Friday, 16 May 2025
ค้นหา พบ 48149 ที่เกี่ยวข้อง

‘สุริยะ’ ลุยแผนลงทุน!! ‘ทางคู่ - ไฮสปีด – มอเตอร์เวย์’ สร้างโครงข่าย!! การเดินทาง ขนส่งสินค้า ‘ไทย - ลาว - จีน’

(22 ธ.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนเป็นฐานการผลิตและการบริโภคที่สำคัญ และเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน GPD กว่า 623 ล้านล้านบาท การเชื่อมต่อการเดินทางที่มีประสิทธิภาพจากไทยไปสู่จีน จึงเป็นการสร้างโอกาสทั้งในด้านการเดินทาง การขนส่งสินค้า การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวออกไปยังจีนและภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาการเดินทางเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและจีนได้ทั้งทางถนนและทางรถไฟ

กระทรวงคมนาคมจึงมีแผนที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เชื่อมโยงระหว่างไทย - ลาว - จีน และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนและการท่องเที่ยว โดยได้เร่งรัดพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง เชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งจากกรุงเทพฯ และพื้นที่ EEC ให้เชื่อมต่อไปยังลาว เวียดนาม และจีนได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง

ซึ่งปัจจุบันได้ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น เสร็จแล้ว ส่วนช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และทางคู่สายใหม่ ช่วงบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม อยู่ระหว่างการก่อสร้าง สำหรับระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น - หนองคาย และชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี คาดว่าจะก่อสร้างได้ในปี 2568 พร้อมนี้ได้เร่งรัดการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ให้แล้วเสร็จ และเปิดให้บริการได้ในปี 2571

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนามอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ปัจจุบันใกล้เสร็จแล้วและจะเปิดให้บริการตลอดเส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 ซึ่งจะช่วยลดเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ให้เหลือเพียง 2 ชั่วโมง อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบมอเตอร์เวย์สายใหม่ร่วมกับระบบรางจากแหลมฉบัง - นครราชสีมา เร่งรัดเปิดให้บริการสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) ภายในปี 2568 และอยู่ระหว่างพัฒนาศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม โดยจะเปิดให้บริการได้ในปี 2568 และพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อเชื่อมรางกับถนนเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยได้มอบหมายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยศึกษาความเหมาะสมของตำแหน่งที่ตั้งว่าจะอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นหรือนครราชสีมา เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบังในอนาคต

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายการเป็นศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศ (Aviation Hub) ของประเทศ กระทรวงคมนาคมได้พัฒนาท่าอากาศยานที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต อาทิ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 2.8 ล้านคนต่อปี ก่อสร้างลานกลับลำอากาศยานของท่าอากาศยานนครราชสีมา และสนับสนุนให้มีสายการบินพาณิชย์มาทำการบินให้มากขึ้น ขยายลานจอดเครื่องบินท่าอากาศยานขอนแก่นและนครพนมให้สามารถรองรับจำนวนอากาศยานได้มากขึ้น และศึกษาออกแบบต่อเติมขยายความยาวทางวิ่งของท่าอากาศยานร้อยเอ็ดและเลย ให้สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ได้

นายสุริยะ กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็น Corridor สำคัญของไทย และเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ กระทรวงคมนาคมพร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเปลี่ยน ‘ความท้าทาย’ ให้กลายเป็น ‘ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม’ ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม โดยได้มอบนโยบาย ‘คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย’ ให้หน่วยงานในสังกัดใช้เป็นกรอบการดำเนินงาน เดินหน้าลงทุนพัฒนา Mega Projects ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ พร้อมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

‘ยุให้แตกแยกแล้วปกครอง’ กลยุทธ์เก่า!! ตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน ที่ยังใช้ได้ผลอยู่เสมอ ข้อมูลคือกระสุน ความระแวงคือเป้าหมาย และความสามัคคีคือ ‘เกราะสุดท้าย’ ของเรา

(22 ธ.ค. 67) การสร้างความแตกแยก : กลยุทธ์เก่าในสงครามใหม่ที่คมกริบ รับปี2025

ในยุคที่โลกหมุนไปตามข้อมูลและเทคโนโลยี การต่อสู้ที่เคยอาศัยกองทัพและสนามรบกลับแปรเปลี่ยนเป็นสงครามในพื้นที่สาธารณะเสมือนจริง บนจอโทรศัพท์ และผ่านข้อความไม่กี่บรรทัด หลักการ ‘สร้างความแตกแยก’ ซึ่งถูกใช้มาตั้งแต่อาณาจักรโรมัน กลับมาทรงพลังขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนและยากจับต้องยิ่งขึ้น

นี่คือสงครามที่ศัตรูไม่ต้องใช้กำลัง แต่สร้างศัตรูในใจเราแทน พวกเขาใช้ข้อมูลเป็นกระสุน ปลุกปั่นความคิด ขยายความขัดแย้ง และสร้างความหวาดระแวงในสังคม หลายคนอาจมองไม่เห็นว่าอาวุธชนิดนี้อยู่ตรงหน้า เพราะมันไม่ได้แหลมคมเหมือนหอกดาบ แต่แฝงตัวในคำพูด การเล่าเรื่อง และการแบ่งแยกความคิดผ่านหน้าจอ

‘เมื่อสังคมแตกแยก ความสามัคคีที่เคยเป็นเกราะกำบังย่อมพังทลาย’ และนี่คือยุคของสงครามข้อมูลข่าวสาร หรือ Hybrid Warfare ที่ผสานการใช้เทคโนโลยี บิดเบือนข้อมูล และการบ่อนทำลายจิตใจ ด้วยการสร้างศัตรูในที่ที่ควรมีความไว้เนื้อเชื่อใจ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 7 กลยุทธ์ที่สร้างความแตกแยกในยุคดิจิทัล และยกระดับเป็นเครื่องมือทางการเมืองและสงครามที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

จาก ‘การสร้างความไม่ไว้วางใจ’ ขยายความแตกต่างเป็นปัญหา สู่การปลุกปั่นผู้คนผ่าน ‘ไมโครอินฟลูเอนเซอร์’ ผู้ทำงานอยู่เงียบ ๆ แต่ทรงอิทธิพลเกินคาด คุณจะเห็นชัดว่า การแตกแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลและเฉียบคม

ในโลกที่สงครามสนามรบถูกแทนที่ด้วยการต่อสู้ทางความคิดและข้อมูล ‘การรู้เท่าทัน’ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม ‘หากบ้านเราแตกแยกจากภายใน ประตูชัยย่อมเปิดกว้างให้ศัตรูภายนอกเสมอ’

บทความนี้จะพาคุณไปดูกลยุทธ์หลักที่ถูกขัดเกลาให้เหมาะกับยุคดิจิทัล ตั้งแต่การสร้างไมโครอินฟลูเอนเซอร์ผู้เงียบเชียบแต่ทรงอิทธิพล ไปจนถึงการบิดเบือนข้อมูลที่ใช้โจมตีสถาบันหลักในประเทศ ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ผลลัพธ์ก็คือ ‘ความแตกแยก’ ที่ฝังรากลึกอย่างไม่ทันตั้งตัว

• ความไม่ไว้วางใจที่ถูกหว่านลงผ่านข้อมูลเท็จ
ข้อมูลเท็จ ข่าวปลอม หรือการบิดเบือนความจริงถูกปล่อยออกไปอย่างมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความสงสัยและระแวงในหมู่ประชาชน ทำให้ความเชื่อใจที่เคยมีต่อกันและสถาบันหลักถูกกัดกร่อนไปทีละน้อย จนในที่สุด ความไม่มั่นคงทางความคิดก็กลายเป็นความขัดแย้งในระดับสังคม

• ความแตกต่างเล็ก ๆ ที่ถูกขยายให้กลายเป็นขั้วความขัดแย้ง
ความแตกต่างทางความคิด ชนชั้น ศาสนา หรือภูมิภาค ที่เคยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติ ถูกหยิบยกขึ้นมาขยายความ ให้กลายเป็น ‘ประเด็นใหญ่’ จนประชาชนแบ่งฝ่าย และมองอีกฝ่ายเป็น ‘ศัตรู’ อย่างไม่รู้ตัว

• ผลประโยชน์ที่ถูกบิดเบือนให้เป็นเชื้อไฟของความไม่พอใจ
การจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมถูกนำมาเป็นเครื่องมือปลุกปั่น โดยบิดเบือนให้เห็นว่า ‘มีใครบางคนได้มากกว่า’ หรือ ‘นี่คือความไม่ยุติธรรม’ ทำให้ฝ่ายหนึ่งรู้สึกถูกเอาเปรียบและเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นเชื้อไฟที่พร้อมลุกลาม

• ตัวแทนปลอมที่ถูกส่งมาบ่อนทำลายจากภายใน
คนกลุ่มนี้มักถูกสร้างภาพให้ดูเหมือนเป็น ‘ผู้นำ’ หรือ ‘ตัวแทนของประชาชน’ แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่ปลุกปั่นความขัดแย้ง บ่อนทำลายความสามัคคี และสร้างความวุ่นวายจากภายในสังคมทีละน้อย

• ไมโครอินฟลูเอนเซอร์: นักรบยุคใหม่ในสนามความคิค
อย่าคิดว่าใครจะต้องมีชื่อเสียงระดับประเทศถึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะในสงครามยุคนี้ ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลขนาดเล็ก ถูกสร้างขึ้นมาเป็นหัวหอกในการปลุกปั่นความคิด พวกเขาทำงานเงียบ ๆ แต่สร้างกระแสความแตกแยกได้อย่างทรงพลัง ด้วย 4 ขั้นตอนที่แยบยลสุดขีด

1. การสร้างผู้นำความคิดเห็นแบบแฝง ดูเหมือนเป็นกลาง แต่แท้จริงกำลังชี้นำสังคมให้เดินตามแผนที่ถูกวางไว้

2. ปลุกปั่นผ่านข่าวลือ ข่าวเท็จและข้อมูลบิดเบือนถูกแพร่กระจาย ราวกับโรคระบาดที่หยุดไม่อยู่

3. ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ขุดคุ้ยเรื่องราวส่วนตัวมาขยายผล กลายเป็นเครื่องมือทำลายชื่อเสียงอย่างไร้ความปรานี

4. สร้างความหวาดระแวงและแบ่งขั้ว เมื่อคนเริ่มไม่เชื่อใจกันเอง สังคมก็ไม่ต่างจากเรือที่รั่วรอวันจม

‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’ : ตำราที่ใช้ได้เสมอ

หากย้อนกลับไปในยุคโรมัน จักรวรรดิเคยทำให้ชนเผ่าต่าง ๆ แยกจากกันได้อย่างไร? 

คำตอบคือการบ่มเพาะความหวาดระแวงและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ให้มีใครรวมพลังกันได้ นั่นคือ ‘Divide and Rule’ กลยุทธ์แสนคลาสสิกที่ยังคงถูกหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวทีการเมืองโลก

หลายพันปีผ่านไป เครื่องมือในการแบ่งแยกอาจเปลี่ยนจากคำสั่งทหารเป็น ‘คำพูด’ และ ‘ข่าวสาร’ แต่เป้าหมายยังเหมือนเดิม คือทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาตั้งแง่ระแวงซึ่งกันและกัน ขัดแย้งกันเองโดยไม่ต้องรบสักนัด ลองสังเกตดูสิว่า ทุกครั้งที่สังคมเกิดประเด็นร้อน ๆ ทำไมเราถึงรีบจัดฝ่าย จัดขั้ว ยืนอยู่ตรงข้ามกันอย่างรวดเร็วราวกับถูกวางหมากเอาไว้?
พวกเขาอาจสร้างศัตรูขึ้นมาสักคน สร้างปัญหาขึ้นมาสักอย่าง และชี้นิ้วว่า ‘นั่นแหละคือสาเหตุ’ เราเองก็หลงติดกับดัก ด่าทอกันจนลืมไปว่า ศัตรูที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เป็นคนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยล

ที่เจ็บปวดยิ่งกว่า คือการบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นสายใยผูกพันให้สังคมมั่นคงกลับกลายเป็นเครื่องมือสร้าง ‘ความเกลียดชัง’ นำเรื่องเล่าผิด ๆ มาเติมเชื้อไฟจนผู้คนหันมารบราฆ่าฟันกันเอง ทั้งที่เราควรเรียนรู้จากอดีต แต่กลับถูกหลอกใช้ให้ทำลายอนาคตของตัวเอง

สงครามสมัยใหม่ : การต่อสู้ที่มองไม่เห็น
สงครามไฮบริดในปัจจุบันผสมผสานการบ่อนทำลายจากภายใน ผ่านจิตวิทยาและเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย หรือกลยุทธ์แบบ Hun Sen Model ที่ใช้การควบคุมกองทัพและแทรกแซงสถาบันหลักในประเทศ คุณจะเห็นชัดว่า การแตกแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลและเฉียบคม

นี่ไม่ใช่สงครามที่มีรถถังประจันหน้า หรือเสียงปืนดังสนั่น แต่มันคือสงครามที่เล่นกับความคิดของเราโดยไม่รู้ตัว เราไม่ได้กำลังต่อสู้กับทหารที่ยกพลมาหน้าประตูเมือง แต่กำลังเผชิญกับเกมจิตวิทยาผ่านข่าวปลอม โพสต์ที่ชวนขบคิด และการปลุกปั่นให้สังคมแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

สงครามไฮบริดในปัจจุบันคือการสอดแทรกความขัดแย้งในทุกมิติ จากเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงความเชื่อและวัฒนธรรม สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ควันปืน แต่คือความร้าวฉานที่แผ่กระจายไปทั่ว ราวกับไฟลามทุ่งที่ไม่มีใครหยุดได้

สิ่งที่น่ากลัวคือ เราทุกคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามนี้อย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่แชร์โพสต์ ปล่อยความเกลียดชังให้แพร่กระจาย หรือเลือกยืนขั้วใดขั้วหนึ่งโดยไม่ทันได้คิดว่า 

‘แล้วสุดท้ายใครได้ประโยชน์’

สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การชนะสงครามในสนามรบ แต่คือการเห็น ‘เราต่อสู้กันเองจนหมดแรง’ แล้วในวันที่ความสามัคคีของเราสูญสิ้น นั่นแหละคือ ‘วันที่พวกเขาชนะอย่างสมบูรณ์แบบ’

บทสรุป : แพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับความตื่นรู้ของเราเอง
‘การแตกแยกจากภายใน’ เป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ หากประชาชนไม่ตระหนักรู้และร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิด การล่มสลายของชาติย่อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะในสงครามยุคนี้ ‘ข้อมูลคือกระสุน ความระแวงคือเป้าหมาย และความสามัคคีคือเกราะสุดท้ายของเรา’

ถ้าเรารู้เท่าทัน ตื่นตัว และไม่ปล่อยให้ใครมาปลุกปั่นความเกลียดชังได้ง่าย ๆ ความสามัคคีก็จะกลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด

‘ดร.อาทิตย์’ ชื่นชม!! ‘พีระพันธุ์’ ลุยปฏิวัติโครงสร้างพลังงาน เพื่อความเป็นธรรม ชี้!! ไม่ยึดผลประโยชน์ของตนเอง และนายทุนพวกพ้อง เหมือนนักการเมืองคนอื่น

(22 ธ.ค. 67) ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยรังสิต อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ชื่นชมนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยดร.อาทิตย์ ได้ระบุว่า 

ผมขอชื่นชมและสนับสนุนท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองรายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ปฏิวัติโครงสร้างพลังงานเพื่อความเป็นธรรมและประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่ยึดผลประโยชน์ของตนเองและนายทุนพวกพ้องเหมือนนักการเมืองคนอื่น

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 : ปัตติทานมัย คือ ผู้ให้ เป็นการให้ส่วนบุญ ปัตตานุโมทนามัย คือ ผู้รับ หรือการยินดีในบุญของผู้อื่น ทั้งสองส่วนนี้ล้วนได้บุญด้วยกันทั้งสิ้น

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘มรรค 8 ต้องเริ่มที่ สัมมาสติ กับ สัมมาสมาธิ ใช่หรือไม่?’ 
จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย พระศรีวัชรวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : คนเอาบุณมาฝาก ทำไมต้องอนุโมทนา?

พระศรีวัชรวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) : ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า คนที่รักกันเท่านั้นจึงจะมาบอกบุญเรา แล้วให้เราอนุโมทนา ส่วนคนที่เกลียดชังกันคงไม่มาบอกบุญเรา

ฉะนั้น จึงหมายความว่า เขารักเรา คิดถึงเรา จึงนำบุญมาฝากซึ่งถือเป็นเรื่องดี และต้องการให้เราร่วมยินดีด้วย และการร่วมยินดีด้วย เรียกว่าอนุโมทนา 

ซึ่งการอนุโมทนานั้น ก็ถือว่าเป็นการได้บุญเหมือนกัน 

โดยผู้ให้เรียกว่า ปัตติทานมัย คือการให้ส่วนบุญ ส่วนผู้ที่รับส่วนบุญ เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย เป็นการยินดีในส่วนบุญของบุคคลอื่น ซึ่งก็บุญทั้งคู่ทั้งผู้ให้และผู้รับ ส่วนจะได้รับมากหรือน้อยนั้นคงไม่มีอะไรมาวัดได้เหมือนเครื่องชั่งตวงวัด

แต่พระพุทธเจ้า ตรัสถึงเรื่องมีผู้คนทําบุญแล้วมีผู้มาอนุโมทนา เมื่อผู้ที่อนุโมทนานั้นตายไป ก็มีโอกาสได้เกิดเป็นเทวดาเกิดในสวรรค์เหมือนกัน แต่รัศมีอาจจะไม่เรืองรองสุกสว่าง เหมือนกับคนที่ทําบุญเอง

‘ทักษิณ - อนุทิน’ ตีกอล์ฟ สยบรอยร้าว!! รัฐบาลแตก ยัน!! ความสัมพันธ์ ยังอยู่ใน ‘เรือลำเดียวกัน’

(22 ธ.ค. 67) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์  และนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมตีกอล์ฟ ที่สนามกอล์ฟ Stone Hill club จ.ปทุมธานี 

หลังเกิดกระแสข่าว พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยระหองระแหงกันในการร่วมรัฐบาล  เมื่อ นายทักษิณ ไปสัมมาของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.และ โจมตีพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่เข้าร่วมประชุมครม.ในการออกพ.ร.ก. ภาษี ว่าเป็นอีแอบ  รวมถึงต่อมา พรรคเพื่อไทย ออก แคมเปญ 180 วัน รอได้เพื่อรัฐธรรมนูญประชาชน อย่าเชื่ออีแอบ ล็อกสองชั้น รัฐบาลต้องลงเรือลำเดียวกัน  และหลังจากที่พรรคภูมิใจไทย โหวตสวนในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ โดยยืนหลักเสียงข้างมากสองชั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top