Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 วันพระราชสมภพ ‘สมเด็จย่า’ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่า ของปวงชนชาวไทย

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระนามเดิมว่า สังวาลย์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และทรงเป็นพระอัยยิกา (ย่า) ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10)

ตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์ทรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนที่ยากไร้และชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพในปี พ.ศ. 2538 รวมพระชนมายุ 95 พรรษา
 .
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็น ‘บุคคลสำคัญของโลก’ ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นเพื่อส่วนรวมในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม

พระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวไทยและประเทศชาติมีมากมาย พระองค์ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ทรงอุทิศพระวรกายและสละเวลาให้แก่ประชาชน เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยตลอดมา รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จึงได้กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันสำคัญของประเทศไทย ดังนี้

• วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ 
ด้วยพระเมตตา และพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จย่า ทรงมีต่อประชาชนที่ได้พบเห็นในถิ่นทุรกันดารในเรื่องของโรคภัย คือ เรื่องโรคฟัน ถือเป็นโรคหนึ่งที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับประชาชนในถิ่นทุรกันดารและไม่สามารถช่วยตนเองได้ ในปี พ.ศ. 2512 พระองค์จึงทรงจัดตั้ง ‘หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระราชชนนี’ (พอ.สว.) ขึ้น และทรงให้ทันตแพทย์ร่วมปฏิบัติงานในหน่วยแพทย์พอ.สว.นี้ รวมทั้งพระองค์ได้พระราชทานวิชาชีพทันตแพทยศาสตร์และทันตบุคลากร ในปี พ.ศ.  2532 คณะรัฐมนตรีเห็นว่าสมเด็จย่ามีพระมหากรุณาธิคุณ จึงกำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ และพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญาแก่พระองค์เป็น ‘พระมารดาแห่งการทันตแพทย์ไทย’

• วันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ
สืบเนื่องจากพระองค์ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและเวลาเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก และสมควรนำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติตนและการปฏิบัติงานเพื่อสังคมส่วนรวม เมื่อปี พ.ศ. 2528 รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ในปี 2542 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศพระนามให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ : การพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม 

• วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ
วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ หรือ วันรักต้นไม้แห่งชาติ หรือ ‘วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ’ (National Annual Tree Care Day) ถือกำเนิดขึ้นจากแรงปณิธานของสมเด็จย่า ที่ทรงให้ความสำคัญการบำรุงรักษาต้นไม้และฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2533 กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ’ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อสมเด็จย่า ที่ทรงงานพัฒนาชนบทโดยเฉพาะการฟื้นฟูสมดุลของธรรมชาติ

• วันพยาบาลแห่งชาติ 
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา และด้วยพระวิริยะอุตสาหะ กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี ให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น วันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา

‘ศูนย์วิจัยกสิกร’ เปิดตัวเลข GDP ไตรมาส 3 จีนโต 4.6% คาดทั้งปีโต 4.8% หลุดเป้า เหตุจากการเมืองระหว่างประเทศ

(18 ต.ค. 67) ศูนย์วิจัยกสิกร หรือ KResearch รายงานว่า เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 4.6%YoY ในไตรมาส 3/24 โดย 9 เดือนแรกของปี 2024 เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่ 4.8%YoY โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งสำคัญ โดยการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ 9 เดือนแรกของปี 2024 ยังหดตัวที่ -10.1%YoY

2.การบริโภคภายในประเทศยังอ่อนแอ รวมถึงความเสี่ยงจากเรื่องเงินฝืดยังมีอยู่ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือนก.ย.2024 ขยายตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 0.4% และ 0.1% ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลจากการเพิ่มเงินอุดหนุนในมาตรการ Trade in (ของเก่าแลกของใหม่) เดือนก.ค. 2024 ช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีกในไตรมาส 3/24 เติบโตอยู่ที่ 2.7%YoY ทรงตัวจากไตรมาส 2/24 ที่ 2.6%YoY

3.การส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3/24 โดยขยายตัวอยู่ที่  6.0%YoY จาก 5.7%YoY ในไตรมาส 2/24 จากการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปจากความกังวลเกี่ยวกับการยกระดับสงครามการค้า และการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย.2024 อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้าการส่งออกจะเริ่มมีแนวโน้มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจชะลอลง หลังมีการเร่งส่งออกไปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024

4.ด้านอุตสาหกรรม High-tech ที่ทางการจีนให้ความสำคัญยังเป็นอีกปัจจัยหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 3/24 โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรม High-tech  และการลงทุนในอุตสาหกรรม High-tech ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 เติบโตได้อยู่ที่ 9.1%YoY และ 10.0%YoY ตามลำดับ

ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 3/24 จากมาตรการเศรษฐกิจที่ทางการจีนทยอยออกมา โดยคาดว่าจะมีมาตรการทางการคลังออกมาเพิ่มเติม ซึ่งขนาดของวงเงินและรายละเอียดของมาตรการน่าจะมีออกมาในช่วงสิ้นเดือนต.ค.2024 ถึงต้นเดือนพ.ย.2024 นอกจากนี้ ในฝั่งมาตรการทางการเงินคาดมีการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมอีก 0.25-0.50% ตามที่ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนได้ระบุไว้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนยังเผชิญความเสี่ยงสำคัญหลายด้าน คือ

1.สถานการณ์การกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. 2024 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าไม่ว่าจะเป็นพรรคใดที่ได้รับการเลือกตั้ง สหรัฐฯ จะเพิ่มการกีดกันการค้ากับจีน ขณะที่ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการปรับเพิ่มภาษีจากประเทศอื่น ๆ

2.ภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนในประเทศ ซึ่งการคลี่คลายปัญหายังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี แม้ทางการจะทยอยออกมาตรการต่าง ๆ เช่น ปรับลดเงินดาวน์ และผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุดมีการขยายวงเงินในมาตรการ whitelist ที่สนับสนุนสินเชื่อให้กับโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 4 ล้านล้านหยวน อย่างไรก็ตาม ราคาที่อยู่อาศัย ยอดขายที่อยู่อาศัยรวมถึงการลงทุนในที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มชะลอลง นอกจากนี้ ดัชนีความต้องการในการซื้อบ้านยังคงปรับลดลง

3.ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำจะยังกดดันการบริโภคในประเทศ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการผ่อนคลายในภาคการเงิน แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีทิศทางชะลอตัวจะยังกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคของจีน เนื่องจากครัวเรือนในจีนมีความมั่งคั่งประมาณ 70% อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนปี 2024 มีแนวโน้มเติบโตที่ 4.8% ต่ำกว่าเป้าหมายทางการที่ 5.0%

บรรณาธิการดัง ชี้งานหนังสือ 67 คนแน่น หลายสำนักพิมพ์ทำยอดขายถล่มทลาย

(18 ต.ค. 67) เริงวุฒิ มิตรสุริยะ บรรณาธิการและนักเขียน เจ้าของหนังสือชื่อดัง เช่น บุพเพสันนิวาสในประวัติศาสตร์อยุธยา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวบรรยายถึง บรรยากาศงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ว่า

คำแรกที่พบกับเจ้าของบูธ หรือเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ไปเปิดบูธ ผมจะถามว่า "เป็นงัยปีนี้ขายดีไหม?"

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะนำข้อมูล หรือไม่อยากพูดมาก เพราะเกรงครหาหมั่นไส้ แต่ส่วนใหญ่ต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า "ปีนี้ดีเลย" แม้แต่คุณเหม่ง แห่งบูธ สมาคมนักเขียน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บูธสมาคมนักเขียน ไม่เคยมีประวัติเลยว่าจะมีคนมาต่อคิวเพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือ ปีนี้มีให้เห็น

บางแห่งอย่างบูธ สำนักพิมพ์แสงดาว พบคุณจรัญ หอมเทียนทอง ที่ทำหน้าที่อยู่โยงเป็นกำลังใจทีมงาน ก็บอกว่าปีนี้แนวโน้มดี คนคึกคักทุกวัน บูธแสงดาวปีนี้ก็คึกคักขึ้นเพราะมีเลือดใหม่หลายคนเพิ่มเข้ามา ช่วยป้ายยากันครึกครื้น ลูกค้าคนไหนมาหาหนังสืออะไรเป็นบอกและแนะนำได้หมด

ไม่ต่างจากอีกหลายสำนักพิมพ์ แน่นอนว่ามีเพียงสำนักพิมพ์เพียงไม่กี่แห่งที่บอกว่า ยอดตก และเราเข้าใจได้ว่าที่ยอดตกก็เพราะ ในอดีตเคยเป็นดาวเด่นของงานปีหลัง ๆ ไม่มีหนังสือใหม่ เคยทำยอดเอาไว้สูง ปีนี้ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ขายแต่เล่มก่อนมีเล่มใหม่นิดหน่อย ยอดขายเลยตกลง แต่ไม่ได้เสียหายอะไร

หลายสำนักพิมพ์พนักงานขายเคยนั่งเหงา ๆ เบื่อ ๆ ปีนี้ก็คึกคักมีงานให้วุ่นวายเพิ่มขึ้นเพราะมีคนมาหยุดและจ้องหาหนังสืออยู่ตลอดเวลา

เศรษฐกิจไม่ดีอยู่หลายปี และงานหนังสือหาความนิ่งไม่ได้อยู่หลายวาระ บรรดาสำนักพิมพ์ที่ยังใช้โลกทัศน์เก่ามอง ปีนี้เลยพลาดอย่างมาก บางสำนักจากเคยมีสองสามบูธก็ลดจำนวนบูธจองเหลือ หนึ่งหรือสองล็อค ยอดขายแทนที่จะทำได้ดี เลยตกลงตามจำนวนพื้นที่การขาย บางเจ้าบอกหยุดก่อน แต่มาเดิน เห็นคนมางานนี้ และใช้จ่ายกับหนังสือ ถึงกับร้องว่าเสียดาย 

อยากฟันธงว่า งานหนังสือครั้งหน้า มีนาคมหรือเมษายน บรรดาสำนักพิมพ์ที่เคยเข็ด ๆ ขยาด ๆ จะกลับมา ปีนี้เราแทบไม่ได้ยินอีกแล้วว่า ราคาเช่าบูธแพง ต่างจากงวดที่แล้วอย่างชัดเจน ทั้งที่ค่าเช่ายังแพงอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมมาอีกนิดหน่อย

ผมไปเดินครั้งก่อนวันศุกร์ ไปแบบแว๊บ ๆ เหมือนไอ้แมงมุมโหนสลิงตัวเองลงจอดแว๊บเดียวแล้วชิ่งกลับมา วันนี้วันพฤหัสเลือกเวลาที่คิดว่าน่าจะเป็นวันที่คนน้อยที่สุด เพราะพรุ่งนี้เย็นวันศุกร์คนเลิกงานน่าจะมาที่นี่กันเยอะ ไม่ต้องพูดถึงเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงซึ่งจะเป็นเสาร์อาทิตย์สุดท้ายที่คนเยอะแน่นอน

ปรากฏว่าไปถึง ตอนเที่ยงกว่า ๆ ดูเหมือนคนไม่เยอะมาก แต่เดินไปเดินมา เอะ คนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นักเรียนนักศึกษาเดินกันให้ควั่ก คนทำงานคนวัยเบบี้บูมที่ว่างงานแล้วก็มาเดินชิว ๆ เลือกหยิบหนังสือกลับไปอ่านคนละสามสี่เล่ม ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก 

อดคิดไม่ได้ว่าทำไมจู่ ๆ ปีนี้ งานมหกรรมหนังสือถึงคึกคักขึ้นมาได้ คำตอบคงไม่ใช่เพราะตรีมงานเรื่องผีแน่ ๆ อาจจะมีผลบ้างแต่ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่คิดไปว่าน่าจะมาจากสภาพทางการเงินทางเศรษฐกิจที่ดูผ่อนคลายขึ้น บรรยากาศทางการบ้านการเมืองที่ไม่บีบเค้น แม้ต้องผ่านพ้นช่วงน้ำท่วมไป แต่ภาวะงานที่เงินหมื่นไหลเข้ากระเป๋าคนจนก่อนหน้านี้ ก็ช่วยกระตุ้นเป็นบอมทางการเงินเล็ก ๆ ให้กระเป๋าตังค์คนทั่วไปพลอยคึกคักขึ้น อาจเป็นภาวะทางจิตวิทยาก็ว่าได้ หลังจากคนรัดเข็มขัดกันมาจนท้องกิ๋วก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ผ่อนคลายลง

บรรยากาศทางสังคมที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ วนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ อวดรวย ขับรถหรู โชว์ของแพงและถูกจับกุม ประเทศที่ทนายหน้าหอสองสามคนออกทีวีแทบทุกช่องทางให้ได้เห็นและเริ่มเป็นผู้ทรงอิทธิพล กับมูลนิธิที่ช่วยเหลือประชาชนคนเสาะหาแหล่งช่วยเหลือทำหน้าที่แทนตำรวจ จนผู้คนเคยชิน ทำให้คนอยากกลับไปหาอะไรแปลกต่างหรือที่คุ้นเคยทำด้วยตัวเองมากขึ้น การเดินงานหนังสือ ซื้อหนังสือ เลยเป็นมุมกลับที่กระตุ้นให้บรรยากาศดีขึ้น

อ้อ...มีนิดหนึ่ง ไปงานหนังสือ ตอนเดินเข้างานผ่านประตูหมายเลขอะไรจำไม่ได้ เขาขึ้นปกหนังสือโชว์ หนังสือขายดีในงาน และหนังสือโดดเด่นของงานอะไรทำนองนั้น ผมไปยืนดู อดคิดไม่ได้ ใครเป็นคนเลือกหนังสือดีเด่นหรือหนังสือแนะนำอะไรพวกนี้หว่า....นี่คือหนังสือที่ชูหน้าชูตาคนไทยแล้วจริง ๆ เหรอ? 

มีเวลาอีกไม่กี่วัน ไปเดินงานหนังสือกันครับ ปีนี้บรรยากาศดีเลย ดีกว่าตามข่าว บอสเยอะเกินจำเป็นก็แล้วกัน ขอบอก

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 จะจัดถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2567นี้ ที่ฮอลล์ 5 - 7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ลูกจ้างผู้รับเหมาช่วงโรงกลั่น TOP ถูกลอยแพ จากเหตุผู้รับเหมาหลักเบี้ยวไม่จ่ายค่าแรง

(18 ต.ค. 67) จากกรณีที่สหพันธ์ผู้รับเหมาโรงกลั่น TOP โครงการพลังงานสะอาด CFP (Clean Fuel Project โรงกลั่นน้ำมันใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่เกิดจากการรวมตัวของ 24 บริษัทผู้รับเหมาช่วงไทย ได้ร่วมกันแถลงถึงผลกระทบที่เกิดจากการจ่ายเงินงวดของผู้รับเหมาหลัก ที่ล่าช้าต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน จนส่งผลกระทบ ต่อทั้งนายจ้างและแรงงานกว่า 2 หมื่นชีวิต พร้อมประกาศเดินเท้ายื่นหนังสือชี้แจงความเดือดร้อน 

รวมทั้ง ข้อเรียกร้องที่ต้องการให้เจ้าของโครงการฯ แสดงความชัดเจนในการเจรจากับบริษัทผู้รับเหมาหลัก เพื่อให้นำเงินที่ได้รับ ออกมาจ่ายค่างวดงานให้กับผู้รับเหมาไทย ก่อนที่สายป่านทางการเงินจะขาด จนต้องลอยแพแรงงานกว่า 20,000 คน

ล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ( 18 ต.ค.) นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้มอบหมายให้นายชัยพร แพภิรมย์รัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เดินทางมายังบริเวณโค้งด้านหน้าโรงเรียนบุญจิตวิทยา ซึ่งเป็นจุดนัดรวมตัวของตัวแทนนายจ้างและแรงงานจาก 24 บริษัทผู้รับเหมาช่วงไทย เพื่อร่วมเดินเท้าไปยื่นหนังสือต่อผู้บริหารโครงการพลังงานสะอาด ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี  

ขณะที่รูปแบบการเดินขบวนจะแบ่งเป็น 2 เส้นทางคือ ขบวนแรกได้ออกเดินจากประตู 1 โครงการพลังงานสะอาดฯ ไปยังป้ายสามเหลี่ยมด้านหน้าโครงการฯ

ส่วนขบวนที่ 2 เดินเท้าจากโรงเรียนบุญจิตวิทยา ไปยังป้ายสามเหลี่ยมหน้าโครงการฯ เพื่อร่วมบูม PAY PAY PAY เรียกร้องให้ผู้รับเหมาหลักจ่ายเงินงวด  

ทั้ง 2 ขบวน จะมีผู้ร่วมเดินเท้ามากกว่า 3,000 คน โดยจะมีทั้งผู้บริหารบริษัทรับเหมาช่วง และแรงงาน ที่พร้อมใจกันสวมใส่หมวก safety และเสื้อยูนิฟอร์มถือธงสัญลักษณ์ของแต่ละบริษัท รวมทั้งป้ายข้อความต่างๆ อาทิ คนจ่ายใจลอย คนคอยใจจะขาด , รอเงินจาก 10,000 บาทจากรัฐ ยังดูมีความหวังกว่ารอเงินจาก ...,  คนไทยตกงาน บริษัทต่างชาติไม่จ่ายเงิน หรือแม้แต่การระบุชื่อ 3 ผู้ร่วมทุนบริษัทรับเหมาหลักต่างชาติ พร้อมเรียกร้องให้จ่ายเงิน ฯลฯ  

ระหว่างเดินทางยังจัดทีมการ์ดของแต่ละบริษัทช่วยเคลียร์เส้นทาง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ปิดท้ายขบวนด้วยทีมแม่บ้านที่จะช่วยทำความสะอาดจุดที่เดินผ่าน เพื่อลดความเดือดร้อนต่อประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน

ส่วนเนื้อหาบางตอนที่ระบุในจดหมายซึ่งยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และผู้บริหารโครงการพลังงานสะอาด อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ระบุว่า

“ปัจจุบันผู้รับเหมาช่วงไทย กำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากการที่ผู้รับเหมาหลักค้างชำระค่าจ้างก่อสร้าง แม้ว่าผู้รับเหมาช่วงได้ส่งมอบงานตามสัญญาเรียบร้อยแล้วซึ่งเป็นผลงานตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2567 รวมมูลค่าหลายพันล้านบาท และได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทผู้รับเหมาช่วงกว่า 100 กว่าราย และแรงงานกว่า 10,000 คน

นอกจากนี้ ผู้รับเหมาช่วงบางรายยังจำเป็นต้องดำเนินงานต่อโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จนทำให้เกิดภาวะขาดสภาพคล่องเป็นระยะเวลายาวนาน โดยยังไม่ได้รับการเยียวยาหรือความช่วยเหลือที่เพียงพอจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้การค้างชำระค่าจ้างก่อสร้างดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงในวงกว้างทั้งความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน เป็นโครงการสำคัญที่จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศการล่าช้าหรือหยุดชะงักของโครงการจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนพัฒนาพลังงานในระยะยาว

และยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานกว่าหลายพันคนและครอบครัวที่ถูกเลิกจ้างและที่กำลังจะถูกเลิกจ้างสถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ปัญหาสังคมที่รุนแรงในวงกว้าง เช่น การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม หรือปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อเจ้าของโครงการในไทย ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งมีกระทรวงการคลังถือหุ้นทางอ้อมในอันดับต้นๆ และอาจส่งผลกระทบระยะยาวในอนาคตฯลฯ ”

และยังได้มีการเรียกร้องให้ภาครัฐ และผู้ถือหุ้นทางอ้อมของเจ้าของโครงการ หาแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ในการบรรเทาความเดือดร้อนและรักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย เพื่อประคองให้โครงการดำเนินต่อไปได้

รวมทั้งขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์การค้างชำระค่าจ้างผู้รับเหมาช่วงในโครงการ และประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อความสำเร็จของโครงการ และจัดหามาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน สำหรับกลุ่มบริษัทผู้รับเหมาช่วง รวมถึงแรงงานที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนฉุกเฉิน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานและครอบครัว

ที่สำคัญยังขอให้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดกระบวนการจ่ายค่าตอบแทนที่ค้างชำระ โดยอาจพิจารณาใช้มาตรการช่วยเหลือทางกฎหมายหากจำเป็น

กรมทางหลวงเปิดมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี วิ่งฟรีสุดสัปดาห์

(18 ต.ค. 67) นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบาย 'คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย' ที่มุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงสั่งการให้กรมทางหลวงดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่พี่น้องประชาชนนั้น

กรมทางหลวงจึงเดินหน้าสานต่อนโยบายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด จะขยายช่วงเวลาเปิดวิ่งฟรี! ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ช่วงด่านฯ นครปฐมฝั่งตะวันตก – ด่านฯ กาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ทุกวันศุกร์ถึงวันจันทร์ หลังจากที่ได้เปิดทดลองการให้บริการมาอย่างต่อเนื่อง ทุกสัปดาห์ ช่วงวันศุกร์ เวลา 15:00 น. ถึงวันอาทิตย์ เวลา 21:00 น. ซึ่งประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดผู้ใช้บริการในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (11-14 ตุลาคม 2567) สูงถึง 32,450 คัน

อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) หรือมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี ได้รับความนิยมและมีปริมาณการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเส้นทางที่ช่วยร่นระยะเวลาเดินทาง เหลือเพียง 30 นาที จากเดิม 1 ชั่วโมง ส่งผลดีต่อการคมนาคมขนส่ง การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรีและภาคตะวันตก 

กรมทางหลวงจึงขยายเวลาเปิดวิ่งฟรี ทุกวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ถึง วันจันทร์ เวลา 12.00 น. โดยสามารถเข้า – ออกได้ เฉพาะที่ด่านฯ นครปฐมฝั่งตะวันตก และด่านฯ กาญจนบุรี เริ่มตั้งแต่วันนี้ (18 ตุลาคม 2567) เป็นต้นไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top