รู้ทันกลโกงหลอกลงทุน!!
ระวังถูกชักชวนลงทุนได้ผลตอบแทนสูงผ่านสื่อออนไลน์ ใช้คนมีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ หรืออ้างหน่วยงานรัฐ สร้างความน่าเชื่อถือ ให้ตรวจสอบให้ดีก่อนตกเป็นเหยื่อขบวนการมิจฉาชีพ

ระวังถูกชักชวนลงทุนได้ผลตอบแทนสูงผ่านสื่อออนไลน์ ใช้คนมีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ หรืออ้างหน่วยงานรัฐ สร้างความน่าเชื่อถือ ให้ตรวจสอบให้ดีก่อนตกเป็นเหยื่อขบวนการมิจฉาชีพ
28 มิ.ย. 2566 นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ผ่านทีวีรัฐสภา ในรายการ 91 ปีก้าวแห่งความมั่นคงรัฐสภาไทย เนื่องในวันสถาปนารัฐสภา วันที่ 28 มิถุนายน ว่า ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น สภา จะเป็นผู้เลือกโดยยึดดุลยพินิจของส.ส. ที่ผ่านมาเคยมีกรณีประธานสภา ไม่ได้มาจากพรรคอันดับหนึ่ง เพราะเป็นข้อตกลงของพรรคร่วม ที่ผ่านมาพบว่าพรรคที่ได้เสียงใกล้เคียงกัน จะไม่ร่วมเป็นรัฐบาลเพราะจะทะเลาะกันเหมือนปัจจุบัน ใครที่ได้เสียงข้างมากชัดเจน ตกลงได้ว่าได้เป็นนายกฯและประธานสภา
เมื่อถามว่าขณะนี้เสียงของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดความไม่ชัดเจน นายชวน กล่าวว่า ถือเป็นประสบการณ์ตั้งรัฐบาล ปกติการตกลงร่วมกันจะใช้ตำแหน่งนายกฯ เป็นสำคัญ เพราะจะง่ายต่อการแบ่งปันตำแหน่ง ทั้งนี้ การตั้งรัฐบาลในปัจจุบัน ตนมองว่าง่ายกว่าในอดีต เพราะมีเพียง 8 พรรค ขณะที่มีเพียง 2 พรรคเท่านั้นที่รวมเสียงได้เกินครึ่ง แต่เที่ยวนี้ดูแล้วมีปัญหา เพราะมีประเด็นความต้องการประธานสภา และ ตำแหน่งนายกฯ ซึ่งเขามีเหตุผลและเป็นปกติที่เป็นไปได้ แต่หากเอาทุกอย่างปัญหาไม่จบ
ต่อข้อถามว่าพรรคก้าวไกล กังวลว่าหากไม่ได้ประธานสภา จะผลักดันกฎหมายของตนเองไม่ได้ นายชวน กล่าวว่า ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะประธานสภา ไม่สามารถทำตามอำเภอใจหรือทำสิ่งที่ขัดกับข้อบังคับการประชุมได้
ส่วนที่ระบุว่าหากไม่ได้ประธานสภา จะไม่ได้ตำแหน่งนายกฯนั้น ก็ไม่จริง เพราะการเลือกนายกฯ ต้องลงมติจากสมาชิก ซึ่งประธานสภา ต้องดำเนินการตามมติของสภา ไม่สามารถเปลี่ยนคนได้ ประธานสภาจะเกี่ยง ถ่วง หรือเสนอชื่อคนอื่นไม่ได้ ดังนั้น หากไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา ตำแหน่งนายกฯ จะมีปัญหานั้นไม่เกี่ยวกัน อีกทั้งการผลักดันกฎหมาย ประธานสภาไม่สามารถทำตามอำเภอใจว่าจะเอากฎหมายของใครขึ้นมาพิจารณาก่อนได้ ต้องเป็นไปตามลำดับการเสนอจากสมาชิก หากจะเปลี่ยนวาระต้องขอมติจากที่ประชุม ไม่ใช่อำนาจของประธานสภา
“ฝ่ายที่ตั้งรัฐบาล ไม่ใช่เอาทุกอย่างเป็นของตนเอง ต้องต่อรองกัน เช่นกระทรวง ผมมองว่าหากเขาพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด และเข้าใจภารกิจบทบาทหน้าที่ การแบ่งอำนาจ จะทำให้เกิดความขัดแย้งน้อยลง แต่ที่มีความขัดแย้งมาก เพราะไม่เข้าใจหลายเรื่อง” นายชวน กล่าว
สำหรับปัญหาของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยนั้น ตนมองว่าหากเข้าใจบทบาทสภา จะทำให้มีข้อยุติง่าย แต่หากไม่เข้าใจและมองว่าประธานสภาบันดาลให้ใครเป็นนายกฯ ก็ได้ แบบนี้หารือกันยาก หากไม่แน่ใจว่าการตั้งนายกฯ จะผ่านหรือไม่ หากไม่ผ่าน เขาไม่ได้ทั้งนายกฯ และประธานสภา จนกลายเป็นความวิตก
“ผมมองว่าหาก 2 ฝ่ายหารือกันอย่างใกล้ชิด จะทำให้คุยกันได้ง่าย ดังนั้นปัญหาของประธานสภาฯ ควรยุติด้วยการศึกษา เข้าใจ ในบทบาท อำนาจ หน้าที่ ทุกฝ่ายไม่สามารถเอาอะไรได้ตามมอำเภอใจทุกอย่าง ที่ผ่านมาการตั้งประธานสภา ไม่มีปัญหา แต่สมัยนี้มีปัญหา” นายชวน กล่าว
นายชวน กล่าวถึงสเปกประธานสภาว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร ต้องเตรียมตัว ศึกษากฎเกณฑ์ ข้อบังคับและระเบียบ คนที่ได้เป็นประธานสภา ต้องลาออกจากตำแหน่งในพรรค เพื่อไม่ให้เกี่ยวข้องกับพรรคตัวเอง หากพรรคเลือกคนของตัวเองเข้ามาเพื่อให้เลือกปฏิบัติก็ไม่สามารถทำได้
พรรคที่เลือกตัวแทนเข้ามา ต้องเลือกคนที่เป็นหน้าตาให้พรรค เพราะเลือกคนที่จะมาเป็นหัวหน้าของ 500 คนในสภา ดังนั้น พฤติกรรม นิสัยใจคอ ต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายนิติบัญญัติ พรรคการเมืองต้องเลือกคนที่เข้ามาเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย รวมถึงต้องคำนึงด้วยว่าจะทำให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยเป็นไปในทิศทางบวกหรือลบ
28 มิ.ย. เห็นนสพ.(ไทยโพสต์ รายวัน)พาดหัวตัวเป้ง..”14+1 หักก้าวไกล” พร้อมคำขยายว่า..เพื่อไทย ล็อกเก้าอี้ประธานสภา ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น..”เล็ก เลียบด่วน” ไม่ได้โม้...ประเด็นนี้ได้ฟันธงมานานแล้ว และไม่แต่เก้าอี้ประธานสภาฯเท่านั้น ยังได้ฟันธงว่า..ที่สุดของที่สุด คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่างหาก..
งานนี้พรรคก้าวไกลก็คงได้ลิ้มรสชีวิตจริงทางการเมืองมากขึ้น...ความฮึกเหิมทางการเมืองที่คิดจะกินรวบประเภท 14+2 คือ กวาด 14 รัฐมนตรีว่าการ กับอีกสองเก้าอี้ใหญ่คือ นายกรัฐมนตรีและเก้าอี้ประธานสภาฯ ในขณะที่คะแนนต่างกับเพื่อไทยแค่ 10 เสียงนั้นเป็นเรื่องที่น่าจะอ่านออกมาแต่ต้นว่าพรรคเพื่อไทยไม่น่าจะยอมได้...
ท่าที ท่วงทำนองฮึกเหิมห้าวหาญของพรรค”ด้อมส้ม” ไม่อาจมองเป็นอย่างอื่นได้นอกจากมองว่า..พวกเขาเชื่อมั่นใน 14 ล้านเสียงจนมากเกินไป และเบื้องลึกผู้ทรงอิทธิพลในพรรคหรือโปลิตบูโรพรรคอาจจะกดปุ่มให้เดินเกมได้เสีย คือถ้าได้ต้องได้ทั้งสองเก้าอี้ใหญ่ ถ้าไม่ได้ก็จะเป็นฝ่ายค้านสร้างความเชื่อมั่นรอส้มทั้งแผ่นดินในการเลือกตั้งครั้งหน้า...
อย่างไรก็ตาม..สงครามยังไม่จบ “เล็ก เลียบด่วน” ก็ยังไม่อยากนับศพทหาร..ฟังมาว่าวงเจรจาเก้าอี้ประธานสภาวันสองวันนี้ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน จะเปิดอกคุยกันอีกครั้งในวันที่ 30 มิ.ย. คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าแม้พรรคจะยืนยันในหลักการ 14+1 แต่ยังไม่ใช่มติพรรค...ต่อเมื่อไปคุยกับพรรคก้าวไกลอีกครั้งถ้ายังตกลงกันไม่ได้ก็จะใช้มติพรรคว่าเดินหน้าต่ออย่างไร...
นั่นคือท่าทีเชิงเทคนิคของคุณหมอชลน่าน...
ในส่วนของพรรคก้าวไกลนั้นยังไม่มีอะไรแหลมคมออกมามากไปกว่าตอนทุ่มเศษที่มีการเปิดตัว “หมออ๋อง” ปดิภัทธ์ สันติภาดา ส.ส.สมัยที่สองจากพิษณุโลก ซึ่งหลายคนบอกว่าเขาคือสัตวแพทย์ปากจัด.. เป็นตัวชิงเก้าอี้ประธานสภาฯ หลังจากพรรคเพื่อไทยเปิดเกมแถลงยืนยันสูตร 14+1 ตอน5โมงเย็น...เรียกว่าสองพรรคเริ่มเปิดฉากออกอาวุธชิงไหวชิงพริบกันแล้ว ทั้งนี้ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนาทีนี้หวยล็อกเก้าอี้ประธานสภาฯยังไม่เปลี่ยนไปจาก “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ ส.ส.9 สมัย เป็นรัฐมนตรีมา 2 สมัย รองประธานสภาฯมา 2 สมัย..
ครับ..สุดท้ายถ้าสองพรรคใหญ่เจรจาตำแหน่งประธานสภาฯกันไม่ได้ก็ต้องนำไปสู่การฟรีโหวตโดยที่ประชุมสภา ซึ่งก็เดาไม่ยากว่าพรรคก้าวไกลจะแพ้หลุดลุ่ย...และหลังจากนั้นก็แทบจะพูดได้ว่าจบเกม..หรือที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยบอกกว่า “จบเห่” นั่นเอง...หรือแม้แต่คุณหมอชลน่านก็ยอมรับว่าถ้าสถานการณ์ลากไปถึงขั้นฟรีโหวตมันจะไม่เป็นผลดีกับการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายประชาธิปไตยด้วยประการทั้งปวง...
สุด..ไม่ว่าจะฟรีโหวตไม่ฟรีโหวตก็ฟันธงว่า เพื่อไทยจะคว้าเก้าอีกประธานสภาฯมาครอง...คำถามใหญ่กว่าที่รอยู่เบื้องหน้ามีอยู่สองประการคือ...หนึ่ง) รัฐบาลใหม่จะยังมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลหรือไม่ สอง)ใครจะเป็นนายกฯ ซึ่งในชั้นนี้เขียนชื่อแปะไว้ข้างฝาเป็นครั้งที่สิบว่า..ถ้าไม่ใช่ชื่อ ป้อม ประวิตร ก็ จะเป็น นิด เศรษฐา หรืออุ๊งอิ๊ง แพทองธาร...
ส่วน ทิม พิธา นั้น เป็นเต็งจ๋าเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร -เอวัง
เก็บทรงไม่อยู่เลยทีเดียวสำหรับพระเอก หนุ่ม แน็ก ชาลี พระเอกหน้าฟ้าประทาน ที่ล่าสุด ไลฟ์ขาย SYN FIBER ที่หนุ่มแน็ก ขนมาไลฟ์ช่วยกันทั้งบ้าน ในขณะที่กำลังขายกันอย่างเมามันส์ ก็ดันต้องเสียอาการเมื่อสาวคู่จิ้น "เก๋ไก๋ สไลเดอร์" เข้ามาชมไลฟ์แถมกดไลค์ให้อีกด้วย งานนี้แฟนคลับก็เม้นท์แซวกันแบบรัวๆ จนทำให้หนุ่มแน็ก พูดจาตะกุกตะกักเก็บทรงไม่อยู่ พูดชื่อสินค้าผิดอีกด้วย เพราะความเขิล อร้าย! ไลฟ์หน้า Syn Fiber ต้องชวนน้องเบ๋ไบ๋ (เก๋ไก๋ สไลเดอร์) มาด้วยแล้วน้า แฟนคลับจะได้ไปฟินแลนด์ด้วยกันให้ถ้วนหน้า
ส่วนใครที่พลาดไลฟ์แล้วอยากได้สินค้าดีๆอย่าง SYN FIBER ก็ไม่ต้องเสียใจ สามารถไปหาซื้อกันได้ที่ Tiktok ช่อง synfiber.official อยากสุขภาพดี ผิวสวย หุ่นแซ่บ ไปตำกันได้เลย ถ้าเอ็นดูความน่ารักของคู่นี้ ก็อย่าลืมไปอุดหนุน SYN FIBER กันเยอะๆนะ
‘JK business’ ธุรกิจด้านมืดของญี่ปุ่น
‘ประเทศญี่ปุ่น’ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า เป็นประเทศที่เจริญเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย และอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ในความเจริญก้าวหน้าแบบสุดล้ำของญี่ปุ่นนั้น ก็ยังคงมีด้านมืดอยู่เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ บนโลกใบนี้ ครั้งนี้จะขอหยิบยกเอาเฉพาะเรื่องราวที่มีความน่าสนใจมาก ๆ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ก่อน เรื่องราวที่มีความน่าสนใจรองลงมาจะได้นำมาเล่าเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป
ด้วยเหตุที่รายได้สำคัญส่วนหนึ่งของรัฐฯ มาจาก ‘อุตสาหกรรมสื่อลามก’ (Adult video : AV) เพราะอุตสาหกรรมหนังโป๊ในญี่ปุ่นผุดขึ้นทั่วไปทุกหนทุกแห่ง จนกล่าวกันว่า อุตสาหกรรมหนัง AV เป็นตัวสร้างรายได้เข้ารัฐฯ รายใหญ่ รองจากอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ปกติธรรมดา ก็กลายเป็นผลประโยชน์ของเหล่าบรรดายากูซ่านักเลงใหญ่ของญี่ปุ่นไปด้วย ผลประโยชน์อันมหาศาลของอุตสาหกรรม AV นี้กลายเป็นที่แหล่งรายได้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของสาวญี่ปุ่นมากมายในฐานะตัวเลือกที่เป็นได้ทั้งอาชีพหลักและรายได้เสริม รวมไปถึงนักเรียน-นักศึกษาที่หลงเข้ามาและไม่สามารถออกจากโลกมืดนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เข้าไปสู่วงการค้าประเวณีในหมู่วัยรุ่นและนักศึกษา ธุรกิจมืดนี้เรียกกันทั่วไปว่า ‘Joshi Kosei’ หรือ ‘JK business’
‘JK business’ เป็นกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในญี่ปุ่น ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกเดตหลอก ๆ กับสาวมัธยมปลาย เกิดขึ้นในราวปี ค.ศ. 2006 หลังจากที่ Maid café เป็นที่นิยมของบรรดาหนุ่ม ๆ นักเที่ยวในย่านอากิฮาบาระ กรุงโตเกียว ได้ยุติลง ทำให้ JK business เข้ามาแทนที่ ตัวย่อ ‘JK’ ย่อมาจาก ‘Joshi Kosei’ (女子高生) แปลว่า ‘นักเรียนมัธยมหญิง’ โดยหญิงสาวใน JK business ได้รับค่าจ้างสำหรับกิจกรรมทางสังคม เช่น การเดินและการพูดคุย และบางครั้งเป็นการทำนายโชคชะตา และอีกกิจกรรมหนึ่งคือ ‘การนวดกดจุด’
ในปี ค.ศ.2017 รายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่น ‘ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างครบถ้วนในการกำจัดการค้ามนุษย์’ และยังคง ‘อำนวยความสะดวกในการค้าประเวณีเด็กสาวญี่ปุ่น’ ต่อไป ญี่ปุ่นได้รับการยกระดับเป็นสถานะ ‘Tier 1’ (ประเทศที่รัฐบาลปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายตามรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และความรุนแรง ค.ศ. 2000 (TVPA) อย่างเต็มที่) ในช่วงสั้น ๆ ในรายงานปี ค.ศ. 2018 และ 2019 แต่ได้ถูกลดระดับอีกครั้งเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานของปี ค.ศ. 2020, 2021 และ 2022
‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo
‘Yumeno Nito’ ผู้ก่อตั้งองค์กร Colabo* ได้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเพิกเฉยของรัฐบาลต่อปัญหานี้อย่างรุนแรง นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมอธิบายว่า “ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่น่าละอาย สร้างอุปสรรคไม่ให้วัยรุ่นที่หลบหนีกลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะถูกล่อลวง หรือบังคับให้เข้าสู่อุตสาหกรรมบริการทางเพศของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ”
รถบัสสีชมพูที่ของ Colabo ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี
*Colabo ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของญี่ปุ่น ที่ช่วยเหลือเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการให้คำปรึกษา และเชื่อมโยงพวกเขากับโครงการสนับสนุนของรัฐบาล ให้บริการเด็กสาววัยรุ่น ซึ่งหลายคนพบในสถานบันเทิงยามค่ำคืนของญี่ปุ่น การบริการของ Colabo รวมถึงรถบัสสีชมพูที่ทำหน้าที่เป็นจุดพึ่งพิงสำหรับหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อปรึกษา พูคุย รับประทานอาหาร และสร้างสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของ Colabo
กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับ JK business เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายจังหวัดในญี่ปุ่น ได้ดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปราม JK business เพราะอาจนำไปสู่การค้าประเวณีของหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลายจังหวัดได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจำจังหวัด เพื่อห้ามการทำ JK business จังหวัดคานางาวะเป็นจังหวัดแรกที่ดำเนินการแก้ไขกฎหมาย เพื่อควบคุม JK business ในปี ค.ศ. 2011 และในปี ค.ศ. 2014 ตำรวจคานางาวะได้เข้มงวดเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการขายบริการทางเพศ ของเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำให้จำนวนสถานบริการที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีให้บริการในพื้นที่ลดจำนวนลงอย่างมาก
ในปี ค.ศ.2017 สภากรุงโตเกียวได้ออกกฎหมายหลักที่กำหนดเป้าหมาย เพื่อจัดการกับ JK business โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่ทำเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ ตำรวจนครบาลโตเกียวซึ่งครอบคลุมกรุงโตเกียวได้ปราบปราม JK business และจับกุมเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยใช้กฎหมายมาตรฐานแรงงานแห่งชาติ ธุรกิจที่กระทบต่อกฎหมายระเบียบศีลธรรมสาธารณะ และกฎหมายสวัสดิการเด็ก กฎหมายใหม่นี้ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรม ที่ได้รับการควบคุมนอกเหนือจากการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนของนครโตเกียวฉบับก่อนหน้า กฎหมายห้ามผู้เยาว์มีส่วนร่วมในกิจกรรม ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้าเพศตรงข้าม เช่น การนวด การอนุญาตให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูปถ่ายของตนเอง การมีส่วนร่วมในการสนทนากับลูกค้า การเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มแก่ลูกค้า และการไปเดินเล่นกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม หากการกระทำเหล่านี้ไม่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นทางเพศของลูกค้า ก็ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังห้ามโฆษณาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า มีเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานในสถานประกอบการ แม้ว่าจะไม่มีพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทำงานอยู่เลยก็ตาม ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนี้ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน
ในปี ค.ศ.2018 จังหวัดโอซาก้าได้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองเยาวชนของจังหวัด เพื่อกำหนดกฎระเบียบที่คล้ายคลึงกันกับของกรุงโตเกียว เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เยาว์ ผู้กระทำผิดมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 เยน แม้ว่าธุรกิจจะเลิกจ้างพนักงานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว หลังการตัดสิน ทางการอาจออกคำสั่งระงับการดำเนินธุรกิจเป็นเวลา 6 เดือน การละเมิดคำสั่งนี้อาจส่งผลให้ถูกจำคุกสูงสุด 1 ปี หรือปรับสูงสุด 500,000 เยน และชื่อของสถานประกอบการจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอีกด้วย
จากการสำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 มีสถานประกอบการที่ประกอบการ JK business ทั่วประเทศ 131 แห่ง ในจำนวนนี้ให้บริการนวดแก่ลูกค้า 99 ราย ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม 22 ราย ให้ลูกค้าถ่ายรูปหรือดูรูป 7 ราย และทำกิจกรรม เช่น พูดคุย เล่นเกม หรือดูดวงกับลูกค้า 3 ราย โดย 71% ของสถานประกอบการที่ดำเนินการ JK business ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว ในขณะที่ 20% ตั้งอยู่ในนครโอซาก้า ที่อยู่ในกรุงโตเกียว 29% ตั้งอยู่ในย่านอากิฮาบาระ 29% ในย่านอิเคะบุคุโระ และ 12% ในย่านชินจูกุ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนธุรกิจที่ประกาศไม่ใช่จำนวนธุรกิจที่มีหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี คอยให้บริการลูกค้าจริง ๆ แต่เป็นจำนวนธุรกิจที่โฆษณาว่า มีนักเรียนหญิงมัธยมปลายให้บริการลูกค้า ในสังคมญี่ปุ่นจะยอมรับในสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าตัวพวกเขาเองจะเข้าใจว่าการปฏิบัตินั้นถูกตัดสินในทางลบก็ตาม เพราะชาวญี่ปุ่นจะไม่สร้างความเดือดร้อน หรือรบกวนคนรอบข้าง ดังนั้น พวกเขาจึงชอบที่จะจัดการเรื่องของตัวเองมากกว่าที่จะยุ่งเรื่องของคนอื่น
ปัจจุบัน รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับการค้าประเวณีผู้ใหญ่และเด็ก พระราชบัญญัติความมั่นคงในการจ้างงาน (ESA) และพระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงาน (LSA) บังคับใช้แรงงานที่มีความผิดทางอาญา ซึ่งคุ้มครองเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจของคนงาน และเป็นมาตรการต่อต้านการค้ามนุษย์ทางเพศ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการควบคุมและการลงโทษ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็กและภาพอนาจารและการคุ้มครองเด็ก” ได้กำหนดให้มีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในเชิงพาณิชย์จากเด็ก รวมทั้งการซื้อหรือขายเด็ก เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตภาพอนาจารเด็กหรือการค้าประเวณี
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2013 มีมติของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเกี่ยวกับ ‘นโยบายพื้นฐานเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาตรการต่อต้านการแสวงประโยชน์ทางเพศต่อเด็ก’ การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นเพื่อกำจัดการตกเป็นเหยื่อทางเพศของเด็กหญิง ซึ่งเป็นผลมาจากการค้าประเวณีเด็กและการผลิตภาพอนาจารเด็ก คณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้ควบคุมมาตรการโดยรวมต่อการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ตำรวจยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็ก จังหวัดหลัก 7 แห่ง ยังคงใช้กฎหมายห้ามประกอบการ JK business ห้ามหญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในบริการหาคู่โดยได้รับค่าตอบแทน หรือกำหนดให้เจ้าของ JK business ลงทะเบียนบัญชีรายชื่อพนักงานกับคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะในท้องถิ่น เป็นต้น โดยปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นยังคงเป็นสถานะ ‘Tier 2’ ในรายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประจำปี ค.ศ.2022 ซึ่งอยู่ในสถานะที่เท่ากันกับประเทศไทยของเรา