ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าในสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยลดลงต่อเนื่องสัปดาห์ที่ 3 จากความกังวลผลกระทบปัญหาสถาบันการเงินในยุโรปจะลุกลามต่อ ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยวันที่ 24 มี.ค. 66 ราคาหุ้น Deutsche Bank (DB) ปิดตลาดลดลง 8.5 % มาอยู่ที่ 8.54 ยูโร ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน หลัง Credit Default Swap (CDS) ระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 142 จุด มาอยู่ที่ 173 จุด สูงสุดในรอบ 4 ปี โดย Deutsche Bank เป็นธนาคารใหญ่อันดับที่ 22 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของธนาคารสัญชาติของเยอรมนี มูลค่าสินทรัพย์ 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารอื่นๆ ในยุโรปลดลงด้วยเช่นกัน อาทิ Commerzbank ของเยอรมนี ลดลง 5.5%, UBS ของสวิตเซอร์แลนด์ ลดลง 3.5%
ในขณะเดียวกัน รมว. กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ นาง Jennifer Granholm แถลงว่าในปีนี้สหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องเร่งเติมน้ำมันดิบเข้าคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) แม้ขณะนี้ ราคา NYMEX WTI ปิดตลาดต่ำกว่า 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยกล่าวว่า จะพิจารณาเข้าซื้อน้ำมันดิบเติมเข้าคลังสำรอง หากราคาน้ำมันดิบลดลงเข้าสู่ช่วง 67-72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
จับตาการประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ของกลุ่ม OPEC และพันธมิตร (OPEC+) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 เม.ย. 66 โดยตลาดคาดว่า OPEC+ จะคงนโยบายการผลิตน้ำมันดิบด้วยการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2566 แม้ว่าจะเกิดวิกฤตธนาคารในช่วงที่ผ่านมา โดยทางเทคนิคราคา ICE Brent ในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวระหว่าง 74-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
-ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 4.75-5.0% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) วันที่ 21-22 มี.ค. 66 ตามที่ตลาดคาดการณ์ และอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ภายในปี 66
-Goldman Sachs ปรับลดประมาณการราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าราคา ICE Brent จะเฉลี่ยอยู่ที่ 97 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ภายในไตรมาส 2/67 จากอุปสงค์จากจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังเปิดประเทศ โดยคาดว่าอุปสงค์ของจีนในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 15.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิม 0.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และในปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 0.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 16.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน