Wednesday, 30 April 2025
ค้นหา พบ 47762 ที่เกี่ยวข้อง

“เทพไท” ชี้ความแตกแยกร้าวลึกกว่าอดีต แนะรัฐบาลจัดการผู้ดึงเบื้องสูงมาเป็นคู่ขัดแย้ง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบรรยากาศทางการเมืองของประเทศในขณะนี้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกในสังคมกำลังร้าวลึกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา  ที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณ กับกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณ 

จนเกิดการชุมนุม หรือม็อบสีเสื้อขึ้นมา และขยายผลมาเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จากกลุ่ม กปปส. จนมีการยุบสภา และบอยคอตการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง จนบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน และมีการรัฐประหารของ คสช. เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศในฐานะคนกลาง 

เพื่อต้องการให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติไม่มีความขัดแย้งใดๆต้องการสลายสีเสื้อทางการเมือง จึงมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้ปกครองประเทศ และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน จึงได้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ คสช. ยกร่างขึ้นมาเอง จนเป็นที่มาของการสืบอำนาจ และเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งในปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งกำลังลุกลามไปอย่างกว้างขวาง 

มีการดึงเอาสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมืองด้วย ซึ่งแตกต่างกับความขัดแย้งในอดีต ที่เกิดขึ้นระหว่าง ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มการเมือง2กลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบันเป็นความขัดแย้งที่พยายามจะดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งด้วย มีการเคลื่อนไหวยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน และมีการเคลื่อนไหวให้ยกเลิกการใช้มาตรา 112 ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งที่ก้าวข้ามรัฐบาลในการเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว 

นายเทพไท กล่าวอีกว่า “จึงขอให้รัฐบาลได้รีบตัดไฟแต่ต้นลม ตัดตอนความขัดแย้งไม่ให้ลุกลามไปถึงสถาบันเบื้องสูง และต้องไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแอบอ้างดึงสถาบันเบื้องสูง มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง และห้ามไม่ให้มีการจาบจ้วง ก้าวล่วงถึงสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย  ถ้าหากรัฐบาลไม่รีบตัดตอนหรือแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง จำกัดให้เป็นแค่คู่ขัดแย้งกับรัฐบาล ก็จะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน อาจจะพัฒนาไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ”
 

รู้จัก​ 'จิมมี่ ไล' เจ้าพ่อสื่อฮ่องกง เบื้องหลังแรงสนับสนุนม็อบ​ 'โจชัว​ หว่อง'​ เตรียมขึ้นศาลหลังติดชนักข้อหาฉ้อโกง

จิมมี่ ไล เจ้าของสื่อหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ชื่อดังของฮ่องกง  Apple Daily ที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญของกลุ่มม๊อบชาวฮ่องกง ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกง พร้อมกับผู้บริหารสำนักพิมพ์อีก 2 คน ได้แก่ รอยสัน โชว และ หว่อง ไวก๊อก เนื่องจากใช้พื้นที่สำนักงาน ผิดวัตถุประสงค์การเช่า 

หลังจากที่ถูกตั้งข้อหา จิมมี่ ไล ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีโดยอ้างว่า ยังอยู่ในกระบวนการต่อสู้ทางคดีในชั้นศาล 

จิมมี่ ไล ถือว่าเป็นเจ้าพ่อสื่อที่ทรงอิทธิพลทางความคิดคนหนึ่งในเกาะฮ่องกง หนังสือพิมพ์ Apple Daily ของเขามียอดพิมพ์ต่อวันสูงถึง 2 แสนฉบับ นับเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดพิมพ์สูงเป็นอันดับ 2 ของฮ่องกง และเป็นสื่อที่ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงชาวฮ่องกงอย่างเปิดเผย 

ในช่วงที่มีการประกาศใช้กฏหมายความมั่นคงใหม่ของจีน ในเกาะฮ่องกง จิมมี ไล อยู่ในกลุ่ม 10 แกนนำที่โดนจับกุมด้วยข้อหาสมคบกับต่างชาติในการก่อความไม่สงบในฮ่องกง และถูกคัดค้านการประกันตัว 

แต่สำหรับคดีที่โคนตั้งข้อหานี้ ยังไม่ใช่คดีที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายความมั่นคงโดยตรง นั่นหมายความว่านี่เป็นแค่คดีเรียกน้ำย่อย ที่รอสำนวนจากคดีใหญ่ที่น่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ 

คดีของจิมมี่ ไล ตามหลังคดีของ 3 แกนนำคนสำคัญของกลุ่มผู้ประท้วงชาวฮ่องกงเพียงไม่กี่วัน ได้แก่ อีวาน ลัม  แอ็กเนส โชว และ โจชัว หว่อง ที่ต่างรับโทษจำคุกกันไปแล้วตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 1 ปี ที่ยังมีคดีตามหลังมาอีกหลายกระทง และคาดว่าน่าจะติดกันยาวกว่านั้น

ดังนั้นจึงคาดเดาว่า คดีของจิมมี่ ไล และแกนนำคนสำคัญ นับจากนี้ ที่จะเริ่มถึงคิวของคดีที่เกี่ยวกับกฏหมายความมั่นคง ก็คงหนีไม่พ้นโทษจำคุกเช่นเดียวกัน แต่จะยาวนานเท่าไหร่นั้น ยังไม่มีใครตอบได้ 

และน่าจะกลายเป็นประเด็นที่สร้างความอึมครึมกันไปอีกนานระหว่างชาวฮ่องกง และรัฐบาลจีน ที่ต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมากทั้ง 2 ด้านเพื่อผ่านวิกฤติทางสังคมครั้งนี้ แม้จะอยู่ในจุดยืนที่ต่างกันก็ตาม


ที่มา :
หรรสาระ​ By​ Jeans Aroonrat

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/hong-kong-media-tycoon-jimmy-lai-charged-with-fraud-13690616

https://www.theguardian.com/world/2020/dec/03/hong-kong-media-tycoon-and-pro-democracy-figure-jimmy-lai-charged-with

หัวหน้าการ์ด​ WEVO ผุด 'เวียดกงโมเดล'​ ป่วนเมืองแบบคล่องแคล่ว ว่องไว ซ่องสุ่ม รอคอย และล่าถอยเมื่อภัยมา ยึดพิกัดประท้วงตามตรอกซอกซอย​ หวังให้รัฐหัวหมุน

กลุ่มม็อบได้ยุทธวิธีป่วนครั้งใหม่​ ผ่าน​รูปแบบ​ 'เวียดกงโมเดล'​ โดย​ ปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ อายุ 30 ปี หัวหน้าการ์ดอาสาวีโว่ (WEVO) อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 พรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'โตโต้ ปิยรัฐ - Piyarat Chongthep'​ ระบุว่า

"การเคลื่อนไหว 'เวียดกงโมเดล'​ ต่างจากฮ่องกง โมเดล คือ ความคล่องแคล่ว ว่องไว ซ่องสุ่ม รอคอย และล่าถอยเมื่อภัยมา

"โดยตรอกซอกซอยในกรุงเทพมหานคร คือชัยภูมิที่ดีและเหมาะที่สุดในการลำเลียง เสมือนเส้นสายช่องทางใต้ดินของถ้ำเวียดกง ที่ใช้ต่อกรกับมหาอำนาจอเมริกา การเคลื่อนไหวรูปแบบนี้รัฐไทยรับมือไม่ทัน และหัวหมุนกันมากทีเดียว เพราะไม่รู้จะโผล่รูไหน ออกรูไหน หนีรูไหน พอล้อมเรา เราก็ทะลุตรอกซอกซอยไปล้อมคืน และเลี่ยงการปะทะ

"คนมือเปล่าทำได้มากสุดก็เท่านี้ การประท้วงรูปแบบนี้ WEVO เรียกว่า "บางกอกโมเดล" โปรดติดตามตอนต่อไป"

สำหรับเวียดกงที่ ปิยรัฐ กล่าวอ้าง เป็นแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ หรือ เวียดกง ตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ เพื่อต่อต้านรัฐบาลเวียดนามใต้ที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน ในยุคที่เวียดนามแยกประเทศออกเป็น 2 ส่วน

ได้แก่ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเวียดกงมุ่งเน้นก่อการร้ายและจราจล ใช้กลยุทธ์การรบแบบกองโจร คอยดักซุ่มโจมตีทหารอเมริกันแบบเฉียบพลัน และอาศัยความชำนาญภูมิประเทศหลบหนีอย่างไร้ร่องรอย สุดท้ายร่วมกับกองทัพประชาชนเวียดนามยึดกรุงไซ่ง่อนที่เรียกว่า 'ไซ่ง่อนแตก'​ ในปี พ.ศ. 2518

ทำให้เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้กลับมารวมประเทศกันอีกครั้ง ภายใต้รัฐระบอบคอมมิวนิสต์

ทักษิณ​ 'ทวิ​ตพ้อ'​ คนในบ้านกำลังทิ้งกัน หลังการเมืองบ้านเพื่อไทยระส่ำ​ หลายคนพร้อมเท แต่มั่นใจคนยังรัก​ เชื่ออุดมการณ์พรรคจะนำเพื่อไทยหวนกลับมายิ่งใหญ่

ภายหลังการเมืองและความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทยเริ่มระอุ​ ล่าสุด​ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้ทวีตข้อความ ในทวิตเตอร์บัญชี Thaksin Shinawatra ขอบคุณทุกคน ที่ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่เสียใจที่วันนี้มีคนเดินจากไป เพราะไปบังคับหัวใจใครให้อยู่กับพรรคตลอดไปไม่ได้ ย้ำยังมั่นคงในอุดมการณ์ และรักพรรคนี้ที่สร้างขึ้นมากับมือ

"ช่วงนี้ได้ข่าวมีหลายคนที่เดินออกจากพรรคเพื่อไทย หลายคนออกมาโจมตีบ้านเดิมของตัวเอง ผมในฐานะคนที่รักพรรคนี้ซึ่งเป็นพรรคที่ได้วางรากฐานมาตั้งแต่ครั้งเป็นไทยรักไทยมาจากอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่ต้องการเห็นประเทศพัฒนาไปข้างหน้าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรง

"เราจึงได้รวบรวมคนที่มีแนวคิด และอุดมการณ์เดียวกันกับเราจนมาเป็นพรรคการเมืองใหญ่

" ที่ผ่านมา เพื่อรักษาอุดมการณ์นั้น ผมได้ต่อสู้ และสูญเสียอะไรไปมาก ทั้งการไม่ได้อยู่ในแผ่นดินเกิด ไม่ได้อยู่กับครอบครัว และคนที่ผมรัก

"ผมทำเต็มที่มาตลอดเพื่อเดินบนเส้นทางแห่งอุดมการณ์ที่ผมได้ให้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน และคนที่ฝากความหวังไว้ ดังนั้นผมไม่เสียใจที่วันนี้จะมีคนเดินจากไปเพื่อไปมีเส้นทางใหม่ เพราะผมคงไปบังคับหัวใจใครให้อยู่กับพรรคตลอดไปไม่ได้

"ผมจึงขอขอบคุณคนที่ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย พรรคที่ผมเคยวางรากฐานไว้ ผมเชื่อว่า อุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคจะนำพาพรรคไปสู่ความสำเร็จได้อย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต และจะยังสามารถเป็นที่พึ่งที่หวังให้ประชาชนได้อย่างที่เคยเป็นมา" ทักษิณระบุ

ย้อนมองอดีตเส้นทางชีวิต ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ จากอดีตผู้บริหารไทยซัมมิท สู่อดีตหัวหน้า 'อนาคตใหม่' และเงาแห่งผู้บัญชาการทัพม็อบล้มตู่

โดยพรรคการเมืองเลือดใหม่นี้ถูกจุดขึ้นจากอุดมการณ์ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" อดีตผู้บริการเครือไทยซัมมิท ที่ต้องการเปลี่ยนหน้าการเมืองไทยให้สะเทือน

หากมองย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของ ‘ธนาธร’ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เกมการเมืองอย่างเต็มตัวในปี 2561 เขาคือรองประธานกรรมการบริหารกลุ่มไทยซัมมิท ธุรกิจของครอบครัว ตั้งแต่ปี 2545 เป็นเวลาร่วม 16 ปี ซึ่งเรียกได้ว่าบริษัทผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศ

เจาะลึกถึงขุมทรัพย์ ‘ไทยซัมมิท’ ของครอบครัว ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่ปัจจุบันมี สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

หลังจากพ่อของธนาธร หรือนายพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ เสียชีวิต ธนาธร จึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยแม่บริหารธุรกิจ พร้อมน้อง ๆ อีก 3 คนถือหุ้นที่เหลือและร่วมบริหาร ด้วยประสบการณ์การบริหาร ความไว้วางใจกับคู่ค้า และอีกหลายๆ เหตุผลทำให้ไทยซัมมิท สามารถทำรายได้เติบโตต่อเนื่อง จากหลักพันล้าน สู่หมื่นล้าน และหลายหมื่นล้าน​ (80,000 ล้านบาท)​ อย่างในปัจจุบัน

มีธุรกิจในเครือข่ายทั้งอดีตและปัจจุบันราว 102 บริษัท โดยบริษัทที่ 'ธนาธร' เคยเป็นกรรมการมีอยู่ประมาณ 60 บริษัท และในจำนวนนี้ ตามข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่ามีบริษัทที่ยังดำเนินการอยู่ราว 25 บริษัท

นอกเหนือจากธุรกิจใจครอบครัว ธนาธร ยังเคยนั่งตำแหน่งกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เนื่องจากเครือญาติเข้าไปถือหุ้นในบริษัทมติชน ตั้งแต่ปี 2556 ต่อมา 14 มี.ค.2561 มติชนแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า ธนาธร ได้ลาออกจากตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อย

อีกหนึ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องและเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ การถือ "หุ้นวี - ลัค" หรือหุ้นบริษัท วี - ลัค มีเดีย จำกัด (มหาชน) ของธนาธร ที่เข้าข่าย เข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เนื่องจากถือหุ้นในธุรกิจสื่อ

ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้พิจารณาว่าสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อ บริษัทวี - ลัค

แม้ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการบริหารธุรกิจครอบครัวเพื่อความมั่งคั่งจะยังไปได้สวย แต่ตลอดระยะเวลาที่นั่งตำแหน่งบริหารธุรกิจ 'ธนาธร' ยังคงตั้งเป้าเดินตามอุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง ที่เป็นเรื่องที่สนใจตั้งแต่สมัยเรียน และอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในการเมืองไทย

ทำให้ ธนาธร ขอพ้นจากทุกตำแหน่งในบริษัทเครือไทยซัมมิท ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา เพื่อลุยการเมืองเต็มตัวภายใต้ พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อย่างเป็นทางการ

แน่นอนว่า เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรืออาจจะไม่มีกลีบกุหลาบในเส้นทางการเมือง เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธนาธร ยังคงต้องรับมือกับจุดเปลี่ยนผ่านที่คาบเกี่ยวระหว่างการเป็น ‘นักธุรกิจ’ สู่ ‘นักการเมือง’ อย่างเต็มตัว ที่ต้องรุกไปให้ถึงเป้าหมายที่ตัวเองและพรรคอนาคตใหม่วางเอาไว้ และต้องตั้งรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน

หนึ่งในนั้นคือวันศุกร์ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีเงินกู้พรรคอนาคตใหม่ โดยมีคำวินิจฉัยขององค์คณะตุลาการ ได้มีมติสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92 ในคดีกู้เงิน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค จำนวน 191.2 ล้านบาท ขัดต่อรัฐธรรมนูญและ เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหาร และ ห้ามจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ เป็นเวลา 10 ปี ตามมาตรา 94

หลังจากสิ้นสุดสถานะการเป็นพรรคการเมืองของอนาคตใหม่​ ก็เกิดเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า​ 'ก้าวไกล'​ ขึ้นมาทดแทน

จากวันนั้นประเทศไทย​ ก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศแห่งการแตกแยกอีกครั้ง​ และเกิดกลุ่มม็อบหลากคอนเซ็ปต์​ ทั้งคณะราฎร​ ปลดแอก​ และอีกมากมาย​ ที่เดินตามแนวทางของ​ ธนาธร

เป้าหมายชัด​ ไม่ใช่แค่ซัดรัฐบาลหรือลุงตู่​ให้ร่วง​ ผ่านพลังของคนรุ่นใหม่ แต่ดูจะเหนือกว่านั้น​ จนวันนี้ไม่แน่ใจว่าเขาจะหาทางลงที่สวยงามได้​รึเปล่า​ ในสถานการณ์ที่ดูเหมือน

เป็นรองลงไปทุกวัน...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top