Tuesday, 20 May 2025
ค้นหา พบ 48202 ที่เกี่ยวข้อง

เมื่อรัฐเล็งขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในวันที่เอกชนกำลังรัน ‘เศรษฐกิจไทย’ สะท้อน!! ภาพนโยบายครั้งใหญ่ กระตุ้น ศก.ไทยได้จริงหรือ?

ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แถลงข่าวรายงานวิเคราะห์เศรษฐกิจและการเงินเดือนมกราคม 2567 โดยเศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน แต่โดยรวมการขยายตัวยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการส่งออกสินค้าปรับดีขึ้นหลังจากที่หดตัวในเดือนก่อน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวน้อยลง แต่หลายอุตสาหกรรมยังถูกกดดันจากอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวช้า สินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง และปัจจัยเชิงโครงสร้าง

ด้านการลงทุนภาคเอกชนทยอยปรับดีขึ้น และการบริโภคภาคเอกชนและเศรษฐกิจในภาคบริการยังขยายตัวได้ตามรายรับในภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากรายจ่ายลงทุนและรายจ่ายประจำของรัฐบาลกลาง

สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากทุกหมวดหลัก โดยเฉพาะหมวดอาหารสดจากราคาผักและผลไม้ที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น หมวดพลังงานลดลงจากผลของฐานสูงปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเล็กน้อยตามราคาอาหารสำเร็จรูปจากผลของฐานสูงในปีก่อน 

ด้านตลาดแรงงานปรับแย่ลง การจ้างงานในภาคการผลิตโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกยังคงลดลง และเริ่มเห็นการลดลงของการจ้างงานในภาคบริการบางสาขา 

สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลตามดุลการค้าเป็นสำคัญ แม้ดุลบริการ รายได้ และเงินโอนกลับมาเกินดุล

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ หากพิจารณาภาพรวมแล้ว สภาพเศรษฐกิจไทย ยังถือว่าอยู่ในระดับทรงตัว ส่วนใหญ่ที่ขยายตัวได้เล็กน้อย เกิดจากภาคเอกชน ที่มีการลงทุนสอดรับกับภาคการท่องเที่ยว ที่ประเทศไทย ยังถือว่าเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาพักผ่อน โดยมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวระยะยาวเพิ่มขึ้น

แต่ในส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐที่ไม่รวมเงินโอนกลับหดตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันกับปีก่อน จากทั้งรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลางที่ยังหดตัวสูงตาม พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า และจากรายจ่ายประจำที่หดตัวเล็กน้อยตามการเบิกจ่ายของหน่วยงานด้านการศึกษาที่ต่ำกว่าปีก่อนสำหรับการลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัว ตามการเบิกจ่ายในโครงการด้านคมนาคมและพลังงาน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า สภาพเศรษฐกิจไทย ยังคงต้องพึ่งภาคเอกชนเป็นหลัก เนื่องจากมาตรการภาครัฐเอง ยังคงไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่ ไม่ว่าจะข่าวคราวโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท ที่มีการแถลงข่าวจาก ฝั่งรัฐบาล ถึงการ 'เลื่อน' จากที่จะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ จะดำเนินการในเดือนเมษายน และ เลื่อนอีกครั้งว่าน่าดำเนินการในเดือนพฤษภาคม รวมทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ แทบจะไม่มี 

อาจจะเห็นภาพในการช่วยเหลือประชาชนที่ค่อนข้างชัดเจนเพียงบางกระทรวง ในส่วนมาตรการลดค่าใช้จ่าย โดยควบคุมราคาพลังงาน, ทั้งไฟฟ้า, น้ำมัน, ลดค่าครองชีพ ให้มีเงินเหลือเพื่อส่งเสริมการอุปโภค บริโภค ของประชาชนส่งผลให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 

เมื่อกำลังสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เกิดจากภาคเอกชนเป็นหลัก กลับมีข่าวการเตรียมปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ออกมา ว่ารัฐบาลจะประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งแน่นอนว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำ ย่อมจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของกลุ่มแรงงานได้มากขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาให้รอบด้าน ว่าพื้นที่ใดสามารถดำเนินการได้ พื้นที่ใดที่น่าจะได้รับผลกระทบ เพราะกลไกสำคัญคือ ผู้ประกอบการ SME ขนาดเล็ก ที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวหลังเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งใช้แรงงานคนเป็นหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ก็จะมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ประกอบกับต้นทุนทางการเงินในด้านดอกเบี้ยของผู้ประกอบการก็ยังคงอยู่ในระดับสูง 

ถ้าไม่เป็นเพราะเหตุ ‘การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต’ ที่ส่อเค้าว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ จึงต้องนำนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนี้มาลดกระแส แรงกระเพื่อมจากประชาชนต่อรัฐบาล ก็คงดี และหวังว่าคงเกิดจากคณะกรรมการค่าจ้าง ได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ จากเหตุที่เศรษฐกิจประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวได้จริง ๆ 

‘ก๊อง-ปรเมษฐ์’ ซัด!! ‘พิธา’ ขาดความเข้าใจเรื่องเช่าที่ราชพัสดุ

(4 ก.พ.67) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปรับฟังปัญหาด้านที่ดินทำกินจากพี่น้องประชาชนชาวหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี และได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องการจัดการที่ดินทำกิน ระบุว่า…

“มองว่าปัญหาข้อแรกคือเรื่องการจัดการที่ดิน รัฐต้องสร้างกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วม ข้อสองคือรัฐบาลควรตรวจสอบที่ดินของรัฐที่อยู่กับกระทรวงทั้ง 8 กระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กลาโหม มหาดไทย เกษตร ฯลฯ ว่ามีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่เท่าใด ประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 320 ล้านไร่ มีเท่าไรที่สามารถนำมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ สิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและพัฒนาชนบทด้วย”

นายพิธากล่าวต่อว่า “ในส่วนของหนองวัวซอ เป็นหนึ่งในหลายพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายๆ กันทั่วประเทศ กล่าวคือ พื้นที่หนองวัวซอมีที่ดินที่ทหารครอบครอง 39,235 ไร่ พื้นที่ที่จะนำมาเข้าร่วมโครงการซึ่งซ้อนทับกับที่ดินของประชาชนมีอยู่ 9,255 ไร่ มีประชาชนใช้ประโยชน์อยู่ 1,597 ราย พื้นที่ทับซ้อนเหล่านี้ประชาชนคัดค้านการเป็นที่ดินของทหารมาตลอด เรียกร้องการพิสูจน์สิทธิ์มาตลอด แต่ไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์จากรัฐ จากการขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จนต่อมากลายเป็นที่ดินราชพัสดุในความดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง”

ทั้งนี้ ที่ราชพัสดุทั่วประเทศมีทั้งหมดกว่า 12 ล้านไร่ ครึ่งหนึ่งถือครองโดยกองทัพ ทั้งที่ที่ราชพัสดุเป็นที่ดินของรัฐที่ควรให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่กระทรวงการคลังต้องการให้ประชาชนเช่าที่ดินเพียง 3 ปี ซึ่งตนมองว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคง เกษตรกรไม่สามารถวางแผนเพาะปลูก หรือผู้เช่าที่ดินไม่สามารถวางแผนจัดการที่ดินของตนได้ เมื่อเทียบกับการที่รัฐอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังมากถึง 99 ปี

"หากต้องการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ไม่มีประเทศพัฒนาแล้วที่ไหนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินมากถึง 60% ดังนั้นกลับไปที่หลักการเดิม ที่ประชาชนควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และรัฐบาลควรจะใช้ที่ดินอย่างเหมาะสมจริง ๆ" พิธากล่าว

ล่าสุด นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ ‘ถึงแก่น Live’ ก็ได่ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีที่นายพิธา วิพากษ์โครงการหนองวัวซอโมเดล อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยระบุในบางช่วงบางตอนของรายการว่า…

“การที่คุณพิธาพูดว่า ให้ชาวบ้านเช่าแค่ 3 ปี ไม่มีหลักประกัน พูดแบบนี้คือ คนที่ไม่เคยเช่าที่ราชพัสดุ...บ้านผม ชุมชนบ้านครัวเขตปทุมวัน กลางกรุงเลย ก็เช่าที่ราชพัสดุ จากกรมธนารักษ์ มาตั้งแต่รุ่นทวด จนถึงปัจจุบัน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาก็ต่อให้ทุกปี คนถือสิทธ์เสียชีวิต ทายาทก็ไปทำเรื่องเช่าต่อมาแบบนี้”

‘ธนกร’ แฉ!! เล่ห์มาเฟียต่างชาติ เข้ามากอบโกยในภูเก็ต  ‘แต่งงาน’ กับคนไทยบังหน้า แถมบางรายหากินผิดกม.ด้วย

(4 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากที่ได้สะท้อนปัญหาจากการลงพื้นที่รับฟังความเห็นข้อมูลและรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ประกอบการสถานบันเทิง พ่อค้าแม่ค้า ผู้ขับรถรับจ้างในพื้นที่ จ.ภูเก็ต กรณีมีกลุ่มนายทุนชาวต่างชาติ เข้ามาประกอบธุรกิจแย่งอาชีพผู้ประกอบการคนไทย ทำให้ผู้ประกอบการคนไทยเดือดร้อนหนัก ได้รับผลกระทบรายได้หดหาย เมื่อได้แจ้งเรื่องนี้ไปยัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ทราบว่า วันนี้ท่านได้สั่งการ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต อธิบดีกรมการปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการแก้ปัญหาทันที จึงต้องขอขอบคุณ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ที่ไม่ปล่อยผ่านและสั่งการกำชับเจ้าหน้าที่อย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ขอเอาใจช่วยให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งลงสแกนพื้นที่ตรวจสอบปราบปรามและกวาดล้างมาเฟียต่างชาติที่ ที่อาศัยประเทศไทยลักลอบทำมาหากินอย่างผิดกฎหมาย ใช้ช่องทางเครือข่ายยาเสพติด เข้ามามอมเมานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศที่มาเที่ยวในสถานบันเทิง หากมีการปูพรมปฏิบัติการพิเศษสแกนพื้นที่อย่างเข้มงวด เพื่อเป็นการตัดวงจรการฟอกเงินในธุรกิจสีเทาของชาวต่างชาติ ที่มาในรูปแบบ แอบอ้างร่วมมือกับคนไทยโดยใช้เรื่องความสัมพันธ์แต่งงานเป็นสามีภรรยากับคนไทยมาบังหน้าเพื่อทำธุรกิจ เชื่อว่าหากมีปฏิบัติการตรวจสอบ กวาดล้างกลุ่มมาเฟียที่ทำผิดและไม่เกรงกลัวกฎหมายอย่างต่อเนื่องจริงจัง จะสามารถแก้ปัญหานี้ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมได้

“หากปราบมาเฟียชาวต่างชาติในพื้นที่ได้ มั่นใจว่าจะช่วยผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจสุจริตใน จ.ภูเก็ต มีกิจการที่ดีขึ้น รายได้จากภาษีของผู้ประกอบการก็เข้าประเทศได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในภูเก็ตและพื้นที่ภาคใต้บูม มีนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มากกว่าปริมาณมากขึ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจท่องเที่ยวจะเติบโตได้ตามที่ภาครัฐตั้งเป้าไว้” นายธนกร กล่าว

‘ชาวไทย’ จองเที่ยวจีนพุ่งสูง หลังเปิดศักราช 'ยุคฟรีวีซ่า' สัมพันธ์ครั้งใหญ่ ดัน ‘ธุรกิจ-วัฒนธรรม’ 2 ชาติแน่นแฟ้น

(4 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนและไทยสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดศักราช ‘ยุคปลอดวีซ่า’ ระหว่างจีนและไทยซึ่งเป็นประเทศที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งนักท่องเที่ยวที่สำคัญของกันและกัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และนักท่องเที่ยวชาวไทยก็เดินทางไปเที่ยวยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ในวันแรกของการดำเนินข้อตกลงยกเว้นวีซ่า ด่านตรวจคนเข้าเมืองหลายแห่งในจีนมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศแตะจุดสูงสุด โดยเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เที่ยวบิน ดีดี3110 (DD3110) ซึ่งให้บริการโดยสายการบินนกแอร์ บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่นครหนานหนิง ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีนอย่างราบรื่นในช่วงเที่ยง โดยในเที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารชาวไทย 56 รายที่ใช้สิทธิ์นโยบายฟรีวีซ่าได้สำเร็จในขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและเริ่มการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจีน

นักเดินทางชาวไทยคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางเข้าประเทศจีนจะสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากการยกเว้นวีซ่าดังกล่าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจที่เดินทางระหว่างจีนและไทยในระยะยาว

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวของจีน พบว่าปัจจุบันมีเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยที่ด่านหนานหนิงราว 46 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางการบินของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารชาวไทยทั้งขาเข้าและขาออกผ่านด่านหนานหนิงคิดเป็น 2 ใน 5 ของจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเหตุผลหลักในการเดินทางเข้าออกประเทศจีนคือการท่องเที่ยว การเยี่ยมครอบครัว และการเดินทางเพื่อธุรกิจ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ซีทริป (www.ctrip.com) ระบุว่าในวันที่ 1 มี.ค. ยอดจองผลิตภัณฑ์ของนักเดินทางชาวไทยไปยังจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 160 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 โดยเมืองระดับหนึ่งของจีนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางชาวไทย ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว ขณะเดียวกันการค้นหาและพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเมืองต่างๆ อย่างฉงชิ่งและซีอัน ของคนไทยรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมจีนสมัยนิยม อาทิ ภาพยนตร์และซีรีส์จีนในเว็บไซต์ฯ ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ จีนยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวน้ำแข็งและหิมะที่ใกล้ที่สุดของไทย โดยตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว การท่องเที่ยวธีมน้ำแข็งและหิมะในกว่างซี อวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ฮาร์บิน และภูมิภาคอื่นๆ ต่างได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่นไทย เป็นอย่างมาก

อ้ายหนิง ชาวไทยที่ศึกษาและทำงานในหนานหนิงมานานหลายปี ระบุว่าหลายปีที่ผ่านมาเธอได้เห็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วของจีน รวมถึงความสำเร็จในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยหลังจากการดำเนินนโยบายยกเว้นวีซ่าร่วมกัน เธอตั้งตารอที่จะเห็นเพื่อนชาวไทยเดินทางมายังจีนและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ในจีนมากขึ้น โดยเธอระบุว่าชาวไทยที่เดินทางมายังจีน จะได้สัมผัสกับความงดงามของภูมิประเทศทางธรรมชาติของจีน และรับรู้ถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีของจีน อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและพลังงานใหม่ อีกทั้งจะได้ลิ้มรสชาติอาหารอร่อยๆ มากมายด้วย

อ้ายหนิง ระบุว่า พื้นที่ชมวิวและจุดให้บริการหลายแห่งในจีนได้ติดตั้งป้ายภาษาไทย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวไทย เธอแนะนำให้เพื่อนชาวไทยที่เดินทางมาจีนทำความเข้าใจในนโยบายฟรีวีซ่าและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีการชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มบนโทรศัพท์มือถือของจีน รวมถึงศึกษาแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ เหม่ยถวน เสี่ยวหงซู เพื่อเป็นคู่มือในการเดินทาง

เหยาหัว ผู้อำนวยการสถาบันสังคมวิทยา สังกัดสถาบันสังคมศาสตร์กว่างซี ระบุว่าการยกเว้นวีซ่าร่วมกันระหว่างจีนและไทยจะช่วยเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้คนจากทั้งสองประเทศดำเนินการเจรจาทางธุรกิจและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น อันเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตรระหว่างจีนและไทย

ส่อง 'เขมร' จัด 'เรือรบ' พร้อมทหารกล้า เตรียมล่าขุมทรัพย์ไทย ส่วนประเทศไทยมี 'เรือประมงสู้' พร้อมนักการเมืองส้มชักธงรบ

ประเด็น 'เกาะกูด' ที่คนไทยถูก 'มนต์เขมร' อ้างอีกครั้งว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน หวังจะตะกายฮุบไปครองเพื่อ 'สมบัติใต้ทะเลลึก' ในอนาคต ผมคิดว่ายังไงก็เป็นได้แค่ 'ปาหี่ยี่ห้อเขมร' ที่ถนัดแต่แสวงหาสมบัติของคนอื่นมาเป็นของตัวเองหน้าตาเฉย

ที่ผ่านมาก็ลักเอาทรัพย์สินทางปัญญา, ศิลปะการต่อสู้, แผ่นดิน บัดนี้ก็ถึงเวลาของท้องทะเลไกล 

แต่งานนี้ 'เป็นไปได้' ที่มี 'คนไทยนิสัยขายชาติ' รวมหัวเล่นบทตีสองหน้า แฝงหัวใจเป็น 'พ่อค้าสินในน้ำ' เพราะไม่ใช่จะมีแค่เพชร, พลอย หรือปะการังแปลก ๆ งาม ๆ แต่คือ แหล่งน้ำมันใต้ทะเลไทย ที่หากใครครอบครองได้ก็จะร่ำรวย มีเงินมากกว่า 'Bernard Arnault' และ 'Elon Musk' รวมกันเป็นแรงจูงใจให้คิดทรยศชาติตัวเอง 

แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็จะหายไปกับสายลม เมื่อคนไทยตื่น และตระหนักถึงความหวงแหนแผ่นดิน...โจรต่างชาติอย่างเขมร ก็ต้องคิดหนัก

อย่างไรเสีย ก็มีข่าวโปรยออกมาสักพักแล้วว่า 'นักลักชาวเขมร' ได้เตรียมเรือรบ ทหารกล้า อาวุธหนัก มาตรึงกำลังใกล้เราแค่จมูก หวังขู่ให้คนไทยกลัว แต่คนไทยอย่างพวกเรามี 'กองทัพเรือประมง' ที่อดีตหัวหน้าพรรคการเมืองล้มสถาบัน คอยใช้อวน สุ่ม เบ็ด ตาข่าย และแห เป็นอาวุธประจำเรือ ก็ยากที่ 'เขมรหิว' จะฝ่าด่าน 'เรือประมงส้ม' ของนายพล พิธา จมูกยาว ผู้บัญชาการประมงคนปัจจุบันเข้ามาได้

เขมรใช้เรือรบ ใช้ปืน ใช้ทหาร แต่เราชาวไทยตะโกนถามเขมรกลับไปดังก้องทะเลว่า “ทหารมีไว้ทำไม?” ทำให้เขมรสามสี่ห้าฝ่าย งง จนต้องหยุดชะงักแผนการกลืนเกาะของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเราลงชั่วคราว 

'มหาโจรยึดเกาะ' ต่างสงสัยในคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” จนต้องเอา 'ปริศนาธรรม' ของ 'นายพลส้ม' มาขบคิดต่อถึงความปราดเปรื่องเรื่องการปกป้องผืนทะเลไทย 

เรื่องราวของ 'เกาะกูด' ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีบทสรุปออกมาในเนื้อข่าว แต่เดาได้ง่าย ๆ ว่า สิ่งใดที่เป็นของคนไทย ก็จะเป็นของไทยวันยังค่ำ สิ่งใดที่ฉลาดล้ำ ก็จะไม่มีทางโง่เง่าเต่าตุ่น 

'ทหารมีไว้ทำไม?' ไม่เห็นต้องเก็บเอาไปคิดเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top