Monday, 9 June 2025
ค้นหา พบ 48675 ที่เกี่ยวข้อง

ยินดีต้อนรับ! ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใหม่ ‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ ประกาศชัด สัญญาจะทำให้ประเทศพึ่งพาตนเอง ทำสงครามกับความยากจน

(21 ต.ค. 67) ซูเบียนโต ปราโบโว ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย วัย 73 ปี สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โดยเขาสวมหมวกสีดำแบบดั้งเดิมและสูทสีกรมท่า พร้อมผ้าซารองสีน้ำตาลแดงทอและทอง เข้ารับตำแหน่งในรัฐสภาเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อสืบทอดตำแหน่งต่อจากโจโก วิโดโด ผู้นำฝ่ายประชานิยม

ปราโบโว ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชนะการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นผู้นำประเทศที่มีประชากร 280 ล้านคน ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นลำดับ 4 ของโลก

ในสุนทรพจน์เปิดตัว ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของประเทศ สัญญาว่าจะทำให้อินโดนีเซียพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เขากล่าวว่า แม้ว่าเขาต้องการใช้ชีวิตในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้อง “สุภาพ”

“ความเห็นที่แตกต่างต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีความเป็นศัตรู … การต่อสู้โดยไม่เกลียดชัง” เขากล่าว ปราโบโว ซึ่งเคยหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วถึง 3 ครั้ง ยังรับรองด้วยว่าเขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีให้กับชาวอินโดนีเซียทุกคน และท้าทายประเทศให้ช่วยเขาจัดการกับปัญหาของประเทศ

“เราต้องตระหนักเสมอว่าประเทศเสรีคือประเทศที่ประชาชนมีอิสระ” ปราโบโวกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นเป็นบางครั้ง

“พวกเขาต้องปราศจากความกลัว ความยากจน ความหิวโหย ความไม่รู้ การกดขี่ และความทุกข์ทรมาน” เขากล่าว

เขาเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีกิบราน รากาบูมิง รากา วัย 37 ปี ลูกชายคนโตของวิโดโด เพื่อนร่วมทีมของเขาเข้าร่วมด้วย

ตำรวจและทหารได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยส่งเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 100,000 นายทั่วจาการ์ตา รวมถึงมือปืนและหน่วยปราบจลาจล เพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

ปราโบโวชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ และใช้เวลาเก้าเดือนที่ผ่านมาในการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในรัฐสภา หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของเขา ปราโบโวก็สวมหมวกเบสบอลและโบกมือจากซันรูฟของรถขณะมุ่งหน้าไปยังทำเนียบประธานาธิบดี โดยผ่านกลุ่มผู้สนับสนุนที่โบกธงนับพันคนที่เดินอยู่บนท้องถนนในจาการ์ตาในบรรยากาศที่คล้ายกับงานเทศกาลป้ายดอกไม้ด้านนอกทำเนียบแสดงความยินดีกับปราโบโวและยิบรานหรือไม่ก็ขอบคุณวิโดโดสำหรับการรับใช้ประเทศตลอด 10 ปีของเขา

ผู้สนับสนุนของวิโดโดก็เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองเพื่ออำลาผู้นำอินโดนีเซียที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งเช่นกัน
อันเนตา ยูเนียร์ ผู้ยืนดูซึ่งโบกมือให้ขบวนรถของวิโดโดขณะที่ขบวนรถเคลื่อนผ่านผู้สนับสนุนอย่างช้าๆ ก่อนพิธีการ กล่าวว่าเธอจะคิดถึงเขา แต่ปราโบโวเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

“ปราโบโวจะสานต่อการพัฒนาที่โจโกวีเริ่มต้นไว้ มีความต่อเนื่อง นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ” เธอกล่าว แต่โทเบียส บาซูกิ กรรมการผู้จัดการของ Aristoteles Consults บริษัทประเมินความเสี่ยงที่มีฐานอยู่ในจาการ์ตา กล่าวกับอัลจาซีราว่า แม้ว่าจะมีคำมั่นสัญญาเสมอเกี่ยวกับความต่อเนื่องเนื่องจากความเป็นพันธมิตรของเขากับวิโดโด แต่เขาคาดหวังว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในรูปแบบอื่นภายใต้การนำของปราโบโว

เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าจะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการมุ่งเน้นการสร้างทุนมนุษย์” เมื่อเทียบกับการมุ่งเน้นของวิโดโดในโครงสร้างพื้นฐาน

ในนโยบายต่างประเทศ บาซูกิคาดการณ์ว่าปราโบโวจะ “มีท่าทีโอ่อ่าและยิ่งใหญ่กว่า” เมื่อเทียบกับนโยบาย “มองเข้าข้างใน” ของอดีตประธานาธิบดีคนก่อนแต่เขายังกล่าวอีกว่าประธานาธิบดีคนใหม่น่าจะพยายามรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียกับจีนและสหรัฐอเมริกา

ด้านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนส่งข้อความแสดงความยินดีถึงปราโบโวเมื่อวันอาทิตย์ โดยระบุว่าเขาจะรักษา “การสื่อสารเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด” กับคู่หูคนใหม่ของอินโดนีเซีย สถานีวิทยุกระจายเสียงของรัฐ CCTV รายงาน

BOI เปิดยอดลงทุน 3 ไตรมาสของปี 2567 ทุบสถิติรอบ 10 ปีทั้งจำนวนโครงการ-เงินลงทุน

(21 ต.ค. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน 2567) ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาลและมาตรการสนับสนุนของรัฐ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนเชิงรุกของรัฐบาลและบีโอไอ ได้ทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จำนวนมาก เช่น เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และพลังงานหมุนเวียน 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในห้วงเวลาสำคัญที่มีกระแสเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก เช่น การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ กลไกจัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เป็นต้น 

กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 183,444 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ดิจิทัล มูลค่า 94,197 ล้านบาท ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 67,849 ล้านบาท เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 52,990 ล้านบาท ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 34,341 ล้านบาท โดยกิจการที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น

- กิจการ Data Center จำนวน 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 92,764 ล้านบาท โดยมีการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่สัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง และอินเดีย   

- กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, 
การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม จำนวน 15 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,856 ล้านบาท

- กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และวัตถุดิบสำหรับ PCB จำนวน 55 โครงการ เงินลงทุนรวม 61,302 ล้านบาท

- กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ จำนวน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,973 ล้านบาท

- กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง จำนวน 117 โครงการ เงินลงทุนรวม 30,515 ล้านบาท

- กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 351 โครงการ เงินลงทุนรวม 85,369 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวม 546,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 180,838 ล้านบาท จีน 114,067 ล้านบาท ฮ่องกง 68,203 ล้านบาท ไต้หวัน 44,586 ล้านบาท และญี่ปุ่น 35,469 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่บริษัทแม่สัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Data Center นำบริษัทลูกที่จดจัดตั้งในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 408,737 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 220,708 ล้านบาท ภาคเหนือ 35,452 ล้านบาท ภาคใต้ 25,039 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23,777 ล้านบาท และภาคตะวันตก 8,812 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ การขอรับส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 27,318 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน รองลงมาคือ ด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต 

สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุน 672,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 101 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1 - 3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม 

“ทิศทางการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่สิ่งที่บีโอไอให้ความสำคัญมากกว่าตัวเลขเม็ดเงินลงทุน คือคุณภาพของโครงการ และประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับ ซึ่งตอนนี้เป็นจังหวะเวลาสำคัญของประเทศไทยที่จะสามารถสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี” นายนฤตม์ กล่าว

‘พม่า’ ทะลักชายแดนแห่ขอทำ ‘บัตรหัว 0’ คึกคัก หวังฟอกขาวได้สัญชาติไทยแม้ราคาพุ่งใบละ 3 แสนบาท

(21 ต.ค. 67) ช่วงนี้เรื่องราวฝั่งเมียนมาน่าจะไม่ปังนัก เนื่องจากดิไอคอนส่องแสงสว่างวาบไปทั่วปฐพีขนาดคนพม่ายังรู้และเป็นกระแสในวงโซเชียลเมียนมาด้วย

แต่เอย่าอยากให้พักดรามาร้อน ๆ แล้วหันมารับรู้ประเด็นร้อนในโลกความเป็นจริงที่ฟังแล้วเราควรจะปวดขมับดีหรือจะชั่งมันดี

ประเด็นแรกมีอยู่ว่าตอนนี้ตามแนวชายแดนไทยมีคนพม่าจำนวนมากเข้ามาเพื่อจะทำ ‘บัตรหัว 0’

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่าบัตรหัว 0 คือบัตรอะไร? บัตรหัว 0 หรือบัตรผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนไม่มีสัญชาติไทยนั่นเอง

ซึ่งหลายคนรู้จักกันในชื่อบัตรชมพู หรือบัตร 10 ปีที่เอย่าเคยเล่ามาในบทความก่อนๆแล้ว โดยข้อดีของบัตรนี้คือถ้าพ่อแม่ถือบัตรหัว 0 ลูกที่เกิดมาจะสามารถขอสัญชาติไทยได้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์นั่นเอง นั่นทำให้คนพม่าแห่เข้ามาเพื่อมารอทำบัตรหัว 0 กันอย่างเนืองแน่น เพราะเขาคิดว่าหากถูกถอนสัญชาติหรือพาสปอร์ตหมดอายุและไม่ต่ออายุด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม คนกลุ่มนี้ก็สามารถอาศัยในไทยได้ เพราะใช้บัตรดังกล่าว แถมบัตรนี้ออกโดยทางการไทยจะขอลี้ภัยไปประเทศไหนก็ง่ายดายเพราะมีข้อมูลยืนยัน

และที่เป็นประเด็นร้อนในขณะนี้คือข้าราชการฝ่ายปกครองต่างพยายามออกบัตรหัว 0 กันอย่างคึกคัก เพราะคิดราคาต่อใบ ใบละ 200,000 - 300,000 บาทต่อคน จนท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงมาลุยเองเรื่องถึงได้เงียบลง แหม่ช่างเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดนให้คึกคักเสียจริง

ประเด็นที่ 2 ก็ร้อนแรงไม่แพ้กันว่ากันว่ามีขบวนการพม่ารับขนเด็กจากชายแดนมายังกรุงเทพโดยขบวนการนี้จะทำการสวมสูติบัตรเด็กคนอื่นที่ไปเช่ามาใบละ 500-1,000 บาท

โดยเด็กกลุ่มที่มีฐานะดีหน่อยถูกพาไปหาพ่อแม่ตัวจริงในกรุงเทพ ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มเป็นเด็กที่พ่อแม่ขายมาให้เป็นแรงงานในไทย โดยขบวนการนี้คิดค่าดำเนินการ 3,000-7,000 บาท  ข่าวว่ากันว่า กลุ่มที่ทำงานตรงนี้มี 2 กลุ่มคือกลุ่มพม่าเชื้อสายแขกกับกลุ่มพม่าชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทยมาเป็นเวลานาน โดยมีข้าราชการไทยบางคนร่วมขบวนการ

เห็นเรื่องที่ 2 นี่เอย่าคิดถึงลุงตู่เลยที่ท่านพยายามอย่างหนักเพื่อให้ไทยเราปลอดการค้ามนุษย์แต่สุดท้ายก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือกับคนต่างด้าวทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย

ว่าแล้ว....เราควรจะวางเฉยแล้วเสพดรามากันต่อไปหรือจะเริ่มสอดส่องภัยใกล้ตัวขึ้นอยู่ตัวพวกเราด้วยกันเอง

‘แบงก์ชาติจีน’ ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% หวังฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน - จูงใจคนซื้อบ้าน

(21 ต.ค. 67) ‘แบงก์ชาติจีน’ ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ระยะ 1 ปี และ 5 ปี ลง 0.25% ขณะที่นักวิเคราะห์มองการลดดอกเบี้ยอย่างเดียวอาจกระตุ้นเศรษฐกิจไม่พอ

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 3.1% จากระดับ 3.35% และปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 3.6% จากระดับ 3.85%

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองบ้าน

การประกาศของ PBOC ในวันนี้สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และสอดคล้องกับที่พาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการ PBOC แถลงในการประชุมด้านการเงินที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ (18 ต.ค.) ว่า อัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ อาจลดลงอีก 0.25-0.50% ภายในสิ้นปี โดยขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งเปิดโอกาสสำหรับการดำเนินมาตรการผ่อนคลายด้านนโยบายเพิ่มเติม

เชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ AMP กล่าวว่า จีนกำลังใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยการลดอัตราดอกเบี้ย แต่เขาก็เตือนว่าแค่ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวอาจไม่พอที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีเท่าที่ควร จีนอาจต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ หรือลดภาษี เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

จื้อเหว่ย จาง ประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Pinpoint Asset Management มองว่าอัตราดอกเบี้ยในจีนยังมีช่องว่างให้ปรับลดลงอีก และคาดการณ์ว่านโยบายการเงินของจีนจะยังคงผ่อนคลายต่อไปในอนาคตอันใกล้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ พานกล่าวในการประชุมดังกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 7 วันจะลดลง 0.20% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางจะลดลง 0.30% และยังกล่าวด้วยว่าอัตราดอกเบี้ย LPR จะลดลง 0.20-0.25% ในวันที่ 21 ต.ค.นี้

สหรัฐฯ กุมขมับ!! หลังเอกสารลับสุดยอดโผล่สื่อโซเชียล ยอมรับเป็นของจริง ปูดแผน ‘อิสราเอล’ เตรียมโจมตี ‘อิหร่าน’

(21 ต.ค. 67) รัฐบาลสหรัฐฯ เครียด! เมื่อปรากฏเอกสารลับสุดยอดหลุดออกไปเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียล ที่ระบุชัดว่า อิสราเอลกำลังเตรียมแผนการโจมตีอิหร่าน เพื่อตอบโต้ที่กรุงเทล-อาวีฟ ถูกอิหร่านระดมยิงด้วยขีปนาวุธ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา

โดย ไมค์ จอห์นสัน โฆษกรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสื่อว่า ทางรัฐบาลวอชิงตันมีความกังวล เมื่อทราบว่ามีเอกสารลับสำคัญ 2 ชิ้นที่เอกสารดังกล่าวมาจากสำนักงานข่าวกรองเชิงพื้นที่แห่งสหรัฐอเมริกาและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ

เอกสารฉบับแรกมีชื่อว่า “อิสราเอล: กองทัพอากาศกำลังเตรียมการโจมตีอิหร่านและดำเนินการฝึกทหารกองใหญ่ครั้งที่ 2"

ส่วนฉบับที่สองชื่อ “อิสราเอล: กองกำลังป้องกันได้เตรียมอาวุธสำคัญ และ อากาศยานไร้คนขับ เกือบสมบูรณ์แล้วสำหรับการโจมตีอิหร่าน" 

ซึ่งเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ระบุวันที่ 16 ตุลาคม 2024 หลังจากนั้นเพียงวันเดียว เอกสารก็ถูกเผยแพร่ลงในสื่อ Telegram ผ่านเพจสำนักข่าวสายอิหร่านในกรุงเตหะราน และที่สำคัญคือ ทางการสหรัฐฯ ยอมรับว่า เอกสารทั้ง 2 ฉบับเป็นของจริง

โดยปกติแล้ว เอกสารลับระดับนี้ จะถูกเผยแพร่เฉพาะแค่ในกลุ่ม “Five Eyes" พันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐอเมริกา ที่ประกอบด้วย อังกฤษ, แคนาดา, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เท่านั้น

โฆษกสหรัฐฯ กล่าวว่า จะมีการสืบสวนร่วมกันระหว่าง กระทรวงกลาโหม, หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ และ FBI เพื่อตรวจสอบว่าเอกสารลับชิ้นหลุดออกไปได้อย่างไร ไม่ว่ามาจากสมาชิกคนในสำนักหน่วยข่าวกรอง หรือถูกแฮ็ก และใครเป็นคนเผยแพร่เอกสารลับทางออนไลน์เป็นคนแรก

ด้านกองทัพอิสราเอลไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ ที่เกี่ยวกับเอกสารลับสหรัฐฯ ที่พาดพิงถึงแผนปฏิบัติการทหารของตนในอิหร่าน 

ส่วนสื่ออิสราเอลออกมาคาดการณ์ว่า กองทัพอิสราเอลน่าจะใช้ขีปนาวุธ  Blue Sparrow ที่มีพิสัยยิงไกลถึง 2,000 กิโลเมตร และออกปฏิบัติการโจมตีไม่เกินเดือนเมษายนปีหน้า ซึ่งกองทัพอิสราเอลได้มีการทดสอบขีปนาวุธของตนอย่างลับๆมาตลอด เพราะข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของขีปนาวุธถือเป็นความลับสุดยอด ที่จะแพร่งพรายให้ศัตรูล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด 

แต่จากข้อมูลลับของสหรัฐฯ ที่หลุดออกมา ทำให้เชื่อว่า อิสราเอลไม่น่าจะใช้หัวรบนิวเคลียร์โจมตีอิหร่าน ซึ่งเป็นไปตามข้อเรียกร้องของโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่เคยออกมากล่าวว่า สหรัฐอเมริกาไม่สนับสนุนการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน 

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ สงครามในตะวันออกกลางจะยังคงนองเลือดต่อไป แม้ ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกองกำลังฮามาสในกาซา จะถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลไปแล้วก็ตาม 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top