Tuesday, 20 May 2025
ค้นหา พบ 48202 ที่เกี่ยวข้อง

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ยกท่องเที่ยวไทย ‘ยุคเศรษฐา’ มาถูกทาง เปิดทางเอกชนโชว์ฟอร์ม ส่วนภาครัฐช่วยเป็นแรงหนุน

(4 มี.ค. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้กล่าวถึงประเด็น การเติบโตที่นำโดยการท่องเที่ยว (Tourism-led Growth) ระบุว่า...

ต้องยอมรับว่า Ignite Thailand จุดพลัง รวมใจ ไทยเป็นหนึ่ง ที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นวิสัยทัศน์ที่ชาญฉลาดเละเป็นไปได้ แต่ก็มีความท้าทายสูงในด้านการดำเนินการ (Implementation) ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หากเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาลที่แล้ว ต้องถือว่า Ignite Thailand มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าภาคการท่องเที่ยวมีความสำคัญและมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ รวมทั้ง Medical Hub, Aviation Hub และ Financial Hub เป็นต้น การบริหารจัดการการดำเนินการเพื่อมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์นี้จึงหนีไม่พ้นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมี ททท. เป็นหน่วยงานหลัก แต่ความท้าทายน่าจะอยู่ที่การสร้างความเชื่อมโยงไปสู่ความเป็นศูนย์กลางในสาขาทั้ง 8 สาขา ซึ่งจำเป็นต้องทลายกำแพงที่กีดขวางการทำงานแบบบูรณาการข้ามหน่วยงานของระบบราชการไทย

วันนี้การท่องเที่ยวของไทยได้พัฒนาก้าวหน้ามาอย่างมากจนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากความเก่งกาจของภาครัฐแต่อย่างใด แต่ส่วนใหญ่มาจากความสามารถของภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม, ภัตตาคาร, ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวที่มีการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ 

การยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เป็นหนึ่งของโลกตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องจัดโครงสร้างการบริหารจัดการภาคการท่องเที่ยวใหม่ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP ลดบทบาทภาครัฐให้เหลือเพียงการวางนโยบายและการกำกับดูแลรวม ทั้งการให้การสนับสนุน/อุดหนุนทางการเงินเท่าที่จำเป็น และที่สำคัญต้องหลีกเลี่ยงการเข้ามาเป็นผู้เล่นแข่งกับธุรกิจเอกชน บทบาทในการลงทุนและการบริหารจัดการต้องเป็นของภาคเอกชนเท่านั้น

สิ่งสำคัญที่นายกรัฐมนตรีเน้นและอาจเป็นบทบาทสำคัญของรัฐบาล คือ การปลดล็อกข้อจำกัดในด้านกฏระเบียบข้อบังคับ และการจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งปัจจุบันต้องถือเป็นข้อด้อยที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย

ข้อจำกัดทางกฎหมายของไทยมีอยู่มากมาย เพียงไม่กี่เดือนของรัฐบาลนี้ ได้มีการขยายเวลาเปิดสถานบริการ ปรับเปลี่ยนเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวบางประเทศ ที่ต้องชมเชยก็คือ การลดภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์และสุรานำเข้า ซึ่งจะช่วยให้เครื่องดื่มมีราคาลดลง สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหาร แต่ก็พึงต้องดูแลให้เครื่องดื่มนำเข้าเหล่านี้เสียภาษีอย่างครบถ้วน

ประการสำคัญที่สุด ประเทศไทยจะไม่สามารถเป็น Hub ในด้านต่างๆ ได้เลย หากภาคอุตสาหกรรมและบริการของไทยยังไม่เปิดเสรี แม้จะมีการเปิดเสรีทางการค้าไปมากแล้ว แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนย้ายบริการ ทุน และแรงงานข้ามพรมแดนอยู่มาก แรงงานมีฝีมือยังไม่สามารถเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์, วิศวกร, นักกฎหมาย การจะเป็น Hub ได้อย่างเต็มปากจำเป็นต้องมีบุคลากรมืออาชีพที่เป็นที่สุดของโลกด้วย

'นศ.มหิดล' แจ้งความเอาผิดคู่กรณี หลังถูกชกในฟิตเนส แค่ขอใช้เครื่อง ด้านอีกฝ่าย เผย!! มีปมสะสม บวกคนถูกชกชอบพูดกดดัน จึงเดือด

เมื่อวานนี้ (3 มี.ค.67) มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายนนท์ (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง) อายุ 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา จ.นครปฐม เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.กิจจพัฒน์ จิตติราช พนักงานสอบสวน สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินคดีกับชายรายหนึ่ง ที่ก่อเหตุชกใบหน้าของตนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดภายในห้องฟิตเนสของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ในซอยบ้านตั้งสิน ถนนศาลายา-นครชัยศรี หมู่ที่ 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา เวลา 17.45 น. นายนนท์เป็นลูกบ้านในคอนโดมิเนียมดังกล่าว เข้าใช้บริการห้องฟิตเนส โดยขอใช้เครื่องเล่นที่มีชายรายหนึ่ง สวมเสื้อยืดสีดำ สวมสร้อยทอง สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ผิวขาว รูปร่างผอมสูง และวางของอยู่ ชายคนดังกล่าวได้ลุกขึ้นจากเครื่องเล่นแล้วพูดว่า "หาเรื่องเหรอ" ก่อนชกต่อยนายนนท์ ได้รับบาดเจ็บ จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับคนร้ายตามกฎหมายจนถึงที่สุด และตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด

สำหรับชายหัวร้อนคนดังกล่าวได้แก่ ธนานนท์ อินทองสุข นักแข่งรถชื่อดังที่คนในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตรู้จักกันดี เพราะเจ้าตัวเป็นนักซิ่งที่ฝีมือดีมากๆ คนหนึ่ง ลงแข่งมาแล้วหลายรายการ เช่น ศึก IDEMITSU SUPER ENDURANCE ซึ่งเขาแข่งขันในภายใต้สังกัด EXOL TOYOTA PATTAYA 1998

รวมถึงการเป็นตัวแทนประเทศไทย ภายใต้ Team RAAT Thailand ในฐานะตัวแทนของประเทศ ร่วมเข้าชิงชัยในการแข่งขัน FIA Motorsport Games 

หรือจะเป็นการแข่งขันอี-สปอร์ต ของวงการแข่งรถ ธนานนท์ อินทองสุข ก็เคยเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน FIA MOTORSPORT GAMES ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี มาแล้ว 

ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุอื้อฉาวดังกล่าว (4 มี.ค.66) ธนานนท์ เปิดใจกับสื่อมวลชน ยอมรับว่า ตนได้ทำลงไปจริง ๆ ซึ่งมูลเหตุมาจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ขณะที่ตนกำลังออกกำลังกายอยู่ภายในฟิตเนส ปรากฏว่า ผู้เสียหายคนนี้กับเพื่อน มาพยายามที่จะออกกำลังกายข้าง ๆ ตนเพื่อกดดันที่จะใช้อุปกรณ์ต่อจากตน พร้อมกับพูดสบถกับเพื่อน

โดยพยายามที่จะให้ตนได้ยินประมาณว่า “แม่งมีคนใช้อุปกรณ์อยู่ กูไม่เล่นก็ได้” ซึ่งวันนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตนก็จำไว้ในใจว่า “อย่าให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและกัน”

กระทั่งเมื่อวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายมาเล่นดัมเบลข้าง ๆ ตน ในลักษณะของการกดดันและถือเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ก่อนจะมาพูดกับตนว่า “กำลังใช้อุปกรณ์อยู่ป่าว ถ้าไม่ใช้ก็ลุก” เลยทำให้ตนเกิดอารมณ์ร้อนขึ้นมา เนื่องจากมีทุนเก่าเดิมอยู่แล้ว แม้ว่าตัวเขาจะพูดแบบมีหางเสียงก็ตาม

ทั้งนี้ ตัวผู้เสียหายเอง ตนก็เจอเป็นประจำและเห็นว่ามีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว คือชอบกดดันคนอื่นที่กำลังเล่นอุปกรณ์อยู่ เพราะต้องการจะเล่นอุปกรณ์นั้นให้ได้

อย่างไรก็ตาม ธนานนท์ ยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยกมือไหว้ขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป แต่ก็อยากให้ฝั่งผู้เสียหายขอโทษตนเองในเรื่องที่ไม่มีมารยาทกับตนก่อน โดยที่ตนยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แล้วจะต่อสู้ในคดีในชั้นศาลต่อไป

สำหรับข้อหาที่ ธนานนท์ ถูกแจ้งข้อหา ได้แก่ ข้อหาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391

'รมว.ปุ้ย' ย้ำ!! รัฐหนุนเต็มที่ ลงทุนผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในไทย ต่อเนื่องภารกิจ ดันไทยฮับผลิตแบตฯ อีวีแห่งอาเซียน

(4 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังให้คณะผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เข้าพบ เพื่อรับทราบแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน ตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางพิจารณาการลงทุนสร้างโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในประเทศไทย รวมทั้งการสร้างซัพพลายเชนเพื่อให้ไทยเป็นฮับการผลิตแบตเตอรี่ของภูมิภาคอาเซียน โดยระบุว่า...

รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้เปิดการส่งเสริมการลงทุนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ 17 ชิ้น โดยเฉพาะแบตเตอรี่ในระดับเซลล์ ที่จะได้รับสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุน ซึ่งที่ผ่านมามีนักลงทุนไทย, ญี่ปุ่น, จีน และยุโรป เข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว ขณะเดียวกันยังมีมาตรการพัฒนาปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 อีกด้วย 

ส่วนการสร้าง Supply Chain ของแบตเตอรี่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นพี่เลี้ยงส่งเสริมด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องตลอดซัพพลายเชน มีการพิจารณามาตรการส่งเสริมและจัดการแบตเตอรี่ในประเทศ มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งมาตรการที่เกิดขึ้นเป็นการเอื้อต่อการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายส่งเสริมกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและเปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการหารือทราบว่าบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กำลังวางแผนหาพาร์ตเนอร์และแหล่งผลิตในประเทศไทย โดยเป้าหมายคือพัฒนาบริษัทในพื้นที่และสนับสนุนรัฐบาลไทยในการรักษามาตรฐาน ขณะเดียวกันได้เปิดตัวสายการผลิตและในอนาคตก็พร้อมที่จะเปิดการอบรมนักศึกษาไทยให้เรียนรู้จากเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย ดังนั้น จึงอยากให้มั่นใจว่านโยบายรัฐบาลให้การสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ซึ่งล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของมาตรการสนับสนุนผู้นำเข้า ผู้ทดสอบ และการรีไซเคิล

“วันนี้ ประเทศไทยเรามีความน่าสนใจในหลายเรื่อง ทั้งบริษัทต่าง ๆ ที่มาตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวีในประเทศไทยมากขึ้น และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังได้ออกมาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการรีไซเคิลแบตเตอรี่ เพื่อให้เกิดการดูแลทั้งระบบของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

สำหรับการหารือร่วมกันระหว่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอส โวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มีคณะผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมด้วย อาทิ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

'รมว.ปุ้ย' ชู!! 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ขจัดอุปสรรคผู้ประกอบการ-หนุนฮาลาล กรุยทางเข้าถึง 'เงินทุน-สร้างบริการใหม่' คิกออฟแล้วกับกลุ่มโคเนื้อชุมพร

'รมว.พิมพ์ภัทรา' เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ตลาดโลก เร่งเครื่อง 'อาเซียน ฮาลาล ฮับ' (ASEAN Halal Hub) ชูกลไกบูรณาการใช้ศักยภาพหน่วยงานภายใต้สังกัด เชื่อมต่อจุดเด่นวัตถุดิบและการผลิตในพื้นที่ ปลื้ม!! โมเดลความสำเร็จ ดีพร้อม จับมือ SME D Bank ผ่านการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) พร้อมชู 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' หนุนโรงแปรรูปเนื้อโคมาตรฐานฮาลาล จ.ชุมพร เข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมสร้างโอกาสให้กับธุรกิจฮาลาลและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้กว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 24,000 ล้านบาท

(5 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีมอบสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ให้แก่ บริษัท ดี แอนด์ แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ผู้ผลิตและแปรรูปเนื้อโค มาตรฐานฮาลาล จ.ชุมพร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ภาคใต้ ว่า จากนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การผลักดันของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ 'อาเซียน ฮาลาล ฮับ' (ASEAN Halal Hub) นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยใช้กลไกในการนำศักยภาพของหน่วยงานภายใต้สังกัดมาบูรณาการการทำงานควบคู่กับใช้จุดเด่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยมาต่อยอด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดชุมพร ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบและศักยภาพการผลิตอาหาร จึงเหมาะแก่การผลักดันเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลไทยสู่ตลาดโลก สามารถตอบโจทย์ความต้องการตลาดผู้บริโภคอาหารฮาลาลทั่วโลกที่มีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 13.5% ตามสัดส่วนประชากรมุสลิมโลกที่ขยายตัวต่อเนื่อง และนับเป็นจุดเริ่มต้นในการเร่งผลักดันนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่อาเซียนฮาลาลฮับของรัฐบาล

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม และ SME D Bank เร่งบูรณาการความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ด้วยการสนับสนุนบริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด และกลุ่มอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่จังหวัดชุมพร และใกล้เคียงให้เข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำไปยกระดับศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจ โดยได้นำแนวทาง 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ขจัดขั้นตอนการทำงานที่เป็นอุปสรรคควบคู่กับการสร้างบริการใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งทุนพัฒนาธุรกิจได้ ไปพร้อม ๆ กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ที่ติดข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุน แต่ด้วยศักยภาพและโอกาสเติบโตของธุรกิจ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงให้การสนับสนุนเพื่อเข้าถึงเงินทุนสำเร็จผ่านโครงการสินเชื่อแฟคตอริ่ง วงเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรายนี้ มีเงินไปลงทุนขยายกิจการ และหาก บริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด ผลิตได้เต็มกำลังการผลิตแล้ว คาดว่าจะสร้างยอดขายได้กว่า 14,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถรับซื้อโคจากเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะสามารถกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้นกว่า 24,000 ล้านบาท รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าว

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ ครม.สัญจร จ.ชุมพร และระนอง เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ได้รับมอบหมายให้รับฟังแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว พบว่า บริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแทนท์ จำกัด จ.ชุมพร มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและสามารถเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยได้ 

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความต้องการขอรับการสนับสนุนเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากภาครัฐ ดังนั้น ดีพร้อม จึงได้นำเรียน รมว.พิมพ์ภัทรา เพื่อทราบถึงความต้องการดังกล่าวของบริษัท โดย รมว.อุตสาหกรรม สั่งการให้ ดีพร้อม บูรณาการความร่วมมือกับ SME D Bank และสถาบันการเงินต่าง ๆ ผ่านกลไกการขยายเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM Connection) เพื่อให้ผู้ประกอบการมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Financial Inclusion) ภายใต้นโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยนอุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ด้วยการเร่งพัฒนากลไกการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในวงเงิน 10 ล้านบาท และช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคในพื้นที่ภาคใต้และทั่วประเทศให้สามารถสร้างยอดขายและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมทั้งต่อยอดและพัฒนาธุรกิจโคแปรรูปฮาลาลให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นด้วยการส่งเสริมและผลักดันศักยภาพกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ที่ได้มาตรฐานฮาลาล รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือในมาตรฐานฮาลาลและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผ่านการเชื่อมโยงกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพของผู้ประกอบการโคในพื้นที่และการสร้างแบรนด์เนื้อโคคุณภาพของภาคใต้ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวเพิ่มเติมว่า SME D Bank พร้อมขานรับนโยบายรัฐบาล สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเติบโตยั่งยืนด้วยกระบวนการ 'เติมทุนคู่พัฒนา' โดยด้าน 'การเงิน' จัดเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอี วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท ควบคู่ด้าน 'การพัฒนา' ยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME D Coach เชื่อมโยงการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไว้ในจุดเดียว รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการเอสเอ็มอีได้ครอบคลุมและกว้างขวางยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม DX (Development Excellent) ระบบพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ สร้างสังคมของการเรียนรู้ e-Learning ศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชม. ช่วยเติมศักยภาพให้เอสเอ็มอีสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

'หมอปาย' ขอบคุณทุกกำลังใจจากคนไทย หลังถูกชาวต่างชาติทำร้าย พร้อมดีใจ!! ที่ช่วยยืนหยัด ‘เพื่อความยุติธรรม - ทวงคืนหาดสาธารณะ’

(4 มี.ค. 67) จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งออกมาร้องขอความเป็นธรรม ถูกชายต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างเตะหลังขณะนั่งบันไดชมจันทร์หน้าวิลล่าแห่งหนึ่ง บริเวณชายหาดภูเก็ต แถมยังถูกหญิงไทยซึ่งเป็นภรรยาของฝรั่งคนดังกล่าวด่ากราด อ้างมีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ขณะที่คู่กรณีโต้ลั่นไม่ได้เตะ แค่สะดุดแล้วเท้าไปโดนหลัง

แม้ฝรั่งและภรรยาจะออกมาขอโทษแล้ว แต่ ชาวภูเก็ต ได้มีการเคลื่อนไหวนัดรวมพลังกันในวันที่ 3 มีนาคม ทวงคืนหาดบนพื้นที่สาธารณะ หลังเกิดเหตุการณ์ชาวต่างชาติเตะแพทย์หญิงที่ภูเก็ต ล่าสุดเทศบาลตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง ติดประกาศคำสั่งให้รื้อถอนแนวบันไดและสิ่งปลูกสร้าง ที่รุกล้ำชายหาดพื้นที่สาธารณะ ภายใน 30 วัน ภายหลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และพบว่าบริษัทเอกชนเจ้าของวิลล่า สร้างแนวบันไดไม้และคอนกรีต ลานนั่งเล่นไม้ แนวกำแพงกันดินหินกล่องรุกล้ำชายหาด ขณะที่ชาวบ้านป่าคลอก และใกล้เคียง เมื่อเห็นประกาศ ต่างพากันมาถ่ายรูปบริเวณบันไดจุดเกิดเหตุกันไม่ขาดสาย โดยบอกว่าอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกก่อนถูกรื้อถอนนั้น ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘Phuket Times ภูเก็ตไทม์’ โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า ‘หมอปาย’ ขอขอบคุณชาวภูเก็ต และคนไทยทั้งประเทศ ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม ทวงคืนหาดสาธารณะ

โดยหมอปายระบุข้อความว่า “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นค่ะ รู้สึกกำลังใจดี ที่ได้กำลังใจจากคนภูเก็ต+คนไทย หนูรู้สึกดีใจและขอบคุณทุกคนมากๆ เลยค่ะ ที่ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและทวงคืนหาดสาธารณะของพวกเราคืนค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top