Saturday, 17 May 2025
ค้นหา พบ 48160 ที่เกี่ยวข้อง

‘แม่ปุ้ย TPN’ เร่งพูดคุย-จี้ ‘247 Ent.’ ชี้แจง หลังเกิดดรามาไม่มีรูป ‘พีพี’ บนบัตร ‘MUT MAX’ 

‘ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก’ หรือ ‘แม่ปุ้ย TPN’ เจ้าแม่มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ โร่ชี้แจงด่วน หลังมีดราม่า ไม่มีภาพของ ‘พีพี ฤกษฏ์ อำนวยเดชกร’ บนบัตร ‘MUT MAX’ ถือเป็นการไม่ให้เกียรติ และถ้าไม่ได้คำตอบ เตรียมคืนบัตรขอเงินคืน...

ซึ่งก่อนหน้านี้ ทาง 247 ENTERTAINMENT เตรียมสร้างมิติใหม่ให้เวที MUT สนุกลุกเป็นไฟ เป็นผู้จัดโชว์ในรูปแบบผสมผสานระหว่างดนตรีและแฟชั่นโชว์ ดึง 2 ศิลปินคุณภาพระดับโกลบอล ‘มาร์ค ต้วน’ และ ‘พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร’ ร่วมสร้างสีสันความสนุกและความยิ่งใหญ่ในรอบพิเศษ ‘MUT MAX Exclusive Round’ บนเวทีพร้อมกับสาวงาม

แม่ปุ้ย ได้เผยว่า "เรื่องนี้ดิฉันก็เดือดปุด ๆ ค่ะ เพราะเดี๋ยววันนี้จะเรียนเชิญทาง 247 Ent. มาพบปะพูดคุยกันเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกไปแล้ว ว่า MUT MAX เป็นเรื่องของการที่ MUT ของเราไปจอยกับเขา ในการเอานางงามของเราไปขึ้นเวทีกับพี่มาร์ค ต้วน แล้วก็พี่พีพี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างก็ดำเนินมาด้วยความปกติเลย เพราะนางงามเราก็ได้มีคิวที่ไปซ้อมอยู่ตลอด ทั้งซ้อมฟิตติ้งชุด ตกใจเราเพิ่งรู้พร้อมทุกคน ว่าในบัตรที่ขายมันไม่มีรูปพี่พีพี ก็ได้มีการถามฝ่ายประสานงานของเรา ที่ติดต่อกับทาง 247 Ent. เขาก็ตอบว่าทุกอย่างมีการโชว์เหมือนเดิม เราก็บอกว่ามันจะได้เหรอ

วันนี้ก็เลยจะเชิญเขามาประชุม ว่ามันเป็นอะไรยังไง เบื้องต้นคือเขาบอกว่า เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ปุ้ยฟัง ก็เลยนัดกันวันนี้แหละค่ะ เดี๋ยวเสร็จจากตรงนี้แล้วทาง 247 Ent. ก็จะมาหารือกับเรา ว่ามันเป็นเพราะอะไร

เข้าใจแฟนคลับที่จะขอรีฟันด์ขอเงินคืน เพราะว่าเขาก็รักของเขา เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เซนซิทีฟนะคะ ในการที่เราเชิญศิลปินระดับใหญ่มา ซึ่งก็มีคนรักมากมายเต็มไปหมดทั้งโลกแบบนี้ มันต้องระมัดระวังมาก เชิญมากี่คนก็ต้องลงรูปเขาให้ครบ ไม่อย่างนั้นมันก็จะดูแปลก ๆ เหมือนกัน ยืนยันน้องพีพีขึ้นโชว์เหมือนเดิม เขาล็อกคิวทำสัญญากันเรียบร้อย มันอยู่ที่ว่าทำไม ทำบัตรออกมาไม่มีรูปน้อง เราก็ยังอธิบายไม่ได้ เขาแก้ปัญหาได้ช้ามาก ถ้าเป็นเรา เราต้องเรียกบัตรคืนหมดแล้วออกบัตรใหม่

อยากจะบอกแฟนคลับน้องพีพีนะคะ แม่ปุ้ยก็รู้สึกเหมือนกันค่ะ แม่ก็รักและชอบน้องพีพี เขาเป็นเด็กมีเสน่ห์ ทั้งนี่ทั้งนั้นคือเราไม่ได้โบ้ยนะคะ แต่ TPN ไม่ได้มีสิทธิ์ในการไปวุ่นวายกับเรื่องราวของศิลปิน มันเป็นเรื่องของทาง 247 Ent. เดี๋ยวเราจะเชิญเขามาคุยแล้ว ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีรูปน้องพีพี แล้วจะดำเนินการอะไรยังไง เพราะยังไงก็ยังมีคิวน้องพีพีต้องโชว์อยู่"

‘ดร.สุวินัย’ ตั้งข้อสงสัย 3 เรื่องถึง ‘ไพศาล’ เกิดอะไรขึ้นกับสภาพจิตของ ‘กูรู’ ท่านนี้

(17 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘กุนซือทิพย์ : บทเรียนด้านกลับสำหรับนักยุทธศาสตร์’ ใจความว่า…

จากรายการ "ถอนหมุดข่าว" ของ NEWS1 วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2566 ได้นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง "ไพศาล พืชมงคลเป็นกูรูทิพย" ซึ่งมีความน่าสนใจยิ่ง  

ผมขอยก รายงานพิเศษ เรื่องนี้ มาให้อ่านกันอีกทีก็แล้วกัน ...

"โอกาสของพิธา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แทบไม่เหลือแล้ว ...ต้องฝันค้างกลายเป็น ‘นายกฯ ทิพย์’p เพราะความหมกมุ่นกับการแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกล

คนที่เสียรังวัดอย่างแรงไปด้วยจากเดิมเป็นถึง 'กูรูการเมือง' ที่มีข่าวลึกๆลับๆมาโพสต์ทุกวัน จริงบ้างแต่เท็จจะเยอะกว่า แต่ตอนนี้ต้องมีสภาพเป็น 'กูรูทิพย์' ตาม 'นายกฯทิพย์' ไปแล้วเช่นกัน

เขาคนนั้นก็คือ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกุนซือของลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งช่วงหลัง ออกอาการ 'ฝ่ายแค้น' กับพรรคพลังประชารัฐ ค่อนข้างชัดเจน

ขณะเดียวกัน นายไพศาลก็เผยไต๋ว่า เข้าไปแอบอิงพรรคก้าวไกล เพราะเปิดหน้าเชียร์แหลก

แต่การเป็นด้อมส้มกับทำตัวเป็นกูรู บางทีมันก็ไปกันไม่ได้ นายไพศาลเลยได้บทเรียน(หน้าแตก) กับตัวเองจากการโหวตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ผ่านมา

เพราะขณะที่ใครต่อใคร มองว่ายากที่ ส.ว. จะยกมือให้พิธา แต่นายไพศาล เป็นคนเดียวที่เปิดประเด็นแบบสวนกระแส ระบุว่า ...ผู้มีอำนาจคุม ส.ว.ไว้ไม่ได้แล้ว ...

แต่โพสต์ของนายไพศาล ที่ทำเอาเขา 'สิ้นสภาพ' จากการเป็น 'กูรูการเมือง' ก็คือการฟันธงว่า นายพิธา จะชนะโหวตแบบม้วนเดียวจบ ในวันที่ 13 ก.ค.

แต่ผลจริงๆที่ออกมา เป็นตรงข้าม กลายเป็นนายพิธา โดนน็อกแบบม้วนเดียวจบ ..."

"นายไพศาลโพสต์ลงรายละเอียด ....เป็นคุ้งเป็นแควอย่างชัดเจนว่า เป็นมโนล้วนๆ เป็นความโลกสวยอย่างไม่น่าเชื่อของคนที่เชี่ยวการเมืองอย่างเขา

ยิ่งไปกว่านั้น นายไพศาลยังใช้สำนวนภาษาแนว 'ลิเก' แบบที่นายพิธา รวมถึงแกนนำคนอื่นๆของพรรคก้าวไกล ชอบใช้กันประจำ อีกต่างหาก

เรียกว่านายไพศาลออกตัวแรง ด้วยสำนวนภาษาให้รู้ว่า 'พวกเดียวกัน'

ความผิดพลาดในการเผยแพร่หลักคิดและข้อมูลคราวนี้ ส่งให้ไพศาลกลายเป็น 'กูรูทิพย์' ภายในพริบตา ตามพิธาที่เป็น 'นายกทิพย์'  

แสงอาทิตย์อัสดงของนายไพศาล ทำท่าจะดับวูบ
ซึ่งนายไพศาลควรทบทวนตัวเอง จะต้องเร้นกายปิดสำนักตัวเองล้างอายหรือไม่? ..."


อาจารย์ไพศาล (เกิด 9 ตุลาคม พ.ศ. 2490) ที่ผมรู้จัก ตั้งแต่สมัยที่เราทั้งคู่เคยเป็น "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" เพื่อต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" ในปี 2549  ...เขาเป็นกุนซือที่รอบรู้และปราดเปรื่องคนหนึ่งอย่างหาตัวจับยาก  

ในปี พ.ศ. 2549 ตอนนั้นอาจารย์ไพศาลมีอายุ 59 ปี น่าจะอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุด ในฐานกุนซือ เช่นเดียวกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล (เกิด 7 พฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2490) ซึ่งอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุดเช่นกันในฐานะ "แกนนำพันธมิตรฯ" ในวัย 59 ปี

ตอนนั้นทั้งผมและอาจารย์ไพศาลต่างก็เป็นคอลัมนิสต์ของสื่อผู้จัดการเหมือนกัน จึงเข้าออกบ้านพระอาทิตย์ของคุณสนธิ บ่อยมากในช่วงสถานการณ์สู้รบ

ผ่านไปแล้ว 17 ปี  ปัจจุบันอาจารย์ไพศาลและคุณสนธิต่างก็มีอายุ 75 ปีย่าง 76 ปีเหมือนกัน ขณะที่คุณสนธิยังคงอยู่ใน"สภาวะท็อปฟอร์ม" ได้อย่างน่าทึ่งสำหรับคนวัยนี้  คือคุณสนธิยังมีมันสมองที่เฉียบแหลม และมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ...กาลเวลา 17 ปี ที่ผ่านไปทำอะไรคุณสนธิไม่ได้เลยจริงๆ

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสู่ "ขาลง" ของอาจารย์ไพศาล" ที่ผมนับถือนั้น ทำเอาผมใจหายและแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

เกิดอะไรขึ้นกับ "มันสมอง" ของ "กุนซือสมองเพชร" คนนี้?

เกิดอะไรขึ้นกับ "สภาพจิต" ของ "กูรูการเมือง" ผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่เดียวดายท่านนี้?

โดยส่วนตัว ผมสนใจประเด็นนี้เป็นพิเศษ

ผมมีคำถามในใจหลายข้อเกี่ยวกับ "ความย้อนแย้งในตัวตนปัจจุบัน" ของอาจารย์ไพศาล และพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองเพื่อใช้เป็นอุทราหรณ์สำหรับตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้า

(1) "ทำไม คนที่ดำรงตำแหน่งอุปนายกและเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน อย่างอาจารย์ไพศาล ถึงกลายมาเป็น 'พ่อยก' ด้อมส้มตัวเอ้ของพรรคก้าวไกล ทั้งๆที่พรรคก้าวไกลมีท่าทีที่ชัดเจนว่า ต้านจีน?"

(2) "ทำไม คนที่เคยเขียนบทความเชียร์จีน ทางด้านความมั่นคง-การเมือง-เศรษฐกิจ และต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมของอเมริกา มานานหลายสิบปีอย่างอาจารย์ไพศาล จึงออกตัวแรงสนับสนุนพรรคก้าวไกลเต็มที่ ทั้งที่พรรคก้าวไกลมีจุดยืนชัดเจนว่า ยืนอยู่ฝั่งอเมริกาและต้องการชักศึกเข้าบ้าน เพื่อต้านจีน?"

(3) "ทำไม คนที่เคยชูคำขวัญ "เราจะต่อสู้เพื่อในหลวง" สมัยยังเป็นพันธมิตรฯ อย่างอาจารย์ไพศาล ถึงกลับเปลี่ยนธาตุแปรสี กลายมาเป็นผู้สนับสนุน "การแก้ ม. 112" ของพรรคก้าวไกล ที่มุ่งล้มล้างการปกครองและล้มสถาบัน?"

ผมสงสัยกระทั่งว่า อาจารย์ไพศาลในฐานะ "ผู้ปฏิบัติธรรม" ได้เคย "แลเห็นจิต" , เคย "แลเห็นความคิด" ตัวเองจริงๆหรือไม่?

ทั้งๆ ที่ จิตและความคิดของอาจารย์ไพศาลได้เปลี่ยนแปลงจากแต่ก่อนชนิดสวิงอย่างสุดขั้วไปอีกฝั่งแล้ว

สำหรับผู้ฝึกจิต โมหะหรือความหลง เป็นสิ่งที่ต้องรู้ทันและระวังให้มาก

"อาการหิวแสง" หรือความต้องการได้รับความสนใจจากสื่อและผู้คนทุกๆวัน ของ "กุนซือชรา" หรือ "กูรูการเมืองชรา" ...แค่บ่งชี้ว่า สภาวะจิตของบุคคลผู้นั้น ยังไม่ได้บรรลุ "ความพอใจในตนเอง" จนเพียงพอ

จึงทำให้ จิตของผู้นั้น มิอาจเป็น บ่อน้ำที่สะท้อนจันทราบนท้องฟ้า (สภาวะจิตแบบ "จันทร์ในบ่อ" ของเซน) ที่เป็นสภาวะจิตกระจ่าง ได้ ... 

ทำให้ไม่อาจสะท้อน "ความจริงที่มีอยู่หนึ่งเดียว" ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้

อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเคารพอาจารย์ไพศาลอยู่เสมอ ในฐานะที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้ผม เลือกเดินบนเส้นทาง "กุนซืออิสระ" หรือ "นักยุทธศาสตร์อิสระ" อย่างบูรณาการตั้งแต่ 19 ปีก่อน 

จนเป็นที่มาของหนังสือ "ภูมิปัญญามูซาชิ -วิถีแห่งนักกลยุทธ์เชิงบูรณาการ" (สำนักพิมพ์ openbooks, 2550) ...ของผมในเวลาต่อมา

‘สหรัฐฯ’ ยืนยัน!! ไม่ได้สูญเสีย 'ศีลธรรม'  แม้จัดหา 'ระเบิดพวง' ให้แก่ยูเครน

(17 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพิกเฉยต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าวอชิงตันอาจสูญเสีย ‘ธรรมอำนาจ’ ด้วยการจัดหาระเบิดลูกปราย หรือระเบิดพวง (cluster bombs) ให้แก่ยูเครน สำหรับใช้เล่นงานกองกำลังรัสเซีย ยืนยันอเมริกายังคงมีอำนาจทางศีลธรรม จากข้อเท็จจริงที่ว่ากำลังให้การสนับสนุนเคียฟต่อกรกับการโจมตีโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ซัลลิแวน กล่าวในประเด็นนี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ในวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) ปกป้องการตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อช่วงต้นเดือน ที่มอบกระสุนคลัสเตอร์ให้แก่เคียฟ แม้ทำเนียบขาวเคยตราหน้าว่าเป็น ‘อาชญากร’ ครั้งที่พวกเขากล่าวหารัสเซียใช้อาวุธดังกล่าว

แม้คลัสเตอร์บอมบ์เป็นอาวุธต้องห้ามภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศฉบับหนึ่งที่ลงนามโดยชาติต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ แต่ ซัลลิแวน เน้นย้ำว่าทั้งสหรัฐฯ และยูเครน ต่างไม่เคยลงนามในสนธิสัญญานี้

"อำนาจทางศีลธรรมของเราและอำนาจทางศีลธรรมของยูเครน ในความขัดแย้งนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเรากำลังสนับสนุนประเทศหนึ่งที่ถูกโจมตีอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยขีปนาวุธและระเบิด ถล่มเมืองต่าง ๆ ของพวกเขา เข่นฆ่าพลเรือน ทำลายโรงเรียน โบสถ์ โรงพยาบาล" ซัลลิแวนบอกกับเอ็นบีซี

"และหากใครมีความคิดที่ว่า การจัดหาอาวุธหนึ่งแก่ยูเครน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปกป้องแผ่นดินของตนเอง ปกป้องพลเรือนของพวกเขา ด้วยเหตุผลบางประการ เป็นการท้าทายอำนาจทางศีลธรรมของเรา ผมคิดว่าคำถามนั้นเป็นสิ่งน่าสงสัย" ซัลลิแวนระบุ

ชัค ทอดด์ พิธีกรของเอ็นบีซีถามต่อโดยชี้ว่า วอชิงตัน พยายามเป็นผู้นำโลกในความพยายามกำจัดอาวุธโหดร้ายป่าเถื่อนเหล่านี้ "แต่เวลานี้เรายังคงกลับไปค้นสต๊อกของเราและมอบมันให้แก่พันธมิตร" ในเรื่องนี้ ซัลลิแวน ชี้แจงว่ากรณีแวดล้อมเป็นตัวเรียกร้องให้ไบเดนต้องตัดสินใจส่งกระสุนคลัสเตอร์ไปให้ยูเครน แม้ถูกคัดค้านจากสหราชอาณาจักร แคนาดาและพันธมิตรอื่นๆ ในนาโตก็ตาม

"ผมอยากบอกว่าที่เรายกระดับมอบในสิ่งที่ยูเครนต้องการ เพื่อไม่ให้พวกเขาไร้ซึ่งหนทางแห่งการป้องกันตนเอง ยามที่ต้องเผชิญการโจมตีของรัสเซีย" ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติระบุ "ง่ายๆ เลย เราจะไม่ปล่อยให้ยูเครนไร้หนทางในการป้องกันตนเอง"

ไบเดน บ่งชี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นเมื่อช่วงต้นเดือน อ้างว่าสืบเนื่องจากสหรัฐฯ และยูเครนขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป ทำให้เขาตัดสินใจมอบกระสุนคลัสเตอร์แก่เคียฟ ในฐานะการแก้ปัญหาชั่วคราว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เน้นระหว่างให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) เหน็บแนมว่าทำเนียบขาวเองเคยตราหน้าการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม พร้อมเตือนว่าถ้ากองกำลังยูเครนใช้อาวุธดังกล่าวในสนามรบ รัสเซียขอสงวนสิทธิตอบโต้ด้วยอาวุธแบบเดียวกัน

ระเบิดคลัสเตอร์ถูกแบนโดยทั่วโลก สืบเนื่องจากกระสุนระเบิดขนาดเล็กๆ บางลูกที่มันปลดปล่อยออกมาอาจไม่ทำงาน ซึ่งก่อภัยคุกคามแก่พลเรือน จากข้อมูลพบว่ามีพลเรือนกว่า 86,500 คน ที่เสียชีวิจากคลัสเตอร์บอมบ์นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และมีคนต้องพิการมากกว่านั้นมากมายหลายเท่า

สมุทรปราการ “สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ” มุ่งมั่น พัฒนา จัดสัมมนาวิชาการ Chang Me เปิดโลกธุรกิจแห่งความท้าทาย” VUCA World”

หอประชุม พิบูลย์สุวรรณภูมิ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ  ดร.สุทธิพงศ์ ยงค์กมล นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ เป็นประธานในพิธี เปิดโครงการสัมมนาวิชาการ Chang Me เปิดโลกธุรกิจแห่งความท้าทาย VUCA World  ปีการศึกษา 2566 โดยมี ผอ.ดร.สยมพร ทองเนื้อดี อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย ดร.เอกนารี สวัสดิ์นที คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ และที่ปรึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาในเครือสารสาสน์ ตลอดจนคณะครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาในเครือสารสาสน์ จำนวน 515 คน และสถานประกอบการจากกลุ่มธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มออนไลน์ กลุ่มการท่องเที่ยว และกลุ่มการศึกษา จำนวน 19 แห่ง เข้าร่วมในพิธีเปิดโครงการครั้งนี้

ทั้งนี้ ดร.เอกนารี สวัสดิ์นที คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ กล่าวว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาวิชาชีพบังคับตามหลักสูตร สำหรับนักศึกษาที่จะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษานี้ เพื่อให้นักศึกษานำความรู้ที่ได้จากการประชุมสัมมนามาฝึกปฏิบัติจริง ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน นับตั้งแต่โลกได้เข้าสู่ยุคคลื่นที่สาม  สังเกตได้ว่าหลายสิ่งมาไวและไปไว ทั้งทางเทคโนโลยี รูปแบบของธุรกิจ  การบริหารองค์กร ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจนั้นเปลี่ยนไปในภาพใหญ่ อีกทั้ง หลายๆ วงการกำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ตั้งแต่ศิลปินจนถึงสถาบันการเงิน ส่งผลให้ผู้ประกอบการสมัยใหม่จำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วในยุค VUCA World

ประกอบกับ ทางสถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดสัมมนาในหัวข้อ  Change Me เปิดโลกธุรกิจแห่งความท้าทาย VUCA World เพื่อการเตรียมความพร้อมของนักศึกษา ในการไปประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อในอนาคต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาตระหนักเห็นถึงความสำคัญและปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และเพื่อต้องการให้นักศึกษาได้รับความรู้ความเข้าใจในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และนำความรู้ความเข้าใจในเรื่อง VUCA World ไปเป็นแนวทางในการปรับใช้ ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจในอนาคตต่อไป

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘เศรษฐา’ ลั่น!! พร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 30 หากถูกเสนอชื่อ  ไม่เคาะสูตรจัดตั้งรัฐบาล บอกต้องรอผลประชุม 8 พรรคก่อน

(17 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ขณะนี้ดูเหมือนจะมีปัญหา เรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีในรอบที่ 2 มองสถานการณ์อย่างไร ว่า วันนี้ช่วงเวลา 17.00 น.จะมีการพูดคุยกัน ก็ต้องรอผลการหารือของ 2 พรรคก่อน ซึ่งช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ที่ผ่านมา ตนเองได้รวบรวมข้อมูลจากคณะทำงาน 12 คณะ ของพรรคเพื่อไทย ที่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ มีความกังวลมาก ทั้งเรื่องภาระหนี้เสีย เรื่อง FTA ที่ยังค้างการเจรจา รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่มีการแย่งแหล่งเงินทุนไปพอสมควร เราต้องเร่งเจรจา ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งสถานการณ์ยังต้องเร่งให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด

ส่วนสถานการณ์โหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในรอบแรก ทั้งเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.รวมถึงเรื่องญัตติซ้ำ ในฐานะที่นายเศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้เราคุยเรื่องนี้กันมา 4 เดือนที่แล้ว ถ้าเกิดไม่พร้อมก็คงไม่มีรายชื่ออยู่ใน 3 แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย และเราพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมอบหมายในวันนี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจ การเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งรัฐบาล ฉะนั้น ต้องเตรียมนโยบายในการประชุม ครม.นัดแรก เรื่องการกระตุ้นเศรฐกิจ

เมื่อถามว่า หากรูปแบบจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา พร้อมรับตำแหน่งหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ทราบ และยังไม่ได้พูดคุยกัน หากมีความเห็นแตกต่างจาก 8 พรรค ก็ต้องกลับไปคุยกันในกรรมการบริหารพรรค ซึ่งพรรคเพื่อไทย มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน จึงต้องให้เกียรติ และไม่ขอก้าวล่วง

เมื่อถามว่า หากในสมการมีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพิ่มขึ้นมา หรือพรรคอื่นนอกเหนือจาก 8 พรรค นายเศรษฐา ยังพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไกลเกินไป ขอรอผลประชุมจาก 8 พรรคก่อน

เมื่อถามว่า หากกรรมการบริหารพรรคมองอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสมการไหน และให้นายเศรษฐา รับตำแหน่งก็พร้อมทำตามกรรมการบริหารพรรคใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องไปว่ากัน เพราะยังมีหลักการหลายอย่างที่ต้องพูดคุยกัน พร้อมย้ำ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใครจะมาร่วมหรือไม่ การจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในวันนี้

เมื่อถามถึงเงื่อนไขการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า อย่าไปคุยถึงเงื่อนไข เราไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น วันนี้ยังต้องไปดูเรื่องราคาน้ำมัน ภัยแล้ง และหลายๆ เรื่อง ซึ่งในระยะที่ผ่านมา มองว่าประชาชนอาจไม่ได้พูด แต่เรื่องปากท้อง เป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะห่วงกันมากกว่า ต้องอย่าลืมว่าเราเป็นนักการเมือง และหน้าที่ของนักการเมืองคืออะไร คือการดูแลประชาชนสำคัญที่สุดตอนนี่

เมื่อถามถึงกระแสตีกลับมายังพรรคเพื่อไทย รวมถึงมีคนมองว่า นายเศรษฐาก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรี จะรับมืออย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ผมพูดสั้นๆ ว่า ครับ ก็ต้องรับครับ แต่พูดไป 3 หนแล้ว คำว่า ครับ ไม่ได้หมายความว่า รับ หรือ ไม่รับ แต่หมายถึง รับทราบถึงเสียงที่ว่าจะอยู่ด้วยกัน 8 พรรค แต่วันนี้เรื่องปากท้องสำคัญ ตนเองอาจจะพูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง แต่ค่อนข้างเป็นห่วง ถ้าจะไปกับก้าวไกลเราก็พร้อมที่จะเสนอนโยบายในการประชุม ครม.นัดแรก หรือจะเป็นเรื่องอื่นก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง

เมื่อถามย้ำว่า ที่สุดแล้วไม่ว่ากรรมการบริหารพรรคจะว่าอย่างไร พร้อมทำตามมติใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ผมเล่นกีฬาเป็นทีมอยู่แล้ว เราเป็นประชาธิปไตย เมื่อมติเป็นอย่างไรก็พร้อมน้อมรับ และไม่อยากพูดเพื่อเป็นการกดดัน หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคในการพิจารณา ทั้งนี้ แม้จะถูกมองว่า จะมีการข้ามขั้ว แต่มองว่า อย่าพึ่งข้ามไปเลย วันนี้ขอให้ 8 พรรคคุยกันก่อนดีกว่า และมองว่า เราเล่นการเมืองกันมาเยอะแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top