Monday, 30 June 2025
ค้นหา พบ 49099 ที่เกี่ยวข้อง

กัมพูชาสุดภูมิใจโกยภาษีคาสิโนพุ่ง 85% ทะลุ 62 ล้านดอลลาร์ในปี 2567

(14 ม.ค. 68) เว็บไซต์ khmertimes รายงาว่า กัมพูชาสามารถเก็บรายได้ภาษีจากอุตสาหกรรมคาสิโนได้กว่า 62.78 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 85% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามการเปิดข้อมูลจากสำนักเลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์แห่งกัมพูชา  

รายงานระบุว่า รายได้จากธุรกิจการพนัน รวมถึงคาสิโนและกิจกรรมการเสี่ยงโชคต่าง ๆ มีมูลค่าถึง 254.907 พันล้านเรียล (ราว 62.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยการเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการปรับปรุงกลไกกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นจากผู้ประกอบการ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ  

นายเมียส ซกแสนซาน ปลัดกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน กล่าวว่า การเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการตรวจสอบธุรกิจการพนันเชิงพาณิชย์ที่เข้มงวดมากขึ้น การปรับปรุงมาตรการกำกับดูแล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของผู้ประกอบการ โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตในปีนี้รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนหลังวิกฤตโควิด-19 และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว  

ณ สิ้นปี 2567 กัมพูชามีการออกใบอนุญาตคาสิโนทั้งหมด 159 ใบ โดย 1 ใบถูกเพิกถอน อีก 1 ใบถูกระงับ และอีก 15 ใบหมดอายุ ทั้งนี้ คาสิโนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและจังหวัดพระสีหนุ ยกเว้น NagaWorld ซึ่งเป็นคาสิโนของมาเลเซียที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงกรุงพนมเปญ  

ภายใต้กฎหมายการจัดการการพนันเชิงพาณิชย์ของกัมพูชา อนุญาตให้เฉพาะชาวต่างชาติเล่นการพนันในคาสิโน ขณะที่ชาวกัมพูชาถูกห้ามเล่นการพนันทุกประเภท ยกเว้นการเสี่ยงโชค  

กระทรวงกิจการภายในร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการปราบปรามโฆษณาการพนันออนไลน์และลอตเตอรีบนสื่อโซเชียลที่ละเมิดกฎหมายการพนันเชิงพาณิชย์

สำนักเลขาธิการทั่วไปของคณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์ ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและกฎระเบียบในอุตสาหกรรมการพนัน รวมถึงการออกใบอนุญาต การจัดทำบัญชีและงบการเงิน การจัดการความปลอดภัย ตลอดจนผลกระทบทางลบจากการพนัน

การดำเนินการเหล่านี้มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมเสริมสร้างความรับผิดชอบของเจ้าของคาสิโน และลดผลกระทบทางลบในระยะยาวจากกิจกรรมการพนันในประเทศ

สว.สมหมาย รองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ให้การตอนรับคณะที่ปรึกษา-คณะทำงาน        

(14 ม.ค. 68) ที่อาคารรัฐสภา นายสมหมาย ศรีจันทร์ สมาชิกวุฒิสภา และรองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ได้เปิดห้องรับรองให้คณะที่ปรึกษา สว.-คณะทำงาน  สว. เข้าเยี่ยมคารวะสวัสดีปีใหม่ นำโดย นายยศพัทธ์ พิภพสิทธิโภคิณ ประธานที่ปรึกษา/ประธานคณะทำงาน นางสุภิญกัลย์ พิภพสิทธิโภคิณ ที่ปรึกษาฯ/คณะทำงาน  นายโกสินธ์ จินาอ่อน ที่ปรึกษา/คณะทำงาน นายณพล สัมภาษณ์ บริบูรณ์ ที่ปรึกษา/คณะทำงาน  ในการนี้ สว.สมหมายได้กล่าวขอบคุณทีมที่ปรึกษาทุกท่าน ที่ได้มาร่วมงานกันในปี 2568 นี้ และขอฝากเรื่องเครื่องกดน้ำดื่ม ประจำตึก สว. เพื่อเป็นต้นแบบในการลดโลกร้อน จากการซื้อน้ำดื่มขวดพลาสติก พร้อมทั้งมอบหมายให้ นายณพลฯ ที่ปรึกษาฯ ไปประสานงานกับผู้ว่าการประปานครหลวงเพื่อให้โครงการน้ำดิ่มนี้ ลุล่วงไปด้วยดี

‘พลังงาน’ ชี้ โรงไฟฟ้าสำรองมีความจำเป็นแม้ไม่ได้เดินเครื่อง ย้ำ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

กระทรวงพลังงาน ชี้แจง จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าสำรองเพื่อรองรับความต้องการใช้ตลอดเวลา ถึงแม้บางโรงไฟฟ้าจะไม่ได้เดินเครื่องก็ตาม ซึ่งก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รองรับการลงทุนด้าน Data Center การใช้รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งดัชนีคุณภาพการบริการไฟฟ้าไทยก็อยู่ในระดับต้น ๆ ของอาเซียน

(14 ม.ค.68) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าสำรอง เนื่องจากต้องคำนึงถึงความมั่นคงและการให้บริการกับประชาชนและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งแม้ปัจจุบันจะมีตัวเลขสำรองไฟฟ้า หรือ Reserve Margin อยู่ที่ 25.5% แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิดที่ส่งผลให้แผนการผลิตไฟฟ้าไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปีที่เกิดโควิดจนถึงปัจจุบัน สังเกตได้จากดัชนีผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ก็ไม่เป็นไปตามคาด แต่ใน PDP2024 ก็ได้มีการปรับแผนโดยจะมีการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้นและเร็วขึ้น อีกทั้งราคาต้นทุนปัจจุบันเริ่มลดลง คาดว่าราคาค่าไฟฟ้าในอนาคตก็จะปรับตัวลดลงด้วย

นอกจากนั้น ดัชนีแสดงค่าเฉลี่ยความถี่ที่ระบบเกิดไฟฟ้าขัดข้อง (SAIFI) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างเสถียรเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน หรืออยู่ที่ระดับ 0.88 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้าต่อปี ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนามและ สปป.ลาว ซึ่งมีค่าไฟฟ้าถูกกว่าเนื่องจากมีการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำ แต่ดัชนี SAIFI สูงถึง 3.23 และ 18.35 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟฟ้าต่อปีตามลำดับ

“ต้องชี้แจงก่อนว่า โรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่ได้เดินเครื่องแต่รัฐยังคงต้องจ่ายเงินให้ มีต้นทุนมาจาก 2 ส่วนสำคัญคือ 1) ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment : AP) ซึ่งเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าของเอกชน ครอบคลุมตั้งแต่ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า ค่าผลิต ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัย โดยเอกชนจะต้องเตรียมโรงไฟฟ้าให้พร้อมใช้ตลอดเวลาและสามารถผลิตไฟฟ้าตามความต้องการประชาชนและภาคอุตสาหกรรมโดยไม่สะดุด การกำหนดค่า AP เป็นแนวปฏิบัติในทางสากลสำหรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่สะท้อนต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เอกชนต้องจ่ายไปก่อน และเอกชนต้องยอมรับความเสี่ยงในการบริหารด้านต้นทุนเองทั้งหมด ซึ่งรัฐไม่ต้องรับความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ จริง ๆ แล้วค่าพร้อมจ่ายมีอยู่ในเกือบทุกโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า แต่อาจจะจัดเก็บในรูปแบบที่แตกต่างกัน”

“และ 2) ต้นทุนเชื้อเพลิง (Energy Payment : EP) เป็นค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายผันแปรในการผลิตและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า โดยโรงไฟฟ้าจะได้รับค่า EP ตามปริมาณเชื้อเพลิงที่ กฟผ. สั่งการให้ทำการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเท่านั้น ที่ผ่านมา ภาพรวมในการผลิตไฟฟ้า กระทรวงพลังงานก็ได้มีการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงตามสถานการณ์ โดยเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบกับค่าไฟฟ้า ดังนั้น โรงไฟฟ้าสำรองเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิด Peak และพลังงานแสงอาทิตย์ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้” นายวีรพัฒน์ กล่าว

คาดจีนต้องการแรงงานอัจฉริยะกว่า 31 ล้านคน ภายในปี 2035 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่

รายงานจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีนที่เผยแพร่เมื่อไม่นานนี้ คาดการณ์ว่าความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะของจีนจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 31 ล้านคนภายในปี 2035 ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าว

วันจันทร์ (13 ม.ค. 68) ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี เดลี เผยว่ารายงานแนวโน้มการจ้างงานผู้มีความสามารถในพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพฉบับแรกของจีน มีวัตถุประสงค์สำรวจกลุ่มบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างเป็นระบบ และให้ข้อมูลอ้างอิงแก่บริษัทการผลิตสำหรับการคัดเลือกและบ่มเพาะบุคลากรที่มีทักษะ

รายงานระบุว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอย่างหัวหน้าทีม ช่างเทคนิค และผู้ตรวจสอบคุณภาพในบริษัทการผลิตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้าน กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านในภาคการผลิต โดยแรงงานกลุ่มนี้มีลักษณะสำคัญหลายประการ ซึ่งรวมถึงการทำงานหลักในสภาพแวดล้อมการผลิต ความสามารถการเรียนรู้ที่โดดเด่น ศักยภาพการเติบโตในสายอาชีพที่สูง และระดับรายได้และสถานะทางสังคมที่ดี

นอกจากนั้น แรงงานประเภทนี้ยังมีความสามารถหลักในด้านต่างๆ เช่น การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ การบูรณาการเทคโนโลยีที่หลากหลาย และทักษะการสื่อสาร

จ้าวจง หัวหน้าคณะแรงงานและทรัพยากรมนุษย์ของมหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าผู้มีความสามารถกลุ่มดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและการยกระดับทางอุตสาหกรรม ซึ่งมีส่วนส่งเสริมสำคัญต่อการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ

รายงานเผยว่าจีนมีความต้องการแรงงานที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้านราว 25 ล้านคนในปี 2022 และคาดการณ์ว่าความต้องการตำแหน่งแรงงานประเภทนี้ พร้อมด้วยข้อกำหนดวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28 ในปี 2022 เป็นร้อยละ 57 ภายในปี 2035

ย้อนบทเรียนสมัย ร.5 ชี้! การพนันสร้างแต่ปัญหา วอนทบทวน พรบ.การพนัน ช่วยตัดไฟแต่ต้นลม

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเรื่องนี้หลายคนสะกิดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความห่วงใยของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาที่จะเกิดจากการเปิดคาสิโนในประเทศจะไม่ได้รับการใส่ใจ หลายฝ่ายกังวลว่าการผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมาย อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สิน การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม และความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะประชาชนรากหญ้าที่ต้องดิ้นรนขายเช้ากินค่ำ เพื่อประคองชีวิตกลับต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วง

ทั้งนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นต้องขออนุญาตส่งข้อห่วงใยถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงพิษภัยของ การพนัน...นะครับ

บทเรียนจากอดีต…ลืมไปแล้วหรือ?

ในอดีต สมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเคยเจอวิกฤตจากบ่อนการพนันที่เฟื่องฟูจนกลายเป็นต้นเหตุของอาชญากรรมและปัญหาสังคม 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นถึงโทษของการพนันที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย จึงทรงมีพระราชดำริให้ลดและเลิกบ่อนการพนันทั่วประเทศ โดยเริ่มจากการลดจำนวนบ่อนในหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 และขยายมาสู่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2432 กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติห้ามบ่อนการพนันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460

ทั้งนี้เป็นการตัดสินใจ 'ตัดไฟแต่ต้นลม' ด้วยการปิดบ่อนทั่วประเทศ เพราะรู้ดีว่าผลเสียของการพนันมันกัดกินประเทศยิ่งกว่ารายได้ที่ประเทศชาติจะได้รับ แต่ดูเหมือนบทเรียนนี้จะเลือนหายไปในยุคที่ใครๆสนใจแต่ตัวเลขผลกำไร มากกว่าผลกระทบที่แท้จริง

ประเทศอื่นเขาก็รู้…การพนันสร้างแต่ปัญหา

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือฟิลิปปินส์ ที่เปิดให้การพนันถูกกฎหมายอย่างเสรี ผลลัพธ์คือการเพิ่มหนี้สินของประชาชน ปัญหาครอบครัวแตกแยก และการขยายตัวของแก๊งฟอกเงิน ในขณะที่ประเทศที่ควบคุมการพนันอย่างเข้มงวด เช่น นอร์เวย์ กลับมีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลเขาเลือกส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เช่น เทคโนโลยีและการศึกษา

ใครเจ็บ? ใครได้?

ประชาชนรากหญ้าที่ขายเช้ากินค่ำมักจะเป็นกลุ่มที่เจ็บหนักที่สุด เพราะความหวังลมๆ แล้งๆ จากการพนันที่หลอกล่อพวกเขาให้เอาเงินก้อนสุดท้ายไปเสี่ยง โอกาสที่จะ “หมดตัว” มีสูงกว่าการถูกรางวัลเสมอ แต่คนที่ได้กลับเป็นเจ้าของเว็บและรัฐบาลที่เก็บภาษีอยู่บนหนี้สินและน้ำตาของประชาชน

การพนัน…ไม่ใช่คำตอบของประเทศนี้

ถ้ารัฐบาลนี้มีวิสัยทัศน์รักในประชาชนจริงๆ ข้าพเจ้าเห็นควรเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมที่สร้างอนาคต เช่น การศึกษา การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยี มากกว่าการพึ่งรายได้จากความทุกข์ของคนจน การพนันไม่ใช่ทางลัด มันคือ “หลุมดำ” ที่ทำให้ประชาชนจมลึกลงไปในปัญหาที่แก้ไม่จบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top