Monday, 9 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

ปตท. คุมราคา NGV เหลือ 17.90 บาท/กก. ถึง พ.ย.67 3 ปีที่ผ่านมาช่วย ปชช. ประหยัดเงินกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท

(21 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศปรับลดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ทั่วไปเหลือ 17.90 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบปี 2567 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.-15 พ.ย. 2567 ทั้งนี้เป็นการปรับลดลงตามต้นทุนราคา NGV

โดยปัจจุบันราคา NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปจะเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกราคาตลาด และ ปตท.จะพิจารณาราคาทุกๆ 1 เดือน ทั้งนี้ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2567 พบว่า ปตท. ได้เริ่มปรับราคา NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปตามกลไกราคาตลาด ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2567 โดยราคาเคยปรับขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 19.59 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือน มี.ค. 2567 และลดลงต่ำสุดอยู่ที่  17.90 บาทต่อกิโลกรัม ในครั้งนี้ ( 16 ต.ค.- 15 พ.ย. 2567)

สำหรับในส่วนของราคา NGV ใน “โครงการบัตรสิทธิประโยชน์กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ” ปตท. ยังคงตรึงราคาไว้เท่าเดิมที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม  เนื่องจากกระทรวงพลังงานยังขอความร่วมมือ ปตท. ให้จำหน่ายในราคาถูกต่อไปก่อน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มรถโดยสาร เบื้องต้นโครงการดังกล่าวจะช่วยเหลือราคา NGV ให้ผู้ร่วมโครงการฯ เป็นเวลา 2 ปี หรือภายใน ธ.ค. 2568

โดยที่ผ่านมา ปตท. กำหนดราคาจำหน่าย NGV ในโครงการฯ ไว้ที่ 14.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 6 เดือน (ม.ค.- มิ.ย. 2567) จากนั้น ปตท. ได้พิจารณาปรับขึ้นราคา NGV สำหรับรถโดยสารธารณะเมื่อ 15 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา เป็นดังนี้ 1. รถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะ หมวด 1 และหมวด 4 (ไม่รวมรถ ขสมก.) ปรับราคาขึ้นจาก 14.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.59 บาทต่อกิโลกรัม และล่าสุด ปตท. ได้ประกาศตรึงราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม ต่อเป็นเดือนที่ 4  ระหว่าง 16 ต.ค.-15 พ.ย. 2567 

ส่วนรถโดยสารสาธารณะ หมวด 2 (เส้นทางการขนส่งประจำทางด้วยรถโดยสารซึ่งมีจุดเริ่มต้นจาก กรุงเทพฯ ไปยังส่วนภูมิภาค) และหมวด 3 (เส้นทางการขนส่งประจำทางด้วยรถโดยสาร ซึ่งมีเส้นทางระหว่างจังหวัดหรือคาบเกี่ยวระหว่างเขตจังหวัดในส่วนภูมิภาค) ไม่มีการตรึงราคาแต่อย่างใด โดยปรับราคาเท่ากับราคา NGV ทั่วไปเป็น 17.90 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมราคา 18.59 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตามราคา NGV สำหรับรถกลุ่มนี้จะไม่ได้รับส่วนลดหากราคาขายปลีก NGV ต่ำกว่า 18.59 บาทต่อกิโลกรัม

นอกจากนี้ยังกำหนดราคาสำหรับรถบรรทุก ที่เติมก๊าซ NGV ที่สถานีฯ แนวท่อ และสถานีฯ นอกแนวท่อ ใน “โครงการส่งเสริมความปลอดภัยใช้ NGV” โดยกำหนดปรับลดราคาจาก 18.59 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 17.90 บาทต่อกิโลกรัม (เป็นราคาที่เท่ากับราคา NGV ทั่วไป)

ทั้งนี้ราคา NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะใน “โครงการบัตรสิทธิประโยชน์กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ” นั้น ทางกระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือ ปตท. ให้ช่วยตรึงราคาไปก่อน ส่วนรถยนต์ทั่วไปที่เติม NGV นั้น ทาง ปตท. จะปรับเปลี่ยนตามกลไกราคาตลาดที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ประสบปัญหาการขายขาดทุน เนื่องจากเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา (1 พ.ย. 2564- 2 ต.ค. 2567) ปตท.ช่วยลดราคา NGV ให้ประชาชนทั่วไปและกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่สาธารณะในเขต กทม.และปริมณฑลเป็นมูลค่ากว่า 18,089 ล้านบาท สำหรับข้อมูล ปตท. ระบุว่า ปตท.มีปั๊ม NGV ทั้งสิ้น 343 สถานี มีปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ 3,472 ตันต่อวัน

สำหรับทิศทางราคา NGV ในอนาคต ที่ปรากฎใน (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567-2580 (Oil Plan 2024) มีการกำหนดให้ราคา NGV ต้องเป็นไปตามกลไกตลาดตั้งแต่ปี 2567-2575 พร้อมสนับสนุนเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แทนรถที่ใช้ก๊าซหุงต้ม (LPG) และ NGV ดั้งเดิม ตามนโยบาย 30@30 ซึ่งจะต้องดำเนินการภายในปี 2567-2580

สำหรับนโยบาย 30@30 คือ มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมตั้งเป้าหมายให้ภายในปี ค.ศ. 2530 การผลิตยานยนต์ในประเทศจะต้องเป็น EV อย่างน้อย 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด
ที่มา : https://www.energynewscenter.com/%E0%B8%9B%E0%B8%95%E0%B8%97-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2-ngv-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-17-90-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%81%E0%B8%81-%E0%B8%95/

‘พีระพันธุ์’ เปิดอาคาร 100 ปีให้นักเรียน เตรียมปั้น ‘ยุวทูตพลังงาน’ ส่อง ตำนาน ‘บ้านพิบูลธรรม’ ศูนย์บัญชาการ รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานไทย

(21 ต.ค. 67) เมื่อวันเสาร์ 19 ต.ค. 67 ที่ผ่านมา ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิด ‘บ้านพิบูลธรรม’ ศูนย์บัญชาการของกระทรวงพลังงาน เพื่อให้คณะนักเรียนและเยาวชน จากสภานักเรียนไทยได้เยี่ยมชม 

การศึกษาดูงานบนพื้นที่ที่ใช้ทำงานจริงในครั้งนี้คงสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชมได้ไม่มากก็น้อย ไม่แน่ว่าหลาย ๆ ในวันหน้าคนที่เข้ามาศึกษาดูงานคงจะได้มีโอกาสใช้ ‘บ้านพิบูลธรรม’ แห่งนี้เป็นที่ทำงานในอนาคตก็ได้ 

แล้ว ‘บ้านพิบูลธรรม’ มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงถูกเลือกให้เป็นออฟฟิศหลักของกระทรวงพลังงานในยุคที่มีเจ้ากระทรวงที่ชื่อว่า ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ครั้งนี้ The States Times จะพาทุกคนหาคำตอบ 

จากคำบอกเล่าของหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล ระบุว่า บ้านแห่งนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2440 ในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่เดิมมีเพียงอาคารหลังเดียว โดยบ้านแห่งนี้ ‘พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้ ‘เจ้าพระยาธรรมธิกรณาธิบดี’ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ‘พระยาอนรักษราชมณเฑียร’ ก่อนในสมัยรัชการที่ 6 เจ้าพระยาธรรมาธิกรธิบดี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ดำรงตำแหน่ง ‘เสนาบดีกระทรวงวัง’ และหลังจากนั้นอีกไม่นานนัก รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานเงินให้สร้างตึกอีกหลังหนึ่งอันเป็นตึกหลักในปัจจุบัน พร้อมทั้งมีชื่อของบ้านในขณะนั้นว่า ‘บ้านนที’

ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยระยะห่างจากสถานีรถไฟกรุงเทพ หรือที่เรียกติดปากว่าสถานีรถไฟหัวลำโพงอันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในช่วงสงคราม จึงมีระเบิดหลายลูกถูกทิ้งพลาดเป้ามาลงที่ ‘บ้านนที’ ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก 

ต่อมาในปี 2498 รัฐบาลในสมัยที่นายกรัฐมนตรีมีชื่อว่า ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ ได้ซื้อบ้านหลังนี้พร้อม ๆ กับบ้านอีกหลายหลัง อาทิ บ้านพิษณุโลก บ้านนรสิงห์  โดยบ้านหลังนี้ใช้เป็นที่รับรองแขกบ้าน-แขกเมือง พร้อม ๆ กับเปลี่ยนชื่อจากบ้านนที สู่ บ้านพิบูลธรรม 

โดยบ้านหลังนี้ได้รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่มีความสำคัญหลายท่าน อาทิ พระยากัลยาณไมตรี (Dr. Francis Bowes Sayre), ริชาร์ด นิกสัน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และเจ้าสุวรรณภูมา แห่งราชอาณาจักรลาว 

ต่อมาบ้านพิบูลธรรม ได้ทำหน้าที่เป็นสถานที่ทำงานของกรมพลังงานแห่งชาติ หรือกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานในปัจจุบัน มาตั้งเเต่วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2502

บ้านพิบูลธรรม มีอาคารเก่าแต่แรกสร้างซึ่งมีความงดงามทั้งด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอยู่ 2 หลัง และศาลาไม้อีกหลังหนึ่ง คือ อาคารสํานักงานเลขานุการกรมซึ่งอยู่หลังหน้า และ อาคาร กองควบคุมและส่งเสริมพลังงานตั้งเยื้องไปด้านหลัง ส่วนศาลาไม้อยู่ด้านขวาของอาคารสํานักเลขานุการกรมและด้านหน้าของอาคารกองควบคุมและส่งเสริมพลังงาน อาคารทั้งสองหลังสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ที่นิยมในยุคนั้น ลักษณะเหมือนปราสาท เป็นอาคาร 2 ชั้น รูปทรงตามปีกอาคารสองข้าง และมีส่วนโค้งส่วนหักมุมและเฉลียง ต่างกันแต่ได้สัดส่วนกลมกลืน ประดับลายปูนปั้นตามผนังตอนบน หัวเสา ขอบหน้าต่าง และลูกกรงระเบียง ประตูหน้าต่างไม้สลักลาย มีรูปประติมากรรมหน้าวัวหรือพระโคนนที ติดอยู่ที่เหนือประตู เฉลียงที่มุมขวาของตึกหน้า และที่ผนังข้างประตูหน้าและเหนือประตู เฉลียงข้างของตึกหลังมีสะพานคอนกรีต เชื่อมชั้น ๒ ของอาคารทั้ง 2 หลัง

อาคารทั้งสองหลังตกแต่งภายใน อย่างวิจิตรด้วยลายไม้แกะสลักตามเพดานและผนังห้อง ประตู และหน้าต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาคารในซึ่งตอนหน้าส่วนกลางก่อเป็นห้องชั้นที่ 3 อีกห้องหนึ่งนั้น ด้านหลังเป็นอาคารชั้นเดียว จัดเป็นห้องโถงเอกของบ้าน โดยโถงหน้า เป็นทางเชื่อมจากส่วนหน้าของอาคารสู่โถงในซึ่งมีปีกเป็นรูปโค้งมน รูปทรงของห้องโถงนี้ จึงเหมือนตัว T แต่มุมหักมน นับเป็นความงามเยี่ยมทางสถาปัตยกรรม ภายในห้องโถงนี้ กึ่งกลางเพดานประดับภาพจิตรกรรมแบบตะวันตกเรื่องรามเกียรติ์ โถงนอกรูปรามสูร เมขลา โถงในรูปทศกัณฐ์ลักนางสีดากําลังต่อสู้กับนกสดายุ เพดานรอบๆ ภาพเขียนประดับ ด้วยหูช้างไม้สลักเรียงรายตลอด ถัดลงมาเป็นภาพจิตรกรรมเถาไม้ดอกสีสดสวย ผนังจาก ระดับขอบประตูบนลงมาประดับไม้สลักลาย ตามขอบสลักลายเถาผลไม้ เสาไม้กลมตั้งบน ฐานสี่เหลี่ยมสลักลาย พื้นปูหินอ่อน ห้องโถงนี้ปัจจุบันใช้เป็นห้องเลี้ยงรับรอง ห้องด้าน หน้าทางปีกซ้ายของอาคารหลังนี้ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นห้องทํางาน มีภาพจิตรกรรมแบบเดียว กันประดับที่ฝาผนังด้านขวา จับภาพตอนพระรามตามกวาง ส่วนเพดานห้องเขียนรูปหมู่กามเทพเด็กแบบฝรั่ง แต่มีลักษณะเป็นคนไทย 

และจากการตัดสินใจใช้ ‘บ้านพิบูลธรรม’ เป็นศูนย์บัญชาการหลักของกระทรวงพลังงานในยุคที่มี ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวง ทำให้ต้องมีการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องใช้สำนักงานมาใช้ I อาคารดังกล่าว โดยมีหลายชิ้นต้องค้นหาจากห้องเก็บของของกระทรวงพลังงาน

และจำนวนไม่น้อยมาจากของสะสมส่วนตัวของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่ชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์ช่วงจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นพิเศษ ด้วยลักษณะเด่นที่การผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตกและศิลปะไทยอย่างลงตัว จึงมีหลายชิ้นใน ‘บ้านพิบูลธรรม’ ที่มีเจ้าของชื่อว่า ‘พีระพันธุ์’ ตามคำบอกเล่าของเจ้าตัวในรายการกฤษณะทัวร์ติดล้อ

และทั้งหมดนี้คือที่มาของ ‘บ้านพิบูลธรรม’ ศูนย์บัญชาการ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ พลังงานไทย เพื่อสร้างความเป็นธรรมและเสถียรภาพของพลังงานไทย

‘อินโนพาวเวอร์’ กวาดรายได้ครึ่งปีกว่า 150 ล้านบาท มั่นใจ!! เดินหน้าสู่เป้าหมายเติบโต 100% ภายในสิ้นปี

(21 ต.ค. 67) “อินโนพาวเวอร์” เปิดรายได้ครึ่งปีแรก 2567 เติบโตต่อเนื่อง มีรายได้รวม 151.4 ล้านบาท คิดเป็น 159% เมื่อเทียบกับรายได้ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 สะท้อนภาวการณ์เติบโตที่แข็งแกร่ง ในธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจในปี 2566 และได้ประกาศตัวเป็น Decarbonization Partner มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions 

นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดเผย ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2567 ด้วยรายได้รวม 151.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 159% เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 โดยเฉพาะส่วนของ Future of Mobility (วิถีการเดินทางแห่งอนาคต) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านยานยนต์สันดาปไปสู่ยานยนต์เชื้อเพลิงสะอาด ได้แก่ โซลูชั่นด้าน EV Fleet การติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จำหน่ายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเติบโตสูงถึง 272% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับปีก่อน 

ในส่วนของธุรกิจการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate :REC) เติบโตเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน และมี Backlog ของ REC ที่ครอบคลุมการดำเนินงานต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ธุรกิจหลักอื่น ๆ อย่าง ธุรกิจ Future of Energy (พลังงานแห่งอนาคต) ธุรกิจการให้คำปรึกษาและพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด รวมถึงการให้คำปรึกษาด้าน Sustainability และการจัดการก๊าซคาร์บอนในองค์กรก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ดัชนีดังกล่าวสะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งในธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนและบ่งชี้ให้เห็นศักยภาพของบริษัทในการบรรลุเป้าหมายรายได้เติบโต 100% ตามที่ตั้งเป้าไว้สำหรับปีนี้ ซึ่งได้ประกาศตัวเป็น “Decarbonization Partner” ที่มุ่งเน้นการตอบโจทย์เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Emissions) และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2565 และสามารถมีกำไรสุทธิเป็นบวกได้ในปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงหนึ่งปี แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับรายได้เท่านั้น แต่บริษัทยังมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าและการสร้างคุณค่ากลับคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม ผ่านการสนับสนุนพันธมิตรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งขณะนี้ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปแล้วกว่า 805,000 ตัน 

นอกจากนี้ บริษัทได้บรรลุเป้าหมายในการสร้างพันธมิตรและลูกค้าเกินกว่า 100 ราย ได้เร็วกว่ากำหนดภายในครึ่งแรกของปี 2567 สะท้อนถึงความสำเร็จในการขยายเครือข่ายทางธุรกิจและการสร้างความร่วมมือในด้านการขายและการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง 

"การเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีที่แล้วที่รายได้เพิ่ม 700% เป็นเพียงจุดเริ่มต้น โดยในปี 2567 จะเห็นสัญญาณการขยายตัวของธุรกิจที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งในการขับเคลื่อนพันธมิตรของเราไปสู่การลดคาร์บอน ด้วยการให้คำแนะนำ นำเสนอโซลูชันที่เหมาะสมที่สุดกับลูกค้าที่ช่วยให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุน โดยในส่วนแผนงานครึ่งปีหลัง 2567 เรามุ่งมั่นที่จะผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมุ่งหวังให้สามารถเติบโต 100% ได้" นายอธิปกล่าว

‘Toyota’ เปิดตัวไอเดียตลับไฮโดรเจนพกพา เปลี่ยนแล้วไปต่อ แก้จุดอ่อน ชาร์จพลังงานนาน

(21 ต.ค. 67) Toyota จัดแสดงการพัฒนาอย่างยั่งยืนหลายชุดในงาน ‘Japan Mobility Bizweek’ โดยเฉพาะแนวคิด ตลับไฮโดรเจนพกพาแห่งอนาคต (portable hydrogen cartridge future) ซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถให้พลังงานแบบ “สับเปลี่ยน” ได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นต่อไป (FCEV)

เดิมที โปรเจกต์นี้เป็นของ Woven ซึ่งเป็นบริษัทลูกด้านเทคโนโลยีการเคลื่อนที่ของ Toyota (เดิมชื่อ Woven Planet) โดยทีมงานได้ผลิตต้นแบบตลับไฮโดรเจนที่ใช้งานได้จริงในปี 2022 แต่ตั้งแต่นั้นมาก็ได้พัฒนาแนวคิดดังกล่าวต่อไป… และดูเหมือนว่าจะดำเนินการตามนั้น ตลับหมึกรุ่นล่าสุดมีน้ำหนักเบากว่าและพกพาสะดวกกว่า โดยโตโยต้าอ้างว่าตลับหมึกรุ่นปัจจุบันได้รับการพัฒนาจากประสบการณ์ที่บริษัทได้รับจากการลดขนาดและน้ำหนักของถังไฮโดรเจนที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง

แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับตลับหมึกไฮโดรเจนที่มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบาพอที่จะถือด้วยมือ โดยนายแบบคนหนึ่งสวมสิ่งที่ดูเหมือนแบตเตอรี่ AA ขนาดใหญ่ในกระเป๋าเป้ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ

พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ตลับนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงสามารถเปลี่ยนแหล่งพลังงานได้เมื่อระดับไฮโดรเจนต่ำ แทนที่จะต้องเติมที่สถานีเหมือนอย่างที่คุณมักจะทำกับรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล

โดยโตโยต้ายังรู้สึกว่าตลับหมึกที่เติมซ้ำได้และหมุนเวียนได้เหล่านี้สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น เพื่อสร้างไฟฟ้าในเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อจ่ายไฟให้บ้านหรือแม้แต่ให้ไฮโดรเจนสำหรับเผาไหม้เพื่อทำอาหาร

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลับไฮโดรเจนสามารถถอดออกจากรถได้ และนำไปใช้จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในกรณีที่ไฟดับ เป็นต้น

แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นเพียงแนวคิด แต่โตโยต้ารู้สึกว่าตลับไฮโดรเจนแบบพกพาที่มีน้ำหนักเบาเหล่านี้สามารถสร้างวิธีการที่ประหยัดกว่าและสะดวกสบายกว่าในการส่งไฮโดรเจนไปยังที่ที่ผู้คนอาศัยและทำงานได้ โดยไม่จำเป็นต้องวางท่อส่งขนาดใหญ่

วิสัยทัศน์ของโตโยต้าเกี่ยวกับตลับไฮโดรเจนแบบพกพามีศักยภาพในการจ่ายไฟให้กับยานพาหนะและสิ่งของในชีวิตประจำวันมากมาย ตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ที่มีความจุขนาดเล็กไปจนถึงรถยนต์และแม้แต่เครื่องใช้ในบ้าน

แนวคิดของบริษัทคือการจัดส่งตลับไฮโดรเจนสดควบคู่ไปกับอาหารและสิ่งของอื่นๆ โดยนำตลับไฮโดรเจนที่ใช้แล้วไปเติมใหม่ ด้วยเหตุนี้ โตโยต้าจึงกล่าวว่าขณะนี้กำลังมองหาการจับคู่กับเทคโนโลยีและแนวคิดจากบริษัทและสตาร์ทอัพในสาขาต่างๆ รวมถึงทั้งการให้บริการและการพัฒนาและการขายอุปกรณ์โดยใช้ตลับหมึก

แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างมากในพื้นที่ยานยนต์ แต่ไฮโดรเจนก็เป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่มีความยืดหยุ่น โดยมีความสามารถในการสร้างไฟฟ้าในเซลล์เชื้อเพลิงหรือใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการเผาไหม้

ไฮโดรเจนไม่ปล่อย CO2 ออกมาเลยเมื่อใช้งาน (น้ำเป็นผลพลอยได้เพียงอย่างเดียว) และสามารถช่วยสนับสนุนเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ได้หากผลิตขึ้นโดยใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ลมและแสงอาทิตย์

ด้วยความต้องการ EV ทั่วโลกที่ลดลง ดูเหมือนว่าไฮโดรเจนจะกลับมาอยู่ในวาระการประชุมอีกครั้ง โดยบริษัทต่างๆ เช่น Hyundai, BMW และ Honda ต่างก็สำรวจวิธีการทำให้เทคโนโลยีนี้มีความเหมาะสมในเชิงพาณิชย์

‘รมว.สรวงศ์’ คอนเฟิร์ม ‘ลิซ่า Blackpink’ ขึ้นเวที Countdown 2025 ไอคอนสยาม

(21 ต.ค. 67) ‘รมว.สรวงศ์’ คอนเฟิร์ม ‘ลิซ่า Blackpink’ ร่วม Amazing Thailand Countdown 2025 ไอคอนสยาม พร้อมเดินแผนดึงคอนเสิร์ตระดับโลกเข้ามาจัดในไทย ยัน ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ มาแน่ ชงรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวให้ 50%

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ล่าสุดได้รับการคอนเฟิร์มจาก “ลิซ่า Blackpink” หรือ ลลิษา มโนบาล ในการขึ้นเวทีร่วมงาน Amazing Thailand Countdown 2025 ที่ ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นการว่าจ้างโดยภาคเอกชน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมสนับสนุนคอนเสิร์ตระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมามีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ และสถานที่ในการรองรับผู้เข้าชมที่ต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่ สะดวกเพียงพอในการรองรับผู้เข้าชมทั้งไทย รวมถึงแฟนคลับชาวต่างชาติที่จะตามเข้ามาด้วยในช่วงเคาต์ดาวน์ปี 2568 นี้

นอกจากนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 (ตุลาคม-ธันวาคม) ได้เตรียมหารือร่วมกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ภายในปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อพิจารณางบประมาณใช้ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งยืนยันว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ประโยชน์ทั้งระบบ

โดยใน 5 เฟสแรกที่ผ่านมา เราเที่ยวด้วยกันก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 58,621 ล้านบาท จากการใช้งบประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งในรอบนี้คาดว่าจะดำเนินการในขนาดไม่แตกต่างจากเดิม และจะนำข้อเสนอของภาคเอกชนในการสนับสนุนสัดส่วนระหว่างรัฐบาล 50% และประชาชน 50% หรือคนละครึ่ง

จากเดิมเป็นรัฐบาลอุดหนุน 40% ประชาชนออกเอง 60% ซึ่งประเมินว่าเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะได้มากกว่าเฟสแรก บวก 5-10% เนื่องจากจะเปลี่ยนมาจองผ่านแพลตฟอร์มตัวแทนจองออนไลน์ (โอทีเอ) ที่เป็นของไทยเอง เพื่อให้เม็ดเงินไม่ไหลออกไปสู่ต่างประเทศ

โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ในครั้งนี้จะออกมาในรูปแบบที่ปิดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในเฟสเดิมทั้งหมด อาทิ การโกงการเข้าพักจริง จำนวนห้องพักที่ถูกใช้มากเกินกว่าจำนวนที่มีจริง จากนั้นจะพิจารณางบประมาณและรูปแบบสัดส่วนการอุดหนุนของรัฐบาลที่ใช้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้ได้ในช่วงต้นปี 2568 นี้” นายสรวงศ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top