Monday, 19 May 2025
ค้นหา พบ 48202 ที่เกี่ยวข้อง

‘ครูชาวลาว’ โดนถล่มยับ!! คอมเมนต์แรงไล่ ‘ไอซ์ ปรีชญา’ ไปตาย หลังซึมเศร้าด่ำดิ่ง ‘ชาวเน็ต’ รุมประณาม ‘อย่าเป็นเลยครู-ใช้อะไรคิด’

เมื่อวานนี้ (20 ก.พ. 67) จากกรณี นางเอกสาว ไอซ์ ปรีชญา ซึ่งมีอาการโรคซึมเศร้าอยู่แล้วด้วย โพสต์ข้อความตัดพ้อระบายความในใจว่า “แม่ขอเงิน พ่อขอเงิน มีแฟนเหมือนไม่มี จะอยู่เพื่อ โทรหาครอบครัว คนรักว่าไอซ์ไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้วนะ ทุกคนเฉยเมย ถ้าวันหนึ่งมันไม่มีไอซ์จริงๆ ขอให้รู้ว่าเป็นเพราะครอบครัว คนรัก

ไม่ใช่เพื่อนหรือแฟนคลับที่ตัดสินใจทำให้ไอซ์คิดสั้น ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หลังจากนี้ไปทุกคนจะได้รู้ความจริงสักที ว่าชีวิตไอซ์ ไม่มีใครอยากแม้กระทั่งจะเป็นหรอกแค่หนึ่งวัน”

สร้างความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางเอกสาว ไอซ์ ปรีชญา ทำเอาแฮชแท็ก #ไอซ์ปรีชญา ขึ้นเทรนด์ X (ทวิตเตอร์) เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้

ขณะที่ เพจอีกี้ขยี้ข่าว ตามล่าอีตุ่นน้อย แคปคอมเมนต์มีคนคอมเมนต์ถึงไอซ์ด้วยถ้อยคำแย่ๆ ไม่อยากอยู่ก็ไปตาย… พร้อมข้อความประณาม ฝากไปถึงเป็นครูสอนภาษา ซึ่งเป็นคน สปป.ลาว
แล้วเมนต์แบบนี้! อย่าเป็นครูเลยมันแสดงให้เห็นพื้นฐานการศึกษา เราเป็นคนอีสานนะ ชอบคนลาวมาก ไปลาวบ่อย แต่ไม่เคยเห็นคนแบบนี้เลย รบกวนช่วยประณาม! ด้วยนั้น

โดยเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์คอมเมนต์แรงฟาดกลับ ครูสอนภาษา คนดังกล่าว ใช้อะไรคิดด้วย อาทิ คนล้มอย่าข้าม # น่าจะเป็นที่ สด. นะค่ะกี้, เป็นคอมเมนต์ที่ใช้ … คิดแทนสมอง, เราก็ลาวค่ะพี่กี้แต่ไม่เป็นแบบป้าคนนี้นะ เป็นต้น

'รมว.ปุ้ย' เผย!! ครม. เห็นชอบราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ปี 65/66 ที่ 1,197.53 บาท/ตัน  ราคาอ้อยขั้นต้น ปี 66/67 ที่ 1,420 บาท/ตัน ช่วยดันรายได้ชาวไร่อ้อย

(21 ก.พ.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เห็นชอบราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ปี 2565/66 ราคาเฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราที่ 1,197.53 บาท/ตัน ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. กำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อย เท่ากับ 71.85 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย 513.23 บาท/ตัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งเพิ่มขึ้น 117.53 บาท/ตัน จากราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2565/66 ที่ราคา 1,080 บาท/ตัน ซึ่งการที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีรายได้เพิ่มขึ้นจะสามารถเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังมีมติเห็นชอบราคาอ้อยขั้นต้น ปี 2566/67 ในอัตรา 1,420 บาท/ตัน ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. กำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 85.20 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย 608.57 บาท/ตัน เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะได้รับค่าอ้อยสำหรับนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเพาะปลูก การบำรุงรักษาอ้อย และการดำรงชีพต่อไป

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ปี 2565/66 และราคาอ้อยขั้นต้น ปี 2566/67 สอน. จะดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ถือว่าไม่ขัดกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ

สอน. ได้ติดตามสถานการณ์ผลผลิตอ้อยเข้าหีบและเฝ้าระวังการเผาอ้อย ฤดูการผลิตปี 2566/67 นับตั้งแต่วันเปิดหีบ (10 ธันวาคม 2566) ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นระยะเวลา 72 วัน มีปริมาณอ้อยเข้าหีบ 68.41 ล้านตัน แบ่งเป็นปริมาณอ้อยสด 48.86 ล้านตัน ปริมาณอ้อยถูกลักลอบเผา 19.55 ล้านตัน และมีจุดความร้อน (Hotspot) สะสมในพื้นที่ปลูกอ้อย 47 จังหวัด จำนวน 2,159 จุด หรือคิดเป็น 6.45% จากจุดความร้อน (Hotspot) สะสมที่พบในประเทศ 33,448 จุด จะเห็นได้ว่ามีจุดความร้อน (Hotspot) สะสมนอกพื้นที่ปลูกอ้อยสูงถึง 31,289 จุด หรือคิดเป็น 93.55% จากจุดความร้อน (Hotspot) สะสมที่พบในประเทศ

‘SAVAK’ ตำรวจลับของ ‘Shah แห่งอิหร่าน’ สมัยราชวงศ์ปาห์ลาวี องค์กรที่ขึ้นชื่อด้าน ‘การทรมาน’ จนทำให้ชาวอิหร่าน ‘เกลียดชัง-หวาดกลัว’

สืบเนื่องจากที่ผู้เขียนได้โพสต์เล่าเรื่องราวของงานวันชาติสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และฉลอง 400 ปี ความสัมพันธ์สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและราชอาณาจักรไทยใน FB ดร.โญ มีเรื่องเล่า ของผู้เขียน มีผู้อ่านท่านหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับงานวันชาติซึ่งเป็นวันฉลองชัยชนะ 45 ปีการปฏิวัติอิสลามของอิหร่านอีกด้วย ซึ่งผู้เขียนจึงได้อธิบายว่า “บริบทของแต่ละประเทศแตกต่างกันครับ บทบาทหน้าที่ของราชวงศ์ก็แตกต่างกันออกไปด้วย บูรพมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่ก่อร่างสร้างชาติมาร่วมพันปี กระทั่งถึงราชวงศ์จักรีสามารถครองคนและครองใจได้ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยเพราะพระราชกรณียกิจอันทรงประโยชน์มากมายมหาศาลแก่พสกนิกรทั่วหล้า เอามาเปรียบกันไม่ได้ดอกครับ ทุกวันนี้สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านยังคงยึดมั่นในสถาบันศาสนาอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ชาติไทยของเราดำรงคงอยู่ได้ด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สามสถาบันหลักอันเป็นที่เคารพรักยิ่งของคนไทยครับ”

Mohammad Reza Pahlavi (Shah of Iran)

จึงขอนำเรื่องราวสาเหตุสำคัญประการหนึ่งอันเป็นสาเหตุการล่มสลายของราชวงศ์  Pahlavi มาบอกเล่าให้ได้ทราบ ระบอบการปกครองของอิหร่านภายใต้ Mohammad Reza Pahlavi (Shah of Iran) เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งได้รับความสนับสนุนอย่างเต็มที่จากประเทศมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ได้มีการสนับสนุนต่อกษัตริย์ Reza Pahlavi มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและที่ปรึกษาทางทหาร การขายอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย อาทิ เครื่องบินขับไล่แบบ F-14 ซึ่งสหรัฐฯ ไม่เคยขายให้กับชาติใดเลย คงมีใช้แต่เพียงกองทัพเรือสหรัฐฯ และกองทัพอากาศอิหร่านเท่านั้น ภายหลังจากการรัฐประหารในอิหร่าน ปี 1953 ด้าน Mohammad Mosaddeq นายกรัฐมนตรีถูกปลดออกจากตำแหน่ง กษัตริย์ Reza Pahlavi ได้ทรงตั้งหน่วยข่าวกรองขึ้นโดยมีอำนาจเช่นเดียวกับตำรวจ เป้าหมายของ Shah คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบการปกครองของพระองค์ โดยการจัดวางฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองให้อยู่ภายใต้การสอดแนมและมีการปราบปรามการเคลื่อนไหวของเหล่าบรรดาผู้ที่เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม

นายพล Teymur Bakhtiar 

สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ได้ส่งพันเอกสังกัดกองทัพบกสหรัฐฯ ไปยังอิหร่านในเดือนกันยายน 1953 เพื่อทำงานร่วมกับนายพล Teymur Bakhtiar ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเตหะราน (ฝ่ายทหาร) ในเดือนธันวาคม 1953 และเริ่มรวบรวมแกนกลางขององค์กรข่าวกรองใหม่ทันที พันเอกนายดังกล่าวทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายพล Bakhtiar และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา โดยจัดระบบสั่งการสำนักงานข่าวกรองใหม่และฝึกอบรมสมาชิกเกี่ยวกับเทคนิคข่าวกรองขั้นพื้นฐาน เช่น วิธีการสอดแนมและการสอบสวน การใช้เครือข่ายข่าวกรอง และการรักษาความปลอดภัยขององค์กร องค์กรนี้เป็นหน่วยข่าวกรองที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพแห่งแรกที่ดำเนินงานในอิหร่าน ความสำเร็จหลักเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 1954 เมื่อหน่วยงานของนายพล Bakhtiar สามารถค้นพบและทำลายเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ของ Tudeh (พรรคคอมมิวนิสต์ของอิหร่าน) ที่จัดตั้งขึ้นในกองทัพอิหร่านได้สำเร็จ

พลตรี Herbert Norman Schwarzkopf

ในเดือนมีนาคม 1955 CIA ได้ส่งทีมงานซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของ CIA 5 นายมาแทนที่ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติการลับ การวิเคราะห์ข่าวกรอง และการต่อต้านข่าวกรอง รวมถึงพลตรี Herbert Norman Schwarzkopf (บิดาของพลเอก Norman Schwarzkopf Jr. ผบ.กองกำลังพันธมิตรในยุทธการพายุทะเลทราย) ที่ดำเนินการ ‘ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของ SAVAK รุ่นแรกเกือบทั้งหมด’ ในปี 1956 หน่วยงานนี้ได้รับการจัดระเบียบใหม่และตั้งชื่อว่า Sazeman-e Ettela'at va Amniyat-e Keshvar (SAVAK) การจัดการต่าง ๆ รวมทั้งการฝึกฝนอบรมถูกแทนที่ด้วยเจ้าหน้าที่ของ SAVAK เองในปี 1965 SAVAK มีอำนาจเซ็นเซอร์สื่อ คัดกรองผู้สมัครเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ และ ติดตามแหล่งข้อมูลตะวันตกที่เชื่อถือได้ โดยใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็น รวมถึงการตามล่า การทรมานเหล่าบรรดาผู้เห็นต่าง หลังปี 1963 Shah ทรงขยายหน่วยงานรักษาความมั่นคงของพระองค์ ซึ่งรวมถึง SAVAK ที่ขยายจนมีจำนวนเจ้าหน้าที่เต็มเวลามากกว่า 5,300 ราย และสายข่าวอีกเป็นจำนวนมาก (ไม่ทราบจำนวน) ในปี 1961 รัฐบาลอิหร่านได้ปลดนายพล Teymur Bakhtiar ซึ่ง ผู้อำนวยการคนแรกของหน่วยงานนี้ออก และต่อมาเขาก็กลายเป็นผู้เห็นต่างทางการเมืองของรัฐบาลอิหร่าน ในปี 1970 เจ้าหน้าที่ SAVAK ได้ลอบสังหารเขา โดยทำให้ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นเหมือนอุบัติเหตุ

นายพล Hassan Pakravan

นายพล Hassan Pakravan ผู้อำนวยการ SAVAK ตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1966 เขามีชื่อเสียงในด้านความอ่อนโยนและมีเมตตา เช่น รับประทานอาหารร่วมกับอยาตุลลอฮ์ Khomeini เป็นประจำทุกสัปดาห์ ขณะที่โคไมนีถูกกักบริเวณในบ้าน และต่อมาได้เข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันการประหารชีวิตของอยาตุลลอฮ์ Khomeini โดยให้เหตุผลว่า เรื่องดังกล่าวจะ ‘ทำให้ประชาชนทั่วไปของอิหร่านโกรธเคือง’ อย่างไรก็ตาม หลังการปฏิวัติอิหร่าน นายพล Pakravan กลับเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่กลุ่มแรก ๆ ของ Shah ที่ถูกรัฐบาลของอยาตุลลอฮ์ Khomeini ประหารชีวิต นายพล Pakravan ถูกแทนที่ในปี 1966 โดยนายพล Nematollah Nassiri ซึ่งเป็นนายทหารใกล้ชิดของ Shah และมีการจัดระบบใหม่และมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเมื่อเผชิญกับกลุ่มติดอาวุธฝ่ายซ้ายและกลุ่มอิสลามิสต์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความไม่สงบทางการเมือง รวมถีงเป็นผู้จุดชนวนแงความเกลียดชังของชาวอิหร่านต่อ Shah 

นายพล Nematollah Nassiri

จุดเปลี่ยนในชื่อเสียงของ SAVAK ในด้านความโหดร้ายที่โหดเหี้ยมมีรายงานว่ามีการโจมตีที่ทำการทหารในหมู่บ้าน Siahkal แคสเปียนโดยกลุ่มมาร์กซิสต์ติดอาวุธกลุ่มเล็ก ๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ 1971 อีกทั้งมีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ของ SAVAK ได้ทรมานจนอยาตอลเลาะห์ Muhammad Reza Sa'idi นักบวชชีอะห์จนเสียชีวิต ในปี 1970 ตามคำบอกของ Ervand Abrahamian นักประวัติศาสตร์การเมืองชาวอิหร่านซึ่งระบุว่า หลังจากการโจมตีครั้งนั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนของ SAVAK ถูกส่งไปต่างประเทศเพื่อรับการฝึกอบรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อป้องกันการเสียชีวิตที่ไม่พึงประสงค์จาก 'การใช้กำลังอย่างโหดเหี้ยม' ซึ่งประกอบด้วย Bastinado (การเฆี่ยนตรงฝ่าเท้า) การบังคับให้อดนอน การขังเดี่ยวอย่างยาวนาน การไฟฉายส่องนาน ๆ การยืนขาเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง การถอนเล็บ งู (นิยมใช้กับผู้หญิง) การช็อตไฟฟ้าด้วยตราประทับสัตว์ (ซึ่งมักจะสอดเข้าทางทวารหนั​​ก) การจี้ด้วยบุหรี่ การนั่งบนเตาร้อน การหยดน้ำกรดเข้ารูจมูก การจับกดน้ำ การข่มขู่ทรมานต่าง ๆ และการใช้เก้าอี้ไฟฟ้าที่มีหน้ากากโลหะขนาดใหญ่เพื่อปิดเสียงกรีดร้อง (อุปกรณ์นี้เรียกว่า Apollo แคปซูลอวกาศของสหรัฐอเมริกา) นอกจากนี้ นักโทษยังถูกทำให้อับอายจากการข่มขืน การปัสสาวะรด และการถูกบังคับให้ยืนเปลือยกาย 

Bastinado (การเฆี่ยนตรงฝ่าเท้า)

แม้จะมีวิธีการ 'ทางวิทยาศาสตร์' ใหม่ แต่การทรมานที่เลือกยังคงเป็นวิธีการดั้งเดิมที่ใช้ในการตีฝ่าเท้า ‘เป้าหมายหลัก’ ของการทารุณกรรมโดยการใช้วิธี Bastinado คือ “การค้นหาคลังอาวุธ สถานที่หลบซ่อน และสอบเค้นหาผู้สมรู้ร่วมคิด” Abrahamian ประเมินว่า SAVAK (รวมถึงตำรวจและทหารหน่วยอื่น ๆ) สังหารฝ่ายต่อต้านไปราว 368 คน รวมทั้งผู้นำขององค์กรต่อต้านในเมืองใหญ่ ๆ (องค์กร Fedai Guerrillas แห่งประชาชนอิหร่าน, Mujahedin ของประชาชนแห่งอิหร่าน) เช่น Hamid Ashraf ระหว่างปี 1971–1977 และมีการประหารชีวิตนักโทษทางการเมืองมากถึง 100 คน ระหว่างปี 1971 ถึง 1979 ซึ่งเป็นยุคที่มีความรุนแรงที่สุดในระหว่างการดำรงอยู่ของ SAVAK ภายในสิ้นปี 1975 กวี นักประพันธ์ อาจารย์ ผู้กำกับละคร และผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงจำนวน 22 คน ถูกจำคุกเนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครองของ Shah และอีกหลายคนถูกทำร้ายร่างกายเนื่องจากปฏิเสธที่จะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ การปราบปรามผ่อนคลายลงเนื่องจากการประชาสัมพันธ์และการตรวจสอบโดย ‘องค์กรระหว่างประเทศและหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจำนวนมาก’ และเมื่อ จิมมี คาร์เตอร์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และเขาได้หยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนในรัฐจักรวรรดิแห่งอิหร่านขึ้นมา ทำให้สภาพภายในเรือนจำเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ผู้ต้องขังขนานนามสิ่งนี้ว่าเป็นรุ่งอรุณของระบอบ ‘Jimmykrasy’

ส่วนหนึ่งของภาพผู้ที่เสียชีวิตและสูญหายด้วยฝีมือเจ้าหน้าที่ของ SAVAK

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคำถามเกี่ยวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันโดยนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยหลายคน เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าอิหร่านไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานลับ นักประวัติศาสตร์จำนวนมากให้ตัวเลขที่ขัดแย้งกันสำหรับจำนวนบุคลากรของ SAVAK ตั้งแต่ 6,000 ถึง 60,000 คน ในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของ Shah เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1974 Shah ตรัสว่า พระองค์เองก็เขาไม่ทราบจำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK ที่แน่นอน อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงประเมินว่า จำนวนเจ้าหน้าที่ของ SAVAK ทั้งหมดคงจะน้อยกว่า 2,000 คน สำหรับคำถามเกี่ยวกับ ‘การทรมานและความโหดร้าย’ ของ SAVAK Shah ทรงตอบว่า รายงานของหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ ‘ความเด็ดขาดและความโหดร้ายของ SAVAK’ เป็นการโกหกและการใส่ร้าย เอกสารแผ่นพับที่เผยแพร่หลังการปฏิวัติอิสลามระบุว่า มีชาวอิหร่าน 15,000 คนเป็นเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการของ SAVAK ไม่รวมถึงสายข่าวที่ไม่เป็นทางการอีกเป็นจำนวนมาก

ในช่วงที่มีอำนาจสูงสุด SAVAK มีพลังที่แทบไม่มีขีดจำกัด ดำเนินการศูนย์กักขังของตนเอง เช่น เรือนจำเอวิน นอกเหนือจากการรักษาความปลอดภัยภายในประเทศแล้ว ภารกิจของ SAVAK ยังขยายไปถึงการสอดแนมชาวอิหร่านในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะนักศึกษาที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาล นอกจากนั้นแล้ว SAVAK ยังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ CIA โดยส่งสายลับไปยังนครนิวยอร์กเพื่อแบ่งปันและหารือเกี่ยวกับกลวิธีในการสอบสวน นิตยสารไทม์เขียนในช่วงเวลาแห่งการโค่นล้มพระเจ้าชาห์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1979 โดยบรรยายถึง SAVAK ว่าเป็น ‘หน่วยงานที่ชาวอิหร่านทั้งเกลียดชังและหวาดกลัวที่สุดมายาวนาน’ ซึ่ง ‘ได้’ ทำการทรมานและสังหารศัตรูของ Shah ไปหลายพันคน นักวิทยาศาสตร์อเมริกันยังพบว่ามีความผิดฐาน ‘ทรมานและประหารชีวิตนักโทษการเมืองหลายพันคน’ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การปกครองของ Shah ระหว่างปี 1963-79’ รายการวิธีการทรมาน SAVAK  ได้แก่ ‘การช็อตไฟฟ้า การเฆี่ยนตี การทุบตี การเหยียบแก้วที่แตก และการเทน้ำเดือดลงในทวารหนัก การมัดตุ้มน้ำหนักไว้ที่ลูกอัณฑะ และการถอนฟันและถอดเล็บ’

พิพิธภัณฑ์ ‘Ebrat’ ในอดีตเรือนจำ Towhid ใจกลางกรุงเตหะราน
เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารและเรื่องราวความโหดร้ายของ SAVAK

SAVAK ถูกปิดตัวลงไม่นานก่อนการโค่นล้ม Shah และการขึ้นสู่อำนาจของอยาตุลลอฮ์ Ruhollah Khomeini ในการปฏิวัติอิหร่านเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1979 หลังจากการจากไปของ Shah ในเดือนมกราคม 1979 เจ้าหน้าที่ส่วนกลางและสายข่าวกว่า 3,000 คนของ SAVAK ตกเป็นเป้าหมายของการแก้แค้น อย่างไรก็ตาม Hossein Fardoust อดีตเพื่อนร่วมชั้นวันเด็กของ Shah ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการของ SAVAK จนกระทั่งเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการของจักรวรรดิอิหร่าน หรือที่รู้จักในชื่อหน่วยข่าวกรองพิเศษ เพื่อตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง รวมถึงผู้อำนวยการของ SAVAK แต่ต่อมา Fardoust ได้เปลี่ยนข้างระหว่างการปฏิวัติและสามารถรักษาเจ้าหน้าที่ของ SAVAK จำนวนมากไว้ได้ ตามคำกล่าวของ Charles Kurzman นักเขียนซึ่งระบุ SAVAK ไม่เคยถูกปิด เพียงแค่เปลี่ยนชื่อและผู้นำ และดำเนินการต่อด้วยหลักปฏิบัติเดิม และมี ‘เจ้าหน้าที่’ ที่ปฏิบัติงานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง SAVAK ถูกแทนที่ด้วย ‘ที่ใหญ่กว่ามาก’ SAVAMA (Sazman-e Ettela'at va Amniat-e Melli-e Iran) หรือที่รู้จักในชื่อว่ากระทรวงข่าวกรองและความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน ภายหลังการปฏิวัติอิหร่าน มีการเปิดพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งขึ้นในอดีตเรือนจำ Towhid ใจกลางกรุงเตหะรานที่เรียกว่า ‘Ebrat’ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเอกสารและเรื่องราวความโหดร้ายของ SAVAK แน่นอนว่า ไม่มีสถาบันหลักใด ๆ ในโลกนี้จะสามารถดำรงคงอยู่ได้โดยปราศจากความรัก ความศรัทธา ของประชาชนคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้น ๆ ซึ่งเกิดจากความวิริยะ อุตสาหะ ความเมตตากรุณา ของสมาชิกในสถาบันหลักนั้น ๆ และกลายเป็นพลังแห่งความจงรักภักดีที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นที่ปรากฏให้เห็นในบ้านเมืองของเราอยู่เสมอมาและจะดำรงคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป 

'ค่าครองชีพ' พุ่ง!! ทำคนซื้อบ้านต่ำ 3 ล้าน เริ่มผ่อนไม่ไหว พบ!! หนี้เสียสินเชื่อบ้านทะลัก 1.2 แสนล้านบาท

(21 ก.พ.67) ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัวตามที่คาด อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาวะหนี้ครัวเรือนและกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้บริโภคชะลอแผนซื้อบ้านออกไปก่อน ทำให้ภาพรวมความต้องการซื้อทั่วประเทศในไตรมาสล่าสุดลดลง 14% และลดลงทุกประเภทที่อยู่อาศัย สวนทางภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศที่ปรับขึ้นตามต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นอุปสรรคต่อกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ที่มองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (ไตรมาส 4 ปี 2562) พบว่า ภาพรวมความต้องการซื้อในระยะยาวยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยความต้องการซื้อคอนโดฯ ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด 12% ตามมาด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 10% และบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 2%

นอกจากนี้ยังพบว่าที่อยู่อาศัยราคา 1-3 ล้านบาท มีจำนวนมากที่สุดในตลาดด้วยสัดส่วน 30% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคระดับล่าง ยังคงไม่มีกำลังซื้อเพียงพอที่จะดูดซับอุปทานเหล่านี้

สอดคล้องกับข้อมูลของเครดิตบูโรที่พบว่าหนี้เสียจากสินเชื่อบ้านเพิ่มสูงขึ้น ผู้ซื้อระดับล่างเริ่มผ่อนบ้านไม่ไหวจากปัญหาค่าครองชีพที่แพงขึ้น โดยประมาณ 60-70% ของหนี้ที่กำลังจะเสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือประมาณ 1.2 แสนล้านบาท มีปัญหามาจากคนที่ผ่อนบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง

สำหรับภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกับภาพรวมของทั้งประเทศ พบว่าดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้น 4% เทียบปีก่อน โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นทุกรูปแบบที่อยู่อาศัย ส่วนคอนโดฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุดเพิ่มขึ้น 5% เทียบปีก่อน ตามมาด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 3% เทียบปีก่อนและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 3% เทียบปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนการก่อสร้างโครงการใหม่ที่กลายเป็นปัจจัยกดดันให้ผู้ประกอบการต้องวางกลยุทธ์เพื่อปรับราคาให้สอดคล้องกับทั้งต้นทุนและกำลังซื้อของผู้บริโภค

ทั้งนี้ราคาบ้านที่แพงขึ้นในยุคที่อัตราดอกเบี้ยสูงกลายเป็นความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภค ทำให้ความต้องการซื้อในกรุงเทพฯ ลดลงอย่างมาก โดยภาพรวมความต้องการซื้อลดลง 15% เทียบไตรมาสก่อนและลดลง 27% เมื่อเทียบปีก่อน 

อย่างไรก็ดี หากมองในระยะยาวเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ภาพรวมความต้องการซื้อในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นบวก โดยความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 8% ซึ่งบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 10% สวนทางกับความต้องการระยะสั้น ตามมาด้วยคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 8% และทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 5%

สำหรับทำเลที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในกรุงเทพฯ ในไตรมาสล่าสุด ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ และกรุงเทพฯ รอบนอก อันดับ 1 ได้แก่ เขตบางเขน เพิ่มขึ้น 16% เทียบไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 10% เทียบปีก่อนด้วยทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า 2 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และยังอยู่ใกล้สนามบินดอนเมืองจึงเชื่อมต่อการเดินทางได้อย่างสะดวก ตามมาด้วยเขตบางกอกใหญ่ เพิ่มขึ้น 15% เทียบไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 24% เทียบปีก่อน, เขตลาดกระบัง เพิ่มขึ้น 13% เทียบไตรมาสก่อน ลดลง 5% เทียบปีก่อน , เขตบางขุนเทียน เพิ่มขึ้น 9% เทียบไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 1% เทียบปีก่อน และเขตประเวศ เพิ่มขึ้น 6% เทียบไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้น 10% เทียบกับปีก่อน

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า หากมองภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้อาจไม่ได้สดใสเท่าใดนัก ยังมีปัจจัยท้าทายที่สืบเนื่องมาจากปีก่อนหน้า ทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวไม่มากนัก อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมทั้งค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง ปัจจัยเหล่านี้กำลังผลักให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ต้องชะลอการซื้อบ้านออกไปก่อน

‘ลำไย ไหทองคำ’ ประกาศรับสมัคร ‘แดนเซอร์ชายแท้’ ชาวเน็ตตาลุกวาว!! หลังการันตีรายได้สูงสุดเฉียด ‘แสน’

(21 ก.พ. 67) ทำเอาหลายๆ คนถึงกับตาโต เมื่อได้เห็นประกาศการรับสมัครแดนเซอร์ชายแท้ของ ‘ลำไย ไหทองคำ’ พร้อมรายได้ที่จะได้รับนั้นค่อนข้างสูงมาก ขนาดนักร้องรุ่นใหญ่อย่าง ‘มอส ปฏิภาณ’ ยังสนใจไปขอสมัคร โดยสาวลำไยได้โพสต์ประกาศรับสมัครว่า…  

"ลำไย ไหทองคำ รับสมัคร DANCER ชายแท้ 2 คน

>> คุณสมบัติ
- ชายแท้ อายุระหว่าง 20-35 ปี
- สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการเต้น
- ไลน์เต้นดี ชัดเจน แข็งแรง เต้นได้หลายแนว
- นิสัยดี มีวินัย ขยัน อดทน สู้งาน สามารถเดินทางไปงานคอนเสิร์ตได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยไม่ติดภารกิจใดๆ
- สามารถอุ้มหรือยกแดนเซอร์หญิงได้ (จะพิจารณาเป็นพิเศษ)

>> วิธีการสมัคร
- แอดไลน์ สแกน QR Code ด้านล่าง
- ส่งรูปถ่ายหน้าตรง (กล้องสด) และคลิปสเต็ปการเต้นของตนเองมาที่ไลน์ เพื่อทำการ
คัดเลือก
- ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ทางค่ายจะนัดมา Audition รอบสุดท้ายเพื่อทำการตัดสิน

(การันตีรายได้ 6x,xXX - 1xX,xXX บาท/เดือน)" 

ทำเอาเหล่าบรรดาแฟนคลับตาลุกวาวกันเป็นแถว และต่างเข้ามาคอมเมนต์ขอสมัครอย่างล้นหลาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top