Monday, 19 May 2025
ค้นหา พบ 48181 ที่เกี่ยวข้อง

ไทย สมายล์ บัส เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย อบรมทั้งคนขับรถเมล์ไฟฟ้า และพนักงานให้บริการ เน้นมาตรฐานให้บริการแบบมืออาชีพ

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 กลุ่ม ไทย สมายล์ กรุ๊ป บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัดจัดอบรมให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย รวมถึงมารยาทที่ดีในการให้บริการกับผู้โดยสาร โดยบริษัทฯ ได้ส่งผู้บริหารประจำอู่รถ เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย พนักงานขับรถเมล์ไฟฟ้า รวมถึงพนักงานด้านการบริการ กว่า 40 คน เข้ารับอบรม หลักสูตร  Growth Mindset ทักษะและความรู้ความสามารถของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านการเรียนรู้และการพยายามฝึกฝน ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความพยายามและความตั้งใจเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงานด้านการบริการเป็นมืออาชีพ สร้างจิตสำนึกการบริการที่ดี

นอกจากนี้ ยังได้เสริมความรู้ด้านเทคนิคและข้อปฏิบัติตามหลักการขับรถที่ถูกต้อง เช่น ทักษะการขับรถที่ปลอดภัย, การขับรถในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ, การบำรุงดูแลรักษารถ รวมถึงกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการให้บริการจริง และการสร้างระบบขนส่งมวลชนในอนาคตที่ดี  และ ก้าวเป็นระบบขนส่งชั้นนำระดับภูมิประเทศ ยกระดับมาตรฐานในอาเชียนก็ว่าได้ ไทย สมายล์ บัส เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการ ดังนั้น ไทย สมายล์บัส ไม่เคยหยุดคิดและคงเดินหน้าพัฒนาระบบให้มีมาตรฐานที่ดีที่สุด ส่งต่อให้ผู้ที่ใช้บริการ รถเมล์โดยสารเกิดความรู้สึก สะดวก สะอาด และปลอดภัย อุ่นใจแก่ผู้โดยสารทุกท่าน 

ไทย สมายล์ บัส ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า ทางเราให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัย มารยาทการให้บริการที่ดีต่อผู้ใช้บริการ รวมถึงเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง มีการจัดอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการขนส่งสาธารณะให้มีคุณภาพ สะดวก สบาย สะอาด ปลอดภัย 

หากพบเห็นการปฏิบัติ ในการให้บริการที่ไม่สุภาพของพนักงาน หรือพนักงานขับรถ ขับรถเร็ว ส่งผลให้เกิดความไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ call center 02-1131019 ทางบริษัทฯ จะรีบดำเนินการแก้ไขเพื่อให้เกิดมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ดังสโลแกนที่ว่า “เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม"

‘เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล’ เผย ปักกิ่งเตือน ‘บลิงเคน’ ตัวเก็งผู้นำไต้หวันคนใหม่ อาจทำ ‘ปักกิ่ง-ไทเป’ ตึงเครียดยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 66 สื่อดังของอเมริกาเผย จีนเตือนบลิงเคนระหว่างเยือนปักกิ่ง การกระทำของตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน อาจทำให้สถานการณ์ระหว่าง ‘ปักกิ่ง-ไทเป’ ตึงเครียดยิ่งขึ้น

หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า เจ้าหน้าที่จีนเตือน ‘แอนโทนี บลิงเคน’ ระหว่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้นี้เดินทางเยือนจีนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และได้พบกับประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ว่า การกระทำของรองประธานาธิบดี ‘ไล่ ชิงเต๋อ’ ของไต้หวันที่เป็นตัวเก็งจะชนะการเลือกตั้งต้นปีหน้า อาจทำให้จีน-ไต้หวันร้าวฉานกันมากขึ้น

จากรายงานของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล เจ้าหน้าที่จีนถามบลิงเคน ว่า อเมริกามองพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ของไต้หวันเป็นมิตรหรือไม่ และวอชิงตันมีส่วนได้ส่วนเสียกับผลการเลือกตั้งในไทเปที่จะจัดขึ้นเดือนมกราคมปีหน้าหรือไม่?

รายงานระบุว่า บลิงเคนยืนยันว่า “อเมริกา ‘เป็นกลาง’ ในการเลือกตั้งดังกล่าว และไม่สนับสนุนบุคคลภายนอกเข้าไปก่อกวนกระบวนการเลือกตั้งของไต้หวัน”

ปักกิ่งที่ถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนของตน กล่าวหามาตลอดว่า อเมริกาให้ท้ายนักการเมืองที่ ‘สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน’ ในไทเป

ขณะเดียวกัน แม้อเมริกาไม่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน แต่นักการเมืองอเมริกันมีการนัดหมายพบปะกับเจ้าหน้าที่ไทเปบ่อยครั้ง ซึ่งปักกิ่งมองว่า การกระทำดังกล่าว รวมถึงการที่อเมริกาขายอาวุธให้ไต้หวัน เป็นการละเมิดหลักการ ‘จีนเดียว’

เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ปักกิ่งจัดการซ้อมรบขนาดใหญ่รอบเกาะไต้หวันภายหลังการเยือนของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในขณะนั้น และอีกครั้งในเดือนมีนาคมปีนี้หลังจากประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวันเดินทางไปอเมริกา และได้พบกับ ‘เควิน แมคคาร์ธี’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คนปัจจุบัน

ที่ผ่านมา ไล่ ซึ่งมีคะแนนนำในผลสำรวจความคิดเห็นสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันปี 2024 ในอดีตเคยประกาศตนเป็น ‘คนทำงานการเมืองเน้นผลทางปฏิบัติเพื่อเอกราชของไต้หวัน’ แต่ต่อมาเขาชี้แจงว่า ไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงสถานะการเมืองปัจจุบันของไต้หวันแต่อย่างใด

จากข้อมูลของโฟกัส ไต้หวัน ไล่กล่าวเมื่อเดือนมกราคมว่า เขาต้องการย้ำว่า ไต้หวันเป็นประเทศเอกราชที่มีอธิปไตยของตนเองอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องประกาศเอกราชอีก

ทั้งนี้ บลิงเคนเดินทางเยือนจีนเมื่อวันที่ 18-19 เดือนนี้ และทั้งสองฝ่ายแสดงความเห็นแง่บวกอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับผลการเจรจา กระนั้น ปักกิ่งประณามอย่างรุนแรงกรณีที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียก สี ว่า “เผด็จการ” หลังบลิงเคนออกจากปักกิ่งไม่นาน

จ่ายค่าผ่อนบ้านไปจำนวนมาก แต่เงินต้นถูกตัดเข้ายอดหนี้ไม่ถึงครึ่ง ลองวิธี ‘รีเทนชัน’ (Retention) หรือ ‘รีไฟแนนซ์’ (Refinance)

จ่ายค่าผ่อนบ้านไปจำนวนมาก แต่เงินต้นถูกตัดเข้ายอดหนี้ไม่ถึงครึ่ง ที่เหลือโดนดอกเน้น ๆ ถ้าเจอปัญหาไปนาน ๆ คงหนัก!! ลองวิธี ‘รีเทนชัน’ (Retention) หรือ ‘รีไฟแนนซ์’ (Refinance) กันดูน่าจะดีกว่า… ว่าแต่ทั้ง 2 วิธีมีความแตกต่างกันแค่ไหน?... ต้องลองเทียบกันดู เผื่อทางความต้องการผู้อยาก ‘รี’ จะมีความต่างตามเหตุผลเฉพาะตัว

บัณฑิต ‘จุฬา-ธรรมศาสตร์-เกษตร’  กวาดตำแหน่งงาน จาก Top 20 บริษัทชั้นนำของไทย

ข้อมูลที่รวบรวมโดยเว็บไซต์ Candid Data เผยว่า บัณฑิตจาก ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ ครองแชมป์สถาบันที่มีตำแหน่งงานในบริษัท Top 20 ของประเทศไทยสูงสุด ที่ 4,085 ตำแหน่ง ในขณะที่อันดับสองตกเป็นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ 2,572 ตำแหน่ง ส่วนอันดับสามได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มีบัณฑิต 2,018 คน เข้าไปร่วมงานในหลากหลายตำแหน่งของบริษัทใหญ่ รวม 3 มหาวิทยาลัย มีจำนวนทั้งสิ้น 8,675 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ ที่ครองที่นั่งในบริษัทระดับท็อปของประเทศเช่นกัน อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ฯลฯ รวมทั้งสิ้น 5,532 ตำแหน่ง
 ‘จุฬา - มธ. - เกษตร’ กวาดที่นั่งบริษัทดังกว่าครึ่ง

ตำแหน่งงานทั้งหมดจากการสำรวจในครั้งนี้มี 14,207 ตำแหน่ง เท่ากับว่า บัณฑิตจาก 3 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กว่าที่นั่งไปทั้งสิ้น 61% คิดเป็นกว่าครึ่งจากจำนวนที่นั่งทั้งหมด โดยมหาวิทยาลัยที่ครองตำแหน่งสูงสุดอย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครองตำแหน่งคิดเป็น 28.7% หรือมากกว่า 1 ใน 4 ของตำแหน่งทั้งหมดในบริษัทชั้นนำของไทย

นอกจากนี้ Candid Data ยังเผยว่าในบรรดาบริษัทที่ติดโผนั้น บัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครองอันดับสูงสุดในแทบทุกบริษัท ยกเว้น AIS, SCB, และ Boon Rawd Brewery ที่มีบัณฑิตจากรั้วเกษตรศาสตร์เข้าทำงานสูงสุด ส่วน Tesla นั้นมีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทำงานอยู่มากสุด
ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัย ไหนว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน?

หลังบทความดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาตั้งคำถามในทำนองว่า ‘ไหนว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน?’ สะท้อนปัญหาด้านความเชื่อมั่นที่บริษัทต่างๆ มีต่อสถาบันการศึกษาที่แตกต่างกัน รวมถึงคุณภาพการศึกษาจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่มีอยู่มากมาย

อีกด้านหนึ่ง ก็มีผู้ตั้งคำถามถึง ‘โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่ต่างกัน’ โดยประชากรที่เกิดในบ้านที่มีชนชั้นทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า ก็มีโอกาสที่จะเลือกมหาวิทยาลัยได้มากกว่า นำไปสู่โอกาสที่จะเข้าไปทำงานในบริษัทชั้นนำได้มากกว่าเช่นกัน

ที่ทำงาน / สถาบันการศึกษา ไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิต
แม้บริษัทที่ทำการสำรวจนี้ จะเป็นบริษัทจาก “สุดยอดบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วย 2023” ที่รวบรวมโดย WorkVenture แต่ก็มิได้หมายความว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในชีวิต เพราะเป้าหมายชีวิต และนิยามของความสำเร็จนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล บางคนนิยามความสำเร็จด้วยชื่อบริษัทที่ตนทำงาน, บางคนมองว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจคือความสำเร็จ, บางคนมองหาความพอดีระหว่างชีวิตทำงานและชีวิตในมิติอื่นๆ

สถาบันการศึกษา องค์กรที่ทำงาน เป็นเพียงบันไดหนึ่งขั้นที่จะช่วยให้ชีวิตดำเนินไป พึงเลือกบันไดที่ใช่ ที่เหมาะสม เพื่อจะได้ก้าวไปสู่ ‘ความสำเร็จ’ ตามนิยามของตัวคุณเอง

ที่มา :  https://www.amarintv.com/spotlight/future-of-work/detail/47691
https://candiddata.co/2023/05/31/dashboard-graduate-placement-2023/

 

‘ปกรณ์ จีนาคำ’ ส.ส.แม่ฮ่องสอน พรรคพลังประชารัฐ ให้กำลังใจ จนท.ศูนย์ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยฯ เร่งสนับสนุนดูแล ด้านสาธารณสุข

นายปกรณ์ จีนาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่บริเวณบ้านพะแข่ ตำบลแม่กิ๊ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อดูสถานการณ์ผู้อพยพจากเหตุการสู้รบประเทศในรัฐคะเรนนี ประเทศเมียนมา ซึ่งขณะนี้มีผู้อพยพลี้ภัยสงครามเข้าไทยต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่ ๆ เกี่ยวข้องต้องทำงานกันอย่างหนัก ตนจึงไปให้กำลังใจเจ้าหน้าทหาร อาสาสมัคร ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และจิตอาสาทุกคนที่ปฎิบัติหน้าที่ดูแลผู้อพยพกว่า 830 คน

"ผมขอขอบพระคุณ กลุ่มสะพานบุญครูหนึ่ง เพื่อนอนุบาลแม่ฮ่องสอน และผู้มีจิตรศรัทธาทุก ๆ ท่าน ที่บริจาคสิ่งของต่าง ๆ  เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาในครั้งนี้ และขอขอบคุณหน่วยงานปกครอง ทหาร ท้องถิ่น สาธารณสุข เข้ากำกับควบคุมดูแลผู้ลี้ภัยได้ดีมาก"

ทั้งนี้ นายปกรณ์ ได้แสดงความห่วงใยในจัดการระบบสาธารณสุข เพราะขณะนี้มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากในศูนย์อพยพแห่งนี้  ซึ่งได้เร่งให้การสนับสนุน เพื่อดูแลด้านสาธารณสุขในศูนย์  นอกจากนี้ในพื้นที่จ.แม่ฮ่องสอนยังมีศูนย์อพยพต.เสาหิน อ.แม่สะเรียง ที่มีผู้ลี้ภัยมากว่า 3,000 คน ซึ่งเป็นผู้อพยพที่เข้ามาเพิ่มเติม บ้านจอภาคี  บ้านอุนุ  ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top