Tuesday, 29 April 2025
ค้นหา พบ 47762 ที่เกี่ยวข้อง

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (11 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 11 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,180 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 15 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,903 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 217 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 11 ราย เป็นสวีเดน 1ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย โปรตุเกส 1 ราย เกาหลีใต้ 1ราย บาห์เรน 2 ราย ซาอุดีอาระเบีย 2ราย เมียนมา 3 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 147 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 356 ราย รักษาหายแล้ว 307 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.93 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.87 แสน เสียชีวิต 18,171 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 28 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 76,265 ราย รักษาหายแล้ว 65,124 ราย เสียชีวิต 393 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.03 แสน ราย รักษาหายแล้ว 81,715 ราย เสียชีวิต 2,174 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.46 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.09 แสน ราย เสียชีวิต 8,701 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,297 ราย รักษาหายแล้ว 58,188 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,385 ราย รักษาหายแล้ว1,225 ราย เสียชีวิต 35 ราย

กาพรรคไหนดี!! หากวันนี้ต้องเลือกตั้ง

ซุปเปอร์โพลชี้ชัด กระแสรัฐบาลกระเตื้อง หลังผู้ชุมนุมหยาบคายและข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทำดรอป

จากผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ‘การเมืองใหม่ หรือ เก่า สาดสี’ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 5,260 ตัวอย่าง ที่ดำเนินโครงการระหว่าง 1 มิถุนายน  – 10 ตุลาคม พ.ศ.2563 ชี้ค่อนข้างชัดว่า

พฤติกรรมของผู้ชุมนุมที่หยาบคายและข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ผ่านมาทำให้คะแนนนิยมที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ในขณะที่พรรคเพื่อไทยซึ่งตัดสินใจกลับลำ "กราบ" และถอนตัวจากการขบวนการดังกล่าวได้ทันก็คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นทันทีเช่นกัน ส่วนพรรคก้าวไกลคะแนนนิยมลดลงต่ำที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่มา

อย่างไรก็ตามหากโพลดังกล่าวมีความถูกต้องและแม่นยำจริง แสดงว่าข้อเรียกร้องทางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และยุทธวิธีก้าวร้าวหยาบคายของคณะราษฎร 2563 ไม่น่าจะนำไปสู่ชัยชนะในยุคนี้ได้เลย

ทั้ง ๆ ที่โพลระบุก่อนหน้านี้ว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคือเสียงข้างมากของคนในประเทศ แต่ตอนนี้เสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ต้องการพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลแล้ว

แต่ต้องการทางเลือกใหม่...พรรคการเมืองใหม่!!

AirPods Max คุ้มค่าแค่ไหน ถามใจเธอดู

เปิดตัวให้ได้ซี้ดซ้าดกันไปเมื่อหลายวันก่อน สำหรับ AirPods Max หูฟังครอบหูหรือเฮดโฟนแบบไร้สายตัวแรกของแอปเปิ้ล งานนี้เปิดตัวมาในราคา 19,900 บาท มีเสียงลอยมาเบาๆ แต่ได้ยินช้าดชัดว่า "แพงจุง" อ่ะ! ตัวเลขราคาอาจจะสูง แต่หูฟังตัวนี้มาด้วยฟีเจอร์มากมาย 

ไม่ว่าจะเป็น EQ ที่ปรับแต่งเสียงให้พอดีกับหูฟัง โดยวัดสัญญาณเสียงที่ส่งออกมา และปรับความถี่ต่ำและกลางแบบเรียลไทม์ ทำให้ได้เสียงที่เต็มอิ่มครบทุกรายละเอียด แถมยังมีโอกาสที่เสียงจะเพี้ยนน้อยมาก อยู่ที่ 1 เปอร์เซนต์ เนื่องจากมีชิ้นส่วนของมอเตอร์วงแหวนแม็กเน็ตนีโอไดเนียมคู่ที่ออกแบบมาอย่างดีและมีคุณภาพ ต่อให้เปิดเสียงดังสุดแค่ไหน เสียงก็ยังคมชัดเป๊ะ 

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อกับ Device อื่น ๆ อาทิ  iPhone iPad หรือเครื่องคอมพ์ Mac ก็หายห่วง ผู้ใช้สามารถสลับอุปกรณ์ไปมาระหว่าง Device ได้เลย AirPods Max ตัวนี้สามารถสลับการเชื่อมต่อได้โดยอัตโนมัติ หรือหากจะแชร์เสียงระหว่าง AirPods 2 ชุด บน iPhone iPad iPod touch หรือ Apple TV 4K ก็เพียงแค่นำ AirPods Max มาใกล้กับอุปกรณ์และเชื่อมต่อด้วยการแตะเพียงครั้งเดียวก็เป็นอันเรียบร้อย

เอาจริง ๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาของ AirPods Max ตัวนี้ก็คูลได้ใจแล้วล่ะ แถมมาในสีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีสเปซเกรย์, สีเงิน, สีสกายบลู, สีเชียว และสีชมพู โทนแต่ละสีไม่ได้เปรี้ยวปรู้ดปร้าด แต่ดูเท่ ๆ เฉี่ยว ๆ ตามสไตล์อุปกรณ์ค่ายแอปเปิ้ลนั่นเอง ถึงตรงนี้ ย้อนกลับไปดูที่ราคา ถ้า...ถ้าจะลงทุนกับหูฟังดี ๆ แล้วใช้งานกันไปยาว ๆ ไม่งอแง ก็ถือว่าคุ้มค่าน่าลงทุน  

 

4 ปัจจัยที่แท้ทรู!! มุมมองใหม่ "คนรวย" ยุค 2021 เมื่อ "คนมีทรัพย์" จะไม่ใช่คนที่มีเงินสดเยอะอีกต่อไป

ในอดีตการออมหรือการเอาเงินไปฝากธนาคาร เพื่อให้เงินในบัญชีมีมากๆ พอมีมากๆ ก็เท่ากับมีเงินสดเยอะ พอมีเงินสดเยอะ ใคร ๆ ก็บอกว่า "รวย"

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนที่เงินเยอะ อาจจะไม่ถูกเรียกว่าคนรวยอีกต่อไปก็ได้

ลองย้อนไปมองดูปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นขึ้นทำจุดสูงสุดไปเรื่อย ๆ ทั้งที่โควิดก็ยังอยู่ แม้เศรษฐกิจตกต่ำก็ยังไม่ลดลงแบบบ้าคลั่งตามสถานการณ์ที่ร้ายแรง

เหตุผลของเรื่องนี้เป็นเพราะระบบการเงินในโลกหลาย ๆ ส่วนเริ่ม "รวน"

ฉะนั้นการมองว่า "เงิน" คือสินทรัพย์ที่ต้องเกาะเอาไว้กับตัวแล้ว "มั่งคั่ง - ร่ำรวย" อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกทั้งหมดอีกต่อไป

แล้วสินทรัพย์แบบไหนถึงจะตอบโจทย์ ความปลอดภัยและยกระดับให้เกิดความมั่งคั่ง จนถึงขั้นเรียกว่า "รวย" สไตล์ใหม่ได้บ้าง?

มีอยู่ 4 ปัจจัยง่าย ๆ แต่ไม่รู้ทำได้ง่ายไหมมาแนะนำ!!

ปัจจัยแรก "จับสินทรัพย์ถูกตัว"

สังเกตได้จาก "การพิมพ์เงิน" อย่างบ้าคลั่งของรัฐบาลโลก ส่งผลให้ "เงินลดมูลค่า" ของตัวเองลง แต่สิ่งที่ตามมา คือ สินทรัพย์ต่าง ๆ ราคาขึ้น หมายความว่า คนที่จะรวยมหาศาลในยุคนี้ ก็คือ คนที่จับสินทรัพย์ถูกตัว ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน หุ้น หรือแม้แต่เงินดิจิทัล และ กล้าที่จะถือผ่านความผันผวนของราคา ที่เรียกว่า "อดทนรวย" นั่นแหละ

ปัจจัยที่ 2 คือ "หาเงินเก่ง ไม่สำคัญเท่าลงทุนเป็น"

เพราะภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน ส่งผลให้หาเงินยาก คู่แข่งเยอะ แต่ในด้านการลงทุน ถ้าถูกตัว ถูกจังหวะ มันจะเติบโตแบบไม่คิดชีวิต "ขึ้นแหลก!!" เห็นได้จากปรากฏการณ์หุ้น Tesla ที่ทำให้ Elon Musk ก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ธุรกิจยังไม่ได้ทำเงินมหาศาลเลย

ปัจจัยที่ 3 "สินทรัพย์เสี่ยง น่าลงทุนกว่าสินทรัพย์ไม่เสี่ยง"

ในเมื่อคนส่วนใหญ่ วิ่งหาความชัวร์ ความมั่นคง ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่ สินทรัพย์ไม่เสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแย่งกันซื้อ จนราคาแพง บางครั้งแทบไม่คุ้มที่จะซื้อด้วยซ้ำ ตรงข้ามกัน สินทรัพย์เสี่ยงบางอย่าง กลับถูกเกินความจริง และ สามารถสร้างเศรษฐีได้ในอนาคต

ปัจจัยที่ 4 "ตลาดทุนและการระดมทุน เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น"

เป็นโอกาสการสร้างตัวแบบก้าวกระโดดในยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อหาเงินอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อเข้าตลาดหุ้น สามารถระดมเงินได้มากกว่า โตได้เร็วกว่า ใช้เงินตัวเองน้อยกว่า และ โตได้ไกลกว่า

ที่ว่ามานี้ น่าจะพอให้เห็นภาพว่ากระแสเงินสด อาจจะไม่ได้สรุปถึงคนรวยอีกต่อไป แต่คนรวยในยุคต่อไป อาจจะเป็นคนที่มีสินทรัพย์แห่งอนาคต ที่ผ่านการซื้อสะสมแบบต่อเนื่อง

ในวันที่มูลค่าเงินสดมีแต่ลดลง หากเลือกสินทรัพย์ที่ให้โอกาส เช่น ที่ดิน หุ้น สินทรัพย์แห่งอนาคต เช่น เงินดิจิทัล...เราจะได้อิสรภาพทางการเงินแถมไปด้วย


ที่มา: Pawawit Stock Comment

ที่มาภาพ: https://www.mic.com/articles/180662/smart-things-to-buy-as-an-investment-in-your-future-from-bitcoin-ether-litecoin-and-stocks-to-bonds-and-more

ควบรวม FWD - SCBLIFE เห็นผล เบี้ยรับใหม่แซงขึ้นเบอร์ 1

การระบาดของไวรัส COVID-19 แม้จะทำให้คนตื่นตัวในเรื่องการซื้อประกันชีวิตและสุขภาพมากขึ้น แต่เมื่อดูในภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิต กลับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน

เมื่อมองย้อนกลับไปในรอบเกือบ 10 ปี จะเห็นว่า ธุรกิจประกันชีวิต เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตที่ถดถอยเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา จากตัวเลขการเติบโตติดลบเป็นปีแรกที่ -2.63% และในปีนี้ยังมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัด โดนพิษ COVID-19 กระหน่ำซ้ำอีก

จากตัวเลขคาดการณ์โดยสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อต้นปีที่ประเมินว่าปี พ.ศ.2563 ธุรกิจประกันชีวิต จะไม่เติบโตจากปีที่แล้ว โดยตัวเลขจะอยู่ราว 6.1 แสนล้านบาท แต่จากรายงานสถิติเบี้ยประกันภัยล่าสุดของธุรกิจประกันชีวิต 10 เดือนแรก พบว่า เบี้ยรับรวมของธุรกิจประกันชีวิต มีทั้งสิ้น 477,220.39 ล้านบาท หรือ ติดลบ 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562

ส่วนเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ของธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบ 10 เดือนแรก รวมทั้งสิ้น 127,411 ล้านบาท แยกเป็นเบี้ยประกันภัยปีแรก 82,477.43 ล้านบาท ติดลบ 3% และเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียว (ซิงเกิลพรีเมี่ยม)  44,934.12 ล้านบาท ติดลบถึง 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี พ.ศ.2562

แต่ที่น่าสนใจ คือ โดยบริษัทเอฟดับบลิวดีประกันชีวิต (FWD) มีเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่สูงสุดอันดับ 1 จำนวน 25,031.91 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 19.65%

ทั้งนี้ ข้อมูลเบี้ยประกันภัยข้างต้นของบริษัท เอฟดับบลิวดี (ภายใต้นิติบุคคลใหม่) มาจากการควบรวมระหว่างบริษัท ไทยพาณิชย์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (SCB LIFE) และบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)(FWD) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา จากเดิม SCB LIFE อยู่อันดับ 4 และ FWD อยู่อันดับ 6 ณ สิ้นปี 2562

การขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในส่วนของเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ของ เอฟดับบลิวดี ดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกที่มีบริษัทอื่น นอกจากเอไอเอ และเมืองไทยประกันชีวิต ที่สามารถสอดแทรกขึ้นมาได้

โดย 5 อันดับแรกของธุรกิจประกันชีวิต ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่สูงสุด 10 เดือนแรก ปี พ.ศ.2563 ประกอบด้วย

อันดับ 1 เอฟดับบลิวดี จำนวน 25,031.91 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 19.65%

อันดับ 2 เอไอเอ จำนวน 21,953.31ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 17.23%

อันดับ 3 เมืองไทยฯ จำนวน 17,104.07 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 13.42%

อันดับ 4 ไทยประกันชีวิต จำนวน 16,324.49 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 12.81%

อันดับ 5 กรุงไทย-แอกซ่า จำนวน 9,616.04 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 7.55%

ส่วน 5 อันดับแรกที่มีเบี้ยรับรวมสูงสุด

อันดับ 1 เอไอเอ จำนวน 111,990.54 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 23.47%

อันดับ 2 ไทยประกันชีวิต จำนวน 69,899.96 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 19.65%

อันดับ 3 เอฟดับบลิวดี จำนวน 67,337.85 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 14.11%

อันดับ 4 เมืองไทยฯ จำนวน 60,239.38 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 12.62%

อันดับ 5 กรุงไทย แอกซ่า จำนวน 44,078.34 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 9.24%

ทั้งนี้ ต้องติดตามดูว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นช่วงที่ธุรกิจประกันชีวิตทำยอดขายได้สูงสุดในรอบปี จะช่วยทำให้ตัวเลขธุรกิจประกันชีวิตติดลบได้น้อยกว่า 3% หรือไม่ และเอฟดับบลิวดี จะยังสามารถเข้าป้ายเป็นอันดับ 1 ในแง่เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หรือไม่ อีกไม่นานคงได้รู้กัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top