่อง และได้ติดตามขับเคลื่อนและเร่งรัดให้หน่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว 37,261 เรื่อง คิดเป็น 99.9 % ได้แก่ 

1.ปัญหาด้านสังคม เช่น ยาเสพติด การแข่งรถในทาง การลักลอบเข้าเมือง กลุ่มผู้มีอิทธิพล แหล่งอบายมุขและสถานบริการ หนี้นอกระบบ อาชญากรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์และเทคโนโลยี ฯลฯ จำนวน 26,422 เรื่อง แก้ไขได้ 26,410 เรื่อง คิดเป็น 99.95% 

2.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพสูง การว่างงาน ความยากจนปัญหาหนี้สิน การขาดแคลนที่ทำกิน ฯลฯ จำนวน 1,257 เรื่อง แก้ไขได้ 1,257 เรื่อง คิดเป็น 100%

3.ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำ มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควันโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเสื่อมโทรมในชุมชน ภัยแล้งและอุทกภัย ฯลฯ จำนวน 4,352 เรื่อง แก้ไขได้ 4,348 เรื่อง คิดเป็น 99.91%

4.ปัญหาด้านความขัดแย้ง เช่น ความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนาและเชื้อชาติ ข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อน การสร้างความเดือดร้อนรำคาญในรูปแบบต่าง ๆ ฯลฯ จำนวน 5,247 เรื่อง แก้ไขได้ 5,246 เรื่อง คิดเป็น 99.98%

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพร้อมในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการ ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในทุกมิติ เพื่อความเชื่อมั่นในการเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย ผ่านศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปทท.ตร. (Tourist Safety Operations Center : TSOC) ขับเคลื่อนให้ตำรวจทุกกองบัญชาการทั่วประเทศ ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว เพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวได้อย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงกับศูนย์รับแจ้งเหตุ 1155 

ซึ่งมีบริการเจ้าหน้าที่ล่ามแปลภาษา 8 ภาษา ตลอด 24 ชั่วโมง ประสานการทำงานกับศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ในการรับแจ้งเหตุและร่วมกันระงับเหตุ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และสนับสนุนตำรวจท้องที่ในการแปลภาษาตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากผู้มีอิทธิพล สามารถแจ้งไปยังศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พร้อมปฏิบัติการ แก้ไขปัญหาให้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายต่างทุ่มเทและตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ พร้อมระดมสรรพกำลังแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและนักท่องเที่ยวในทุกมิติ เพื่อให้ชุมชนสังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกและยกระดับความเชื่อมั่นในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องจริงจังให้เห็นผลเป็นรูปธรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top