Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

รู้จักตัวตึง พปชร. ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ อดีต ‘ผู้ช่วย รมว. ยุติธรรม’ แต่ ‘กลุ่มสามมิตร’ ไม่ให้ไปต่อ

(18 ต.ค.67) ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชื่อของ ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ ปรากฏบนหน้าสื่ออยู่บ่อยครั้ง หลังจากหวนกลับมาร่วมชายคา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อีกรอบ

ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ถือว่ามีบทบาทที่ไม่ธรรมดาว่ากันว่าเขา คือหนึ่งในชนวนเหตุ ที่ทำให้เกิดการแตกหักภายในพรรคพลังประชารัฐ ระหว่าง ‘ลุงป้อม‘ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จากอดีตคนเคยรักกลับกลายมาต้องแตกหักเป็น 2 ขั้ว กระทั่งสุดท้าย พรรคพลังประชารัฐ ต้องสลับขั้วมาเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ในขณะนี้ 

ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ‘สามารถ’ กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง หลังจากมีคลิปไวรัลที่หลุดออกมาในช่วงคดี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ กําลังเป็นประเด็นร้อนแรง ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง ‘บอสพอล - วรัตน์พล วรัทย์วรกุล’ แห่งดิไอคอนกรุ๊ป กับนักการเมืองคนหนึ่งที่อ้างว่ามีเส้นสายสามารถเคลียร์กรรมาธิการในสภาได้ พร้อมกับเรียกเงินจากบอสพอล หลัก 30 ล้านบาทและรายเดือนอีกเดือนละ 100,000 บาท เพื่อแลกกับหลักประกันว่าดีไอคอนจะปลอดภัยภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หลังจากนั้น บอสพอล ได้ไปออกรายการโหนกระแสของ หนุ่ม กรรชัย และได้ยอมรับว่าเสียงในคลิปนั้นเป็นเสียงตนเองจริง

อีกทั้ง บอสพอล ยังยอมรับว่า ได้จ่ายเงินเดือนละ 100,000 บาท แต่ไม่ได้จ่ายเงิน 30 ล้าน และไม่ยอมบอกว่าคู่สนทนาที่มาตบทรัพย์นั้นเป็นใคร แต่คนที่ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำ ต่างฟันธงตรงกันว่า เสียงที่อยู่ในคลิปนั้น เป็นเสียงของนักการเมืองที่มีชื่อย่อ ส. อย่างแน่นอน

หลังจากเป็นกระแสร้อนแรงขึ้นมา ทาง ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ว่า ไม่ใช่เสียงของตนเองและหากใครมาพาดพิงหรือกล่าวหาก็จะดําเนินงานทางกฎหมายทันที 

นั่นจึงเป็นที่มา ของการขุดคุ้ยถึงประวัติและวีรกรรมในอดีตของ ‘สามารถ’ กันอย่างคึกคักอีกครั้ง

ทั้งนี้ หากย้อนไปดูประวัติของ ‘สามารถ เจนชัยจิตรวนิช’ เจ้าตัวเคย แนะนำตัวเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว มีชื่อเล่นว่า จ๊อบ เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2526 เป็น ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ได้รับแต่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2557 เคยเป็นผู้อำนวยการศูนย์ร้องทุกข์กลุ่มสามมิตร กรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ กรรมการอนุติดตามจัดหาประเด็นในการหาเสียงพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ผลักดันให้แก้กฎหมายแชร์ลูกโซ่ เพิ่มโทษกับผู้กระทำความผิด จนทำให้กลายเป็นวาระชาติ

ส่วนการเข้าสู่เส้นทางการเมืองของ ‘สามารถ’ นั้น ว่ากันว่า ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ แกนนำกลุ่มสามมิตร ในพรรคพลังประชารัฐในขณะนั้น คือ ผู้ชักนำให้ ‘สามารถ’ เข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาพรรคพลังประชารัฐ และมีโอกาสโลดแล่นอยู่บนถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว และในเวลาต่อมายังได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคพลังประชารัฐในปี 2562 

ไม่เพียงเท่านั้น หลังการเลือกตั้งปี 2562 พรรคพลังประชารัฐ ได้เป็นแกนนำรัฐบาล ‘สามารถ’ ยังได้รับความไว้วางใจจาก ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้นั่งในตำแหน่ง ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม’ อีกด้วย ซึ่งกระทรวงยุติธรรมมีหน่วยงานสำคัญในสังกัด ก็คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขณะเดียวกัน ‘อนุชา นาคาศัย’ หนึ่งในแกนนำสามมิตร ที่มีความสนิทสนมกับ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อีกด้วย

นั่นเท่ากับว่า ‘สามารถ’ ที่นั่งเก้าอี้ ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม’ เป็นดังเสือติดปีก ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ล้วนเกรงอกเกรงใจ และว่ากันว่า คลิปเสียงที่หลุดออกมานั้น อยู่ในห้วงเวลาที่เขาอยู่ในตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรี พอดี

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 64 คณะกรรมการสอบสวนของพรรคพลังประชารัฐ มีมติเอกฉันท์ปลด ‘สามารถ’ ออกจากตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรี, ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ, คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล, คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ และห้ามไม่ให้ใช้ตราเครื่องหมายพรรคโดยเด็ดขาด

โดยก่อนจะมีคำสั่งปลด ‘สามารถ’ จากทุกตำแหน่งนั้น เกิดกรณีมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งทำหนังสือสอบถามไปยังพรรคพลังประชารัฐ ถึงสถานะของสมาชิกพรรครายหนึ่ง ซึ่งได้เข้าศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก ระดับกลาง ในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เข้าเรียนด้วยตัวเอง กระทั่งถูกตัดสิทธิ์นักศึกษา

ต่อมา มีคำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ 3437/2564 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ลงนามโดย ผศ.เตมีย์ ระเบียบโลก รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ประธานกรรมการสอบวินัยนักศึกษา เรื่องการแต่งตั้งกรรมการสอบวินัยนักศึกษา ได้พิจารณาและรายงานผลการสอบวินัยนักศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสอบวินัยนักศึกษา เสนอให้ยุติเรื่อง ตามนัยมติที่ประชุม ก.บ.ม.ร.ครั้งที่ 14/2556 วาระที่ 5.53 วันที่ 8 มิถุนายน 2565

หลังจากนั้น ‘สามารถ’ ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า คำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงทำให้ตัวเองไม่มีความผิดทางวินัยนักศึกษาและไม่ถูกตัดสิทธิ์ เพราะเรื่องสอบสวนไม่มีมูล จึงต้องยุติเรื่องขั้นตอนการตรวจสอบของมหาวิทยาลัย สาเหตุที่ใช้เวลานาน เพราะคณะกรรมการสอบสวนได้สืบ หาข้อมูลจากหลายบุคคลสอบพยานหลายสิบปากเพื่อให้เกิดความกระจ่างและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

และเมื่อไม่นานมานี้ ‘สามารถ’ ได้กลับมาโลดแล่นบนถนนสายการเมืองอีกครั้ง โดยได้กลับเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง แต่การกลับมาคราวนี้ได้ขยับขึ้นมาเป็นคนใกล้ชิดและเป็นปากเป็นเสียงแทน ‘ลุงป้อม’ กันเลยทีเดียว 

แต่ภายหลังจากมีคลิปเสียงหลุดออกมาในครั้งนี้ คงต้องติดตามดูว่า ‘ลุงป้อม’ ยังจะไว้วางใจให้เป็นคนใกล้ชิดต่อไปหรือจะขับพ้นพรรค ตามที่มีคนยื่นเรื่องถึงลุงป้อมแล้วก่อนหน้านี้

ราคาทองคำเอเชียพุ่งกระฉูดทำ All Time High รับสถานการณ์สงครามตะวันออกกลางกำลังตึงเครียด

(18 ต.ค. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน ราคาทองคำตลาดเอเชียเมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ (18 ต.ค.) ซื้อขายในราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,704.89 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากราคาสูงสุดเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ที่ 2,688.83 ดอลลาร์

ตลาดกำลังจับตาวิกฤติในตะวันออกกลาง ขณะที่อิสราเอลกำลังถล่มฮามาสในกาซา และฮิซบอลเลาะห์ทางตอนใต้ของเลบานอน ด้วยความกังวลว่าสงครามอาจขยายวงไปถึงอิหร่าน

ทั้งนี้ ราคาทองคำขึ้นมาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นปีขึ้นมาแล้วราว 30% ในช่วงที่ธนาคารกลางทยอยลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ทองคำน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน ยิ่งผนวกกับความไม่แน่นอนของสงครามรวมถึงสงครามในยูเครน นักลงทุนยิ่งต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย

‘รามัญประเทศ’ จาก ‘สุธรรมวดี’ สู่ ‘หงสาวดี’ ร่องรอยอาณาจักรสำคัญสู่ชนกลุ่มน้อยแห่งสุวรรณภูมิ

'มอญ' เป็นชนชาติเก่าแก่ ที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองมากชนชาติหนึ่ง จากพงศาวดารพม่ากล่าวว่า "มอญเป็นชนชาติแรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่ากินเวลาหลายศตวรรษก่อนคริสตกาล" โดยอาณาจักรเริ่มแรกของมอญ มีตำนานกล่าวว่าเริ่มต้นขึ้นทางตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย แถบแคว้นมณีปุระ โดย 'พระเจ้าติสสะ' มีเมืองหลวงชื่อ 'ทูปินะ' 

ต่อมาในราวปี พ.ศ. 241 เกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันขึ้น พระโอรสของพระเจ้าติสสะ 2 พระองค์จึงรวบรวมไพร่พลอพยพลงเรือสำเภามาถึงยังบริเวณอ่าวเมาะตะมะซึ่งเป็นที่ราบ ล้อมรอบด้วยภูเขาเกลาสะ ชัยภูมิเหมาะสมแก่การสร้างเมืองและเป็นยุทธศาสตร์ในการป้องกันข้าศึกได้ดี จึงลงหลักปักฐานสร้างเมืองใหม่จนรุ่งเรืองด้วยการค้าขาย และมีสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเทศอินเดียและลังกา ทั้งรับเอาอารยธรรมของอินเดียมาใช้ ทั้งทางด้านอักษรศาสตร์และศาสนา 

ซึ่งความเจริญนั้นกระจายตัวอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำสะโตง ครอบคลุมเมืองสะเทิม หรือ สุธรรมวดี เมืองเมาะตะมะ และเมืองพะโค หรือหงสาวดี โดยเมืองทั้ง 3 นี้ มีความเจริญก่อตัวเป็นรูปธรรมไล่เลี่ยกับอาณาจักรทวาราวดี ทางฝั่งไทย แต่ทั้ง 3 เมือง ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ซึ่งบริเวณนี้ในเอกสารของจีนและอินเดียเรียกว่า 'ดินแดนสุวรรณภูมิ' 

ก่อนที่ 'พระเจ้าสีหะราชา' บุตรบุญธรรมของพระราชโอรสในพระเจ้าติสสะ ได้สถาปนาอาณาจักรมอญขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีชื่อว่า 'อาณาจักรสุธรรมวดี' หรือ 'อาณาจักรสะเทิม' จากจารึกกัลยาณี กล่าวว่า มีเมืองหลวงอยู่ ณ ตีนเขาเกลาสะ ทางใต้ของเมืองสะเทิมมีพระเจดีย์ชเวซายัน บรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 ในกัลป์นี้ รวมถึงองค์ที่พระควัมปตินำมาจากลังกา ซึ่งอาณาจักรแห่งนี้มีความเจริญทั้งในด้านการค้าขาย ด้านการเกษตร ด้านการชลประทาน และด้านศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งทั้งคนมอญและคนพม่าเชื่อว่า พระโสณะ พระอุตตระ ได้นำพระพุทธศาสนามาประกาศที่สุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิที่ว่าก็คือ 'สะเทิม' หรือ 'สุธรรมวดี' อันมีพื้นที่ครอบคลุมจากสะเทิมไปจรดอาณาจักรทวาราวดี 

'อาณาจักรสุธรรมวดี' หรือ 'อาณาจักรสะเทิม' ถือได้ว่าเป็น 'รามัญประเทศ' ยุคแรก มีกษัตริย์ปกครองต่อเนื่องมาถึง 59 พระองค์ เริ่มจาก 'พระเจ้าสีหะราชา' มาจนล่มสลายในสมัยของ 'พระเจ้ามนูหะ' ราวปี พ.ศ.1600 สืบเนื่องมาจากการรุกราน 'พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1' ของเขมร ได้เข้ายึดครองลพบุรี ก่อให้เกิดการอพยพใหญ่ของมอญทวารวดีเข้าสู่หงสาวดีและสะเทิม จากนั้นพวกเขมรก็เลยคืบเข้ามา จนทำให้ 'พระเจ้ามนูหะ' ต้องไปขอความช่วยเหลือจาก 'พระเจ้าอโนรธา' แห่งอาณาจักรพุกามให้ยกทัพมาช่วยต้านทานกองทัพเขมร แต่ 'พระเจ้าอโนรธา' กลับฉวยโอกาสยึดครองอาณาจักรสะเทิม โดยปรากฏในพงศาวดารพม่าว่า “พระองค์รับสั่งให้ยกทัพมายังกรุงสะเทิม นำพระไตรปิฎก นักปราชญ์ราชบัณฑิต ช่างศิลป์ และจับตัวพระเจ้ามนูหะกษัตริย์แห่งกรุงสะเทิมพร้อมด้วยพระมเหสีกลับไปพุกาม เมื่อยึดได้แล้วก็ถือโอกาสขยายอำนาจเข้ามาจนถึงลพบุรี ทั้งนี้ภายหลังพม่ายอมคืนลพบุรีให้เขมร โดยมีข้อแม้ว่าเขมรต้องยอมรับอำนาจเหนือดินแดนที่พม่าตีได้” 

ยุคที่สองของ 'รามัญประเทศ' คือยุค 'ราชวงศ์เมาะตะมะ-หงสาวดี' หรือ 'ยุคอาณาจักรหงสาวดี' เมื่ออาณาจักรพุกามอ่อนแอลงจากการรุกรานของมองโกล พระเจ้าฟ้ารั่ว (มะกะโท) ได้ทรงกอบกู้เอกราชมอญจากพุกามและสถาปนา 'อาณาจักรหงสาวดี' มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมาะตะมะ อีกทั้งยังมีพันธมิตรที่เข้มแข็ง เพราะพระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหง แห่งสุโขทัยซึ่งเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากในเวลานั้น 

ต่อมาในสมัย 'พญาอู่' ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือหงสาวดี มาจนถึงยุคราชบุตรของพระองค์คือ 'พระเจ้าราชาธิราช' พงสาวดีในยุคของพระองค์ประสบภาวะสงครามเกือบตลอดรัชสมัย โดยเฉพาะกับ 'อาณาจักรอังวะ' ในสมัยของ 'พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง' แต่พระเจ้าราชาธิราชทรงใช้พระราโชบายยุยงให้อังวะกับรัฐต่าง ๆ แตกกัน จึงสามารถป้องกันอาณาจักรไว้ได้ โดยในสมัยของ 'พระเจ้าราชาธิราช' นั้น แม้จะมีสงครามเกือบตลอดเวลา แต่อาณาจักรหงสาวดีก็เป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่ชายฝั่งทะเลอ่าวเบงกอลจากแม่น้ำอิรวดี ไปจรดทางตะวันออกที่แม่น้ำสาละวิน 

อาณาจักรมอญยุคนี้มาเจริญสูงสุดในสมัยของ 'พระนางเชงสอบู' ต่อด้วยสมัย 'พระเจ้าธรรมเจดีย์' เนื่องจากในระยะนั้นพม่าตกอยู่ในภาวะสงครามภายใน ทำการสู้รบกันเอง มอญจึงมีโอกาสในการทะนุบำรุงประเทศอย่างเต็มที่ ที่สำคัญคือ กิจการในพุทธศาสนา ได้แก่ การบูรณะองค์พระเจดีย์ชเวดากอง การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 และเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ใหญ่โต มีเมืองท่าที่สำคัญหลายแห่งในหลายลุ่มน้ำ เช่น เมาะตะมะ สะโตง พะโค พะสิม 

มอญในยุคหงสาวดีต้องสิ้นสุดลงในสมัยของ 'พระเจ้าสการะวุตพี' เพราะถูกพม่าแห่ง 'ราชวงศ์ตองอู' นำโดย 'พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้' และขุนศึกคู่พระทัยอย่าง 'บุเรงนอง' บุกประชิดถึง 3 ครั้ง จนขาดกำลังในการต้านทาน อีกทั้งพันธมิตรอย่าง 'สอพินยา' เจ้าเมืองเมาะตะมะ ที่เป็นพี่เขยของ 'พระเจ้าสการะวุตพี' ก็แข็งเมืองไม่นำกำลังมาช่วย (ก่อนที่ 'สอพินยา' จะโดนกองทัพตองอูสังหารในเวลาต่อมา)  หงสาวดีจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพม่าใน พ.ศ. 2082 โดยพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ได้รวมมอญกับพม่าเข้าเป็นชาติเดียวกัน ด้วยการรับอารยธรรมต่าง ๆ ของมอญมาใช้ในราชสำนักพม่า ให้ชาวมอญเข้ารับราชการในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ๆ ของกองทัพ รวมทั้งย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงหงสาวดี 

ยุคที่สาม 'ยุคอาณาจักรหงสาวดีใหม่' หลังจากสมัยของ 'พระเจ้าบุเรงนอง' แห่งราชวงศ์ตองอู ชาวมอญไม่สามารถทนการกดขี่ข่มเหงจากพม่าได้อีก จึงได้เกิดกบฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงปลายราชวงศ์ตองอู ขณะที่พม่าต้องทำสงครามทั้งกับจีนฮ่อและไทย มอญได้ถือโอกาสรวบรวมกำลังพลก่อการโดยมีผู้นำคือ 'สมิงทอพุทธิเกษ' (หรือพุทธิกิตติ) กู้เอกราชคืนมาจากพม่าพร้อมประกาศอิสรภาพในปีพ.ศ. 2283 ก่อนจะยกทัพไปตีเมืองอังวะเพื่อทำลายล้างอาณาจักรพม่าที่อังวะซึ่งกำลังอ่อนแอให้สิ้นซากแต่ทำไม่สำเร็จแต่ก็ได้ยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของพม่าไว้ได้ทั้งหมด

ต่อมาในปี พ.ศ. 2290 'พญาทะละ' ได้ยึดอำนาจสมิงทอพุทธิเกษ พร้อมทั้งได้ขยายอาณาเขตของหงสาวดีออกไปอย่างกว้างขวาง สามารถยึดพม่าตอนบนได้ใน พ.ศ. 2294 บุกเข้ายึดอังวะได้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2294 เชื้อพระวงศ์อังวะถูกจับไปพะโค ซึ่งดูเหมือนว่ามอญกำลังจะรวมพม่าเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมอญได้สำเร็จ แต่ความประมาทอย่างหนึ่งที่กลายเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของหงสาวดี อันเป็นปัจจัยทำให้พม่าสามารถพลิกฟื้นและตีกลับได้ก็คือการรีบยกทัพกลับพะโคหลังจากได้ชัยชนะ โดยทิ้งกองทัพไว้เพียงสามกองทัพเพื่อต้านการลุกฮือของพม่า 

จากความผิดพลาดที่กล่าวมา ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านชเวโบ (หรือมุกโชโบ) ชื่อ 'อองไชยะ' กล้าที่จะนำสมัครพรรคพวกเข้าตีกองทหารมอญที่ 'พญาทะละ' ทิ้งไว้จนแตกยับเยิน และแม้พญาทะละจะส่งกองทัพมอญไปสู้อีกกี่ครั้งก็ถูกต้านทานและได้รับความเสียหายกลับมาทุกครั้ง อีกทั้งทัพพม่าก็ได้ขยายตัวขึ้นเป็นกองทัพขนาดใหญ่และเข้มแข็ง เข้ารุกคืบ ยึดพื้นที่ตอนเหนือคืนไว้ได้เป็นส่วนมาก จากนั้น 'อองไชยะ' จึงได้สถาปนาราชวงศ์พม่าขึ้นใหม่คือ 'ราชวงศ์โก้นบอง' (คองบอง) พร้อมกับสถาปนาตนเองเป็น 'พระเจ้าอลองพญา' เพื่อนำพม่าต่อสู้กับมอญ 

เมื่อตีเท่าไหร่ก็ไม่แตก ทางทัพมอญจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีป้องกันเขตแดน โดยพยายามยึดพื้นที่ทางใต้เพื่อแสดงความเป็น 'รามัญประเทศ' ไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งยังออกกฎต่าง ๆ เพื่อให้ไม่มีความเป็นพม่าอยู่ในพื้นที่ ทั้งประหารเจ้านายพม่าข้างอังวะ และเชื้อพระวงศ์ตองอูจนหมดสิ้น ทั้งยังบังคับให้พม่าทางใต้แต่งกายให้เป็นมอญทั้งหมด 

แต่เพียงแค่การป้องกันคงไม่เป็นผล เพราะในปี พ.ศ. 2295 พระเจ้าอลองพญา นอกจากจะยึดพม่าตอนบนไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ยังรุกคืบมาลงมายังพม่าทางใต้เรื่อย ๆ จนถึง ปี พ.ศ. 2300 อาณาจักรมอญก็ได้ปิดฉากลง โดยมี 'พญาทะละ' เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญ เพราะมอญต้องพ่ายแพ้อังวะอย่างราบคาบ จนคนมอญต้องอพยพหนีตายไปทั่วสารทิศ ในการณ์นี้ 'พระเจ้าอลองพญา' ได้แสดงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะเหนือมอญ โดยการเปลี่ยนชื่อ 'เมืองพะโค' จาก 'พะโค' ไปเป็น 'ย่างกุ้ง' ซึ่งแปลว่า 'สิ้นสุดสงคราม' ทำให้ 'รามัญประเทศ' ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวมอญกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในพม่า โดยไม่มีโอกาสฟื้นตัวได้อีกจนกระทั่งปัจจุบัน 

ย้อนที่เป็นมาตำนานประเพณี ‘ชักพระ’ สุราษฎร์ธานี หนึ่งในสองประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพื้นที่ภาคใต้

(18 ต.ค. 67) หากนับตามปฏิทินจันทรคติวันนี้คือวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 วันอาสาฬหบูชาตามความสำคัญในศาสนาพุทธ ที่มีการตักบาตรเทโวโรหณะ ตามคติว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่ท่านทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระมารดา ในการเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นได้มีพุทธศาสนิกชนสมัยพุทธกาลเป็นจำนวนมากได้รอใส่บาตรเพื่อเป็นกุศลแก่ชีวิต 

จากคติที่ว่ามานี้ได้นำมาสู่อีกหนึ่งประเพณีที่มีงดงามของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ คือประเพณีชักพระ ที่จะจัดขึ้นทุก ๆ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 11 ของทุก ๆ ปี

การชักพระในพื้นที่ภาคใต้ของไทยนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ

การชักพระทางบก คือการอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐาน บนนบพระ หรือบุษบก แล้วแห่แหน ใช้เชือกแบ่งผูกเป็น 2 สาย เป็นสายผู้หญิงและสายผู้ชาย ใช้โพน ฆ้อง ระฆัง เป็นเครื่องตีให้จังหวะในการลากพระ คนลากจะเบียดเสียดกันสนุกสนานและประสานเสียงร้องบทลากพระเพื่อผ่อนแรง วัดส่วนใหญ่ ที่ดำเนินการประเพณีลากพระวิธีนี้ มักตั้งอยู่ในที่ไกลแม่น้ำลำคลอง

การชักพระทางน้ำ เป็นการอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐาน บนบุษบก ในเรือ แล้วแห่แหนโดยการลากไปทางน้ำ ประเพณีลากพระ ที่มักกระทำด้วยวิธีนี้ เป็นของวัดที่ส่วนใหญ่อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองการลากพระทางน้ำจะสนุกกว่าการลากพระทางบก เพราะสภาพการเอื้ออำนวยต่อกิจกรรมอื่น ๆ เช่น สะดวกในการลากพระ ง่ายแก่การรวมกลุ่มกันจัดเรือพาย

ไม่ว่าจะเป็นการชักพระทางบกหรือทางน้ำล้วนแต่มีการตกแต่งที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปอย่างวิจิตร เป็นที่ตื่นตาของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นงานบุญครั้งสำคัญที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในทุก ๆ ปี 

สำหรับงานพิธีทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ประกอบไปด้วย 2 พิธี ได้แก่ พิธีสารทเดือนสิบ และพิธีชักพระ

‘งานสารทเดือนสิบ’ ที่เป็นงานบุญที่รวบรวมบรรดาลูกหลานไม่ว่าอยู่ในพื้นที่ไหนก็ต้องกลับบ้าน เป็นงานพิธีเชิงสัญลักษณ์ที่ผูกร้อยให้เกิดความเชื่อมโยงกันในครอบครัว วงศาคณาญาติ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นงานที่จังหวัดนครศรีธรรมราช 

และหากกล่าวถึงประเพณีชักพระแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะละเลยการกล่าวถึง ‘สุราษฎร์ธานี’ ที่ประเพณีนี้มีความยิ่งใหญ่ที่สุด จนมีชื่อเสียงระดับประเทศ ทั้งจากประชาชนที่เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งความวิจิตรของขบวนชักพระ นอกจากนี้ในจังหวัดสุราษฎร์ธานียังได้ผนวกอีกหลายประเพณีรวมกันเป็น ‘งานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาวฯ’

ซึ่งในปีนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมยกทีมอันประกอบด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

เป็นการตอกย้ำความเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรครวมไทยสร้างชาติที่สามารถคว้าเก้าอี้ สส. ได้มากที่สุดของพรรค และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญของพื้นที่ภาคใต้เป็นอย่างยิ่ง ผ่านการมีการมีส่วนร่วมไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข

‘ค่ายมวย’ แฉเดือด ‘โปรโมเตอร์มวยภูธร’ โกงกระทั่งเด็ก หลังมาชกไกลถึง ‘ร้อยเอ็ด’ แต่ถูกเบี้ยวเงินกว่า 1.6 แสน

(18 ต.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘มวยสด.com’ โพสต์ข้อความถึงวงการมวยต่างจังหวัด ที่ผู้จัดหรือโปรโมเตอร์โกงเงินค่าตัวนักมวย ว่า ใจคอทำไปได้..!!!! เด็ก ๆ ทั้งนั้น

พร้อมระบุว่า โปรโมเตอร์จัดมวยภูธรจ่ายเงินไม่ครบ ซึ่งทางหัวหน้าค่ายนักมวย ได้เข้าแจ้งความฟ้องร้องเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งกรณีดังกล่าว เป็นการโกงทั้งค่าตัว และ เงินทุนการศึกษาของเด็ก ซึ่งเป็นนักมวยรุ่นเล็ก

ทั้งนี้ ทางค่ายมวย ได้โพสต์แฉถึงพฤติกรรมโปรโมเตอร์ภูธร ทำนอง จ่ายค่าตัวนักมวยจ่ายไม่ครบ รางวัลทุนการศึกษาให้ไม่ครบ และยืมเงินตัดกางเกงมวย รวมค่าเสียหายเกือบ 1.6 แสนบาท

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องจากรายการมวย ‘ศึกผา สารคาม+ปุ๋ยตราเกราะเพชร’ จังหวัดร้อยเอ็ด จัดโดย โปรโมเตอร์ ‘ผา สารคาม’ ณ เวทีมวยชั่วคราว ศาลเจ้าปู่กุดเป่ง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา 

โดยทาง ค่ายมวยจอมทัพมวยไทย & ส.เทียนทอง ผู้เสียหาย แจ้งรายละเอียดดังนี้ 

“ผมมากันกี่ชีวิตดูเอาครับ มาด้วยใจค่ากินค่าใช้จ่ายรถผมมา 3 คัน ค่าน้ำมันเท่าไหร่ ระยอง , ร้อยเอ็ด มาถึง มหาสารคาม 3-4 วัน ป่านนี้ยังไม่ได้กลับบ้านเลย เงินก็ยังไม่ได้”

พร้อมทั้งได้แจกแจงรายละเอียดการชกมวยดังกล่าวว่า ชิงทุนการศึกษา 240,000 คู่ระหว่าง ‘แสงหิรัญ ลูกเจ้าพ่อพานทอง’ VS ‘เพชรเนวิน ช.ห้าพยัคฆ์’ ได้รับเพียง 120,000 (เงินทุน) ขาด 120,000 

ชิงทุนการศึกษา 65,000 ‘เพชรวายุ ส.เทียนทอง’ (จอมทัพมวยไทยยิม) VS ‘น้ำพุ ส.มาร์คแจ๋ว’ ได้รับ 45,000 บาท ขาด 12,000 

นอกจากนี้ ยังเบี้ยวค่าตัวนักมวย 2 คน 4,500 บาท

ยืมตัดกางเกงมวย(ยังไม่จ่าย)อีก 20,000 บาท 

รวมเบ็ดเสร็จรวมค่าเสียหายแล้ว 1.6 แสน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางค่ายมวยดังกล่าว ได้ประสานตำรวจคุมตัว ‘ผา สารคาร’ (โปรโมเตอร์ผู้จัด) รับจาก จ.มหาสารคาม มาดำเนินคดีที่ สภ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด แล้ว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top