Friday, 16 May 2025
ค้นหา พบ 48149 ที่เกี่ยวข้อง

นักบินอวกาศจีน สร้างประวัติศาสตร์ เดินบนอวกาศ!! นานกว่า 9 ชั่วโมง

(22 ธ.ค. 67) 2 นักบินอวกาศสัญชาติจีน สร้างสถิติโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการเดินบนอวกาศกว่า 9 ชั่วโมง ตามแถลงการณ์ขององค์การอวกาศจีน (China Manned Space Agency)

การเดินสำรวจอวกาศ ดำเนินการโดย Cai Xuzhe และ Song Lingdong ซึ่งอยู่บริเวณสถานีอวกาศเทียนกง (Tiangong Space) ที่โคจรอยู่ในระดับวงโคจรต่ำของโลก โดยนานกว่าสถิติล่าสุด ของนักบินนาซา 2 คน คือ เจมส์ วอสส์ และซูซาน เฮล์มส์ ที่ทำไว้ในปี พ.ศ.2001 อย่างน้อย 4 นาที

โดยนักบินทั้งสองได้สวมชุดอวกาศรุ่น เฟยเทียน (Feitian) เพื่อดำเนินภารกิจที่สำคัญหลายรายการนอกสถานี เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเศษวัสดุจากอวกาศ

การสำรวจอวกาศของนักบินอวกาศของจีน เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2008 นับว่าความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความสำเร็จทางอวกาศอื่นๆ ด้วย ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ปักกิ่งมีจุดยืนทางการแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ จีนได้ส่งยานสำรวจลำแรกลงจอดบนดาวอังคารได้ในปี 2021 พร้อมตั้งเป้าว่า ภายในปี 2030 จะส่งนักบินอวกาศชุดแรกไปเหยียบดวงจันทร์ โดยเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ปักกิ่งได้ขอความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ประมาณ 12 ประเทศ สำหรับโครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ โดยมีความพยายามที่จะสร้างฐานบนดวงจันทร์ (moon base) ที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์ด้วย (moon’s south pole)

สื่อตั้งฉายารัฐบาล 2567 รัฐบาล (พ่อ)เลี้ยง - นายกฯ แพทองโพย วาทะแห่งปี 'สามีเป็นคนใต้'

(23 ธ.ค.67) ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยการตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2567 ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานานของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติส่วนตัว ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล จึงมีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และวาทะแห่งปี ประจำปี 2567 ดังนี้ 

ฉายารัฐบาล รัฐบาล 'พ่อ' เลี้ยง

ด้วยความเป็น 'พ่อ' ของหัวหน้ารัฐบาล ยี่ห้อ 'ทักษิณ ชินวัตร' ขึ้นชื่อดีกรีความรักลูกไม่น้อยหน้าใคร ทั้งปกป้อง เลี้ยงดู อุ้มชู ปูทาง จนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น ที่มี DNA เดียวกันเป๊ะ จนไม่พ้นเสียงครหา รัฐบาลนี้ 'พ่อคิด ลูกทำ'

1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 
'ฉายา แพทองโพย'

ล้อมาจากชื่อของนายกฯ 'แพทองธาร' กับประเด็นดรามา 'ไอแพด' คู่ใจ โพยยุคไอที ถือติดมือได้ทุกที่ เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว พกโพยเครื่องเดียวอ่าน จด โหลดข้อมูลเสร็จสรรพ จนเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมเมื่อยกขึ้นอ่าน ระหว่างพบผู้นำ แขกต่างชาติ กลายเป็นประเด็นตอบโต้เผ็ดร้อนกับชาวเน็ต และตอกย้ำแบบโนสนโนแคร์ด้วยภาพชูไอแพดคู่ใจ ระหว่างร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือแม้แต่ยกไอแพด ขึ้นอ่านแถลงข่าวการระบายน้ำภาคเหนือ ลงสู่แม่น้ำโขง จนถูกวิจารณ์ยกใหญ่

2.นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​ และ​รมว.กลาโหม 
ฉายา 'สหายใหญ่ใส่บู๊ต'

รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 ติดโผได้รับฉายาไม่ขาด 'สหายใหญ่' ในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 วันนั้น สู่ 'บิ๊กอ้วน' แห่งกองทัพไทยในวันนี้ ปรับโฉมกุนซือการเมือง มายกมือตะเบ๊ะ เสื้อตึงเป๊ะ ใส่ 'ท็อปบูต' นั่งเก้าอี้กลาโหม จากที่เคยอยู่กันคนละฝั่ง วันนี้ต้องคุมบังเหียนมาทำงานร่วมกับเหล่าทหาร ส่งท้ายปีจับมือท็อปบู้ตพากันลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วม และยังต้องรับบทหนัก ถึงหนักมาก คอยระวังหลังให้กับ 'นายกฯอิ๊งค์' อีกด้วย

3.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย 
ฉายา 'ภูมิใจขวาง'

นอกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 ยังสวมหมวกหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำงาน 3 เดือนใน 'รัฐบาลแพทองธาร' สร้างสีสันจากบุคลิกและสไตล์การพูดหยิกแกมหยอก พร้อมสโลแกนขอทำงานไม่ขัดแย้งใคร แต่นับจากลงเรือร่วมรัฐบาล มียกมือค้านทั้งร่างกฎหมายสกัดรัฐประหาร ของสส.พรรคแกนนำ ล่าสุดโหวตสวนร่างพ.ร.บ.ประชามติ เห็นต่างจาก พรรครัฐบาล ต้องจับตาบทบาทจากนี้ 'รมต.หนู' จะปล่อยของ โชว์ลีลา สร้างผลงาน ให้ประทับใจอย่างไร

4. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาครองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน 
ฉายา 'พีระพัง'

พังอุดมการณ์จากพรรคขั้วตรงข้าม 'ชินวัตร' ตกลงปลงใจมาจับมือร่วมรัฐบาล 'นายกฯอิ๊งค์' คว้าเก้าอี้รัฐมนตรีคุมกระทรวงใหญ่ ถูกคาดหวังจะมาแก้ปมเรื่องพลังงาน ให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำมันถูกลง เจ้าตัวยังหมายมั่นปั้นมือประกาศแก้กฎหมายรื้อโครงสร้างภาษีน้ำมัน จนเปลี่ยนหัวหน้ารัฐบาลแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจน หรือจะซุ่มทำเงียบ ๆ งานนี้สังคมช่วยลุ้นจะทำได้ทันรัฐบาลนี้ หรือจะพังพับไปก่อน

ด้านงานการเมืองยุค 'หัวหน้าพี' คุมบังเหียน 'รวมไทยสร้างชาติ' ดูยิ่งโลว์โปรไฟล์ จัดกิจกรรมพรรคได้เงียบกริบตามสไตล์ จนเกิดกระแสข่าวรอยร้าวภายใน ถูกจับจ้องถึงสัมพันธภาพกับลูกพรรค จะกอดคอรักกันนานแค่ไหน

5.พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง ​รมว.ยุติธรรม
ฉายา 'ทวีไอพี'

ล็อกเป้าคุมเก้าอี้กระทรวงยุติธรรม เรียกได้ว่าเลื่อยขาเก้าอี้ไม่มีสั่น ไม่บอกก็รู้ว่า 'นายใหญ่' ไว้ใจแค่ไหน นับตั้งแต่ภารกิจพานายใหญ่กลับบ้าน ถึงอีพี 2 ส่งนายใหญ่ขึ้น 'ชั้น 14' ครองเตียง 'วีไอพี' แทนนอนเรือนจำถึงได้พักโทษ ทำให้สังคมมองว่าเป็นนักโทษวีไอพี

ต่อเนื่องที่เร่งออกระเบียบคุมตัวนอกเรือนจำ เสียงลือ แซ่ดเตรียมปูทางสำหรับ 'วีไอพีหญิง' ตามรอยพี่ชายหรือไม่ เมื่อเดินงานเข้าตา พ.ต.อ.ทวี น่าจะถือบัตรวีไอพี ยึดเก้าอี้รัฐมนตรี ไปอีกยาว

6.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฉายา 'ประชาธิเป๋'

แปะยี่ห้อ 'ประชาธิปัตย์' รั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ประกาศพาค่ายสะตอกลับมายิ่งใหญ่ ไปๆ มาๆ พลิกหนีบทฝ่ายค้าน ไม่ติดอดีต ไม่ฟาดฟันทางการเมือง กลืนอุดมการณ์คู่ปรับนับทศวรรษกับ 'เพื่อไทย' กระโดดมาร่วมรัฐบาล เดินเป๋จากเส้นทางอุดมการณ์กว่า 70 ปี จนได้ตั๋วคุมงานกระทรวงใหญ่ แต่ผลงาน ได้เห็นเค้าแค่ลางๆ ยังไม่ชัดเจน

7.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม
ฉายา 'รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ'

เรื่องจริงหรือฝัน ทำบรรดาแม่ยก แทบไม่เชื่อสายตา ว่า 'ขิง เอกนัฏ' คีย์แมนรทสช.ต้องยอมทำเพื่อชาติ ประกาศร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เคลียร์ประเด็นคุณสมบัติคนเคยมีคดี ก่อนนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีแบบใสๆ ภายใต้การนำของ”คนชินวัตร“ลั่นในใจไม่ลบ ไม่เคยลืมอดีต ก่อนยก วาทะเด็ด “ต้องทำงานโดยคิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ถ้าคิดถึงบ้านเมือง ก็ทำงานร่วมกันได้” ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง เร่งโชว์ผลงานเดินเครื่องกวาดล้างโรงงานเถื่อน สารเคมีอันตราย ให้เข้าตาประชาชน

8.น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ฉายา 'จิราพอ(ล)'

จาก สส.รุ่นใหม่ดาวเด่นในสภา พูดจาฉะฉาน ถูกคาดหวังจะเฉิดฉายเมื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี ช่วยปรับโฉมงานของรัฐบาล เพราะคุมทั้งสื่อรัฐ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ. )แต่งานกลับเดินไปเนิบๆ

สังคมมาถึงบางอ้อว่ารมต.น้ำ นั่งคุมสคบ.จากคดีดัง “ดิไอคอน กรุ๊ป”และ “บอสพอล” ถึงได้จังหวะโชว์ผลงาน ทั้งที่ขึ้นชั้นรมต.มาตั้งแต่ปลายรัฐบาลเศรษฐา จนถูกตั้งคำถามเรื่องการทำงาน ขึ้นปีใหม่จะเร่งเครื่องไปต่อ หรือพอใจจะทำงานเงียบๆ แบบสโลไลฟ์

กลุ่ม 'รมต.โลกลืม'
นายสุชาติ ชมกลิ่นรมว.พาณิชย์
พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช. พาณิชย์

ทั้ง 3 คน มีบทบาท ได้คุมกระทรวงเกรดเอ ทั้งเรื่องการค้าและการศึกษา ผ่านเก้าอี้รมต.ที่เป็นประตูปูทาง สร้างงานให้โดดเด่นได้ แต่ผลงาน 3 เดือนในรัฐบาล กลับไม่เปรี้ยงแต่เงียบกริบ จนประชาชนเรียกหาให้สตาร์ทเครื่อง ตีปี๊บผลงาน รับศักราชใหม่ สลัดครหารัฐมนตรีโลกลืม

วาทะแห่งปี 'สามีเป็นคนใต้'

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในระหว่างการลงพื้นติดตามการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2567 ซึ่งถูกตั้งคำถามจากสังคม เปรียบเทียบการลงพื้นที่เพื่อฟื้นฟูภาคเหนือของนายกฯแต่อาจละเลยพี่น้องภาคใต้ ที่ถูกน้ำท่วม

นายกฯชี้แจงย้ำหนักแน่น ไม่ได้ละเลยคนใต้ ด้วยประโยคว่า “โอ้ คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้นะคะ” ยืนยันคำตอบจากใจ ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับประชาชนภาคใด เพราะเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ

คำตอบของนายกฯยังไม่ใช่เหตุผลที่ตรงใจชาวโซเชียล จึงไม่วายถูกตั้งข้อสงสัยว่าเหตุที่ไม่ลงใต้ เพราะภาคใต้ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ไร้ที่นั่งสส.มานาน ถึงกับถามย้ำๆขอฟังชัด ๆ จะลงใต้เมื่อไหร่ กระทั่งนายกฯกลับจากเยือนประเทศมาเลเซีย ช่วงฝนเทภาคใต้รอบสอง จึงเปลี่ยนใจ บินลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 17 ธ.ค.2567 จากที่ตั้งใจจะลงไปในช่วงการฟื้นฟู

26 ธันวาคม 2547 20 ปี เหตุแผ่นดินไหวสุมาตรา 9.0 ริกเตอร์ ก่อคลื่นสึนามิถล่มไทย-เอเชียใต้ เสียชีวิตกว่า 230,000 ราย

เมื่อเวลา 07.58 น. ของวันที่ 26 ธันวาคม 2547 (ตามเวลาประเทศไทย) หรือเมื่อ 20 ปีก่อน เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่มีศูนย์กลางบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีขนาดความรุนแรงถึง 9.0 ริกเตอร์ ซึ่งทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย รวมถึง 6 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล

ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,400 คน บาดเจ็บกว่า 8,000 คน และมีผู้สูญหายจำนวนมาก บ้านเรือนประชาชน โรงแรม รีสอร์ต รวมถึงระบบสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และถนนได้รับความเสียหายหลายพันล้านบาท

นอกจากนี้ในเวลา 08.30 น. ของวันเดียวกัน ยังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ริกเตอร์ที่รัฐฉาน ประเทศพม่า ซึ่งทำให้เกิดความสั่นสะเทือนในหลายจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย เช่น ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน

คลื่นสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลที่เกาะสุมาตราได้ถล่มพื้นที่ต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ รวมถึงอินโดนีเซีย อินเดีย ศรีลังกา และมาเลเซีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 คน

เหตุการณ์ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ถือเป็นเหตุการณ์สึนามิครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และเป็นความสูญเสียที่เกินกว่าจะคาดคิด ทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สิน

เพชรสีน้ำเงินกับขนแกะทองคำ : ไขปริศนาใน 2475 วัตถุทรงคุณค่าที่ถูกนำมาสร้างความสับสนกับ ‘คดีเพชรซาอุ’

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้ดูภาพยนตร์ 2475: Dawn of the Revolution คุณอาจจำฉากหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษได้ ฉากที่หนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่อย่างเรียบง่ายบนโต๊ะ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ คุณจะเห็นว่าหน้าหนึ่งหนังสือมีภาพผู้หญิงและเพชรสีน้ำเงิน ซึ่งแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ในระดับสากล

เพชรสีน้ำเงินนั้นคือ The Wittelsbach Diamond เพชรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของราชวงศ์ Wittelsbach แห่งบาวาเรีย เพชรนี้ไม่ใช่แค่เพชรธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ (Order of the Golden Fleece) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและอำนาจในยุโรปยุคโบราณ

จุดพิเศษของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชิ้นนี้
สิ่งที่ทำให้เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มีความพิเศษอย่างยิ่งคือ "ขนแกะสีทอง" ที่ปรากฏอยู่ด้านล่าง เพชร Wittelsbach ทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางบนยอดของเครื่องราชฯ ขณะที่ขนแกะทองคำด้านล่างถูกออกแบบมาอย่างประณีตเพื่อสื่อถึงตำนานกรีกโบราณเกี่ยวกับขนแกะทองคำ (Golden Fleece) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความรุ่งเรือง

การออกแบบที่ซับซ้อนและความสำคัญทางสัญลักษณ์ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ ทำให้มันเป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ยุโรป โดยเฉพาะราชวงศ์ Wittelsbach ซึ่งใช้เพื่อแสดงสถานะและอำนาจในยุคนั้น

การบิดเบือนในประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ภาพของ The Wittelsbach Diamond เคยถูกใช้ผิดบริบทโดยสื่อบางสำนักในประเทศไทย โดยนำมาเชื่อมโยงกับ คดีเพชรซาอุ ในลักษณะที่บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งปล่อยข่าวลือที่มีเจตนาใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ความเข้าใจผิดนี้สะท้อนถึงการใช้ภาพลักษณ์ของวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เพื่อสร้างความเข้าใจผิดในเชิงการเมือง

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยิ่งสับสนไปกว่านั้นคือ เพชรซาอุ ที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในเวลานั้น แท้จริงแล้วไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของมันเลย ไม่มีภาพถ่ายหรือหลักฐานชิ้นใดที่ระบุได้ชัดเจนว่าเพชรดังกล่าวมีรูปลักษณะอย่างไร แต่ภาพที่ถูกนำมาใช้เพื่อประกอบข่าวในช่วงนั้นกลับเป็นภาพของอัญมณีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดี

หนึ่งในภาพที่ถูกหยิบมาใช้คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ ที่มีเพชร Wittelsbach ประดับอยู่ด้านบน โดยสื่อบางสำนักนำภาพนี้มาเผยแพร่ในฐานะตัวแทนของเพชรซาอุ ทั้งที่มันเป็นสมบัติของราชวงศ์ Wittelsbach แห่งบาวาเรีย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องดังกล่าวเลย

นอกจากนี้ ยังมีการหยิบยกภาพของ Hope Diamond ซึ่งเป็นเพชรบลูไดมอนด์อีกเม็ดหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเองมาประกอบข่าวเช่นกัน Hope Diamond เป็นเพชรสีน้ำเงินที่โด่งดังจากความงดงามและเรื่องเล่าถึงคำสาป 

หนึ่งในเจ้าของที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Hope Diamond คือ Evelyn Walsh McLean สตรีผู้มั่งคั่งในสังคมชั้นสูงของอเมริกา ซึ่งได้รับเพชรนี้จาก Pierre Cartier ในปี 1911 Evelyn มักสวมเพชรนี้ในงานสังคม ทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและเอกลักษณ์ แต่ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม เช่น การสูญเสียลูกชายและสามี รวมถึงปัญหาหนี้สิน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับคำสาปของเพชร

แต่อย่างไรก็ตาม Hope Diamond นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด การเผยแพร่ภาพเหล่านี้สร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน และทำให้เกิดการจดจำภาพผิด ๆ จนกลายเป็นเรื่องโกหกที่ถูกกล่าวซ้ำไปซ้ำมา

การบิดเบือนลักษณะนี้สะท้อนถึงวิธีการของผู้ไม่หวังดีที่ใช้ความไม่รู้หรือความคลุมเครือของข้อมูลเพื่อสร้างความเสียหายแก่สถาบันหรือบุคคลสำคัญ แม้ว่าความจริงจะถูกเปิดเผยในภายหลัง แต่ภาพจำผิด ๆ ก็ยังคงอยู่และถูกนำมาใช้ในวาระต่าง ๆ เพื่อหวังผลทางการเมืองหรือเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์ไทย

เหมือนดั่งในบทสนทนาของ 'ลุงดอน' ตัวละครในภาพยนตร์ 2475 มีคำพูดที่โดดเด่นว่า "เรื่องโกหกแม้ว่าจะถูกพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงแล้ว แต่ก็ยังมีคนหยิบเอามาพูดถึงเรื่อย ๆ" ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการอุปมาอุปไมยโดยหยิบยกกรณีคดีเพชรซาอุ  เพื่ออธิบายความเท็จในเนื้อหาบางส่วนที่ปรากฏในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ซึ่งบิดเบือนภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475...

ซึ่งทุกคน ณ เวลานั้นก็ทราบดีว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเท็จแต่ก็มีการหยิบยกประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1ขึ้นมาพูดถึงเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาโดยตลอด

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในภาพยนตร์ 2475: Dawn of the Revolution ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงนำเสนอเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของประเทศไทย แต่ยังแฝงไว้ด้วยรายละเอียดที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์โลกและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง

ข้าพเจ้ายังมั่นใจว่ามีอีกหลายฉาก หลายสัญลักษณ์ที่รอให้เราได้ค้นพบและตีความ หากทุกท่านสนใจ ข้าพเจ้าจะค่อย ๆ หยิบยกมาเล่าในครั้งต่อ ๆ ไป เพราะทุกฉากในภาพยนตร์นี้เหมือนหน้าหนังสือที่มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่ พร้อมรอให้เราเปิดอ่าน

ดังนั้น ข้าพเจ้าขอเชิญชวนทุกท่านที่หลงใหลในประวัติศาสตร์หรือสนใจในแง่มุมที่ลึกซึ้งของเรื่องราวในอดีต มาร่วมติดตามกันต่อ เพราะยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอการเปิดเผย และข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังอย่างถึงแก่นในครั้งหน้า

โฮจิมินห์เปิดรถไฟฟ้าสายแรก ชาวเวียดนามแห่โดยสาร ค่าบริการเริ่ม 8 บาท

เมื่อวันที่ (22 ธ.ค.67) ชาวเวียดนามจำนวนมากหลั่งไหลมาที่สถานีเบนถัน (Ben Thanh) ซึ่งเป็นสถานีหลักของรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์ เพื่อรอใช้บริการเที่ยวปฐมฤกษ์ที่เริ่มต้นเวลา 10.00 น. รถไฟฟ้าสายนี้มีระยะทางรวม 19.7 กิโลเมตร ครอบคลุม 14 สถานี เชื่อมต่อจากตลาดเบนแถ่งในเขต 1 ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญ ไปยังเมืองถูดึ๊ก (Thu Duc) และสวนสนุกเสื่อยเตียน (Suoi Tien) ในเขต 9

ในช่วงเปิดตัว รถไฟฟ้าจะให้บริการฟรี 30 วัน จนถึงวันที่ 20 มกราคมปีหน้า หลังจากนั้นจะคิดค่าโดยสารตามระยะทาง เริ่มต้นที่ 6,000-20,000 ดอง (ประมาณ 8-27 บาท) โดยเปิดให้บริการวันละ 200 เที่ยว รองรับประชากรในนครโฮจิมินห์กว่า 10 ล้านคน

โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายแรกของนครโฮจิมินห์ใช้งบประมาณราว 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 58,310 ล้านบาท) เริ่มต้นในปี 2555 โดยมีบริษัทวิศวกรรมโยธาหมายเลข 6 ของเวียดนาม และบริษัทซูมิโตโมคอร์ปอเรชั่นจากญี่ปุ่นร่วมดำเนินการ แม้โครงการจะได้รับอนุมัติมาตั้งแต่ปี 2550 และวางแผนจะเสร็จภายใน 5 ปี แต่ต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน เช่น การเวนคืนที่ดิน การปรับแบบสถานีใต้ดินเบนแถ่งเพื่อรองรับโครงการอื่น ปัญหาขาดแคลนงบประมาณ และข้อบกพร่องในงานก่อสร้าง ส่งผลให้ล่าช้ากว่ากำหนดเดิม

รองประธานนครโฮจิมินห์ระบุว่า การเปิดตัวรถไฟฟ้าสายนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะของเมือง เพื่อตอบสนองความต้องการการเดินทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ด้านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำเวียดนาม แสดงความหวังว่ารถไฟฟ้าสายเบนแถ่ง-เสื่อยเตียน จะช่วยลดปัญหาจราจรในพื้นที่หนาแน่น พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว

โครงการรถไฟฟ้าสายแรกนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในนครโฮจิมินห์ แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานระหว่างเวียดนามและญี่ปุ่นในระดับนานาชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top