Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2567 : ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : นับถือศาสนาพุทธ แต่ไหว้เทพเจ้า ผิดศีลหรือไม่

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์  (หลวงพ่อโกวิท) : นอกจากไม่ผิดศีลแล้วยังเป็นความใจกว้างของศาสนาพุทธ เพราะพระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่องเมตตา สอนเรื่องความรัก ไม่ให้แบ่งแยกเขาไม่ให้แบ่งแยกเรา

ไม่มีการแบ่งแยกความเชื่อ เพียงแต่ว่าขมวดปมความเชื่อ ขมวดปมสาระ ในทางพุทธศาสนาจะไม่บอกว่า เราเท่านั้นดีที่สุด คนอื่นไม่ดี ...พระพุทธเจ้าไม่สอนอย่างงั้น

และการไหว้เทพเจ้า ยังอยู่ในหลักการทําบุญข้อที่ 5 ที่ว่าด้วย การประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน “วุฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ, อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง” ซึ่งใจความสำคัญ คือ “อะปะจายะนะมัย” หมายถึงการประพฤติอ่อนน้อมต่อสิ่งที่สูงกว่า ต่อบุคคลผู้สูงกว่า

ดังนั้น เมื่อเราเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี มีใจกว้าง การจะไหว้เทพเจ้าในวัดจีน หรือเทพเจ้าในวัดแขก ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิด และพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม

ยุคทอง TECH COMPANY ผ่านมา 10 ปี บริษัทเหล่านี้โตขึ้นเท่าไหร่?

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นยุคทองของบริษัท เทคโนโลยี อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในกลุ่ม Big Tech ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด 

บริษัทไหน เติบโตเท่าไหร่ ไปติดตามกัน

รู้จัก ‘MI6’ ต้นสังกัด ‘James Bond 007’ หน่วยข่าวกรองอังกฤษ กับภารกิจ ‘ต่อต้านก่อการร้าย’

Secret Intelligence Service หรือ SIS (Military Intelligence, Section 6: MI6) หน่วยข่าวกรองต่างประเทศแห่งรัฐบาลสหราชอาณาจักร

Sir Ian Fleming ผู้แต่ง James Bond 007

แฟน ๆ ของ James Bond 007 คงสงสัยว่า 007 ยอดสายลับของรัฐบาลสหราชอาณาจักร สังกัดหน่วยงานไหนกันแน่ ด้วยตัวผู้แต่ง Sir Ian Fleming เคยรับราชการในหน่วยข่าวกรองทางเรือของกองทัพเรืออังกฤษระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีประสบการณ์เกี่ยวกับปฏิบัติการด้านการข่าวมากมาย เมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงไม่นาน โลกก็เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต) กับฝ่ายประชาธิปไตย (สหรัฐอเมริกา) และมีการส่งสายลับไปทั่วโลก Sir Fleming ได้แนวคิดจะเขียนเรื่องราวเป็นนวนิยายเกี่ยวกับสายลับอังกฤษ โดยกำหนดให้สายลับผู้นั้นที่มีใบอนุญาตสังหารคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และใช้รหัสการทำงาน 007 ชื่อว่า James Bond โดยนำชื่อมาจากนักปักษีวิทยาผู้หนึ่งที่เขาชื่นชอบ และต้นสังกัดของ James Bond ก็คือ Secret Intelligence Service (SIS หรือ MI6) หน่วยข่าวกรองต่างประเทศแห่งรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งขอเรียกหน่วยงานนี้ว่า MI6 ด้วยชื่อนี้เป็นที่รู้จักมากกว่า SIS 

Thames House สำนักงานใหญ่ของ MI5 (Military Intelligence, Section 5)

รัฐบาลสหราชอาณาจักรมีหน่วยงานดูแลรับผิดชอบงานการข่าวหลายหน่วยคือ Security Service หรือที่เรียกว่า MI5 (Military Intelligence, Section 5) เป็นหน่วยงานด้านการต่อต้านข่าวกรองและความมั่นคงภายในประเทศ และเช่นเดียวกับ Government Communications Headquarters ( GCHQ) หน่วยข่าวกรองและความมั่นคงที่รับผิดชอบในการจัดหารวบรวมข่าวกรอง (SIGINT) ให้แก่รัฐบาลและกองทัพของสหราชอาณาจักร, Defense Intelligence (DI) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข่าวกรองทางทหาร แตกต่างจากหน่วยข่าวกรองอื่น ๆ ของสหราชอาณาจักร (MI6, GCHQ และ MI5) ด้วยเป็นหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม (MoD) แทนที่จะเป็นองค์กรแบบแยกเดี่ยว มีการผสมผสานระหว่างเจ้าหน้าที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหาร และได้รับงบประมาณจากงบประมาณด้านกลาโหมของสหราชอาณาจักร และ Secret Intelligence Service (SIS หรือ MI6)

ทำไม 007 จึงสังกัด MI6 ทั้ง ๆ ที่ชุมชนการข่าวของอังกฤษมีตั้งหลายหน่วย ซ้ำในอดีตหน่วยงานการข่าวของแต่ละเหล่าทัพแยกกัน ไม่ได้รวมกันเป็น DI เช่นทุกวันนี้ ด้วยเพราะ MI6 ได้รับมอบภารกิจในการรวบรวมและวิเคราะห์ข่าวกรอง (จากแหล่งข่าวที่เป็นบุคคลต่าง ๆ ) ในต่างประเทศ (HUMINT) เป็นหลักในการสนับสนุนความมั่นคงแห่งชาติของสหราชอาณาจักร MI6 เป็นหน่วยงานสมาชิกของชุมชนข่าวกรองของอังกฤษ และหัวหน้าหน่วยงานขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหราชอาณาจักร

MI6 ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1909 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานราชการลับ (Secret Service Bureau) และส่วนงานต่างประเทศส่วนนี้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้ชื่อปัจจุบันอย่างเป็นทางการประมาณปี ค.ศ.1920 ในชื่อ 'MI6' (หมายถึงหน่วยสืบราชการลับทางทหาร แผนกที่ 6) การมีอยู่ของ MI6 ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจนถึงปี ค.ศ.1994 ในปีนั้นได้มีการนำพระราชบัญญัติบริการข่าวกรองปี ค.ศ.1994 (Intelligence Services Act : ISA) เข้าสู่รัฐสภาเพื่อจัดวางองค์กรให้มีรากฐานตามกฎหมายเป็นครั้งแรก เป็นพื้นฐานทางกฎหมายสำหรับการดำเนินงาน ปัจจุบัน MI6 อยู่ในการกำกับดูแลของคณะตุลาการซึ่งมีอำนาจสืบสวน (Investigatory Powers Tribunal) กับคณะกรรมาธิการข่าวกรองและความมั่นคงแห่งรัฐสภา (Parliamentary Intelligence and Security Committee)

บทบาทที่สำคัญกว่าบทบาทอื่นของ MI6 ตามที่มีระบุไว้ คือ การต่อต้านการก่อการร้าย การต่อต้านการแพร่กระจายของอาวุธร้ายแรง การให้ข่าวกรองเพื่อสนับสนุนความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และการสนับสนุนเสถียรภาพในต่างประเทศ เพื่อทำลายการก่อการร้ายและอาชญากรรมอื่น ๆ แต่ MI6 ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานหลักอื่น ๆ คือ Security Service (MI5) และ Government Communications Headquarters (GCHQ) MI6 ทำงานเฉพาะในหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ ตามที่พรบ. ISA อนุญาตให้ปฏิบัติการ (เฉพาะกับบุคคลภายนอกเกาะอังกฤษเท่านั้น) การกระทำบางอย่างของ MI6 นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นประเด็นโต้แย้งสำคัญหลาย ๆ เรื่องเช่น การสมรู้ร่วมคิดและถูกกล่าวหาว่า ทำการทรมาน และลักพาตัวบุคคล

เครื่องเข้าและถอดรหัส Enigma

ผลงานของ MI6 สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประสิทธิภาพของ MI6 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นมีลักษณะผสมผสานกันไป เนื่องจากไม่สามารถสร้างเครือข่ายในเยอรมนีได้ ข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่มาจากข่าวกรองทางการทหารและการค้าที่รวบรวมผ่านเครือข่ายในประเทศที่เป็นกลาง ตลอดจนดินแดนที่ถูกยึดครอง และรัสเซีย ช่วงรอยต่อระหว่างสองสงครามโลก ในช่วงหลังสงคราม และตลอดช่วงทศวรรษที่ 1920 MI6 มุ่งเน้นไปที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิบอลเชวิสของรัสเซีย เช่น ปฏิบัติการเพื่อโค่นล้มรัฐบาลบอลเชวิคในปี ค.ศ.1918 รวมถึงความพยายามในการจารกรรมแบบดั้งเดิมมากขึ้นในช่วงต้นของสหภาพโซเวียต และ MI6 ได้รับการแนะนำจากพันธมิตรชาวโปแลนด์ในด้านเทคนิคและอุปกรณ์เพื่อถอดรหัสด้วยเครื่องเข้าและถอดรหัส Enigma รวมทั้งแผ่น Zygalski และการเข้ารหัส 'Bomba' ของเยอรมัน อันเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับความต่อเนื่องและความพยายามของอังกฤษในภายหลังในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นักเข้ารหัสชาวอังกฤษสามารถถอดรหัสข้อความจำนวนมากที่เข้ารหัสในเครื่อง Enigma ซึ่ง MI6 รวบรวมได้จากแหล่งข่าวที่มีชื่อรหัสว่า 'Ultra' ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการทำสงครามของฝ่ายพันธมิตร 

อุโมงค์สายลับ Berlin ถือเป็นปฏิบัติการข่าวกรองที่น่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่งของช่วงต้นยุคสงครามเย็น ตั้งแต่ปี 1953 ถึง 1955 CIA ของอเมริกาและ SIS (MI6) ของอังกฤษร่วมมือกันในการวางแผนและสร้างอุโมงค์ลับโดยมีจุดประสงค์เพื่อเข้าถึงการสื่อสารทางทหารของสหภาพโซเวียต

สงครามโลกครั้งที่สอง นอกจากการถอดรหัสจากรหัสเครื่อง Enigma สำเร็จแล้ว MI6 ยังสามารถปฏิบัติงานระบบ 'Double-cross' ซึ่งเริ่มดำเนินการโดย MI5 เพื่อป้อนข้อมูลข่าวกรองที่ทำให้ฝ่ายเยอรมันเข้าใจผิดอีกด้วย (เช่น กรณีปลอมศพนายทหารนาวิกโยธินอังกฤษพร้อมเอกสารลวง)  ในช่วงต้นปี ค.ศ.1944 MI6 ได้จัดตั้ง ส่วน IX ขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นส่วนต่อต้านโซเวียตตั้งแต่ก่อนสงคราม และข่าวรั่วไปยัง NKVD เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษทั้งหมดที่ปฏิบัติการในโซเวียตรวมถึงข่าวสารข้อมูลที่ OSS ของสหรัฐอเมริกาแบ่งปันกับอังกฤษเกี่ยวกับโซเวียตด้วย ในยุคสงครามเย็น MI6 พลาดท่าเสียทีบ่อย ๆ ด้วยเรื่องของสายลับสองหน้า และการแปรพักตร์ ทำให้ข้อมูลสำคัญตกไปอยู่ในมือสหภาพโซเวียต และ MI6 มีส่วนในการโค่นนายกรัฐมนตรี Mohammad Mosaddegh ของอิหร่าน ในปี ค.ศ.1953 ส่งผลโดยตรงกับการปฏิวัติอิสลาม และการล่มสลายของรัฐบาล Pahlavi ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของอเมริกากับ Shah และความเป็นปรปักษ์ของสหรัฐอเมริกาต่อสาธารณรัฐอิสลาม และการแทรกแซงที่แสวงหาผลประโยชน์ของอังกฤษ ทำให้ชาวอิหร่านมองตะวันตกในแง่ร้าย และกระตุ้นให้เกิดความคลั่งไคล้ชาตินิยมจากความไม่พอใจจากการแทรกแซงจากต่างชาติ 

MI6 มีความเกี่ยวข้องกับสงครามโซเวียต – อัฟกานิสถานอย่างมาก จนกลายเป็นการปฏิบัติการลับที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง โดย MI6 สนับสนุนกลุ่มต่อต้านอิสลามซึ่งนำโดย Ahmad Shah Massoud และกลายเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการต่อสู้กับสหภาพโซเวียต โดยเจ้าหน้าที่ MI6 สองนายและครูฝึกทหารถูกส่งไปช่วย Massoud และนักรบของเขา พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียง วิทยุ และข้อมูลลับที่สำคัญเกี่ยวกับแผนการรบของสหภาพโซเวียต MI6 ยังมีส่วนช่วยในการทำลายเฮลิคอปเตอร์ของโซเวียตในอัฟกานิสถานเป็นจำนวนมากด้วย  

หลังจากการโจมตี 11 กันยายน (911) ในวันที่ 28 กันยายนรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษได้อนุมัติการส่งเจ้าหน้าที่ MI6 ไปยังอัฟกานิสถานและภูมิภาคโดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับมูจาฮาดีนในทศวรรษที่ 1980 และผู้ที่มีทักษะทางภาษาและความเชี่ยวชาญในระดับภูมิภาค เจ้าหน้าที่ MI6 จำนวนหนึ่งพร้อมด้วยงบประมาณ 7 ล้านดอลลาร์ได้เดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน ซึ่งพวกเขาได้พบกับนายพล Mohammed Fahim แห่งพันธมิตรภาคเหนือ และเริ่มทำงานกับผู้นำอื่น ๆ ในภาคเหนือและภาคใต้เพื่อสร้างพันธมิตรแห่งความมั่นคง สนับสนุนและติดสินบนผู้บัญชาการของกลุ่มตอลิบานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเปลี่ยนข้างหรือผละจากการสู้รบ นอกจากนั้นแล้ว MI6 ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ ในอาหรับนับแต่สงครามในอิรักอีกด้วย

ปัจจุบัน MI6 ตั้งอยู่ที่ SIS Building, 85 Albert Embankment, Vauxhall, Lambeth, London, สหราชอาณาจักร เรื่องราวของ James Bond 007 ล้วนแล้วแต่เป็นจินตนาการกอปรกับประสบการณ์ของผู้แต่ง Sir Ian Fleming ดังนั้น ‘James Bond 007’ และ ‘ใบอนุญาตฆ่าคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย’ จึงไม่มีอยู่จริง แต่หน่วยงานที่มีอยู่จริงคือ ‘Secret Intelligence Service (SIS หรือ MI6)’ นั่นเอง

19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงสาธิตการทดลองฝนหลวงให้ผู้แทนรัฐบาลสิงคโปร์

ย้อนไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงควบคุมการทดลองปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อสาธิตให้ผู้แทนของรัฐบาลสิงคโปร์ชม ณ อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน 

โดยเหตุการณ์ในวันนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการค้นคว้าทดลองและปฏิบัติการทำฝน หวังผลให้ตกในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศสิงคโปร์ที่กำลังประสบภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับสภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้น ขอส่งนักวิทยาศาสตร์มาสังเกตการณ์และขอรับถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญใน การปฏิบัติการทำฝนหวังผลในประเทศไทย 

ในการนี้ทรงพระกรุณารับบัญชาการปฏิบัติการสาธิตด้วยพระองค์เอง ทรงกำหนดให้อ่างเก็บน้ำของเขื่อนแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีพื้นที่ผิวน้ำเพียง 46.5 ตารางกิโลเมตรหรือ 1,162.5 ไร่ เป็นพื้นที่เป้าหมายหวังผลในการปฏิบัติการทำฝนสาธิตครั้งนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยปฏิบัติการค้นคว้าทดลองและปฏิบัติการทำฝนหวังผลที่ผ่านมา ทรงสามารถบังคับหรือชักนำฝนให้ตกลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจานอย่างแม่นยำภายในเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนับจากเริ่มปฏิบัติการ เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาและเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่นักวิทยาศาสตร์สิงคโปร์ และข้าราชบริพารที่เป็นข้าราชการและข้าราชบริพารระดับสูงที่เฝ้าฯ สังเกตการณ์อยู่ ณ ที่นั้น ต่างประทับใจในพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ 'โครงการพระราชดำริ ฝนหลวง' เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ปี 2495 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยากของราษฎร และเกษตรกรที่ขาด แคลนน้ำ อุปโภค บริโภค และการเกษตร จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทาน โครงการพระราชดำริฝนหลวง ให้กับ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง ปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น 

ต่อมาปี 2512 โครงการฝนหลวงประสบความสำเร็จมากขึ้น จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกาก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ในปี 2518 ต่อมาประเทศไทยได้จดทะเบียนกิจกรรมฝนหลวง กับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก แห่งสหประชาชาติ เป็นครั้งแรกในปี 2525 และนำความรู้ด้านการสร้างฝนเทียมนี้เผยแพร่ไปยังต่างประเทศที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำฝน 

จากนั้นองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกจึงได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 ต่อมารัฐบาลไทยจึงมีมติเทิดพระเกียรติพระองค์ในฐานะ 'พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย' เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 และกำหนดให้วันที่ 19 ตุลาคม ของทุกปีเป็น 'วันเทคโนโลยีของไทย' เริ่มครั้งแรกในปี 2544

20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (พระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7) ทรงพระประชวรไข้พระวรกาย และเสด็จสวรรคต ณ พระตำหนัก พระราชวังพญาไท เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 

สำหรับ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 66 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 พระชนมายุ 55 ปี พระองค์มีพระราชโอรสธิดาทั้งสิ้น 9 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรส 7 พระองค์ พระราชธิดา 2 พระองค์

เมื่อแรกประสูติพระองค์ได้รับพระราชทานพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระองค์มีพระเชษฐาและพระขนิษฐาร่วมพระมารดาทั้งสิ้น 6 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชยพระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ 

เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระปัญญาที่เฉียบแหลมมาก ทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาหมั่นซักถามแสวงหาความรู้ด้วยพระวิริยะอุตสาหะและทรงศึกษาวิชาการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วอันเป็นเครื่องแสดงถึงการที่ทรงมีพระวิริยะ พระปัญญาปราดเปรื่องหลักแหลม ต่อมาขณะที่มีพระชนม์ 15 พรรษา ทรงเข้ารับราชการเป็นมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และในปีถัดมาก็ได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชเทวี

ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสในพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ต่อมา พร้อมทั้งสถาปนาพระอิสริยยศของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ในฐานะเป็นพระชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นพระยศพระอัครมเหสีเช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2440 เพื่อตรวจดูแบบแผนราชการแล้วนำมาเปรียบเทียบปรับปรุงการปกครองของราชอาณาจักรสยาม พร้อมกันนั้นก็เพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศในยุโรป พระองค์จึงทรงมอบหมายให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินได้เรียบร้อยเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก ด้วยพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถจรรยนุวัติปฏิบัติ ประกอบด้วยพระราชอัธยาศัยสภาพสมด้วยพระองค์เป็นขัตติยนารีนาถ และกอปรด้วยพระกรุณภาพยังสรรพกิจทั้งหลายที่ได้พระราชทานปฏิบัติมาล้วนแต่เป็นเกียรติคุณแก่ประเทศสยามทั่วไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามาภิไธย จากสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี เป็น 'สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ' เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกในประเทศไทย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราช กุมาร ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ในฐานะพระราชมารดาพระองค์จึงทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น 'สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี' และทูลเชิญพระองค์เสด็จมาประทับที่พระราชวังพญาไท ซึ่งพระองค์ก็เสด็จประทับที่พระราชวังแห่งนี้จนกระทั่งเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการให้ออกพระนามพระบรมราชชนนีภายหลังการเสด็จสวรรคตว่า ‘สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง’

ด้วยพระเกียรติคุณที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนนานัปการ จนเป็นที่ประจักษ์ชัดจนถึงทุกวันนี้ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ UNESCO สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส จึงได้ประกาศราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณยกย่องให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็น 'บุคคลสำคัญของโลก' ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาสำหรับเด็กและสตรี การศึกษาด้านการสาธารณสุขศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ประยุกต์และสังคม และมนุษยศาสตร์ ปี พ.ศ.2557 เนื่องในโอกาสครบ 150 ปี แห่งการพระราชสมภพ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติคุณให้ปรากฏแผ่ไพศาล สืบไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top